SaveOurSea.NET

SaveOurSea.NET (http://www.saveoursea.net/forums/index.php)
-   สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม (http://www.saveoursea.net/forums/forumdisplay.php?f=13)
-   -   สถานการณ์ปะการังฟอกขาว ปี 2553-2554 (http://www.saveoursea.net/forums/showthread.php?t=1337)

สายน้ำ 22-01-2011 13:41

อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะชุมพร

http://i835.photobucket.com/albums/z...4_Chumphon.jpg

สายน้ำ 22-01-2011 13:42

อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี

http://i835.photobucket.com/albums/z...05_Phi-Phi.jpg

สายน้ำ 22-01-2011 13:43

อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์

http://i835.photobucket.com/albums/z...g/06_Surin.jpg

สายน้ำ 22-01-2011 13:44

อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน

http://i835.photobucket.com/albums/z...07_Similan.jpg

สายน้ำ 23-01-2011 07:53


ผลการศึกษาสถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเลฯ ย้ำกิจกรรมมนุษย์เพิ่มวิกฤติปะการังฟอกขาว


เหตุการณ์ปะการังฟอกขาวที่รุนแรงสุดในปีที่ผ่านมาทั้งพื้นที่ฝั่งอ่าวไทยและ อันดามัน แต่อ่าวไทยได้รับผลกระทบรุนแรงสุดเป็นวงกว้างเกินร้อยละ 80 ของพื้นที่ เพื่อเป็นการศึกษาเรียนรู้จากปรากฏการณ์ในครั้งนี้ กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช จึงมีประกาศงดกิจกรรมดำน้ำในเขตที่เกิดปรากฎการณ์ เพื่อให้ปะการังได้ฟื้นตัวทั้งหมด 7 แห่ง ได้แก่
1. อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม จังหวัดตรัง บริเวณ เกาะเชือก
2. อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเภตรา จังหวัดสตูล บริเวณ เกาะบุโหลนไม้ไผ่
3. อุทยานแห่งชาติตะรุเตา จังหวัดสตูล บริเวณ เกาะตะเกียง เกาะหินงาม เกาะราวี (หาดทรายขาว) เกาะดง
4. อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะชุมพร บริเวณ เกาะมะพร้าว
5. อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะ-พีพี บริเวณแนวปะการังบริเวณหินกลาง
6. อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ จังหวัดพังงา บริเวณอ่าวแม่ยาย อ่าวมังกร อ่าวจาก อ่าวเต่า เกาะตอรินลา
7. อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน จังหวัดพังงา บริเวณอ่าวไฟแว๊ป และอีส ออฟ อีเด็น

สุนันต์ อรุณนพรัตน์ อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กล่าวว่า การงดกิจกรรมทางทะเลในครั้งนี้เกิดจากการที่มีข้อเสนอจากกรมทรัพยากรทางทะเล และชายฝั่ง ให้มีการปิดอุทยานแห่งชาติทางทะเลฝั่งอันดามันทั้งหมดนั้น คงมีผลกระทบกับหลายฝ่ายอย่างแน่นอน กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้พิจารณาในทุกๆด้าน ทั้งด้านกายภาพของพื้นที่เศรษฐกิจและสังคม และได้เชิญนักวิชาการที่เกี่ยวข้องจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยรามคำแหง มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ตลอดจนหัวหน้าอุทยานแห่งชาติทางทะเลทุกแห่งมาหารือในการแก้ไขปัญหาปะการังฟอกขาวนี้ ทุกฝ่ายมีความเห็นร่วมกันว่า เพื่อเป็นการศึกษาเรียนรู้จากปรากฏการณ์ในครั้งนี้ อุทยานแห่งชาติทางทะเลจะงดกิจกรรมดำน้ำในเขตดังกล่าว

นอกจากนี้กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ยังคงใช้มาตรการจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยว เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในอุทยานแห่งชาติ เพิ่มความเข้มข้นในการออกตรวจปราบปรามการลักลอบทำการประมงในเขตอุทยานแห่งชาติ ติดตามการเปลี่ยนแปลงของปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง จัดให้มีการให้ข้อมูลข่าวสารแก่เจ้าหน้าที่ ผู้ประกอบการ และชุมชนชาวมอแกน เพื่อรับทราบถึงสถานการณ์และเป็นการสร้างความร่วมมือในการลดผลกระทบ เตรียมมาตรการเพื่อรองรับการใช้ประโยชน์ในการรองรับนักท่องเที่ยว

จากการศึกษาของกลุ่มชีววิทยาและนิเวศวิทยาทางทะลและชายฝั่ง สถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเล ชายฝั่งและป่าชายเลน จ.ภูเก็ต ระบุว่าในปี 2553 เป็นปีที่แนวปะการังเสียหายมากสุดเป็นประวัติการณ์ อุณหภูมิน้ำทะเลจากปกติ 29 องศาเซลเซียสได้เริ่มสูงขึ้น 30 องศาเซลเซียสตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม 2553 สามสัปดาห์ต่อมาปะการังได้เริ่มฟอกขาวแผ่พื้นที่เป็นวงกว้างคลุมทะเลทั้งฝั่งอ่าวไทยและอันดามัน การฟอกขาวของปะการังในครั้งนี้เริ่มเกิดในช่วงประมาณสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนเมษายน (อุณหภูมิที่อาจถือว่ากระตุ้นให้เกิดการฟอกขาวคือที่ 30.1 องศาเซลเซียส หากปะการังอยู่ในสภาพที่อุณหภูมิสูงกว่า 30.1 องศาเซลเซียสเป็นเวลานานต่อเนื่องเกิน 3 สัปดาห์ จะทำให้เกิดปะการังฟอกขาวเกิดขึ้น)

ตั้งแต่เริ่มมีการฟอกขาว สถาบันได้สำรวจสภาพการฟอกขาวของปะการัง รวมทั้งรวบรวมข้อมูลจากนักดำน้ำที่แจ้งการฟอกขาวที่เกิดขึ้นในบริเวณต่างๆ พบว่าแนวปะการังในทุกจังหวัดทางฝั่งทะเลอันดามันเกิดการฟอกขาวมากกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ของปะการังที่มีอยู่ และพบว่าหลังจาก 1 เดือน ปะการังที่ฟอกขาวเริ่มมีการตาย 5-40 เปอร์เซ็นต์ (ขึ้นกับสถานที่) สำหรับอ่าวไทยพบการฟอกขาวรุนแรงเช่นเดียวกับทางฝั่งอันดามันในบริเวณกลุ่มเกาะตอนบนของจังหวัดชลบุรี (เกาะสีชัง เกาะนก เกาะสาก เกาะจุ่น) พบการฟอกขาวช้ากว่าจุดอื่นๆ

อย่างไรก็ตาม จากการเก็บข้อมูลพบว่าบริเวณที่มีการฟอกขาวช้าสุด บริเวณสิ่งแวดล้อมดี มีปะการังหลากหลายทั้งในแง่ชนิดและจำนวนโคโลนี พื้นที่ลักษณะเช่นนี้มักพบปะการังฟอกขาวไม่เต็มที่ คือฟอกขาวเพียงบางส่วนของโคโลนี บริเวณที่มีสิ่งแวดล้อมดีในน้ำลึก การฟอกขาวของปะการังมีแนวโน้มเกิดขึ้นน้อยกว่าเมื่อเทียบกับบริเวณน้ำตื้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับที่ตั้งของแนวปะการังในแต่ละบริเวณด้วย

แนวปะการังที่ได้รับผลกระทบจากกิจกรรมของมนุษย์มีเปอร์เซ็นต์การฟอกขาวของปะการังมากกว่าบริเวณที่มีสิ่งแวดล้อมดี หรือไม่ได้รับอิทธิพลจากมนุษย์ ทั้งนี้เนื่องจากกิจกรรมของมนุษย์ทำให้ปะการังอ่อนแอมาก ส่งผลให้ทนทานต่อการฟอกขาวน้อยลง

แนวปะการังบริเวณฝั่งตะวันตกตามเกาะต่างๆทางฝั่งทะเลอันดามัน มีแนวโน้มการเกิดฟอกขาวน้อยกว่าด้านอื่นของเกาะ ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากการเคลื่อนที่ของมวลน้ำจากทะเลลึกที่เข้ามาช่วยบรรเทาผลของอุณหภูมิน้ำทะเล นอกจากนี้ยังพบว่า ปะการังลายดอกไม้ (Pavona decussata) ปะการังดาวใหญ่ (Diploastrea heliopora ) เป็นชนิดที่มีแนวโน้มต้านทานต่อการฟอกขาวได้ดี ความหลากหลายของชนิดปะการังเป็นปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่อการฟื้นตัวของแนวปะการัง

อย่างไรก็ตาม มีข้อมูลยืนยันว่า ปะการังที่ฟอกขาวสามารถฟื้นตัวได้หากสภาพแวดล้อมกลับมาเป็นปกติในระยะเวลาไม่นานนัก ปะการังฟอกขาวสามารถทนสภาพที่อ่อนแอได้ประมาณ 1 เดือนครึ่ง ดังนั้นหากอุณหภูมิน้ำลดลงปะการังที่ฟอกขาวอยู่นั้นสามารถดึงสาหร่ายซุแซนเทลลี่กลับมาสู่เนื้อเยื่อ ทำให้ปะการังกลับมามีสีดังเดิมได้ กระบวนการนี้ใช้เวลา 2 เดือนเมื่ออุณหภูมิสู่สภาพปกติ กรณีปะการังฟอกขาวได้ตายไป มีพื้นที่ตัวอ่อนปะการังเข้ามาเกาะในพื้นที่ หรือปะการังบางชนิดที่ยังเหลืออยู่ค่อยๆเจริญเติบโตครอบคลุมแนวปะการัง กระบวนการนี้ใช้เวลา 3-4 ปี ขึ้นอยู่กับน้ำสะอาด ปราศจากการรบกวนของมนุษย์และมีพื้นที่สำหรับตัวอ่อนปะการังลงยึดเกาะเพื่อเจริญเติบโต

ในทางตรงข้ามหากพื้นที่ได้รับผลกระทบจากน้ำเสียและมีการรบกวนทั้งการดำน้ำและการประมง การฟื้นตัวของปะการังจะช้ามาก หรือไม่สามารถเกิดขึ้นเลย.




จาก ..................... เดลินิวส์ วันที่ 23 มกราคม 2554

สายน้ำ 23-01-2011 07:55


กรมอุทยานฯยืนกรานปิดพื้นที่บางส่วน วอนสังคมรอ 5 ปีปะการังฟื้น


กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ถูกนักท่องเที่ยวและประชาชนวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในสังคมออนไลน์ หลังจากที่สั่งปิดพื้นที่ดำน้ำบางจุดใน 7 อุทยานแห่งชาติทางทะเลฝั่งอ่าวไทยและอันดามัน

นายสุนันต์ อรุณนพรัตน์ อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช เปิดเผยเมื่อวันที่ 22 มกราคม ว่า เข้าใจดีว่าจะถูกนักท่องเที่ยวไม่พอใจอย่างมาก แต่ขอยืนยันว่าได้ไตร่ตรองอย่างรอบคอบแล้ว เพราะก่อนที่จะมีคำสั่งได้ขอความเห็นจากทั้งนักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญ ผู้ประกอบการ และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่ายจนได้ข้อสรุปว่าให้ปิดพื้นที่บางส่วน ซึ่งการดำเนินการนี้เพื่อทำให้ปะการังคงอยู่ และทำให้เกิดการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน

"ขอให้ทุกฝ่ายอดทนรอ เพราะได้ประเมินแล้วว่าหากไม่มีปัจจัยด้านอุณหภูมิของน้ำทะเลที่จะสูงขึ้นอีก คาดว่าภายใน 5 ปี ปะการังจะฟื้นฟูสภาพได้ ซึ่งหลังจากนั้นกรมอุทยานแห่งชาติฯจะเปิดให้นักเที่ยวเข้าชมอีกครั้ง เพราะหากปล่อยให้นักท่องเที่ยวเข้าไปในระหว่างที่ปะการังเสียหาย ไม่มีประโยชน์อะไร เพราะจะไม่ได้เห็นของสวยงาม" นายสุนันต์กล่าว และว่า แต่ในส่วนของการบังคับใช้กฎหมายนั้น ยืนยันว่าจะดำเนินการเข้มข้นต่อไป



จาก ..................... มติชน วันที่ 22 มกราคม 2554

สายน้ำ 23-01-2011 08:02


ข่าวปะการังฟอกขาวไม่ทำธุรกิจดำน้ำหด

http://www.komchadluek.net/media/img...kabhak7ebc.jpg

ผู้ประกอบการดำน้ำลึก หมู่เกาะสุรินทร์-สิมิลัน ระบุ ยังไม่มีการยกเลิกทัวร์ หลังเจอข่าวปะการังฟอกขาวแพร่สะพัด แต่กังวลมีผลกระทบระยะยาว ขณะที่นักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติ ยังแห่เที่ยวเกาะจำนวนมาก ด้านชาวเน็ตสวดยับปิดอุทยานฯทางทะเลใต้ 7 แห่งไม่ตรงจุดที่ปะการังเสียหาย

ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศบริเวณท่าเทียบเรือท่องเที่ยวรัษฎา อ.เมือง จ.ภูเก็ต ซึ่งเป็นท่าเรือท่องเที่ยวนำนักท่องเที่ยวไปยังเกาะแก่งต่างๆ บริเวณอ่าวพังงา และเกาะพีพี ช่วงเช้าวันที่ 22 ม.ค.54 ซึ่งตรงกับวันหยุดว่า ยังคึกคักไปด้วยนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศที่จองตั๋วเดินทางไปท่องเที่ยวตามเกาะแก่งในทะเลฝั่งอันดามัน แม้ว่ากรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ได้มีมาตรการปิดจุดดำน้ำที่มีปะการังเสียหาย ในเขตอุทยานแห่งชาติทางทะเลฝั่งอันดามัน 3 แห่ง คือ อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตนารา เกาะพีพี จังหวัดกระบี่ อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์และอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลันในจังหวัดพังงา

หัวหน้าไกด์เรือท่องเที่ยวพีพีครุยเซอร์ ระบุว่า การปิดแหล่งดำน้ำ ส่งผลกระทบต่อการเดินทางไปพักผ่อนตามเกาะของนักท่องเที่ยวน้อย โดยปริมาณนักท่องเที่ยวที่เดินทางไปเที่ยวตามเกาะต่างๆในฝั่งอันดามันตั้งแต่ช่วงปีใหม่เป็นต้นมา ถือว่ายังดีอยู่ เฉลี่ยประมาณ 90 % แต่ละวันจะมีนักท่องเที่ยวประมาณ 2,000 คน ปลายทางส่วนใหญ่จะอยู่ที่เกาะพีพี เกาะลันตา เกาะหลีเป๊ะ แต่อย่างไรก็ตามคงต้องรอดูอีกสักระยะหนึ่งว่าผลกระทบจากมาตรการดังกล่าวจะทำให้นักท่องเที่ยวลดลงไปหรือไม่ เพราะพึ่งประกาศเพียง 2 วัน จึงยังไม่เห็นผลที่ชัดเจน

ด้านผู้ประกอบการดำน้ำลึกที่เกาะสิมิลันและหมู่เกาะสุรินทร์อีกรายหนึ่ง กล่าวว่า ในส่วนของการจองทัวร์ไปดำน้ำที่หมู่เกาะสุรินทร์ และหมู่เกาะสิมิลัน ในจังหวัดพังงา ขณะนี้ยังไม่มีการยกเลิก แต่เชื่อว่าในระยะยาวมาตรการนี้จะส่งผลกระทบต่อตลาดท่องเที่ยวดำน้ำอย่างแน่นอน เนื่องจากมีการให้ข้อมูลที่ไม่ชัดเจนของพื้นที่ปะการังว่าเสียหายถึง 80 % อาจจะทำให้นักท่องเที่ยวเข้าใจผิด เพราะข่าวกระจายไปทั่วโลก โดยปะการังฟอกขาวมีเฉพาะแหล่งดำน้ำตื้นซึ่งอุณหภูมิสูง แต่ไม่มีในผลกระทบในปะการังน้ำลึกที่อุณหภูมิประมาณ 24- 26 องศาเซลเซียส และปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นกับปะการังทั่วโลก ดังนั้นผู้เกี่ยวข้องควรเร่งให้ข้อมูลที่ถูกต้อง และ ททท.ต้องเร่งสร้างความเข้าใจต่อตลาดดำน้ำที่จะมาท่องเที่ยวในพื้นที่ด้วย เนื่องจากนักท่องเที่ยวที่ยังไม่จองทัวร์ อาจจะตัดสินใจเปลี่ยนจุดหมายปลายสถานที่ดำน้ำที่ไม่ใช่ในประเทศไทย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ห้ามดำน้ำใน 7 อุทยานแห่งชาติชื่อดังทั้งฝั่งทะเลอันดามันและอ่าวไทยเพื่อฟื้นฟูปะการังที่เกิดการฟอกขาวโดยมีผลตั้งแต่วันที่ 21 มกราคมนั้น ส่งผลให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากนักท่องเที่ยวที่เข้าไปโพสท์ข้อความในเว็บไซต์พันทิปดอทคอมว่า จุดที่กรมอุทยานฯสั่งปิดห้ามดำน้ำนั้นไม่สัมพันธ์กับจุดที่เกิดปะการังฟอกขาว เช่น อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ บริเวณอ่าวแม่ยายทิศเหนือ เกิดปะการังฟอกขาวถึง 99.9% เกาะสุรินทร์เหนือ หน้าช่องแคบตอนใน เกิดฟอกขาว 93.6% เกาะปาชุมบา ตะวันออกเฉียงเหนือ เกิดฟอกขาว 95% เกาะสุรินทร์ใต้ฝั่งตะวันออก (อ่าวเต่า) แต่กรมอุทยานฯไม่ปิด กลับสั่งปิดบริเวณอ่าวสุเทพ อ่าวไม้งาม เกาะสตอร์ค หินกอง อ่าวผักกาด และแนวปะการังหน้าที่ทำการอุทยานฯ ซึ่งเกิดการฟอกขาว 70% หรืออุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน จุดที่เกิดปะการังฟอกขาวมากคือ เกาะสิมิลันตะวันออก หน้าประภาคาร ฟอกขาว 89.3% ไม่ปิด กลับไปปิดบริเวณอ่าวไฟแว๊บและอีส ออฟ อีเด็น ซึ่งเป็นจุดที่เกิดปะการังฟอกขาวไม่มากนัก




จาก ..................... คม ชัด ลึก วันที่ 22 มกราคม 2554

สายน้ำ 23-01-2011 08:08

http://i835.photobucket.com/albums/z...hairath_05.jpg

http://i835.photobucket.com/albums/z...hairath_04.jpg




จาก ..................... ไทยรัฐ วันที่ 23 มกราคม 2554

Thoto_Dive 23-01-2011 19:36

วันก่อนโดนจับได้ว่ามีการปล่อยปะละเลย ไม่ดูแลนักท่องเที่ยวที่หยิบปะการังขึ้นมาชม แก้ตัวว่ามีคนไม่เพียงพอ
วันนี้พอบอกให้ปิดห้ามค้างคืนบนเกาะ ดันบอกว่าไม่ต้องกลัว อุทยานคุมนักท่องเที่ยวเข็มงวดอยู่แล้ว สุดๆครับท่าน

วันแรกประกาศปิดหมู่เกาะสุรินทร์ส่วน
อ่าวสุเทพ อ่าวไม้งาม อ่าวผักกาด หินกองและเกาะสต็อก
อีกวันประกาศ
ตรงกันข้ามกันทั้งหมด เกาะมังกร อ่าวเต่า อ่าวแม่ยาย อ่าวจาก และตอรินลา

คนแบบนี้เราจะฝากความหวัง ไว้ได้เหรอครับ

สายชล 23-01-2011 21:48



ความหวัง...ความฝัน...ของเรา คงจะไปฝากไว้กับท่านๆทั้งหลายไม่ได้หรอกค่ะ คุณ Thoto_Dive


ขืนเรานั่งกันเฉยๆ ก็คงไม่มีอะไรดีขึ้น เราคงต้องพยายามรวมตัวกัน แล้วก็หาวิธีช่วยกันกระตุ้นสังคมให้ตื่นตัว เพื่อไปกระตุ้นต่อมทำงานของพวกท่านทั้งหลาย ให้ทำงานอีกต่อหนึ่ง....


สายน้ำ 24-01-2011 07:52


อช.สั่งปิดเกาะเชือก "ตรัง"ฟุ้งไม่กระทบดำน้ำ เผยมีอันซีนอีกหลายแห่ง


ตรัง:นาย สลิล โตทับเที่ยง ประธานหอการค้าจังหวัดตรัง กล่าวถึงกรณีที่กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ประกาศปิดพื้นที่บางส่วนของอุทยานแห่งชาติทางทะเลทั้งฝั่งอ่าวไทยและอันดามันรวม 7 แห่ง ว่า พื้นที่ จ.ตรัง มีการสั่งปิดบริเวณเกาะเชือก อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม แต่เชื่อว่าไม่กระทบการท่องเที่ยวมากนัก เนื่องจากยังมีเกาะอีกหลายแห่งที่นักท่องเที่ยวสามารถดำน้ำดูปะการังได้ โดยเฉพาะบริเวณถ้ำมรกตซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลอีนซีนของ จ.ตรังอยู่แล้วและยังมีบริเวณม้าที่มีปะการังสวยไม่แพ้เกาะเชือก

โดยขณะนี้ทางหอการค้าจังหวัดตรัง ประสานผู้ประกอบการท่องเที่ยว เพื่อสำรวจแหล่งท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นเพื่อทดแทนบริเวณเกาะเชือกที่ถูกปิดไป ในส่วนของค่าบริการของนักท่องเที่ยว แม้จะตัดจุดบริเวณเกาะเชือกไปแต่คิดว่าไม่น่าจะปรับลดอัตราค่าบริการลง เนื่องจากขณะนี้ราคาน้ำมันแพงแต่ผู้ประกอบการยังคงตึงราคาเดิมไว้

ด้านนางรัศมี ขจรศิริสิน ประธานชมรมผู้ประกอบการร้านอาหารจังหวัดตรัง กล่าวว่า ในส่วนของ จ.ตรัง มีการปิดเกาะเชือก ไม่ส่งผลกระทบเท่าไหร่ เนื่องจากยังมีเกาะม้า เกาะกระดาน ถ้ำมรกต เป็นจุดขายที่สวยเหมือนเกาะเชือก แต่จนถึงขณะนี้บรรยากาศการท่องเที่ยวตรังยังไม่คึกคักเท่าที่ควร ซึ่งเป็นผลพวงมาจากการให้ทำนายของโหรเมื่อปลายปี 2553 ทำให้นักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวจังหวัดตรังน้อยลง ทั้งๆที่ขณะนี้อยู่ในช่วงไฮซีซั่น ทางผู้ประกอบการท่องเที่ยวหวังเพียงให้นักท่องเที่ยวเดินทางเที่ยวจังหวัดตรังให้มากขึ้น




จาก ..................... แนวหน้า วันที่ 24 มกราคม 2554

สายน้ำ 24-01-2011 07:55


พบแหล่งปะการังใหม่สวยสมบูรณ์หมู่เกาะสิมิลัน-สุรินทร์

http://www.khaosod.co.th/online/2011...295783148l.jpg

วันที่ 23 ม.ค. นายรัษฎา สุริยกุล ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักอุทยานแห่งชาติ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช เปิดเผยว่า ผลจากการระดมเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติกว่า 30 นาย ลงตรวจสอบแนวปะการังที่ได้รับความเสียหายจากการฟอกขาว ในพื้นที่หมู่เกาะสิมิลันและหมู่เกาะสุรินทร์ ซึ่งได้รับความเสียหายเนื่องจากอุณหภูมิน้ำสูงขึ้นตั้งแต่ต้นปี 2553 พบว่าปะการังที่ฟอกขาวจำนวนมากเริ่มฟื้นตัวบ้างแล้ว โดยเริ่มมีฝูงปลาจำนวนมาก เริ่มเข้ามาอาศัยและหากินในแนวปะการังดังกล่าว นอกจากนี้เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติยังได้พบแนวปะการังแห่งใหม่เพิ่มขึ้นอีกหลายจุด ทั้งในหมู่เกาะสุรินทร์และหมู่เกาะสิมิลัน ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้จัดเก็บข้อมูลเพื่อเสนอให้กรมอุทยานฯ ประกาศเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ในเร็วๆนี้ ส่วนการศึกษาแนวปะการังที่เกิดการฟอกขาว เพื่อหาแนวทางในการป้องกันและฟื้นฟูนั้นขณะนี้กรมอุทยานฯ ได้แต่งตั้งคณะทำงานซึ่งประกอบด้วยนักวิชาการ และผู้เชี่ยวชาญจากจากสถาบันการศึกษาและหน่วยงานราชการเพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลงของแนวปะการังอย่างใกล้ชิดแล้ว

http://www.khaosod.co.th/online/2011...295783236l.jpg

ด้านนายโสภณ เพ็งประพันธ์ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ จ.พังงา กล่าวว่า แม้หมู่เกาะสุรินทร์จะได้รับผลกระทบปะการังฟอกขาวรุนแรงมากที่สุดของประเทศ โดยแหล่งท่องเที่ยวในเขตอุทยานฯบางแห่งเกิดการฟอกขาวของปะการังเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ทำให้กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ต้องสั่งปิดแหล่งท่องเที่ยวดำน้ำไปทั้งหมดรวม 6 จุดด้วยกัน คือ บริเวณอ่าวสุเทพ อ่าวไม้งาม เกาะสตอร์ค หินกอง อ่าวผักกาด และแนวปะการังอ่าวช่องขาด บริเวณด้านหน้าที่ทำการอุทยานฯ ทั้งนี้ เพื่อเปิดโอกาสให้ปะการังฟื้นตัวเองโดยธรรมชาติ พร้อมทั้งระดมเจ้าหน้าที่ติดตามการเปลี่ยนแปลงของปรากฎการณ์ปะการังฟอก ขาวอย่างต่อเนื่อง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า อย่างไรก็ตามหัวหน้าอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ เชื่อว่าการสั่งปิดแหล่งท่องเที่ยวดำน้ำทั้ง 6 จุดนั้น จะไม่ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวอย่างแน่นอน เนื่องจากหมู่เกาะสุรินทร์ยังมีแหล่งท่องเที่ยวดำน้ำที่เปิดให้นักท่อง เที่ยวเข้าชมได้อีกหลายจุด ขณะที่ผู้ประกอบการนำเที่ยวหมู่เกาะสุรินทร์ยืนยันว่าการประกาศปิดจุดดำน้ำทั้ง 6 แห่งในหมู่เกาะสุรินทร์ ไม่ได้ส่งผลกระทบใดๆต่อการท่องเที่ยวทางทะเลของจังหวัดพังงา เพราะผู้ประกอบการส่วนใหญ่ทราบดีว่าจุดที่สั่งปิดนั้น ไม่สวยงาม และยังมีแหล่งดำน้ำที่สวยงามจุดอื่นๆอีกหลายแห่ง แต่ก็ยอมรับว่านักท่องเที่ยวเกิดความสับสนอย่างมากในการประกาศปิดเกาะของทาง ราชการครั้งนี้




