สายน้ำ
|
|
« ตอบ #225 เมื่อ: พฤษภาคม 06, 2008, 01:45:20 AM » |
|
โลกร้อน-ทะเลเป็นกรด "ปะการังแข็ง" ตายเกลื่อน
นายสมเกียรติ ขอเกียรติวงศ์ หัวหน้ากลุ่มงานสมุทรศาสตร์และสิ่งแวดล้อมทางทะเล สถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และป่าชายเลน จ.ภูเก็ต กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) กล่าวว่า กำลังเตรียมศึกษาผลกระทบของภาวะโลกร้อนต่อปะการังชนิดแข็งในทะเลอันดามัน ถือเป็นโครงการแรกที่จะศึกษาผลกระทบโดยตรง และนับเป็น 1 ใน 12 โครงการที่สถาบันวิจัยภูเก็ต ได้รับคัดเลือกจากทางสหภาพยุโรปให้ดำเนินการวิจัย ขณะที่ยังมีสถาบันวิจัยอื่นๆ จากแถบเอเชีย อเมริกา และยุโรปที่จะศึกษาผลกระทบของภาวะโลกร้อนต่อ เต่า หอย ปลาในทะเลด้วย เพื่อสรุปเป็นงานวิจัยชิ้นเดียวกัน สหภาพยุโรปสนับสนุนงบฯทั้งโครงการจำนวน 12.5 ล้านยูโร
"สิ่งที่น่าสนใจคือพบว่าปะการังชนิดแข็งจำนวนมากเริ่มตายแล้ว เนื่องจากมีปริมาณก๊าซคาร์บอนได ออกไซด์ในท้องทะเลมากเกินไป เป็นผลมาจากคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศมีมาก ทำให้น้ำทะเลเป็นกรดมากขึ้น เราได้วิจัยค่าความเป็นกรด แ ละด่างของน้ำทะเลย้อนหลังไ ป 30-40 ปี พบว่าค่าความเป็นด่างลดลง 0.1 ทำให้เกิดการกัดกร่อนทำลายแคลเซียม ซึ่งเป็นธาตุที่เป็นองค์ประกอบหลักของปะการัง และเรื่องดังกล่าวนี้หลายประเทศทั่วโลกก็เป็นห่วงต่อปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ที่จะตกลงสู่ท้องทะเลมากขึ้น" นายสมเกียรติกล่าว
จาก : มติชน วันที่ 6 พฤษภาคม 2551
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
สายน้ำ
|
|
« ตอบ #226 เมื่อ: พฤษภาคม 07, 2008, 12:55:27 AM » |
|
ปะการังฟอกขาวเหตุจากโลกร้อน นักวิชาการชี้น้ำทะเลดีฟื้นตัวได้
นักวิชาการฟันธงสาเหตุของปะการังฟอกขาวมาจากปรากฏการณ์โลกร้อน ทชช.เร่งสร้างเครือข่ายร่วมกับชาวบ้านเฝ้าระวังปะการัง ผลวิจัยชี้ชัด หากจัดการคุณภาพน้ำทะเลให้ดี ปะการังมีโอกาสฟื้นตัวสูง
นายนิพนธ์ พงศ์สุวรรณ นักวิชาการประมง สถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเล ชายฝั่งทะเล และป่าชายเลน กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) เปิดเผยว่า ภาวะโลกร้อนส่งผลกระทบให้เกิดความแปรปรวนของอุณหภูมิน้ำทะเล ต่อเนื่องไปถึงระบบนิเวศวิทยาทางทะเล โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบนิเวศที่อยู่ตามชายฝั่ง เช่น แนวปะการัง การฟอกขาวของปะการังเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเนื่องจากสาหร่าย zooxanthellae ซึ่งอาศัยอยู่ร่วมกับปะการังถูกปล่อยออกไปจากเนื้อเยื่อปะการัง เพราะสภาพแวดล้อมบางอย่างเปลี่ยนแปลงไป เช่น อุณหภูมิน้ำทะเลสูงผิดปกติ น้ำจืดไหลลงสู่แนวปะการังมากเกินไป แสงแดดจัดเกินไป นักวิทยาศาสตร์ได้รายงานไว้ว่าอุณหภูมิของน้ำทะเลสูงผิดปกติ เป็นปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวเป็นพื้นที่กว้าง และรุนแรง
นายนิพนธ์กล่าวว่า สถาบันได้ดำเนินงานวิจัยเกี่ยวกับปะการังฟอกขาว ซึ่งอยู่ภายใต้โครงการติดตามตรวจสอบสถานภาพแนวปะการังมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี พ.ศ.2534 เพื่อศึกษาดูความรุนแรงในแต่ละครั้ง การกระจาย สาเหตุ ปัจจัยสิ่งแวดล้อมใดที่เสริมให้เกิดปะการังฟอกขาว มีผลต่อปะการังชนิดใดบ้าง ปะการังแต่ละชนิดมีความทนทานต่อการฟอกขาวมากน้อยอย่างไร แนวปะการังมีการเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยอย่างไร ปะการังมีแนวโน้มว่าจะปรับตัวหรือไม่ และยังร่วมงานวิจัยกับนักวิจัยต่างประเทศ เช่น ศึกษาอิทธิพลของคลื่นใต้น้ำที่นำมวลน้ำเย็นกระทบแนวปะการังซึ่งอาจทำให้ปะการังปรับตัวทนทานต่อการเกิดการฟอกขาว นอกจากนี้ ยังสร้างเครือข่ายผู้ประกอบการธุรกิจดำน้ำและนักดำน้ำที่สนใจด้านการอนุรักษ์ปะการัง ให้มีส่วนร่วมในการรายงานสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในแนวปะการัง
"ปัจจุบันสถาบันมีข้อมูลแน่ชัด ว่าแนวปะการังที่เกิดการฟอกขาวสามารถฟื้นตัวได้ หากพื้นที่นั้นมีคุณภาพน้ำดี แต่ถ้าหากพื้นที่นั้นมีตะกอนมากเกินไป หรือมีมลพิษจากน้ำเสีย การฟื้นตัวจะเกิดขึ้นได้ช้ามาก ดังนั้น การจัดการพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากการเกิดปะการังฟอกขาวอันดับแรกที่ต้องทำคือ การจัดการคุณภาพน้ำ เพิ่มความระมัดระวังในการใช้ประโยชน์จากแนวปะการัง" นายนิพนธ์กล่าว
จาก : มติชน วันที่ 6 พฤษภาคม 2551
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
สายน้ำ
|
|
« ตอบ #227 เมื่อ: พฤษภาคม 07, 2008, 12:58:46 AM » |
|
โลกร้อนทำแมลงเขตร้อนสูญพันธุ์
ทีมนักวิทยาศาสตร์สหรัฐอเมริกา ระบุไว้ในวารสารทางวิทยาศาสตร์ "โปรซีดิ่ง ออฟ เดอะ เนชั่นแนล อะคาเดมี ออฟ ไซน์ซ" ฉบับวันที่ 6 พฤษภาคม ว่า แมลงหลายชนิดในพื้นที่เขตร้อนอาจสูญพันธุ์ไปภายในศตวรรษนี้ เพราะไม่สามารถปรับเข้ากับอุณหภูมิที่สูงขึ้นสืบเนื่องจากภาวะโลกร้อนได้ ทั้งนี้ เนื่องจากบรรดาแมลงในเขตร้อนมีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิมากกว่า เมื่อเทียบกับแมลงในภูมิภาคอื่นๆ ทั้งนี้ ทีมนักวิทยาศาสตร์ดังกล่าวดำเนินการศึกษาวิจัยพบว่าระหว่างปี 2490 ถึง 2543 สิ่งมีชีวิตที่เป็นสัตว์เลือดเย็นไม่สามารถควบคุมอุณหภูมิของร่างกายได้เหมือนอย่างสัตว์จำพวกเดียวกันในเขตอบอุ่นหรือเขตหนาว ที่สามารถสลัดขนหรือเพิ่มความหนาของขนไปตามการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิมากๆ ได้
นายโจชัว ทิวก์สบิวรี หัวหน้าทีมนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยวอชิงตัน ผู้ดำเนินการวิจัยดังกล่าว กล่าวว่า นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าแมลงจำพวกนี้สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ในระดับที่อุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้น 5.4 องศาเซลเซียสจากระดับอุณหภูมิในปัจจุบันเท่านั้น ระดับดังกล่าวเป็นระดับอุณหภูมิที่คาดว่าภาวะโลกร้อนจะทำให้เกิดขึ้นในปี ค.ศ.2100 นี้ ผลวิจัยชิ้นนี้ระบุด้วยว่า เมื่ออุณหภูมิโลกร้อนขึ้น แมลงบางจำพวกในเขตร้อนอาจใช้วิธีการอพยพขึ้นไปอยู่ที่สูงขึ้นซึ่งอุณหภูมิต่ำกว่า, ย้ายถิ่นขึ้นไปทางเหนือมากขึ้น หรือค่อยวิวัฒนาการปรับร่างกายเข้ากับอากาศที่ร้อนขึ้น แต่จะมีแมลงอีกไม่น้อยที่ต้องตายไปเพราะสภาพร่างกายอ่อนแอลงอย่างรวดเร็วและไม่สามารถปรับร่างกายให้ทนทานได้อีกต่อไป (บีบีซี)
จาก : มติชน วันที่ 7 พฤษภาคม 2551
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
สายน้ำ
|
|
« ตอบ #228 เมื่อ: พฤษภาคม 20, 2008, 12:55:53 AM » |
|
โลกร้อน : ทุนนิยมขุดหลุมฝังศพตนเอง
คาร์ล มาร์กซ เคยกล่าวไว้ นานมาแล้วในหนังสือชื่อ Capital ซึ่งคนส่วนใหญ่ลืมแล้ว หรือไม่เชื่อว่าสิ่งที่มาร์กซพูดไว้จะกลายเป็นความจริงในวันนี้
มาร์กซพูดไว้ว่า "ระบบทุนนิยมเป็นระบบที่พัฒนาไปสู่การขุดหลุมฝังศพให้กับตนเอง"
ภาวะโลกร้อนที่ก่อให้เกิดภัยพิบัติธรรมชาติ ราคาน้ำมันแพงและกำลังจะหมดโลกซึ่งกำลังสร้างความหายนะให้กับมนุษยชาติในวันนี้ เป็นผลพวงของการพัฒนาของระบบทุนนิยมที่เติบโตอย่าง ก้าวกระโดดในภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เน้นการเติบโตของ GDP และผลกำไรสูงสุด โดยไม่คำนึงถึงปริมาณจำกัดของทรัพยากรธรรมชาติทุกชนิด และความ ไม่รู้จักบันยะบันยังในการบริโภค แค่พอเพียงอย่างสมดุล
เมื่อระบบทุนนิยมพัฒนาเทคโนโลยีและนำมาใช้เพื่อการผลิตแบบขนาดใหญ่ (mass production) จนกระทั่งมีการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างไม่มีการยับยั้งมาทำการผลิตจนสินค้าล้นโลก เช่น รถยนต์ ตู้เย็น ทีวี สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ โทรศัพท์มือถือ และแม้แต่เสื้อผ้าซึ่งเปลี่ยนรุ่นเปลี่ยนแบบปีละหลายครั้ง เป็นต้น
รถยนต์ซึ่งแต่ละคันมีอายุใช้งาน ไม่ต่ำกว่า 15 ปี แต่ก็ตะบี้ตะบันเปลี่ยนแบบเปลี่ยนรุ่นผลิตออกมาทุกปี ปีละหลายรุ่น สินค้าอื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน กว่าร้อยละ 60 ของสินค้าที่มีอยู่ในตลาดไม่มีความจำเป็นในชีวิตประจำวัน หรือมีมากรุ่น มากประเภท มากสไตล์เกินไป ทั้งๆ ที่รุ่นเก่าก็ยังใช้ได้ ก่อให้เกิดปัญหาขยะพิษ ขยะนิวเคลียร์ และขยะอุตสาหกรรมล้นโลก
หลุมฝังศพตนเองที่ระบบทุนนิยมขุดลงไปเพื่อฝังตนเองได้สร้างปรากฏการณ์ที่นำไปสู่ความหายนะของมนุษยชาติมีดังต่อไปนี้
ในด้านการผลิต
ภาคอุตสาหกรรมใช้พลังงานมากถึง ร้อยละ 37 ของพลังงานทั้งหมด ภาคครัวเรือนใช้เพียงร้อยละ 11 สหรัฐอเมริกามีประชากรคิดเป็นร้อยละ 4 ของโลก แต่เป็นผู้ใช้พลังงานถึงร้อยละ 25 ของโลก และบริโภคร้อยละ 22 ของผลผลิตในโลก รายงานของ UNDP ระบุว่า ร้อยละ 20 ของประชากรในประเทศที่พัฒนาแล้วบริโภคผลผลิตร้อยละ 86 ของโลก ส่วนร้อยละ 20 ของประชากรในประเทศยากจนที่สุดบริโภคเพียงร้อยละ 1.3 ของโลก