จาก ..................... ข่าวสด วันที่ 24 มกราคม 2554

ดอกปีบ 24-01-2011 09:26

อ้างอิง:

ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ สายชล (โพส 22838)


เราคงต้องพยายามรวมตัวกัน แล้วก็หาวิธีช่วยกันกระตุ้นสังคมให้ตื่นตัว เพื่อไปกระตุ้นต่อมทำงานของพวกท่านทั้งหลาย ให้ทำงานอีกต่อหนึ่ง....


วันที่เราจะนัดกันอาทิตย์นี้ เราไปนั่งคุยกันหาวิธีกระตุ้นสังคมเพื่อที่จะไปกระทบชิ่งต่อมทำงานของพวกท่านทั้งหลายก็น่าจะดีนะครับ ..

แต่อ่านข่าวพบแหล่งปะการังใหม่แล้วหมดแรง สงสัยเราจะต้องกระตุ้นต่อมทำงานของบางท่านในเชิงอนุรักษ์ด้วยนะครับ ไม่ใช่นึกถึงแต่เรื่องธุรกิจอย่างเดียว

ไม่รู้สิครับ อย่างนี้ก็มีด้วย พอจุดดำน้ำบางจุดจะปิด ก็งัดเอาจุดใหม่มาขายต่อกันทัีนทีเลยทีเดียว เฮ้อ .. มีน้อยก็เที่ยวน้อย เที่ยวกันอย่างพอเพียงพร้อมทั้งมีการจัดการที่ดีไม่ได้หรือไงน๊า

angel frog 24-01-2011 09:52

จะปิด ก็ปิด ให้ถูกจุด ปิดไปเลย จะปิดนานเท่าไหร่ ก็ประมาณการณ์มาให้รู้ด้วยก็ดี คนทำธุระกิจ เขาอาจบ่นหน่อย แต่เขาก็เข้าใจ เพียงแต่ ต้องมีความชัดเจน ว่า ตอนนี้ ต้องเอาผลประโยชน์ของชาติมาก่อน มีรูมให้เขาทำมาหากินกันหน่อย มีระเบียบกติกาให้ทุกคนปฎิบัติเหมือนๆกัน โดยยึดแนวทางในการอนุรักษ์เป็นหลัก

ภาครัฐต้องเข้มแข็ง ดูแลให้ได้ ป้องกันความเสียหายให้ได้ เสียหายแล้ว จะฟื้นฟูอย่างไร..... จะทำยังไง ก็รู้ๆกันอยู่แล้ว ....ขึ้นอยู่ว่า จะทำหรือไม่ และทำแค่ไหน ...ก็เท่านั้น

moeak 24-01-2011 11:38

งี้ต้องเก็บภาษีพวกหากินทางนี้หนักๆอะดิ จะได้เอาเงินไปฟื้นฟูที่ทำมาหากินของเค้า

แล้วพอมีปัญหาจะได้แก้ไขถูกใจ แล้วจะได้หากินได้นานๆๆ

sea addict 24-01-2011 18:10

นอกจากนี้เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติยังได้พบแนวปะการ ังแห่งใหม่เพิ่มขึ้นอีกหลายจุด ทั้งในหมู่เกาะสุรินทร์และหมู่เกาะสิมิลัน ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้จัดเก็บข้อมูลเพื่อเสนอให้กรมอุทย านฯ ประกาศเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ในเร็วๆนี้

เอะอะก็จะเปิดแหล่งท่องเที่ยวใหม่ท่าเดียว

เราจะเหลืออะไรที่ดีๆที่ไม่ใช่แหล่งท่องเทียวไว้บ้างได้มั้ยครับ

พอสวย พอสมบูรณ์เข้าหน่อยก็จะเปิดให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว กะจะขายกันอย่างเดียว

ท่านอธิบ่ดีท่านคงไม่รู้ว่าปัจจุบันพื้นที่อุทยานแห่งชาติทางทะเลของบ้านเราแทบไม่มีพื้นที่ๆ

เป็น Core area สำหรับเป็นแหล่งสนับสนุนความสมบูรณ์และความหลากหลายทางพันธุกรรม

เลยทั้งๆที่มันเป็นลำดับความสำคัญระดับต้นๆในการประกาศเป็นพื้นที่อุทยาน และความสำคัญ

ของการท่องเที่ยวเป็นลำดับท้ายๆ ดันเอามาเป็นความสำคัญระดับต้นๆซะนี่ แค่คิดก็ผิดแล้ว

ครับ สำรวจเจออะไรสวยๆดีๆเข้าหน่อยก็จะเอาไปเป็นสินค้าซะทุกที

ใช้กันจนพังแล้วก็จะไปเอาของไหม่มาใช้ แทนที่จะมีการฟื้นฟูหรือซ่อมบำรุงของเก่า อย่างนี้

ประเทศชาติจะมีทรัพยากรที่ดีๆเหลือไว้บ้างได้อย่างไร

ปล. เกาะตะเกียงมันอยู่ในอช.เกาะเภตรานี่ครับ ทั่นบอกว่าอยู่ในอช.ตะรุเตาได้ยังไง แล้วอย่างงี้ขอมูลปะการังจะน่าเชื่อถือได้ยังไง

KENG@SK 24-01-2011 20:46

ช่วงมีนานี้มีผมจะไปที่เกาะอาดังเดี๋ยวจะถ่ายรูปมาให้ดูนะครับว่าสภาพเป็นยังไงบ้าง

สายชล 24-01-2011 21:59



ขอบคุณล่วงหน้าค่ะน้องเก่ง....:)


สายน้ำ 25-01-2011 07:07

http://i835.photobucket.com/albums/z...hairath_01.jpg



จาก ..................... ไทยรัฐ วันที่ 24 มกราคม 2554

สายน้ำ 25-01-2011 07:09


หวั่นปะการังฟอกขาวส่งผลกระทบ ท่องเที่ยวสตูลถึงขั้นปิดอุทฯ ตะรุเตา


สตูล/ นางโรสนีย์ ยกชม นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวสตูล กล่าวว่า ทาง 80 บริษัททัวร์ในพื้นที่ จ.สตูล ต่างวิตก ตามที่กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งได้เสนอข่าว ถึงการเกิดปะการังฟอกขาวในพื้นที่ทะเลอันดามันนั้นและได้ทำการปิดอุทยานฯและเกาะต่างๆไปแล้วหลายเกาะ ดังนั้นทาง จ.สตูล โดยสมาคมธุรกิจท่องเที่ยว จ.สตูลและผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวใน จ.สตูลจำนวน 80 บริษัท ได้เปิดให้มีการแถลงข่าวเมื่อเร็วๆนี้ ที่สมาคมธุรกิจท่องเที่ยว จ.สตูล ดังนั้นจะเห็นได้ว่า การท่องเที่ยวของ จ.สตูล ในช่วงเทศกาลปีใหม่ได้ประสบปัญหาข่าวลือสึนามิจนทำให้การท่องเที่ยวของ จ.สตูล ซบเซาลง นักท่องเที่ยวจากต่างประเทศและในประเทศได้เดินทางมายัง จ.สตูล ลดน้อยลงไปมาก ดังนั้นการที่มีข่าวเกิดปะการังฟอกขาวขึ้นมาอีกนั้น ทำให้การท่องเที่ยวของ จ.สตูลเกิดความสับสนว่ากรมที่เกี่ยวข้องให้ประกาศให้ชัดเจนว่า จ.สตูล โดยพื้นที่เกาะต่างๆนั้นว่ามีพื้นที่ส่วนไหนบ้างที่เกิดปะการังฟอกขาวขึ้น เพื่อให้นักท่องเที่ยวเกิดความไม่สบสนต่อข่าวที่ออกมา

อย่างไรก็ตาม ทาง จ.สตูลและสมาคมธุรกิจท่องเที่ยว จ.สตูล รวมทั้งผู้ประกอบการท่องเที่ยวเชื่อว่าข่าวดังกล่าวจะมีผลกระทบต่อการท่องเที่ยวของ จ.สตูลอย่างแน่นอน เพราะขณะนี้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศได้เดินทางมายัง จ.สตูล โดยเฉพาะเกาะหลีเป๊ะและเกาะตะรุเตาเป็นจำนวนมากและก็ขอให้ทางจังหวัด อุทยานฯ รวมทั้งกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งได้ให้ข่าวที่ชัดเจนแก่นักท่องเที่ยวด้วย

นายสามารถ เจริญฤทธิ์ เจ้าของบุหงารีสอร์ท กล่าวว่า ข้อเท็จจริงแล้วปะการังฟอกขาวในพื้นที่ จ.สตูล มีเพียงแค่ 10% เท่านั้นบริเวณพื้นที่อาดังราวีและเกาะหลีเป๊ะ ดังนั้นจึงไม่กระทบต่อการท่องเที่ยวของ จ.สตูล แต่อย่างใด เพราะฉะนั้นการเสนอข่าวสารของสื่อมวลชนต้องให้ชัดเจนเพราะจะทำให้นักท่องเที่ยวเกิดความเข้าใจผิดคิดว่า จ.สตูลซึ่งอยู่ในฝั่งอันดามันมีผลกระทบไปด้วย โดยเฉพาะทางจังหวัดและอุทยานฯควรจะออกมาให้ข่าวที่ชัดเจนแก่นักท่องเที่ยวและผู้ประกอบการในท้องที่

อย่างไรก็ตามการท่องเที่ยวของ จ.สตูล ในปีนี้ต้องประสบปัญหาต่อข่าวลือสึนามิและมากระทบต่อข่าวการเกิดปะการังฟอกขาวอีก จนทำให้ผู้ประกอบการต่างๆเกิดการท้อแท้และหมดกำลังใจ ดังนั้นจะเห็นได้ว่า สมาคมธุรกิจท่องเที่ยว จ.สตูล ควรจะให้การช่วยเหลือและให้ข่าวที่เป็นความจริงแก่นักท่องเที่ยวและบริษัททัวร์ให้ชัดเจน




จาก ..................... บ้านเมือง วันที่ 24 มกราคม 2554

สายน้ำ 25-01-2011 07:16


'ปะการังฟอกขาว' สัญญาณเตือน'อันดามัน' เสื่อม!

http://www.khaosod.co.th/news-photo/...01250154p1.jpg

หลังจากนักวิจัยของสถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเล ชายฝั่งทะเลและป่าชายเลน กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง(ทช.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เผยผลสำรวจสถานการณ์ "ปะการังฟอกขาว" ซึ่งทำกันมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2534 ถึงปี 2553 ว่า

"ฝั่งทะเลอันดามัน" อันสวยงามของประเทศไทยกำลังเกิดสภาวะปะการังฟอกขาวครั้งใหญ่และรุนแรงที่สุดเป็นประวัติการณ์ทั่วท้องทะเลไทย กินพื้นที่เป็นบริเวณกว้าง 70% ของท้องทะเลทั้งหมด!

สาเหตุเนื่องจากอุณหภูมิของน้ำทะเลสูงขึ้นผิดปกติจากปกติ 29 องศาเซลเซียส สูงขึ้นกว่า 30 องศาเซลเซียส ตั้งแต่เดือนมี.ค.2553 ต่อเนื่องกันถึง 3 เดือน

รวมทั้งของเสียจากเรือที่พานักท่องเที่ยวมาเล่นน้ำจอดอยู่จำนวนมาก มีการถ่ายเทลงน้ำทะเล หรือของเสียที่ไหลซึมผ่านชั้นดิน เพราะปะการังที่เสียหายในหลายพื้นที่อยู่ไม่ไกลจากที่พักนักท่องเที่ยวหรือจากการท่องเที่ยวที่มีนักดำน้ำไปยืนเหยียบปะการัง แม้แต่ทะเลอ่าวไทยก็เกิดปะการังฟอกขาวไม่แพ้กัน

นายเกษมสันต์ จิณณวาโส อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กล่าวถึงปัญหาปะการังฟอกขาวดังกล่าว ว่า

จากรายงานที่สถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเล ชายฝั่งทะเลและป่าชายเลน ได้สำรวจในหลายพื้นที่ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญในช่วงเดือนก.ย.-ธ.ค.2553 โดยเฉพาะหมู่เกาะสุรินทร์ -สิมิลัน จ.พังงา รวมทั้งหมู่เกาะพีพีและเกาะใกล้เคียง เช่น เกาะยูง เกาะไผ่ เกาะไข่นอก จ.กระบี่ เกาะราชา จ.ภูเก็ต พบว่า

ในแหล่งแนวปะการังได้รับผลกระทบ เกิดความเสียหายจากการฟอกขาวจำนวนมาก

เช่น เกาะสุรินทร์เหนือ อ่าวแม่ยาย มีปะการังตายถึง 99.9% เกาะสุรินทร์เหนือ หน้าช่องแคบตอนใน ปะการังตายถึง 93.6% เกาะป่าชุมบา ตะวันออกเฉียงใต้ ตาย 95% เกาะตาชัย ตะวันออกเฉียงใต้ ตาย 84% เกาะสุรินทร์ใต้ฝั่งตะวันออก (อ่าวเต่า) ตาย 85%

นายเกษมสันต์ กล่าวต่อว่า ส่วนเกาะสิมิลันตะวันออก หน้าประภาคาร ตาย 89.3% เกาะตาชัย ตะวันออกเฉียงใต้ ตาย 84% เกาะบางงูทิศใต้ ตาย 60.8% อ่าวต้นไทร ตะวันตก ตาย 94.9% เกาะยูง ตาย 88.5% เกาะไข่นอก ตาย 68.5% เกาะแอว ตะวันตกเฉียงเหนือ ตาย 69.9% เป็นต้น

ขณะที่เกาะพีพีและเกาะใกล้เคียง อาทิ เกาะพีพีดอน เกาะพีพีเล เกาะไผ่ เกาะยูง เกาะบิต๊ะใน และเกาะบิต๊ะนอก พบว่า แนวปะการังส่วนใหญ่ของทุกๆ เกาะอยู่ในสภาพเสียหาย มีปะการังตายมากกว่าปะการังมีชีวิตประมาณ 2-3 เท่าและเสียหายมาก

http://www.khaosod.co.th/news-photo/...01250154p2.jpg
1.นายชัยมงคล แย้มอรุณพัฒนา

โดยเฉพาะจุดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ เช่น อ่าวมาหยา อ่าวต้นไทร หาดยาว อ่าวรันตี แหลมตง มีปะการังเขากวางเป็นชนิดเด่น อยู่ในแนวปะการังน้ำตื้นพบว่า ปะการังเขากวางกว่า 90% ได้ตายลงเช่นเดียว ในหลายพื้นที่ไม่พบปะการังวัยอ่อนเลย

ดังนั้น อาจกล่าวได้ว่า ความเสียหายของแนวปะการังจากการฟอกขาวในครั้งนี้ ก่อให้เกิดความเสียหายรุนแรงมากกว่าความเสียหายจากสึนามิ เมื่อเดือนธ.ค.2547

"ควรมีการลดกิจกรรมท่องเที่ยวที่ส่งผลกระทบต่อแนวปะการัง รวมทั้งผลักดันให้เรือท่องเที่ยวปรับปรุงเรือด้วยการให้มีถังกักเก็บของเสียในเรือไม่ให้ปล่อยลงน้ำ ควรปิดพื้นที่ไม่ให้มีการใช้ประโยชน์ในแนวปะการังที่จำเป็นต้องได้รับการคุ้มครองอย่างเร่งด่วน ซึ่งหากไม่เร่งแก้ปัญหาดังกล่าวโอกาสที่แนวปะการังในท้องทะเลไทยจะกลับมาสวยงามสมบูรณ์ดังเดิมคงเป็นได้ยากหรืออาจต้องใช้เวลานานมาก" อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลฯ กล่าว

ด้าน รศ.ดร.ไทยถาวร เลิศวิทยาประสิทธิ อาจารย์ประจำภาควิชาวิทยา ศาสตร์ทางทะเล คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย ยอมรับว่า

ปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวที่สถาบัน วิจัยของทช. ได้สำรวจและรายงานนั้นอยู่ในขั้นวิกฤตจริงๆ

สิ่งที่ "รัฐ" ต้องทำมี 2 ส่วน คือ แก้ปัญหาเฉพาะหน้าในเรื่องการจัดการกลุ่มคน นักท่องเที่ยวที่จะเข้าไปพื้นที่ หากเห็นว่าพื้นที่ไหนเสื่อมโทรมมากๆ จำเป็นต้องปิดเพื่อให้ฟื้นตัวก็ต้องทำ

ถ้าปิดแล้วทำอะไร ปิดเฉยๆไม่ได้ อันดับแรกต้องชี้แจงเหตุผล และต้องบอกว่าขั้นตอนต่อไปในพื้นที่ปิดนั้นเราจะทำอย่างไรให้มันฟื้นฟูเร็วยิ่งขึ้น ปะการังเสียหายเสื่อมโทรมมันไม่ได้กระทบแค่การท่องเที่ยวอย่างเดียว แต่มันกระทบระบบนิเวศในทะเล ซึ่งเป็น "แหล่งอาหารของมนุษย์" ด้วย

"การที่ ทช.ออกมาเปิดเผยต่อสาธารณะก็ช่วยทรัพยากรของชาติอยู่แล้ว และนี่เป็นจังหวะดีที่เขาจะได้เห็นข้อเท็จจริง ส่วนผู้ประกอบการบางคนปฏิเสธไม่สนใจ ผมคิดว่าคนพวกนี้เราคงไปพูดอะไรเขาไม่ได้ แต่ต้องให้ข้อคิดว่าต่อไปอาชีพของเขาจะไม่ยั่งยืน ผมคิดว่าตอนนี้สิ่งสำคัญต้องเร่งให้การศึกษาให้การชี้แจงมากที่สุด" รศ.ดร.ไทยถาวรให้คำแนะนำ

ส่วนมาตรการระยะยาวคือการทำวิจัยในการฟื้นฟูและขยายพันธุ์โดยเทคนิควิธี ต่างๆ หรือการควบคุมบางบริเวณที่ทำได้หรือบางบริเวณปิด เพื่อเป็นแหล่งเพาะพันธุ์วิจัยเพื่อให้สภาพของปะการังอยู่ได้อย่างสมบูรณ์ อาจจะทำได้หลายกรณี เช่น การฟื้นตัวของปะการังแหล่งเสื่อมโทรมอาจจะปิดบางจุด เปิดบางจุด แต่ไม่ได้ปิดทั้งอ่าวซึ่งคนที่รู้ดีที่สุด คือ ทช.

ขณะนี้ทางคณะวิทยาศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกำลังมีการศึกษาการสืบพันธุ์ของปะการังแบบยั่งยืนแพร่พันธุ์ปะการังโดยอาศัยเพศหรือธรรมชาติ เราต้องเข้าใจก่อนว่าปะการังฟอกขาว เกิดจากอุณหภูมิน้ำทะเลสูงขึ้นกว่าระดับน้ำทะเลเฉลี่ยปกติแค่ 1-2 องศา ตัว "ซูแซนเทลลี" หรือสาหร่ายที่อาศัยร่วมกับปะการังหลุดออกมาปะการังจึงมีสีขาว การที่ปะการังจะกลับฟื้นขึ้นมาทั้งสองตัวนั้นอาศัยอยู่แบบพึ่งพา ถ้าตัวหนึ่งหลุดไปปะการังก็จะตายไม่มีตัวช่วย

ดังนั้น การศึกษาต้องศึกษาควบคู่กันไปตัวปะการังและตัว "ซูแซนเทลลี" หรือสาหร่ายที่อยู่ร่วมกับปะการัง

ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ อาจารย์คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า ตั้งแต่ทำงานเรื่องนี้มาเป็นเวลา 10 ปี ครั้งนี้เป็นเหตุการณ์ที่ปะการังตายมากที่สุด เรากำลังเผชิญหน้ากับวิกฤตเรื่องปะการังที่รุนแรงอย่างที่เราไม่เคยเจอมาก่อน

จริงๆแล้วควรที่จะทำอะไรก่อนหน้านี้ไม่ใช่ปล่อยไว้ 3-4 เดือนแล้วถึงมาทำ รวมทั้งต้องมีระบบที่ชัดเจน ส่วนแรกคือการอนุรักษ์การฟื้นฟู หมู่เกาะแต่ละแห่งได้รับผลกระทบไม่เท่ากัน ไม่ควรจัดการคนแบบนโยบายเดียวครอบจักรวาล เรื่องการอนุรักษ์ปิดอ่าว ผมคิดว่าไม่ควรปิดอุทยานฯทั้งหมด ต้องดูว่าอันไหนที่มันหนักและพื้นที่ไหนควรปิดและควรเปิด

"ส่วนที่นอกเหนือจากกรมอุทยานฯ กระทรวงทรัพยากรฯ ดูแลคิดว่าทางจังหวัดต้องเข้ามาดูแลด้วย ถ้าท่านผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตได้รับทราบแล้วให้นักท่องเที่ยวจากเมืองจีนมาเหยียบปะการังในประเทศไทย ผมไม่รู้จะพูดอย่างไร เพราะเป็นสิ่งที่มนุษย์เราสามารถตัดสินใจได้เมื่อเห็นเหตุการณ์อย่างนั้น แล้วควรทำอย่างไร สถานการณ์แบบนี้คิดว่าถ้าคนร่างกายดีๆมายืนเหยียบ ตอนนี้มันไอซียูแล้ว ยังไปยืนทับมันอีก ถ้านอกเขตอุทยานฯก็ต้องเป็นผู้ว่าฯ ดังนั้นหน่วยงานรัฐหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องมีมาตรการที่ชัดเจนออกมาและต้องทำอย่างจริงจังด้วย ซึ่งท้องถิ่นมีอำนาจเต็มที่อยู่แล้ว อาจจะเรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยด่วนและต้องตรวจตราดูแลอย่างจริงจังและเข้มงวด

"ส่วนข้อเสนอแนะแก้ไขปัญหา คือ
1.ปลูกปะการัง
2.สร้างปะการังเทียม ซึ่งต้องมีการศึกษาและพัฒนาให้ชัดเจน
3.แหล่งดำน้ำที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อให้คนออกจากแนวปะการังรวมทั้งต้องมีการ จำกัดคนหรือนักท่องเที่ยวด้วย" ดร.ธรณ์ ระบุ

นายชัยมงคล แย้มอรุณพัฒนา นักวิชาการประมง กลุ่มชีววิทยาและนิเวศวิทยาทางทะเลและชายฝั่ง สถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเล ชายฝั่งทะเล และป่าชายเลน ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า

หลังจากที่ทางสถาบันวิจัยฯ ได้รายงานถึงผลกระทบปะการังฟอกขาวรุนแรงไปแล้ว ตนได้พาสื่อมวลชนไปดูสถานการณ์ปะการังฟอกขาวบริเวณเกาะเฮและเกาะแอล ต.วิชิต อ.เมือง จ.ภูเก็ต และอยู่ใกล้กับสถาบันวิจัยฯ ซึ่งได้รับผลกระทบจากการฟอกขาวมากเช่นกัน

โดยมีปะการังที่ยังมีชีวิตประมาณ 10%

"เกาะเฮ" จัดว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวจะมาดำดูปะการังหนาแน่นมาก โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวเอเชีย มีสภาพปะการังในอ่าวที่ได้รับผลกระทบจากการท่องเที่ยวเยอะมาก ส่วนใหญ่เป็นปะการังโขด ปะการังเขากวาง ส่วนปะการังอ่อนก็มีแต่จะน้อยกว่า

ส่วนเกาะเฮและเกาะแอล จะอยู่ใกล้ชายฝั่ง ค่อนข้างตื้น นักท่องเที่ยวมาเที่ยวบางครั้งก็ลงไปเหยียบย่ำ รวมไปถึงการให้อาหารปลาต่างๆก็มีส่วนทำให้เกิดปะการังฟอกขาวได้เช่นกัน บางครั้งนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวเหนื่อยก็จะถือโอกาสยืนบนแนวปะการัง