ประเทศที่รวยที่สุด 5 ประเทศบริโภคเนื้อและปลาร้อยละ 45 ของโลก ประเทศยากจนที่สุดบริโภคเพียงร้อยละ 5 (ป่าอเมซอนถูกถางเพื่อทำทุ่งเลี้ยงวัวส่งเนื้อให้ร้านแฮมเบอร์เกอร์)
ประเทศที่รวยที่สุด 5 ประเทศบริโภคร้อยละ 58 ของพลังงานในโลก ประเทศ ที่ยากจนที่สุดบริโภคเพียงร้อยละ 1.5
ประเทศที่รวยที่สุด 5 ประเทศใช้กระดาษร้อยละ 84 ในโลก ประเทศที่ยากจนที่สุดบริโภคเพียงร้อยละ 1.1
ประเทศที่รวยที่สุด 5 ประเทศ ใช้บริการเครื่องบิน เรือโดยสาร และรถยนต์คิดเป็นร้อยละ 87 ของโลก ประเทศที่ยากจนที่สุดใช้เพียงร้อยละ 1
เราจึงเห็นบางบ้านมีรถยนต์ บ้านละ 3-4 คัน โดยเฉพาะในอเมริกา มีทีวีทุกห้อง มีตู้เย็น 2-3 ตู้ ในแต่ละบ้าน มีการพิมพ์หนังสือ แมกาซีน แผ่นพับโฆษณาที่แจก ทิ้งขว้างกลายเป็นขยะ หนังสือและแมกาซีนและสิ่งพิมพ์ร้อยละ 90 ไร้สาระ ไม่เป็น ประโยชน์ ไม่เหมาะต่อการอ่าน และไม่สมควรจะพิมพ์ออกมา
สินค้าในห้างและในตลาดกว่าร้อยละ 70 ไม่จำเป็นสำหรับชีวิตประจำวัน ทรัพยากรธรรมชาติและน้ำมันจึงหมดไปเพราะถูกถลุงใช้ไปอย่างไม่จำเป็น แต่ผลิตออกมาเพื่อการค้ากำไรของคน บางกลุ่มและกระตุ้นสร้างความต้องการเทียมขึ้นมาให้ซื้อให้บริโภค
ทรัพยากรและอาหารในประเทศกำลังพัฒนาถูกแนวคิดพิษเรื่องการพัฒนาและเติบโตด้วยการส่งออกถลุงทรัพยากรและเอาเปรียบแรงงานเพื่อลดต้นทุน แล้วส่งไปให้ประเทศที่พัฒนาแล้วบริโภคตามสถิติ ข้างต้น ทำให้เกิดความขาดแคลนภายในประเทศ คุณภาพชีวิตประชาชนลดลง ช่องว่างทางเศรษฐกิจและสังคมกว้าง มากขึ้น และเกิดปัญหายาเสพย์ติดและ โจรผู้ร้ายเต็มบ้าน ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินไม่มี
ในด้านการเงิน
เงินหรือทุนซึ่งถูกสมมติขึ้นมาเพื่อเป็นสื่อในการแลกเปลี่ยนได้กลายพันธุ์เป็นสินค้าอีกตัวหนึ่ง แทนหน้าที่เดิมที่ใช้เป็นมาตรฐานสำหรับแลกเปลี่ยนสินค้า เงินตรากลายเป็นสินค้าซื้อขายเก็งกำไรในตลาดซื้อขายเงินที่มีการเปลี่ยนมือมากที่สุดในแต่ละวัน โนม ชอมสกี้ ได้ชี้ว่า ก่อนที่อเมริกาจะละทิ้งการเป็นนายธนาคารโลก การลงทุนในโลกร้อยละ 90 เป็นเรื่องการค้าและ การลงทุนทางตรงในกิจการหรือโรงงาน และร้อยละ 10 เป็นเงินลงทุนระยะสั้นในด้านการเก็งกำไร
แต่ในทศวรรษ 1990 ตัวเลขเป็นตรงกันข้าม คือร้อยละ 95 ของเงินที่ถ่ายเท โยกย้ายในทุกตลาดเงินและตลาดทุนเป็นเงินเก็งกำไรระยะสั้นที่ไหลเข้าออกจากแต่ละประเทศภายในเวลา 1 อาทิตย์ ทำให้เศรษฐกิจของแต่ละประเทศปั่นป่วนไม่มั่นคง และวางแผนเศรษฐกิจระยะยาวไม่ได้
ในปี 2005 คาดกันว่าตัวเลขการค้าเก็งกำไรในตลาดทุนสูงถึง 2 ล้านล้านเหรียญต่อวัน หรือ 700 ล้านล้านเหรียญต่อปี ในขณะที่ตัวเลขรวมของการค้าโลก มีตัวเลขประมาณ 27 ล้านล้านเหรียญ และจีดีพีโลกเท่ากับ 48.5 ล้านล้านเหรียญต่อปี
ตัวเลขล่าสุดในรายงานประจำปีของธนาคารโลก 2007 ตัวเลขการค้าระหว่างประเทศมียอดเงินคิดเป็นแค่เพียงร้อยละ 2 ของการเคลื่อนย้ายเงินตราระหว่างประเทศในแต่ละวันในโลกนี้ ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าการครอบโลกด้านการเงิน (globali zation of finance) ไม่ได้เสริมหรือช่วยอำนวยความสะดวกให้กับการค้าระหว่างประเทศอีกต่อไป แต่ดำรงอยู่ด้วยตนเอง
ในยุคนี้การเคลื่อนย้ายเงินตราระหว่างประเทศแทบจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการลงทุนด้านภาคการผลิตที่แท้จริงหรืออุตสาหกรรมเลย การเคลื่อนย้ายเงินเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นการเคลื่อนย้ายระยะสั้นในตลาดหลักทรัพย์ หรือการทำธุรกรรม ระยะสั้น (portfolio investment) เพื่อการ เก็งกำไรอย่างรวดเร็วทันควัน และสามารถเคลื่อนย้ายออกด้วยความเร็วเท่าๆ กับที่เคลื่อนย้ายเข้ามา
เงินตราไม่ได้ใช้สำหรับการเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้าตามหน้าที่ดั้งเดิมของมันเสียแล้ว แต่ถูกใช้ในการสร้าง ความปั่นป่วนด้วยการเก็งกำไรในวัตถุดิบ พลังงาน และอาหารของโลก ทำให้เศรษฐกิจโลกขาดเสถียรภาพและความแน่นอน ราคาอาหาร ราคาน้ำมันขึ้นลงไม่ใช่เพราะกลไกตลาด แต่เกิดจากการ เก็งกำไรในตลาดซื้อขายตั๋วสัญญาซื้อขายของสินค้าเหล่านี้ (ตลาดอนุพันธ์ ตลาดหุ้น ตลาดเงิน) วิกฤติปัญหาซับไพรมในอเมริกาซึ่งลามไปทั่วโลกในขณะนี้คือตัวอย่างหรือปรากฏการณ์ที่มายืนยันข้อความข้างต้น
ในด้านการบริโภค
ประชาชนถูกสื่อโฆษณาให้บริโภค บริโภค และบริโภคอย่างไร้สติยั้งคิด ซื้อทุกอย่างที่ขวางหน้าโดยการสร้างความต้องการเทียมขึ้นมา (fault demand) ในอเมริกาเด็กเกือบทุกบ้านมีของเล่น กองเป็นภูเขาท่วมห้อง มีของใช้ส่วนเกินที่เด็กในประเทศยากจนไม่เคยคิดเคยฝัน จะได้เห็นหรือได้ใช้