นายชัยมงคล กล่าวว่า การฟอกขาวของปะการังมีหลายสาเหตุ โดยเฉพาะปัจจัยอุณหภูมิสูงขึ้นหรือจากมนุษย์

ปะการังเกิดการฟอกขาวถ้าไม่มีปัจจัยรบกวนอาจจะใช้เวลาแค่ 1 ปี หรือ 6 เดือนฟื้นสภาพ

แต่พอมีปัจจัยต่างๆจากฝีมือมนุษย์ทำ ก็ทำให้กระบวนการฟื้นของปะการังช้าลงแบบน่าใจหาย

อย่างปีนี้ทะเลฝั่งอันดามันของประเทศไทย การฟอกขาวของปะการังคาดการณ์ไว้ว่าการที่จะฟื้นกลับมาไม่ต่ำกว่า 3 ปี ซึ่งถือว่าเร็วแล้ว

ส่วนเรื่องการปิดอุทยานฯหรือปิดอ่าวนี้ควรจะ "ปิด" มานานแล้ว เพราะเริ่มเกิดและวิกฤตอย่างหนักและรุนแรงมากมาตั้งแต่ช่วงเดือนมี.ค.2553 แต่ตอนนี้เป็นช่วงไฮซีซั่นของฝั่งอันดามัน ที่นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกจะมาเที่ยวกันจำนวนมาก ถ้าจะปิดก็คงจะมีผลกระทบ

ในความเห็นของผมคิดว่าน่าจะมีมาตรการอะไรสักอย่างออกมาชัดเจนในเรื่องของการฟื้นฟู เพราะปะการังนั้นมันมีส่วนสำคัญต่อระบบนิเวศในทะเลเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เพิ่มรายได้ดึงเงินจากต่างประเทศเข้าประเทศไทยสูงมาก หากเราไม่เร่งฟื้นฟูหรือจัดการที่ดีแล้วมัน เหมือนกับเราทุบหม้อข้าวตัวเอง" นายชัยมงคล กล่าว




จาก ..................... ข่าวสด วันที่ 25 มกราคม 2554

angel frog 25-01-2011 09:42

นึกถึงจุดดำน้ำที่เรียกว่าแฟนตาซี สมัยก่อนสวยมากๆๆ ปะการังแน่นขนัดหลากหลายไปด้วยสรรพสิ่ง แต่พอพังเหลือแต่หินโล้นๆและเปลือกหอย ... แล้วจึงประกาศปิด

อย่าให้ทุกๆแห่ง กลายเป็นอดีต แล้วจึงประกาศปิด เลย

จุดดำน้ำที่ยังสมบูรณ์ พวกเก่าๆ คงพอรู้ๆกันอยู่ ไม่บอกใครหรอก เก็บไว้...... ตราบใดที่ภาครัฐยังไม่เข้มแข็ง ควบคุมทั้งเรือและนักดำน้ำไม่ได้ ก็ยังไม่น่าจะเปิดจุดใหม่ๆ ให้ไปกัน

สายชล 25-01-2011 12:54



เก็บที่สวยๆไว้เชยชมกันเองนิ....น้องกบ....;)


สายน้ำ 26-01-2011 07:27


ปิดแหล่งดำน้ำ 7 อุทยานฯ ........................ วินิจ รังผึ้ง

http://pics.manager.co.th/Images/554000001062701.JPEG

ผมเพิ่งกลับมาจากดำน้ำสำรวจแนวปะการังบริเวณหมู่เกาะสิมิลัน เกาะบอน เกาะตาชัย และกองหินริเชริว จังหวัดพังงา ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าน่าเศร้าใจครับที่ปะการังส่วนใหญ่ราวร้อยละ 70-80 ต้องตายไปเนื่องจากปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวอันเกิดจากอุณหภูมิของน้ำทะเลสูงขึ้นเกินกว่า 30 องศาเซลเซียสเป็นเวลานานถึง 2-3 เดือนเมื่อราวกลางเดือนเมษายน 2553 ที่ผ่านมา ทั้งที่ปรกติมันจะอยู่ราว 27-28 องศาเซลเซียส อันเป็นผลมาจากปรากฏการณ์เอลนีโญ่ ซึ่งนับเป็นปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวครั้งรุนแรงและกินพื้นที่กว้างขวางมากที่สุดของท้องทะเลทั้งฝั่งอ่าวไทยและฝั่งทะเลอันดามันเท่าที่เคยพบเห็นหรือเคยศึกษากันมา ปะการังเกิดการฟอกขาวเพราะสาหร่ายซูแซนเทลลี่ที่ผสมอยู่ในเนื้อเยื่อปะการัง มีหน้าที่สังเคราะห์แสงให้พลังงานแก่ปะการังเกิดทนอุณหภูมิที่เปลี่ยน แปลงอย่างมากมายไม่ไหว มันก็จะแยกตัวหลุดออกจากตัวปะการัง ที่สุดปะการังก็จะตายลง

ตอนนี้ปะการังที่ฟอกขาวเมื่อ 8-9 เดือนก่อนเหล่านั้นส่วนใหญ่ก็ตายสนิท เหลือไว้เพียงซากโครงสร้างปะการังที่เป็นหินปูนสีน้ำตาลดำโทรมๆ ดูเหมือนอาคารร้างที่ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่อาศัย เมื่อหมู่บ้านทั้งหมู่บ้าน เมืองทั้งเมืองเกิดพิบัติภัยจนผู้คนที่อาศัยอยู่ล้มหายตายจากไปเกือบหมด บ้านก็กลายเป็นบ้านร้าง เมืองก็กลายเป็นเมืองร้าง ชีวิตอื่นๆที่อาศัยกิ่งก้านปะการังอยู่ ก็ไม่สามารถจะอาศัยอยู่ได้ในบ้านร้าง ชุมชนร้าง ฝูงปลาเล็กๆ เช่นปลาทอง ปลาบู่ทะเล ปลาสลิดหิน ที่เคยอยู่อาศัยกันเป็นกลุ่มตามกอปะการัง กุ้ง หอย ปู ปลาขนาดเล็กๆ ที่เคยใช้ปะการังเป็นบ้าน ก็พลอยหายหน้าหายตาไปด้วย ปลาที่มีขนาดใหญ่กว่าที่เคยแวะเวียนเข้ามาหาปลาเล็กกินเป็นอาหารก็พลอยหายหน้าหายตา ล้มหายตายจากไปด้วยเพราะไม่มีอาหารจะกิน ทุกอย่างส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ถึงกันไปหมด

http://pics.manager.co.th/Images/554000001062702.JPEG

ความตายและการเสื่อมโทรมของแนวปะการังครั้งใหญ่ของทะเลไทยครั้งนี้ทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ได้ศึกษาข้อมูลร่วมกันแล้วก็ได้ประกาศปิดพื้นที่แหล่งดำน้ำบางจุดใน 7 อุทยานแห่งชาติงดกิจกรรมดำน้ำดูปะการัง เพื่อจะได้ไม่เป็นการเข้าซ้ำเติมธรรมชาติให้เสื่อมโทรมมากเข้าไปอีก โดยมีจุดดำน้ำที่ปิดให้ธรรมชาติพื้นฟูมีดังนี้
1. อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม จ.ตรัง บริเวณเกาะเชือก
2. อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเภตรา จ.สตูล บริเวณเกาะบุโหลนไม้ไผ่ เกาะบุโหลนรังผึ้ง
3. อุทยานแห่งชาติตะรุเตา จ.สตูล บริเวณเกาะตะเกียง เกาะหินงาม เกาะราวี หาดทรายขาว เกาะดง
4. อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะชุมพร บริเวณเกาะมะพร้าว
5. อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี บริเวณแนวปะการังบริเวณหินกลาง
6. อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ จ.พังงา บริเวณอ่าวสุเทพ อ่าวไม้งาม เกาะสตอร์ค หินกอง อ่าวผักกาด และแนวปะการังหน้าที่ทำการอุทยาน
7. อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน จ.พังงา บริเวณอ่าวไฟแว๊ป และอีส ออฟ อีเด็น

ในความเห็นของผมนั้นการจะประกาศปิดพื้นที่ส่วนใด เพื่ออะไร ควรจะมีการศึกษาให้ถ่องแท้เสียก่อนว่า การเข้าไปดำน้ำของนักดำน้ำโดยเฉพาะดำน้ำลึกแบบสกูบานั้น เข้าไปมีผลกระทบหรือสร้างความเสียหายกับแนวปะการังมากน้อยเพียงใด หรือนักดำน้ำและกิจกรรมดำน้ำนั้นเป็นเพียงจำเลย หรือข้ออ้างเพื่อเป็นทางออกของปัญหาเท่านั้น เพราะผมเชื่อว่านักดำน้ำแบบสกูบ้านั้นส่วนใหญ่ล้วนมีจิตใจที่จะช่วยกันดูแลรักษาแนวปะการังและโลกใต้น้ำด้วยกันทั้งนั้น ส่วนที่น่าเป็นห่วงก็คงเป็นทัวร์ดำน้ำตื้นแบบสนอร์เกิ้ลที่มีผู้คนหลากหลาย บางคนมีประสบการณ์ดำน้ำมาบ้าง บางคนไม่เคยลงดำน้ำมาเลย พอสวมเสื้อชูชีพได้สวมหน้ากากสนอร์เกิ้ลได้ก็ลงไปแหวกว่ายดำน้ำดูปะการัง พอเหนื่อยก็หาที่เยียบยืนเพื่อพักหายใจบนก้อนปะการัง บนโขดปะการัง ซึ่งจะทำให้ปะการังตายหรือแตกหักเสียหายได้ ยิ่งเมื่อแนวปะการังป่วยไข้เช่นในปัจจุบัน ก็ยิ่งมีความอ่อนไหวบอบบาง ดังนั้นแหล่งดำน้ำดูปะการังบริเวณน้ำตื้นๆที่นักท่องเที่ยวสามารถเยียบยืนถึงนั้น ก็ควรจะปิดและงดเว้นกิจกรรมบริเวณนั้นเสีย หรืออาจจะทำแนวทุ่นลอยป้องกันไว้ให้นักดำน้ำเข้าไปชมได้เฉพาะแนวระดับน้ำที่ต้องลอยตัวดูเท่านั้น

http://pics.manager.co.th/Images/554000001062703.JPEG

ปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวและล้มตายครั้งใหญ่ที่สุดครั้งนี้ นับเป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติครั้งร้ายแรงที่สุดที่เกิดขึ้นกับท้องทะเลไทย ซึ่งสาเหตุเกิดจากภาวะโลกร้อนที่มนุษย์ทุกคนบนโลกมีส่วนร่วมกันสร้าง ร่วมทำมันขึ้นมา เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่ใหญ่โตและรุนแรงเกินกว่าใครคนใดคนหนึ่ง หรือมาตรการเยียวยาเพียงมาตรการใดมาตรการหนึ่งจะสามารถแก้ไขได้ นอกจากความร่วมมือของเราทุกคนที่จะต้องช่วยกันลดภาวะโลกร้อนจากพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน ลดการใช้ทรัพยากรของโลกลง ลดการสร้างก๊าซเรือนกระจกอันเป็นปัจจัยสำคัญก่อให้เกิดภาวะโลกร้อน ส่วนหนทางที่จะช่วยเหลือฟื้นฟูแนวปะการังที่ดีที่สุดก็คือการให้เวลากับธรรมชาติ เพื่อปล่อยให้ธรรมชาติเยียวยารักษาตัวเองเท่านั้น มาตรการฟื้นฟูอื่นๆ เช่นแนวคิดการปลูกปะการัง หรือย้ายปะการังเข้าไปช่วยปลูกซ่อมแซมอย่างที่บางคนเสนอนั้น อย่าทำเลยครับ เพราะคงไม่สามารถช่วยอะไรกับท้องทะเลอันกว้างใหญ่ไพศาลได้ การตัดกิ่งปะการังจากที่หนึ่งเพื่อย้ายมาปลูกก็เหมือนการก่อให้เกิดการทำลายขึ้นใหม่ในจุดนั้น และเมื่อนำมาลงปลูกส่วนใหญ่ก็จะตาย และหากรอดได้ก็จะไม่แข็งแรงเหมือนอย่างที่ไข่ปะการังจากธรรมชาติจะเลือกทำเลฝังตัวและก่อเกิดขึ้นเป็นหมู่ปะการังและแนวปะการังอย่างที่เราเห็นกัน การปลูกปะการังนั้นไม่มีใครทำได้หรอกครับนอกจากท้องทะเลและธรรมชาติเท่านั้น

การเสนอปิดอุทยานทางทะเลแห่งนั้นๆไปเลยตามข้อเสนอของบางฝ่าย ซึ่งเป็นเสมือนการกันคนออกไปจากธรรมชาติอาจจะไม่ใช่หนทางแก้ไขที่ถูกต้อง แต่บางครั้งเมื่อคนไข้อาการหนักก็อาจจำเป็นต้องงดเยี่ยมกันบ้างเพื่อให้คนไข้ได้พักผ่อน ได้พักฟื้นร่างกายให้แข็งแรงเสียก่อน จึงค่อยเปิดให้เยี่ยมเยี่ยน การประกาศปิดเฉพาะจุดที่วิกฤตินั้นน่าจะเป็นวิธีการที่ถูกต้องเหมาะสมกว่า เพราะการประกาศปิดพื้นที่ทั้งอุทยานไม่ให้คนย่างกรายเข้าไปศึกษาเข้าไปท่องเที่ยวเลยนั้น เป็นการปิดกั้นไม่ให้ผู้คนเข้าไปรู้เข้าไปเห็นปัญหา ปิดกั้นไม่ให้ผู้คนเข้าไปมีส่วนร่วม ก็อาจจะทำให้คนที่รักและห่วงใยท้องทะเลไม่เห็นความสำคัญของปัญหาและอาจจะลืม เลือนเลิกคิดถึง เลิกห่วงใย เลิกเอาใจใส่ไปเลยก็เป็นได้ เมื่อท้องทะเลเกิดปัญหาเกิดวิกฤติ เราก็ควรจะใช้วิกฤติครั้งนี้สร้างจิตสำนึกให้ทุกฝ่ายร่วมกันมองเห็นความ สำคัญของปัญหา ร่วมกันปกป้องดูแลรักษาแนวปะการังและความอุดมสมบูรณ์ของท้องทะเล ใช้โอกาสให้นักดำน้ำที่เข้าไปดำน้ำในจุดที่ยังไม่ประกาศปิดมีส่วนช่วยกัน เป็นอาสาสมัครรายงานข้อมูลหรือภาพถ่ายการเปลี่ยนแปลง เพื่อศึกษาวิจัยถึงระยะเวลาของการฟื้นตัวของแนวปะการังและสรรพชีวิตใต้ท้องทะเล เพื่อนำมาเป็นประโยชน์ต่อแนวปะการังและท้องทะเลไทยต่อไปในอนาคตน่าจะเป็นทางออกที่ดีในยามนี้




จาก ..................... ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 25 มกราคม 2554

สายน้ำ 26-01-2011 07:29


งดดำน้ำในอุทยาน 7 แห่ง ฝ่าฝืนมีโทษปรับ

http://mcot-image01.mcot.gtis.co.th/...C2C23C2105.jpg

กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช เตือนนักท่องเที่ยวงดดำน้ำในเขตอุทยานแห่งชาติที่ประกาศทั้ง 7 แห่ง หากฝ่าฝืนมีโทษปรับสูงสุด ตั้งแต่ 1,000-10,000 บาท

นายศรัณย์ ใจสอาด ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 5 จังหวัดนครศรีธรรมราช กล่าวว่า ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติเข้มงวดในการปฏิบัติหน้าที่และตรวจตราไม่ให้มีนักท่องเที่ยวฝ่าฝืนลงดำน้ำในเขตอุทยานแห่งชาติที่ประกาศงดกิจกรรมดำน้ำทั้ง 7 แห่ง ในฝั่งอ่าวไทยและอันดามัน เพื่อให้ปะการังที่เสียหายฟื้นตัวกลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง โดยเร่งจัดทำทุ่นสีขาวล้อมรอบบริเวณจุดที่ประกาศงดกิจกรรมดำน้ำให้ครบทุกแห่ง พร้อมจัดทีมเรือลาดตระเวนไปยังจุดต่าง ๆและถอดทุ่นผูกเรือเพื่อไม่ให้เรือนักท่องเที่ยวมีจุดแวะพัก ซึ่งหากพบนักท่องเที่ยวลงดำน้ำในจุดดังกล่าว เจ้าหน้าที่จะเข้าไปตักเตือน และในสัปดาห์หน้าจะเริ่มทำการเปรียบเทียบปรับผู้ที่ฝ่าฝืนตั้งแต่ 1,000-10,000 บาท.




จาก ..................... ข่าว อสมท. MCOT News วันที่ 26 มกราคม 2554

สายชล 26-01-2011 07:35


ภาพจาก FB ของ ดร.เนะ นลินี ทองแถม

http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-..._3594539_n.jpg

"อุทยานประกาศปิดพื้นที่แนวปะการังบางส่วนแล้ว แต่ก็ยังมีการนำนักท่องเที่ยวเข้าไปดำน้ำเหมือนเดิม บรเวณหินกลาง หมู่เกาะพีพี ที่ๆเคยมีปะการังสวยที่สุดแห่งหนึ่ง ซึ่งตอนนี้เหลือปะการังไม่ถึง 30%

สังคมควรจะทำอย่างไรกับผู้ที่มีหน้าที่ดูแลพื้นที่ และผู้ประกอบการที่เห็นแก่ตัวเหล่านี้

ทำอย่างไรถึงจะรู้ว่าคนส่วนใหญ่ในสังคมรังเกียจพฤติกรรมของมัน..."


ดอกปีบ 26-01-2011 08:44

เราน่าจะช่วยกันรณรงค์โดยให้นักท่องเที่ยวหรือผู้ประสบเหตุการณ์อย่่างข้างบน รวบรวมภาพ หรือข้อมูล เอามาโพสผ่านสื่อให้เห็นกันชัดๆเลยทีเดียว ระบุ วันเวลาสถานที่เสร็จสรรพ

อย่างน้อยน่าจะกระตุ้นหน่วยงานที่รับผิดชอบให้ขยันตรวจตราสอดส่องได้บ้าง ..

สายชล 26-01-2011 09:38



อย่างที่น้องดอกปีบพูดนั้น ภาษาชาวบ้านเขาเรียกว่า "ประจาน" นะคะ

เห็นด้วยค่ะว่าเราไม่ควรจะนั่งดูเฉยๆ ปล่อยให้คนเห็นแก่ตัวมาทำลายทรัพยากรธรรมชาติของเรา โดยเราไม่ได้ทำอะไรเลย แล้วค่อยมานั่งเสียใจ เสียดายของดีๆในภายหลัง


sea addict 26-01-2011 10:29

ผมหวังเพียงว่าเมื่อประกาศปิดแล้วก็ขอให้ปิดได้จริงๆ ที่ผ่านมาผลงานจากการปิดจุดดำน้ำยัง

ไม่ค่อยดีนัก เพียงแฟนตาซีจุดเดียวยังมีการลักลอบดำกันบ่อยๆ โดยเฉพาะกลุ่ม VIP (Very

Idiot Porson) ทั้งหลาย ผู้ที่ให้ความสนใจในเรื่องนี้หลายคนอาจมีคำถามว่าการปิดจุดดำ

น้ำแล้วปะการังจะฟื้นตัวได้อย่างไร การดำน้ำแบบscuba มีผลกระทบต่อแนวปะการังจริงหรือ

ผมขออนุญาติอธิบายความเป็นส่วนๆตามความคิดของผมโดยอ้างอิงจากสิ่งที่ควรจะเป็นอีกที

1 ระดับการดำน้ำและจิตสำนึกอนุรักษ์ การดำน้ำแบบ scuba มีผลกระทบแน่นอน

โดยเฉพาะนักดำน้ำมือใหม่ๆ ซึ่งการทำ bouyancy control ยังไม่ดีนัก ซึ่งในพื้นที่ๆมี

ประกาศปิด มักจะเป็นแนวปะการังน้ำตื้นที่มีเซิร์จโยนตัวขึ้นลง โอกาสที่นักดำเหล่านี้จะสัมผัส

กระแทก หรือเตะฟินโดนปะการังจึงมีสูง และตราบใดที่ยังไม่สามารถจัด zone ดำน้ำโดย

จำกัดระดับหรือประสบการณ์ดำน้ำที่จะดำในแต่ละจุดได้ การที่จะเอานักดำน้ำที่ไร้ประสบการณ์

ไปดำน้ำในแหล่งปะการังที่มีความอ่อนไหวนั้น ถือเป็นความเสี่ยงต่อผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ใน

ส่วนของจิตสำนึกนั้นยิ่งเป็นความยากลำบากในการตรวจสอบ นักดำน้ำระดับครูอาจมีจิตสำนึก

ที่น้อยกว่าเด็กสมัยใหม่ก็ได้ ทั้งนี้การปิดไม่ให้มีกิจกรรมการดำน้ำไม่ว่าจะเป็น scuba หรือ

snorkel ในพื้นที่ที่มีความล่อแหลมต่อการเสื่อมโทรมควรจะเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการลด

ความเสี่ยงต่อแนวปะการัง

2 การทิ้งน้ำเสียหรือของเสียหรือกิจกรรมอื่นๆที่สืบเนื่องจากการดำน้ำ ตามที่กล่าวมา

ในข้อ 1 คือแนวปะการังแข็งที่ประกาศปิดส่วนใหญ่เป็นแนวปะการังน้ำตื้น แน่นอนเหลือเกินว่า

ความอ่อนไหวจะต้องสูง การสัมผัสน้ำทิ้งหรือของเสียเหล่านี้ย่อมง่ายกว่า ยกตัวอย่าง ในแนว

ปะการังที่น้ำลึกมาก หรือกองหิน การทิ้งน้ำเสียหรือของเสียลงจากเรือกว่าจะลงถึงผิวแนวก็จะ

โดนกระแสน้ำพัดไปไกลจากแนวแล้ว ส่วนในน้ำตื้นของเสียเหล่านี้จะตกลงบนแนวโดยที่กระแส

น้ำยังไม่สามารถพัดพาออกไปได้ นอกจากนี้ยามว่างจากการดำน้ำหรือเพื่อนๆที่ไม่ได้ดำน้ำ

อาจถือโอกาสให้อาหารปลาเพื่อคววามเพลิดเพลิน ปลากินสาหร่ายที่ปกคลุมปะการังก็มากิน

โต๊ะจีนและละเลยหน้าที่ตัวเอง เป็นผลกระทบหลายชั้นต่อแนวปะการัง การปิดพื้นที่ก็จะช่วย

ลดความเสี่ยงในส่วนนี้ลงไปได้ในระดับหนึ่ง

3 กิจกรรมดำน้ำบางลักษณะซึ่งต้องทำในบริเวณน้ำตื้นๆ และมีแนวปะการังโดยเฉพาะพื้นที่ๆ

ประกาศปิดนั้น เป็นอันตรายต่อแนวปะการังและรบกวนการใช้ชีวิตของสิ่งมีชีวิตในแนวปะการัง

เช่นกิจกรรม night dive ซึ่งโดยทั่วไปจะทำในที่ตื้น ซึ่งการดำน้ำในที่ตื้นนั้นปกติก็ส่งผล

กระทบอยู่แล้วยิ่งมาดำ night dive ซึ่งทัศนวิสัยจำกัดทำให้การควบคุมการลอยตัวก็ลำบาก

โดยเฉพาะพวกที่ลักไก่เอาเด็กนักเรียนลงดำ จะสร้างความเสียหายต่อแนวปะการังได้มาก เป็น

พิเศษ ในความเป็นจริงเรายังไม่มีความสามารถในการคัดกรองการลักไก่เช่นนี้ได้ ดังนั้นการปิด

พื้นที่เพื่อลดการกระทำเหล่านี้จึงเป็นสิ่งที่ควรทำ

4 การปิดพื้นที่ซึ่งหมายถึงการหยุดกิจกรรมทุกอย่างในพื้นที่นั้นที่ล้วนเป็นการลดผลกระทบ

ต่อแนวปะการังที่มาจากกิจกรรมของมนุษย์ แต่ในขณะเดียวกันก็ควรมีการเสริมกำลังในการ

ตรวจตรา และสนับสนุนให้มีการติดตามตรวจสอบหรืองานวิจัยควบคู่กันไป ไม่ใช่ปิดดำน้ำแล้ว

ไม่มีเจ้าหน้าที่คอยดูแล ก็หวานพวกประมงเขาล่ะ

และสุดท้ายอย่างที่ผมเคยบอกย้ำบ่อยๆคือปิดแล้วก็ต้องปิดให้จริง การช่วยลดผลกระทบ

เหล่านี้ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย อาจกระทบต่อผู้มีธุรกิจด้านนี้บ้างแต่ควรยอมเสียเล็กๆน้อยๆบ้าง

เพื่อให้วันข้างหน้าสิ่งเหล่านี้จะอยู่คู่ลูกหลานเราต่อไป ผู้ประกอบการบางท่านอาจมั่นใจใน

มาตรฐานการบริการ และจิตสำนึกการอนุรักษ์ของท่านเอง ซึ่งในส่วนนี้ผมก็อนุโมทนาด้วย แต่

ท่านอื่นๆที่ไม่เป็นอย่างท่านนั้นก็ใช่ว่าจะไม่มี ดังนั้นการปิดเพื่อป้องกันคนเหล่านี้ไม่ให้มาซ้ำ

เติมทรัพยากรจึงเป็นสิ่งควรทำครับ ผมจะยกตัวอย่าง มีคนดี 100 คนปลูกต้นไม้ 100 ต้นให้