เสื้อผ้าที่มีอายุการใช้งานเป็นปี แต่ถูกใช้เพียงครั้งหรือสองครั้งก็เลิกใช้ แล้วกองเป็นขยะอยู่ในตู้
เด็กถูกกระตุ้นให้กินอาหาร อาหารเสริม และขนมขยะ (กรอบแกรบ เช่น มันทอด) แทนอาหารและขนมสดที่ผลิตตามกระบวนการธรรมชาติ เด็กโดยเฉพาะในบ้านเราแทนที่พ่อแม่จะทำอาหารที่มีคุณภาพใส่กล่องอาหารกลางวันให้ลูกไปกินที่โรงเรียน กลายเป็นเรื่องน่าอาย แต่ปล่อยให้เด็กไปซื้ออาหารขยะกิน เช่น พวก ไส้กรอกสีแจ๊ดที่เต็มไปสารดินประสิวและสารกันบูดที่ทำลายความเจริญเติบโตของมันสมอง
ในด้านกรอบคิดการบริหารจัดการ
นักบริหาร เจ้าของโรงงานและ นักเศรษฐศาสตร์ถูกล้างสมองด้วยทฤษฎีพิษที่มีส่วนทำลายโลกและเป็นการขุดหลุมฝังศพให้กับตนเอง คือการผลิตเพื่อการเติบโต จีดีพีต้องเพิ่มทุกปี เพื่อกำไรสูงสุด เพื่อกำไรมากที่สุด เพื่อส่งออกให้ได้มากที่สุด มิใช่การผลิตเพื่อสนองตอบความต้องการบริโภคของสังคมและชุมชน ทั้งนี้เพราะว่าทรัพยากรในโลกมีไม่เพียงพอจะมารองรับจีดีพีที่เพิ่มทุกปีในทุกประเทศ
ทฤษฎีบริหารล้วนสอนกลยุทธ์เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เพิ่มการขาย กระตุ้นการบริโภค กระตุ้นการแข่งขัน กระตุ้นการส่งออกซึ่งล้วนเป็นการถลุงทรัพยากรอย่างไร้ความจำเป็นและฟุ่มเฟือย จนทำให้เกิดภาวะขาดแคลนภายในประเทศ เร่งภาวะโลกร้อน มาตรการกีดกันการค้าในทุกรูปแบบ และการมีอำนาจเหนือตลาดถูกนำมาใช้เพื่อการเอาเปรียบทางการค้า ทำให้ผู้ผลิตในประเทศกำลังพัฒนายิ่ง ส่งออกยิ่งเป็นหนี้
ภัยพิบัติธรรมชาติ
พายุไซโคลน พายุทอร์นาโด สึนามิ น้ำท่วม ภัยแล้ง ป่าหมด อุณหภูมิน้ำทะเลสูงขึ้น ภูเขาน้ำแข็งขั้วโลกละลาย ระดับ น้ำทะเลสูงขึ้น น้ำมันราคาแพงและกำลังจะหมดโลก เป็นผลพวงจาก "หลุมฝังศพของระบบทุนนิยม" ข้างต้น
ทั้งหมดนี้คือ "หลุมฝังศพของระบบทุนนิยม" หรือทางตันของระบบทุนนิยม เพราะเหตุว่าบรรษัทแต่ละประเทศ ไม่สามารถลดการผลิตของตนลงเพื่อแก้ปัญหาโลกร้อน น้ำมันขาดแคลนและกำลังจะหมดโลก
ทั้งนี้เพราะว่าหากลดการผลิตลง ก็หมายความว่า จะต้องปลดคนงานขนานใหญ่ ซึ่งจะสร้างปัญหาสังคมตามมาอย่างขนานใหญ่ การปลดคนงานหมายถึงการ ลดลงของการบริโภค เมื่อการบริโภคลด การผลิตก็ต้องลด และการปลดคนงานก็ต้องมากขึ้น การบริโภคและการผลิตก็ต้องลดลงตาม ปัญหาโจรผู้ร้ายและยาเสพย์ติดที่เกิดจากความเครียดจะตามมา กลายเป็นวัฏจักรชั่วร้ายที่หมุนเวียนอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
เรือโนอาร์
คำถามที่ท้าทายมนุษยชาติในวันนี้คือ จะร่วมกันสร้างเรือโนอาร์มากอบกู้มนุษยชาติ หรือจะรอสวรรค์ส่งเรือ โนอาร์มาช่วยชีวิตโดยไม่คิดทำอะไรเลย ในด้านการลดการบริโภค ลดการกระตุ้นการบริโภค ลดการผลิต ให้อยู่ในระดับพอดีและจำเป็น โดยการปันส่วนการบริโภคกันอย่างยุติธรรมระหว่างประเทศที่พัฒนาแล้วกับประเทศที่กำลังพัฒนา และในระหว่างคนมั่งมีกับคนไม่มีในแต่ละประเทศ
จาก : ประชาชาติธุรกิจ คอลัมน์ เดินคนละฟาก โดย กมล กมลตระกูล วันที่ 19 พฤษภาคม 2551
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
สายน้ำ
|
|
« ตอบ #229 เมื่อ: พฤษภาคม 21, 2008, 11:29:41 PM » |
|
มรสุม! โลกร้อน 4 เดือน ไทยลุ้นพายุ
สภาวะโลกร้อน...ไม่ใช่ปัญหาของคนหนึ่งคนใด แต่เป็นปัญหาใหญ่ ของคนทั้งโลกที่ต้องร่วมกันรับผิดชอบ
มหันตภัยต่างๆก่อความเสียหายมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในหลายพื้นที่ แผ่นดินไหว น้ำท่วม พายุและอีกหลายๆปัจจัย...ทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกที
ดร.สมิทธ ธรรมสโรช ประธานอำนวยการศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ บอกว่า ขณะนี้โลกเรากำลังเผชิญกับธรรมชาติที่มีความผิดปกติจนเห็นได้ชัด ทั้งเรื่องความรุนแรงที่มีผลต่อทรัพย์สินผู้คนจำนวนมาก
เห็นได้จากภัยพิบัติที่เกิดขึ้นถี่...ในหลายประเทศ
นักวิชาการส่วนใหญ่ ระบุว่า สาเหตุการเกิดภัยธรรมชาติที่ผิดปกตินี้ มีผล มาจาก สภาวะโลกร้อน
ที่เห็นได้ชัด...พายุนาร์กีส ประเทศพม่า ก่อตัวในมหาสมุทรที่มีอุณหภูมิสูงพอ แต่กับการเกิดแผ่นดินไหวในทางวิชาการถือว่าเป็นเรื่องของธรรมชาติ
ท่ามกลางมรสุมสภาวะโลกร้อน...ประเทศไทยมีอัตราเสี่ยงเกิดพายุเกิดขึ้นได้ทุกปี ขึ้นอยู่กับว่า...ปีไหนจะมากจะน้อย แต่...สำหรับปีนี้อัตราเสี่ยงมีมาก โดยเฉพาะเดือนกรกฎาคม สิงหาคม กันยายน ตุลาคม