โตขึ้นใช้เวลา 10 ปี แต่หากจะทำลายละก็ มีแค่คนชั่ว 1 คนก็สามารถตัดต้นไม้ทั้ง 100 ต้นลง

ได้ในเวลาแค่ 1 วัน ในหมู่ท่านทั้งหลายแน่ใจหรือว่าจะไม่มีคนชั่วแทรกซึมหากินอยู่ ดังนั้น

ช่วยๆกันเถอะครับเพื่อทะเลของเรา

สายชล 26-01-2011 11:17


ยอดเยี่ยมไปเลยค่ะน้อง sea addict.....เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งค่ะว่าปิดแล้วก็ขอให้ปิดจริงๆอย่าให้ใคร (ไม่ว่าจะวิเศษวิโสหรือใหญ๋แค่ไหน) เข้าไปทำกิจกรรมรบกวนแนวปะการังนั้นอีกเลย

น้อง sea addict ได้ยกตัวอย่างจุดดำน้ำ Fantasy Point ที่เกาะแปด สิมิลัน ซึ่งถูกประกาศปิดไปเมื่อ 3 ปีก่อน แต่ก็ยังมีคนเส้นใหญ่ขอลงดำอยู่เรื่อยนั้น เคยเห็นคนใช้เส้น ไปลงดำน้ำที่นี่แล้วมาคุยฟุ้งอวดคนอื่นแล้ว ก็รู้สึกทนไม่ได้เหมือนกัน

เราเองได้รับอนุญาตจากกรมอุทยานฯ ให้เข้าไปทำงานปล่อยสัตว์น้ำ เก็บขยะและตัดอวนในเขตอุทยานฯที่สิมิลัน แม้ว่าทางเจ้าหน้าที่จะอนุญาตให้เราลงดำน้ำที่ Fantasy Point ได้ เราก็ยังปฏิเสธที่จะลงดำน้ำ เพราะเกรงจะพลาดพลั้งไปทำร้ายแนวปะการังที่กำลังฟื้นคืนดี

ช่วยอะไรกันได้ก็รีบช่วยเถิดนะคะ...ก่อนที่จะไม่เหลือแนวปะการังสวยๆให้เราได้ชื่นชม....

angel frog 26-01-2011 12:09

พวกที่ เขาปิดแล้วยังไปแอบลงเนี๊ยะ น่าจะจับไปขัง แล้วลืมๆไปซะ 30 ปี ...นะ

สายน้ำ 26-01-2011 20:07


บทความของ อ.บอย ใน fb เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2554



ปะการังฟอกขาว เราช้าในมิติของการศึกษา การจัดการเตรียมรับสถานการณ์ และการจัดการทรัพยากร


วันนี้ มีข่าวกรมอุทยานฯ จะปิดอุทยานแห่งชาติ เป็นเรื่องฮือฮากันมาก

แต่สำหรับผม มันช้าไปหน่อย

นักวิชาการเตือนก่อนหน้านี้นานแล้ว ว่าสถานการณ์ปะการังฟอกขาววิกฤตมาก จะต้องรีบดำเนินการแก้ไขปัญหา แต่ในช่วงที่ผ่านมา กรมอุทยานฯเอง ก็ไม่มีความชัดเจนในการประเมินสภาพปัญหา และการรับรู้สภาพปัญหาเพื่อเตรียมการรองรับ

นักวิชาการพร้อมที่จะช่วยมาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม แต่ก็ได้แต่คุยกันไปมา

ในทางปฏิบัติไม่สามารถดำเนินการได้ เพราะไม่มีงบประมาณทำงาน

ทุกวันนี้ เราจึงยังไม่สามารถสำรวจได้ทุกพื้นที่

กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งมีงบประมาณก็ค่อยๆทำไป

แต่นักวิชาการที่พร้อมจะช่วยเหลือ ไม่มีงบประมาณ ได้แต่เฝ้าดู

เป็นเรื่องน่าเสียดาย เรามีคนพร้อมจะทำงาน แต่ไม่มีโอกาส


พวกเราจัดประชุมกันเพื่อระดมความคิดเห็นจากนักวิชาการทุกสถาบัน และออกเงินไปก่อนล่วงหน้า ตั้งแต่เดือนตุลาคม ชี้แจงให้เห็นปัญหาของปะการังฟอกขาว เงินที่สำรองจ่ายไปแล้ว เพิ่งจะออกมาจากกรมฯเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เป็นเงินของการประชุม ไม่ใช่เงินค่าใช้จ่ายในการสำรวจ การสำรวจก็ต้องออกไปเองก่อน แล้วค่อยตามเบิกทีหลัง

ในมิติของการเตรียมการรองรับสถานการณ์ เรารู้แล้วว่าสถานการณ์จะเลวร้าย ปะการังหลายบริเวณตายไปตั้งแต่เดือนกันยายน ตุลาคมที่ผ่านมา และเราก็ทำนายผลกระทบจากการท่องเที่ยวไว้แล้ว แต่ฝ่ายที่เกี่ยวข้องก็ไม่ได้เตรียมการอะไรเลยที่จะบรรเทาผลกระทบ เช่น ถ้าต้องปิดจุดดำน้ำ แล้วจะทำอย่างไรต่อ

ข้อเสนอแนะ เช่น การจัดทำปะการังเทียมเพื่อชดเชยแหล่งดำน้ำ ให้ปลาเข้ามาอยู่อาศัย ก็ยังถกเถียงกันว่า ปะการังเทียมเป็นสิ่งแปลกปลอม เป็นขยะ นักวิชาการในกรมอุทยานแห่งชาติ และกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ยังแบ่งเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งให้สร้าง อีกฝ่ายไม่ให้สร้าง

หรือ ถ้าเราต้องปิดอุทยานแห่งชาติจริงๆ ก็ไม่ได้หมายความว่า จะปิดทุกแห่ง แนวปะการังหลายบริเวณก็ยังอยู่ในสภาพที่ดี อย่างหมู่เกาะอาดัง ราวี ก็ยังมีสภาพที่ดีอยู่ ยังรองรับนักท่องเที่ยวได้ ยกเว้นบริเวณหาดทรายขาว ของเกาะราวี จะต้องปิด และต้องไม่ไปพัฒนาสิ่งก่อสร้างห้องน้ำ ห้องส้วม ร้านอาหาร ที่พัก ในบริเวณหาดทรายขาว ทุกวันนี้ หาดทรายขาวเปิดท่องเที่ยวกันอย่างไม่สนใจว่าแนวปะการังตรงนั้นตายไปแล้ว ต้องการการดูแลให้มันฟื้นตัวเอง ไม่ใช่การซ้ำเติม


หมู่เกาะสุรินทร์ ถือว่าวิกฤติหนักที่สุด ถ้าจะต้องปิดทั้งอุทยานฯก็ต้องปิด เพราะเสียหายมากที่สุด แต่ถ้ากลัวผลกระทบต่อธุรกิจท่องเที่ยว ก็ต้องกำหนดกิจกรรม กำหนดสถานที่ให้เหมาะสม


ส่วนสิมิลันนั้น จุดดำน้ำลึกยังพอมีให้ใช้ได้ แต่ไม่ทุกจุด และต้องควบคุมอย่างเข้มงวด อย่าไปสร้างปัญหาซ้ำเติม จากของเสียจากเรือ การเหยียบย่ำ การให้อาหารปลา การทิ้งเศษอาหารลงทะเล

ส่วนจุดดำน้ำตื้น และบริเวณที่เป็นแนวปะการังแข็งทั้งหมดของหมู่เกาะสิมิลัน ต้องปิด เช่น เกาะหนึ่ง เกาะสอง เกาะสาม ต้องปิดอยู่แล้วเพราะเป็นเขตสงวนอย่างเข้มงวด แต่ที่ต้องปิดเพิ่มเป็นการชั่วคราวอย่างน้อย 3 ปี ได้แก่ ทางฝั่งตะวันออกของเกาะแปด เกาะเจ็ด


หมู่เกาะพีพี ต้องปิดหลายบริเวณ เช่น บริเวณที่ตื้นของเกาะไผ่ เกาะกลาง แนวปะการังทางทิศตะวันออกของเกาะพีพีดอนตั้งแต่ใต้อ่าวต้นไทรไปจนถึงแหลมตง และอ่าวมาหยา เกาะพีพีเล

ในภาพรวมของการท่องเที่ยวทางฝั่งอันดามัน เราอาจจะต้องย้ายนักท่องเที่ยวลงไปทางหมู่เกาะอาดัง ราวี และใช้มาตรการต่างๆควบคุมไม่ให้นักท่องเที่ยวเข้าไปสร้างความเสียหาย ต้องส่งคนลงไปดูแลมากขึ้น เรือตรวจ ทุ่นจอดเรือ


ส่วนในมิติของการจัดการทรัพยากร...

วันนี้ ต้องยอมรับกันว่า ประเทศไทย ใช้คนที่ไม่มีความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ทางทะเล ไปบริหารจัดการแนวปะการัง อย่างเช่น แนวปะการังของประเทศอยู่ในอุทยานแห่งชาติเกือบครึ่ง

แต่ถามว่า วันนี้ เจ้าหน้าที่อุทยานฯ มีทีมงานที่รู้เรื่องแนวปะการัง และการจัดการแนวปะการังหรือเปล่า หัวหน้าอุทยานฯแห่งชาติ เข้าใจหรือเปล่าว่าจะจัดการแนวปะการังอย่างไร

ทุกวันนี้ ได้แต่บอกว่า รอนักวิชาการข้างนอกเข้าไปสำรวจ แต่ถามว่า มีงบประมาณให้นักวิชาการทำงานหรือเปล่า

แล้วทำไม เจ้าหน้าที่ประเมินสถานการณ์กันเองไม่ได้ แค่ลงน้ำไปก็รู้แล้วว่าปะการังตรงไหนตายบ้าง เว้นแต่ว่า ไม่มีคนที่รู้จักปะการังว่า ลักษณะไหนที่ยังมีชีวิต ลักษณะไหนที่ตายแล้ว และยังประกาศออกสื่อว่าปะการังหายจากการฟอกขาวแล้ว พร้อมรับนักท่องเที่ยว ทั้งๆที่ความจริง คือ ปะการังหายฟอกขาว แต่ตายแบบยืนต้น ตายเกือบหมดทั้งอ่าว

ในช่วงที่ผ่านมา นักวิชาการต้องขอเข้าไปดูไปศึกษา ออกเงินเข้าไปทำงานกันเองทั้งค่ารถ ค่าเรือ ค่าใช้จ่ายต่างๆ และเมื่อมีข้อมูลออกมาแล้วก็ไม่มีใครสนใจ จนกระทั่งนักท่องเที่ยวเข้าไปเห็นเอง เผยแพร่ออกมาตามสื่อต่างๆ เจ้าหน้าที่ถึงได้มีการตื่นตัว


การบริหารจัดการอุทยานแห่งชาติในทุกวันนี้ เราเน้นแต่การบริหารจัดการคน บริหารจัดการนักท่องเที่ยว บริหารจัดการเงินรายได้ต่างๆ ทำอย่างไรให้นักท่องเที่ยวพึงพอใจ ทำอย่างไรจะมีนักท่องเที่ยวมาพัก แล้วเกิดความสบาย ทำอย่างไรให้นักท่องเที่ยวมีอาหารทะเลกิน และทำอย่างไรถึงจะเก็บเงินค่าธรรมเนียมต่างๆ เข้ารัฐ และยังค่าอาหาร ค่าที่พัก ที่อยู่นอกระบบอีกเท่าไร การพัฒนาบนเกาะต่างๆเกิดขึ้นมากมายเพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว และมีเป้าหมายเพื่อหารายได้ แต่ทรัพยากรใต้น้ำ ไม่ค่อยสนใจจะดูแล

ที่ร้ายที่สุด คือ การพัฒนาต่างๆของอุทยานแห่งชาติเอง ที่สร้างผลกระทบต่อระบบนิเวศแนวปะการัง ไม่ว่าจะเป็นกิจการร้านอาหาร ที่พัก ห้องน้ำ ห้องส้วม ที่อยู่บนเกาะที่มีแนวปะการัง ล้วนแล้วแต่สร้างปัญหาให้กับคุณภาพน้ำทะเลของแนวปะการังทั้งสิ้น หาดทรายขาวที่เกาะราวี อช. ตะรุเตา เป็นตัวอย่างล่าสุดที่ผมเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน

สุดท้าย อยากทราบจริงๆ ว่า.... กรมอุทยานแห่งชาติ มีแนวทางการคัดเลือกหัวหน้าอุทยานแห่งชาติทางทะเลต่างๆอย่างไร คนที่จะมาเป็นหัวหน้าอุทยานแห่งชาติทางทะเล ควรมีความรู้และประสบการณ์อะไรบ้าง

ทุกวันนี้กลายเป็นว่า ส่งใครก็ได้ที่สามารถบริหารจัดการคน และงบประมาณเข้าไปเป็นหัวหน้าอุทยานแห่งชาติทางทะเล


น่าเสียดายที่เราจำใจ... ต้องฝากฝังทรัพยากรธรรมชาติที่ดีที่สุดของประเทศและภูมิภาค ..... ไว้ในมือของกลุ่มคนที่ไม่รู้จักแนวปะการังเลย


Thoto_Dive 26-01-2011 21:10

ผมมีโอกาสได้ไปนั่งฟังการสัมนาเรื่อง "วิกฤติทรัพยากรธรรมชาติแหล่งท่องเที่ยว : สิทธิและทางออกเพื่อความยั่งยืน"
โดยมีผู้แทนจากอธิบดีกรมอุทยาน ท่านมาเพื่อตอบปัญหาปะการังฟอกขาวโดยเฉพาะ แค่ประโยชน์ที่ท่านแนะนำตัวก็ทำให้ผมสั่นสะท้าน

"ผมเป็นอดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติ หมู่เกาะเสม็ดและเกาะช้าง"

คงไม่เอ่ยต่อ แค่จินตนาการ หมู่เกาะสุรินทร์และสิมิลัน กลายเป็นแบบเกาะเสม็ดกับเกาะช้าง!!!!