สี่เดือนนี้...มรสุมจะก่อตัวจากมหาสมุทรแปซิฟิกเข้ามาทางอ่าวไทย มีร่อง มรสุมพัดผ่านภาคใต้ตอนบน ภาคกลางจนถึงภาคเหนือ มีผลกระทบกับชุมชนใหญ่ ...เมืองใหญ่
ดร.สมิทธ บอกว่า ขณะนี้เรายังไม่สามารถคำนวณได้ว่าความรุนแรงจะมากน้อยแค่ไหน จะเท่าพายุนาร์กีสหรือไม่...อาจน้อยหรือมากกว่า เราต้องรอให้พายุที่จะเกิดขึ้นก่อตัวและเคลื่อนตัวก่อน ถึงจะคำนวณได้จากทิศทาง เส้นผ่าศูนย์กลาง และแรงลมได้
การก่อตัวพายุกลางทะเล จะคะเนล่วงหน้าได้ 3-5 วัน หากจะให้คาดการณ์ ว่า พายุลูกต่อไปจะเกิดความรุนแรงมากเท่าไหร่ อันตรายแค่ไหน ไม่มีหลักวิทยาศาสตร์ตอบได้
ประเด็นสำคัญ สภาวะโลกร้อนจะทำให้เกิดพายุที่มีความรุนแรงมากขึ้น และบ่อยครั้งขึ้น
การเลื่อนตัวของแนวร่องความกดอากาศต่ำ ทำให้ปริมาณฝนในบางพื้นที่ ตลอดจนตำแหน่งพายุเปลี่ยนแปลง คลื่นความร้อน ความแห้งแล้งจะทวีความรุนแรงและเกิดบ่อยขึ้น
อีกข้อที่น่ากังวล...ผลกระทบจากโลกร้อน จากที่มีการศึกษาและหาก เป็นจริง พบว่า อีก 50 ปีข้างหน้า โลกจะร้อนขึ้นอีก 2-6 องศา ผลที่ตามมาคือระดับน้ำทะเลสูงขึ้นหลายฟุต เนื่องจากน้ำแข็งขั้วโลกละลาย
กระทบไปถึงปัญหาการพังทลายของแนวชายฝั่ง เมื่อมีพายุรุนแรงการสูญเสียตามแนวชายฝั่ง แนวชายหาด ที่ลุ่มน้ำขัง อุตสาหกรรมตามแนวชายฝั่งก็กระทบไปหมด
น้ำเค็มแพร่เข้าถึงพื้นดิน ซึมสู่แหล่งน้ำจืด...เกิดปัญหากับน้ำบริโภค ระบบนิเวศแนวชายฝั่งทะเลก็เสียหาย
แหล่งการเกษตร การประมงจะเปลี่ยนแปลง เช่น ผลผลิตการเกษตร ประเทศแคนาดาและสหภาพโซเวียตอาจเพิ่มขึ้น ขณะที่ผลผลิตของสหรัฐอเมริกาลดลง
การลดลงของก๊าซโอโซนในบรรยากาศชั้นสตราโดสเฟียร์ มีผลต่อเนื่อง ถึงสุขภาพของมนุษย์ขาดโภชนาการต่อเนื่อง ทำให้เกิดโรคต่างๆ เกิดโรคพืช โรคสัตว์
จับตาโลกร้อน...อุณหภูมิสูงขึ้น 2-6 องศา ประเทศไทยได้รับผลกระทบ โดยตรงจากระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นทุกวัน...คำนวณแล้วไม่เกิน 10 ปี กรุงเทพฯจะกลายเป็นเมืองใต้บาดาลอย่างถาวร
เรื่องนี้ผมพูดมานานแล้ว ทุกวันนี้รู้สึกท้อ เพราะหลายครั้งที่ผ่านมา ผมและนักวิชาการคนอื่นพูด วิเคราะห์สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต...ไม่เห็นจะมีผลอะไร
ดร.สมิทธ ย้ำว่า แทนที่จะเอาสิ่งวิเคราะห์ไปตั้งคณะกรรมการศึกษา สิ่งที่เป็นไปได้และเป็นไปไม่ได้ หาแนวทางป้องกันได้ทันเวลา กลับนิ่งเฉย...ไม่ทำอะไร
ที่เกิดขึ้นแล้วที่...บ้านขุนสมุทรจีน ตำบลแหลมฟ้าผ่า อำเภอพระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ หมู่บ้านเก่าแก่อายุกว่า 500 ปี ตั้งอยู่บนแหลมขนาดเล็กยื่นออกไปในทะเล
ในอดีตบริเวณนี้ เป็นแหล่งขนถ่ายสินค้าจากเรือสำเภาจีนที่สำคัญ มีการขุดพบเงินพดด้วง ไห ถ้วย ชามกระเบื้องจำนวนมาก นักโบราณคดีสำรวจพบว่า มีอายุอยู่ในช่วงเดียวกับวัตถุโบราณที่ขุดพบได้ในชุมชนยี่สาร จังหวัดสมุทรสงคราม ...ราวต้นพุทธศตวรรษที่ 20
ปัจจุบันทะเลได้กลืนกินผืนแผ่นดินในอดีตไปแล้ว คนในหมู่บ้านต้องอพยพหนีไปอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียง หรือย้ายไปอยู่ที่อื่น
พื้นที่หมู่ 8...9...10...11 บ้านขุนสมุทรจีน ประสบปัญหาการพังทลายของชายฝั่งทะเลบริเวณด้านอ่าวไทยมาเป็นเวลาร่วม 20 ปี
เฉพาะหมู่ 9 วันนี้...มีเนื้อที่เหลือไม่ถึง 10 ตารางกิโลเมตร
ข้อมูลจาก รศ.ดร.ธนวัฒน์ จารุพงษ์สกุล หน่วยศึกษาพิบัติภัยและข้อสนเทศเชิงพื้นที่ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประเทศไทยมีแนวชายฝั่งทะเล 2,667 กิโลเมตร การกัดเซาะชายฝั่งทะเล เกิดขึ้นในทุกจังหวัดชายฝั่งทะเลทั้งด้านอ่าวไทย...อันดามัน
ช่วง 30 ปีที่ผ่านมา...ชายฝั่งทะเลด้านอ่าวไทยที่พบการกัดเซาะขั้นรุนแรง 180.9 กิโลเมตร คิดเป็นพื้นที่ถูกน้ำทะเลกัดเซาะ 56,531 ไร่...การถูกกัดเซาะขั้นปานกลาง 304.1 กิโลเมตร คิดเป็นพื้นที่ 38,012 ไร่
ชายฝั่งทะเลด้านอันดามัน พบการกัดเซาะชายฝั่งทะเล ขั้นรุนแรง 23 กิโลเมตร คิดเป็นพื้นที่ 7,187 ไร่...การกัดเซาะขั้นปานกลาง 90.5 กิโลเมตร คิดเป็นพื้นที่ 11,312 ไร่
รวมกันแล้ว ชายฝั่งทั่วประเทศถูกกัดเซาะทั้งสิ้น 113,042 ไร่ ครอบคลุมชายฝั่งทะเลยาว 599 กิโลเมตร หรือคิดเป็นร้อยละ 21 ของชายฝั่งทะเลทั้งหมด
รศ.ดร.ธนวัฒน์ บอกว่า หากไม่มีมาตรการใดๆในการแก้ไขปัญหา...อีก 20 ปีข้างหน้า พื้นที่ชายฝั่งทะเลกรุงเทพมหานครและจังหวัดใกล้เคียงจะถูกกัดเซาะหายไปอีก 1.3 กิโลเมตร คิดเป็นพื้นที่ 47,875 ไร่
ถ้าเป็นอย่างนี้แล้ว...คนไทยควรจะทำอย่างไร?
ก็ทำตัวปกติ...อย่าวิตกกังวลมากไป ดร.สมิทธ ว่า ติดตามข่าวสารที่มีการเตือน ศึกษาวิธีป้องกันไว้บ้าง
สิ่งสำคัญมากกว่า คือเรารู้แล้วว่า...สภาวะโลกร้อน ทำให้อุณหภูมิโลกร้อนขึ้น สูงขึ้นเพียง 1 องศาเซลเซียส ก็จะทำให้เกิดภัยธรรมชาติที่รุนแรง บ่อยครั้งขึ้น
นี่คือบทเรียนที่มนุษย์จะต้องเรียนรู้ หยุดทำลายสิ่งแวดล้อม ด้วยการ ไม่ปล่อยมลพิษสู่ชั้นบรรยากาศ
สภาวะโลกร้อน...ไม่ใช่เรื่องไกลตัวคนไทย หากเห็นความสำคัญ บริษัท อินเตอร์ เนชั่นเนิลเอนจิเนียริง จำกัด (มหาชน) ร่วมกับบริษัทจงหัว เทเลคอม (CHT) ขอเชิญ ไปร่วมฟังบรรยายพิเศษ Energy Efficiency and Green Environment Forum
การประหยัดพลังงาน...ลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์...เพื่อสิ่งแวดล้อม ภายใต้หัวข้อเรื่อง Global Warming and Energy Saving Innovation
งานนี้จัดขึ้นวันที่ 23 พฤษภาคม 2551 เวลา 09.30-14.00 น. ณ โรงแรม โฟร์ซีซั่นส์ กรุงเทพฯ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 0-2736-3535 ต่อ 3209
ไฮไลต์สำคัญ...ที่พลาดไม่ได้ ดร.ไมเคิล โนเบล ทายาทรุ่นที่ 4 ผู้ก่อตั้งรางวัลโนเบล ร่วมบรรยายพิเศษ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ในช่วงระยะเวลาหลายปี ที่ให้ความสนใจกับการประหยัดพลังงาน การรักษาสิ่งแวดล้อม
โดยเฉพาะการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และการสร้าง Greener Environment
ปัจจุบัน ดร.ไมเคิล โนเบล ดำรงตำแหน่งประธานมูลนิธิ Nobel Charitable Trust และได้รับรางวัลอันทรงเกียรติจากการบำเพ็ญสาธารณประโยชน์มากมาย อาทิ เหรียญประดับเกียรติยศจากมูลนิธิยูเนสโก, รางวัลเกียรติยศมูลนิธิอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์, รางวัลคานธี, เหรียญอิสริยาภรณ์แกรนด์ ครอส
ปรากฏการณ์โลกร้อนเกิดจากการที่ก๊าซเรือนกระจก ลอยขึ้นไปสะสมตัวในชั้นบรรยากาศ ทำให้พลังงานความร้อนจากแสงอาทิตย์ที่ส่องทะลุผ่านชั้นบรรยากาศเข้ามา สะท้อนกลับออกไปนอกชั้นบรรยากาศได้น้อยลง
พลังงานความร้อนจากแสงอาทิตย์ถูกเก็บไว้ใต้ชั้นบรรยากาศมากขึ้น จนเป็นเหตุให้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้น
ปัญหาสิ่งแวดล้อม ผลกระทบจากโลกร้อน เป็นสิ่งที่คนไทยทุกคนต้อง ตระหนัก ร่วมกันหาวิธีป้องกัน แก้ไข...เพื่อให้โลกกลับมาสดใสดังเดิม.
จาก : ไทยรัฐ วันที่ 22 พฤษภาคม 2551
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
|
|
|
สายน้ำ
|
|
« ตอบ #233 เมื่อ: มิถุนายน 19, 2008, 01:05:35 AM » |
|
ร้อนจัดปะการังตาย ต้นเหตุปลาไร้ที่อยู่
อากาศของโลกที่เปลี่ยนแปลงไป ส่งผลกระทบต่อจำนวนปลาที่อาศัยอยู่ตามปะการัง
นายเจมส์ คุก จากศูนย์ศึกษาปะการัง ประเทศออสเตรเลีย กล่าวว่า "เมื่อปะการังตายเพราะน้ำทะเลร้อนขึ้น ปลาที่อยู่ตามปะการังก็ไม่มีที่อยู่อาศัย มีปลาประมาณ 4,000 สายพันธุ์ที่อยู่ตามปะการัง ทั้งยังเป็นแหล่งอาหารของประชาชนทั่วโลก"
ตามปกติแล้วเมื่อปลาวางไข่ ไข่ปลาจะลอยไปในทะเล เมื่อมันออกมาเป็นลูกปลา พวกลูกปลาก็จะว่ายน้ำกลับมายังปะการัง แต่เมื่อมันพบว่า ไม่มีปะการังอยู่แล้ว ลูกปลายังได้ผลกระทบจากน้ำทะเลที่ร้อนขึ้น มีสภาพเป็นกรดมากขึ้น วงจรการกำเนิดของปลาก็จะถูกทำลาย และมันอาจจะอพยพไปอยู่ยังปะการังที่เย็นกว่า
จาก : ข่าวสด วันที่ 19 มิถุนายน 2551
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
สายน้ำ
|
|
« ตอบ #234 เมื่อ: มิถุนายน 20, 2008, 12:27:14 AM » |
|
ทะเลน้ำแข็งขั้วโลกเหนือละลายเร็วขึ้น ช่วงนี้จะมีรายงานข่าวเกี่ยวกับภาวะโลกร้อนอยู่เรื่อยๆ เพราะมันเริ่มส่งผลกระทบให้เราได้รับรู้มากขึ้นกว่าแต่ก่อน ทำให้มีการรณรงค์ต่อต้านโลกร้อนมากขึ้น
ล่าสุดศูนย์ข้อมูลน้ำแข็งและหิมะแห่งชาติของสหรัฐ เปิดเผยข้อมูลแสดงให้เห็นว่า ปริมาณน้ำแข็งในขั้วโลกเหนือต้นปีนี้ ยังมีมากกว่าในช่วงต้นปีที่แล้ว แต่พอเข้าสู่หน้าร้อน น้ำแข็งก็จะละลายอย่างรวดเร็ว จนขั้วโลกเหนือในขณะนี้มีปริมาณน้ำแข็งน้อยลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
นักวิทยาศาสตร์ในสหรัฐระบุว่า แผ่นน้ำแข็งบางมากจนอาจละลายได้อย่างง่ายดาย และไม่แน่ว่าในอีก 5 ถึง 10 ปีข้างหน้า ขั้วโลกเหนืออาจไม่มีแผ่นน้ำแข็งเหลืออยู่เลยก็ได้ในช่วงหน้าร้อน
ทั้งนี้เมื่อไม่กี่ปีก่อน นักวิทยาศาสตร์จากหลายหน่วยงาน เคยคาดว่าในอีก 72 ปีข้างหน้า ขั้วโลกเหนืออาจไม่มีแผ่นน้ำแข็งเหลืออยู่ในช่วงหน้าร้อน แต่จากการตรวจสอบรูปแบบจำลองด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์พบว่า เหตุการณ์ดังกล่าวน่าจะเกิดเร็วขึ้นประมาณ 22 ถึง 42 ปี นับจากนี้
แต่ถึงกระนั้น หลายประเทศที่อยู่รายล้อมขั้วโลกเหนือ ทั้งแคนาดาและรัสเซีย ต่างมองว่า ถ้าแผ่นน้ำแข็งในขั้วโลกเหนือละลายจนหมด ก็จะทำให้พวกเขาเข้าไปสำรวจหาทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่นั้นได้ง่ายขึ้น ส่วนสหรัฐนั้นถ้าสภาคองเกรสอนุญาตให้ขุดเจาะน้ำมันนอกชายฝั่งได้ ก็ไม่แน่ว่าในวันหนึ่ง สหรัฐอาจบุกเข้าไปขุดหาทรัพยากรธรรมชาติ นอกชายฝั่งของรัฐอะแลสกาด้วยก็เป็นได้
จาก : แนวหน้า วันที่ 20 มิถุนายน 2551
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
|
|
สายน้ำ
|
|
« ตอบ #237 เมื่อ: กรกฎาคม 22, 2008, 01:32:57 AM » |
|
ผลกระทบจากภาวะโลกร้อนส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่รุนแรง
รายงานพิเศษ : ผลกระทบจากภาวะโลกร้อน ส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่รุนแรงในระยะเวลาสั้นๆ แต่ส่งผลกระทบที่รุนแรงต่อโลกและมวลมนุษย์
ภาวะโลกร้อนส่งผลกระทบต่อมวลมนุษยชาติทั่วโลก ดังที่ทราบถึงภัยธรรมชาติที่รุนแรงขึ้นในปัจจุบัน และเกิดบ่อยครั้ง ครั้งหนึ่งจะกินระยะเวลาสั้นๆ แต่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง ทำลายชีวิตและทรัพย์สินประชาชนจำนวนมาก ขณะที่ฤดูกาลได้แปรปรวน ไม่มีความชัดเจนในฤดูกาลอีกต่อไป ก่อนหน้านี้เคยมีนักวิชาการจากทั่วโลกออกมาแสดงความเห็นกรณีพายุไซโคลนนาร์กีส ว่าน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับภาวะโลกร้อนไม่ทางตรงก็ทางอ้อม
นางประเสริฐสุข จามรมาน ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ กล่าวว่า ข้อมูลดังกล่าวยังไม่เป็นข้อสรุปว่าพายุใหญ่ ๆ เช่น นาร์กีสและพายุอื่น ๆ ที่มีกำลังแรงเกิดจากผลกระทบจากภาวะโลกร้อนโดยตรง อย่างไรก็ตามปัจจุบันจะเห็นว่าเกิดปรากฏการณ์ทางธรรมชาติครั้งใหญ่ที่เรียกว่า Extreme Event อุบัติบ่อยครั้งในโลก โดยปรากฏการณ์ดังกล่าวจะเกิดในระยะเวลาสั้น ๆ แต่ส่งผลกระทบรุนแรง เช่น แผ่นดินไหว คลื่นยักษ์ พายุใหญ่ และฝนที่ตกอย่างรุนแรง
"คุณ รู้หรือไม่ว่า การทำลายป่าทำให้โลกร้อนขึ้น การเผาป่าจะทำให้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้นในชั้นบรรยากาศ เพิ่มความหนาของก๊าซเรือนกระจก ผืนป่าถูกทำลายทำให้อากาศร้อน แห้งแล้ง การเผาไหม้ทุกชนิดทำให้เกิดก๊าซเรือนกระจก การเผาขยะก่อให้เกิดก๊าซมีเทนที่รุนแรงกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 21 เท่า ขณะที่ประชากรโลกปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ประมาณ 4 ตันต่อปี ขณะที่คนทุกคนจะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เท่าน้ำหนักของตนทุกสัปดาห์"
เราทุกคนสามารถช่วยลดภาวะโลกร้อนได้ด้วยการลดการเดินทางโดยพาหนะที่ใช้น้ำมันในการขนส่ง ลดการเดินทางโดยเครื่องบิน เพราะเครื่องบินหนึ่งลำใช้เชื้อเพลิงเท่ากับรถที่แล่นไปแล้ว 50,000 กิโลเมตร ใช้กระดาษสองหน้า ไม่ใช้โฟมหรือพลาสติก เปลี่ยนไปใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าประหยัดพลังงาน ไม่เผาขยะ ใบไม้ ใช้ถุงผ้าแทนถุงกระดาษ เป็นต้น เพียงง่าย ๆ คนละไม้ละมือ ก็จะสามารถช่วยลดภาวะโลกร้อนได้ไม่มากก็น้อย
จาก : สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์ วันที่ 20 กรกฎาคม 2551
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
|
สายชล
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
ออฟไลน์
กระทู้: 8186
Saaychol
|
|
« ตอบ #239 เมื่อ: กรกฎาคม 24, 2008, 06:34:36 AM » |
|
X-cite ไทยโพสต์
7 อุปนิสัยช่วยหยุดโลกร้อน
ช่วงเทศกาลสงกรานต์อย่างนี้ จะบอกว่าโลกหายร้อนแน่นอนในบ้านเรา เพราะไปที่ไหนก็มีคนสาดน้ำเย็นฉ่ำทั่วหล้า ก็คงจะปฏิเสธได้ยาก
แต่ในอีกด้านหนึ่งการใช้พลังงานธรรมชาติเปลืองเท่าไร มันก็ส่งผลกระทบต่อโลกใบนี้มากเท่านั้น..จริงไหมคะ
วันนี้เมล์ส่งต่อ จึงไม่ผิดอะไรหรอกค่ะที่จะมีการแนะอุปนิสัยที่จะช่วยหยุดโลกร้อน เรามาดูกัน หรือว่างจากถือขันน้ำเล่นสงกรานต์ ก็ยังไม่สายเกินไปที่จะเริ่มต้นค่ะ
1.Rethink ความเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้น ก็ต่อเมื่อเรามีความคิดที่จะเปลี่ยนแปลงด้วยตนเอง กระแสการรณรงค์เรื่องโลกร้อนจะไม่เกิดผลสำเร็จใดๆ หากทุกคนที่ได้รับฟังข้อมูลไม่ตระหนักว่าตนเองต้องเปลี่ยนแปลง การรอคอยให้ผู้อื่นทำไปก่อนแล้วเราจึงค่อยคิดจะทำนั้น จะทำให้ท่านได้รับการดูแลจากธรรมชาติเป็นคนท้ายๆ โลกได้ส่งสัญญาณดังขึ้นเรื่อยๆ จากเหตุการณ์แผ่นดินไหว น้ำท่วม ลมพายุ และอุณหภูมิที่แปรปรวนอย่างชนิดที่ไม่เคยมีมาก่อน เราอาจเป็นหนึ่งในผู้เคราะห์ร้ายจากสึนามิเพราะแผ่นดินไหว เครื่องบินตกเพราะฝนกระหน่ำ ป้ายล้มทับเพราะลมพายุ หรือถูกไฟดูดเพราะน้ำท่วม
2.Reduce โลกร้อน เพราะเราเผาผลาญทรัพยากรเกินขีดจำกัดที่ธรรมชาติจะหมุนเวียนได้ทัน โลกบูด เพราะเราบริโภคเกินจนเกิดขยะและของเสียที่ไม่สามารถย่อยสลายตามธรรมชาติได้ทัน ไม่มีใครปฏิเสธว่า เราทุกคนต้องการอยู่ในโลกที่เย็นและโลกที่หอม ฉะนั้นจงช่วยกันลดการใช้ทรัพยากรให้เหลือแต่เท่าที่จำเป็น ช่วยกันลดการบริโภคเพื่อไม่ให้เกิดขยะและของเสียจำนวนมากอย่างที่เป็นอยู่ ลดการใช้บรรจุภัณฑ์ที่ต้องใช้เวลาชั่วอายุคนในการย่อยสลาย เช่น ขวดพลาสติก ถุงพลาสติก กล่องโฟม ฯลฯ
ลดการบริโภคเนื้อสัตว์โดยหันมาบริโภคพืชผักผลไม้ทดแทน เพื่อลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในห่วงโซ่อาหาร ลดการใช้กระดาษในสำนักงาน ลดการพิมพ์หนังสือพิมพ์ นิตยสาร จดหมายข่าว หรือสิ่งพิมพ์ที่เป็นรายงวดประจำให้พอเหมาะพอดีกับจำนวนผู้อ่าน โดยไม่ต้องอิงกับยอดของการทำให้แพร่หลาย (circulation) รวมทั้งลดการซื้อผลิตภัณฑ์ซึ่งใช้สารเคมีที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม
3.Reuse สำรวจของที่ซื้อมาแล้วเพิ่งใช้เพียงหนเดียวว่า สามารถใช้ประโยชน์ซ้ำได้หรือไม่ ก่อนที่จะซื้อใหม่ เช่น เครื่องแต่งกาย รองเท้า กระเป๋า กระดาษ ภาชนะใส่ของ ฯลฯ การใช้บรรจุภัณฑ์ซ้ำ เช่น ถุงหิ้วพลาสติก กล่องใส่ของ ฯลฯ หรือหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์หรือบรรจุภัณฑ์ชนิดใช้ครั้งเดียวทิ้ง (disposables) เช่น การใช้ถุงผ้าแทนถุงพลาสติก การใช้ผ้าเช็ดโต๊ะแทนกระดาษชำระ การใช้ขวดน้ำยาล้างสุขภัณฑ์ชนิดเติมซ้ำได้ (refillable)
4.Recycle เป็นการนำวัสดุที่หมดสภาพหรือที่ใช้แล้วมาปรับสภาพเพื่อนำมาใช้ใหม่ เริ่มจากการสนับสนุนผลิตภัณฑ์ที่ทำจากวัสดุรีไซเคิล เช่น กระดาษ พลาสติก แก้ว โลหะ ฯลฯ การลงมือปรับแต่งของใช้แล้วในบ้านให้เกิดประโยชน์ใหม่ เช่น การเก็บกรองน้ำชะล้างมารดน้ำต้นไม้ การนำของขวัญที่ได้รับในเทศกาลต่างๆ มาตกแต่งเพื่อใช้เป็นของขวัญแก่ผู้อื่นต่อ (recycled gift) โดยมีกิตติกรรมประกาศแก่ผู้ให้เดิมเป็นทอดๆ ฯลฯ
การคัดแยกขยะหรือวัสดุเหลือใช้ที่ไม่สามารถรีไซเคิลได้เองมอบให้แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นกิจวัตร เช่น ขวดพลาสติก กระป๋องน้ำอัดลม กระดาษหนังสือพิมพ์ นิตยสารเก่า แผ่นซีดีชำรุด แบตเตอรี่มือถือ คอมพิวเตอร์ ฯลฯ และหากพบว่ามีสิ่งของหลายอย่างที่ซื้อมาแล้วไม่ได้ใช้งานอีกเลย ก็ควรนำไปบริจาคให้แก่ผู้ที่ใช้ประโยชน์ได้ผ่านหน่วยรับบริจาคต่างๆ เช่น วัดสวนแก้ว หรือประกาศผ่าน freecycle.org (bangkok) ดีกว่าทิ้งให้เสื่อมโทรมหรือเก็บไว้เฉยๆ โดยเปล่าประโยชน์
5.Repair ของหลายอย่างสามารถซ่อมแซมแล้วนำกลับมาใช้ใหม่ได้ดังเดิม แต่ผู้บริโภคกลับได้รับการปลูกฝังค่านิยมให้ต้องเปลี่ยนหรือซื้อของใหม่ใช้อยู่ตลอด ด้วยเหตุที่ผู้ผลิตต้องการรักษาตัวเลขยอดขายสินค้าและชิ้นส่วนให้ได้มากที่สุด จนทำให้ค่าบริการหรือค่าซ่อมแพงกว่าการซื้อของใหม่ใช้ ฉะนั้น วิธีการแรก คือ พยายามใช้ของให้ถูกวิธีเพื่อยืดอายุการใช้งานและหลีกเลี่ยงการชำรุดเสียหายก่อนเวลาอันควร หากสิ่งของใดมีกำหนดเวลาที่ต้องบำรุงรักษา หมั่นตรวจสอบและปฏิบัติตามตารางการบำรุงรักษานั้นๆ เช่น รถยนต์ เครื่องปรับอากาศ ฯลฯ
6.Refuse การปฏิเสธเป็นช่องทางหนึ่งที่ช่วยอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่อย่างจำกัดไม่ให้ถูกนำมาใช้หรือถูกทำลายเร็วขึ้น ทั้งนี้ เพื่อให้เวลาธรรมชาติในการฟื้นสภาพตัวเองตามระบบนิเวศ โดยเริ่มจากสิ่งเล็กน้อยนอกตัว เช่น ปฏิเสธการใช้สินค้าที่เป็นต้นเหตุในการฆ่าชีวิตสัตว์หรือทำลายสิ่งแวดล้อม บอกเลิกรับจดหมายนำเสนอขายสินค้าที่ในชีวิตนี้จะไม่ซื้อแน่ๆ เรื่อยมาถึงสิ่งที่เราต้องเติมใส่ร่างกาย เช่น ปฏิเสธการบริโภคอาหารที่ต้องเดินทางมาจากแดนไกล เพราะระหว่างกระบวนการเก็บรักษาและการขนส่งอาหารในแต่ละเที่ยวจะไปเพิ่มก๊าซเรือนกระจกที่เป็นต้นเหตุหลักของภาวะโลกร้อน
7.Return หน้าที่หนึ่งของมนุษย์ในฐานะผู้อาศัยโลกเป็นที่พักพิง คือการตอบแทนคืนแก่โลก ใครใช้ทรัพยากรจากธรรมชาติประเภทใดเยอะ ก็ต้องคืนทรัพยากรประเภทนั้นกลับให้มากๆ โดยเฉพาะนักธุรกิจ นักอุตสาหกรรม ที่มีเครื่องขยายพิสัยโดยใช้บริษัทเป็นเครื่องมือในการทำ "กำไร" จากการแปลงทรัพยากรและวัตถุดิบต่างๆ ให้เป็นสินค้าและบริการคราวละมากๆ โปรดอย่าลืมว่าท่านกำลังใช้บริษัทเป็นเครื่องมือในการทำ "กรรม" และได้ขยายพิสัยของกรรมในขณะเดียวกัน ยิ่งเป็นมหาเศรษฐีมีกำไรสะสมมากเท่าใด ก็ยิ่งต้องตอบแทนคืนแก่โลกแก่สังคมมากเท่านั้น.
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
Saaychol
|
|
|
|