สายน้ำ 27-01-2011 06:50


ชี้ปิดเขตอุทยานฯป้องกันแนวปะการัง ท่องเที่ยวป่วน


นายนพดล ทองเกิด ประธานชมรมผู้ประกอบการท่องเที่ยวเกาะพีพี จ.กระบี่ กล่าวถึงกรณีที่ทางกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช เตรียมที่จะปิดอุทยานบางแห่งในพื้นที่ฝั่งอันดามัน โดยเฉพาะพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวสำคัญเพื่อป้องกันแนวปะการังเสียหาย หลังเกิดปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาว ทำให้ปะการังได้รับความเสียหายหลายแห่ง โดยในส่วนของจังหวัดกระบี่ เช่น ที่อ่าวมาหยา และอ่าวต้นไทร ซึ่งอยู่ในพื้นที่ของเกาะพีพี และเป็นแหล่งดำน้ำดูปะการังที่ขึ้นชื่อ

ประธานชมรมผู้ประกอบการท่องเที่ยวเกาะพีพีกล่าวว่า การประกาศปิดแหล่งดำน้ำดูปะการังในเขตอุทยานฯ จะส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวของเกาะพีพีและจังหวัดกระบี่อย่างแน่นอน เพราะนักท่องเที่ยวที่มาเกาะพีพี ส่วนใหญ่จะเดินทางไปที่อ่าวมาหยา ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมากที่สุด และบริเวณดังกล่าวก็มีปะการังน้ำตื้นที่สวยงามอยู่เป็นจำนวนมาก ประกอบกับขณะนี้เป็นช่วงฤดูการท่องเที่ยว มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะที่อ่าวมาหยา เฉลี่ยวันละ 800-1,000 คน หากมีการปิดอุทยานฯ ก็จะส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวแน่นอน “การปิดอุทยานฯ ไม่ให้นักท่องเที่ยวเข้า ไม่ใช่เป็นการแก้ปัญหาที่ถูกต้อง เพราะเท่าที่ตนติดตามข่าวสารมาโดยตลอดพบว่าปะการังเสียหาย เกิดขึ้นมานานกว่า 1 ปี แล้ว ทำไมทางอุทยานฯไม่ปิดในตอนนั้น กลับมาปิดในช่วงฤดูการท่องเที่ยว ซึ่งตนเห็นว่ามีเรื่องอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยแน่นอน

ขณะที่นายอิทธิฤทธิ์ กิ่งเล็ก นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดกระบี่ กล่าวทำนองเดียวกันว่า ในส่วนของสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดกระบี่ ไม่เห็นด้วยเช่นกันที่กรมอุทยานฯจะปิดอุทยานฯในฝั่งอันดามัน โดยเฉพาะในพื้นที่เกาะพีพี ทางออกที่ดีที่สุดเพื่อให้ปะการังอยู่รอด ธุรกิจท่องเที่ยวอยู่ได้ ควรจะมีการแบ่งโซนพื้นที่ให้นักท่องเที่ยวเข้าไปท่องเที่ยว โดยการสลับหมุนเวียนกัน ไม่ใช่ปิดพร้อมกันทุกจุด เนื่องจากแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลสำคัญส่วนใหญ่ของจังหวัดกระบี่อยู่ในเขตอุทยานฯ นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดกระบี่ กล่าวด้วยว่า นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในจังหวัดกระบี่ จะเดินทางไปท่องเที่ยวทางทะเล ดำน้ำดูปะการัง และพักผ่อนตามชายหาด หากว่าทางกรมอุทยานฯประกาศปิดอุทยานฯ ก็จะส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวของจังหวัดกระบี่โดยตรง และเชื่อว่าผลที่ตามมาจากการปิดอุดทยานฯ จะทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวหายไป ประมาณ 50-60 เปอร์เซ็นต์ เพราะไม่รู้จะมาดูอะไร.




จาก ..................... เดลินิวส์ วันที่ 27 มกราคม 2554

สายชล 27-01-2011 07:48



ที่กระบี่....เขาสั่งปิดเฉพาะที่หินใหญ่เท่านั้นนี่คะ.....ไหง๋ไพล่ไปพูดถึงปิดอ่าวมาหยาและอ่าวต้นไทรด้วยล่ะนี่....:confused:


อืมมมม.....แต่ที่มาหยากับอ่าวต้นไทรมันก็น่าจะปิดจริงๆซะด้วยสิคะ....:p


moeak 27-01-2011 09:13

เมื่อวานดูข่าว เห็นเจ้าหน้าทีกำลัง วางทุ่นปิดไม่ให้ใช้พื้นที่

ก็ยังมีเรือพาคนไปลงต่อหน้าต่อตา แต่ก็โดนปรับ ไปคนละ 500 บาท เอง

น่ามีบทลงโทษไอคนพาไปหนักหน่อยนะ

ดอกปีบ 27-01-2011 10:31

อาจารย์ศักดิ์อนันต์พูดได้ตรงประเด็นมากเลยครับ .. และผมก็เห็นแบบนั้นเสียด้วย

ส่วนเรื่องการท่องเที่ยวนั้น ผมว่านักท่องเที่ยวส่วนใหญ่รวมถึงตัวผมด้วย ลืมไปว่าทะเลหรือทรัพยากรธรรมชาติทุกอย่างมัีนละเอียดอ่อนกว่าที่เราคิดมากนัก

ปรากฎการณ์ปะการังฟอกขาวครั้งนี้น่าจะสะท้อนหลายๆเรื่องว่า ต้องมีการจัดการการท่องเที่ยวกันอย่างเป็นระบบและอนุรักษ์มากขึ้น รวมถึงมีการคัดเลือกบุคคลกรที่เหมาะสมในทุกๆเรื่องจริงๆ

สายชล 27-01-2011 12:38



เรื่องการใช้บุคคลากรให้ถูกคนถูกเรื่องนี่ เป็นปัญหาใหญ่จริงๆในทุกองค์กรนะคะ อย่างไรก็ตาม จะเสนอเรื่องนี้ให้ที่เวทีเสวนาเรื่องปะการังฟอกขาวไว้ด้วยค่ะ...น้องปี๊บ


สายน้ำ 28-01-2011 07:57


"ปะการังฟอกขาว" สร้างโอกาสจากวิกฤตเพื่อท้องทะเลไทย ...................... โดย ปิ่น บุตรี

http://pics.manager.co.th/Images/554000001268001.JPEG

“ปะการัง...ปะการัง...งามล้ำค่า ช่วยกันรักษา...
เจ้าไข่มุกเอเซีย ต้องเสียหาย
โอ้ปักษ์ใต้บ้านเรา นั้นแย่แล้ว
ใต้ทะเลไม่เหลือ ไม่เห็นแนว
พังระเบิดเป็นแถว ปะการัง...”

เพลง“ปะการัง” ของวง“ซูซู” ดูจะ เข้ากับบรรรยากาศของสภาพปะการังในบ้านเราช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาไม่น้อยเลย เพียงแต่ว่างานนี้เปลี่ยนบริบทจากการถูกระเบิดทำลายกลายมาเป็น วิกฤตการณ์ “ปะการังฟอกขาว”แทน


ปะการังฟอกขาว ใครทำ???

ปะการังฟอกขาว เกิดจาก“สาหร่ายซูแซนเทลลี่”ที่ อาศัยอยู่ภายในเนื้อเยื่อปะการังซึ่งทำหน้าที่สร้างสีสันและสังเคราะห์แสง ให้พลังงาน แยกตัวออกมา ทำให้ตัวปะการังสีซีดลงกลายเป็นเนื้อเยื่อใสๆคล้ายวุ้นคลุมส่วนโครงสร้างที่ เป็นหินปูน มองเห็นเป็นสีขาว เทา หรือน้ำตาล

สาเหตุหลักในการเกิดปะการังฟอกขาวมาจากอุณหภูมิของน้ำทะเลสูงขึ้น เกินกว่าปกติ ซึ่งโดยปกติอุณหภูมิของน้ำทะเลจะอยู่ที่ 28-29 องศาเซลเซียส แต่ถ้าอุณหภูมิน้ำทะเลเกิดสูงเกิน 30.1 องศาเซลเซียส เป็นระยะเวลาเกิน 3 สัปดาห์ขึ้นไป ปะการังจะปรับทำตัวให้เกิดปะการังฟอกขาวขึ้นมา

ในอดีตปะการังฟอกขาวตามธรรมชาติจะสัมพันธ์กับปรากฏการณ์เอลนีโญที่เกิดการเปลี่ยนแปลงของกระแสน้ำในมหาสมุทร ครั้นเอลนีโญผ่านพ้นไปปะการังก็จะใช้เวลาพักฟื้นแล้วกลับมามีสีสันสวยงามอีกครั้ง โดยบ้านเราในช่วงปี พ.ศ. 2540-41 ก็เคยเกิดปะการังฟอกขาวที่ค่อนข้างรุนแรงเหมือนกัน แต่นั่นยังไม่เท่ากับการเกิดปะการังฟอกขาวในปัจจุบันที่เป็นข่าวฮือฮาในทุกวันนี้

ปะการังฟอกขาวหนนี้ไม่ได้เกิดเฉพาะในเมืองไทยเท่านั้น หากแต่เกิดขึ้นไปทั่วแถบภูมิภาคมหาสมุทรอินเดีย ทั้งอินเดีย ศรีลังกา มัลดีฟ ซีเชลส์ พม่า มาเลเซีย อินโดนีเซีย

ส่วนที่เกิดบ้านเรานั้นถือว่าถือว่ารุนแรงที่สุดในประวัติการณ์ เป็นวิกฤตปะการังฟอกขาวที่มีมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2553 ขยายต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้ ถ้าไม่หาทางป้องกันเยียวยาให้ดี ผลที่เกิดขึ้นตามมาคือ มันไม่ได้เกิดเฉพาะแค่ปะการังตายเท่านั้น หากแต่มันกระทบต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ ทั้งทำให้จำนวนปลาลดลง ส่งผลต่อไปยังเรื่องของการประมง แหล่งอาหารทางทะเลของมนุษย์ การท่องเที่ยว การกัดเซาะชายฝั่ง รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศทางทะเลด้วย

สำหรับการเกิดวิกฤตปะการังฟอกขาวครั้งนี้ ทั้งนักวิทยาศาสตร์ นักวิชาการ ผู้รู้ ต่างออกมาให้ความเห็นในทำนองเดียวกันว่า

...การเกิดปะการังฟอกขาวในครั้งนี้ เกิดจากเอลนีโญที่มาจากสภาวะโลกร้อนเป็นหลัก...

แล้วสภาวะโลกร้อนที่เกิดขึ้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหนทำ หากแต่มาจากน้ำมือมนุษย์เรานั่นเอง


ปะการังฟอกขาวย้อนคืนสู่มนุษย์

ช่วงปะการังฟอกขาวเริ่มเป็นข่าวดัง ผมกำลังเริงร่าล่องใต้ทัวร์มาราธอนตามหมู่เกาะท้องทะเลในอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม หมู่เกาะเภตรา และหมู่เกาะตะรุเตา แห่งท้องทะเลอันดามันระหว่างทะเลตรังกับทะเลสตูลอยู่พอดี

ครั้นพอกลับขึ้นมากรุงเทพฯมีหลายคนคนถามว่า “ทะเลอันดามันไปเที่ยวได้หรือ เห็นข่าวออกมาว่าเขาปิดอุทยานฯหลายที่หนิ”

เอ้า...กลายเป็นเรื่องปิดอุทยานแห่งชาติทางทะเลหลายแห่งไปเสียฉิบ ทั้งที่ความจริงอุทยานฯทางทะเลยังเที่ยวได้ตามปกติ เพียงแต่ว่าทางกรมอุทยานฯเขาประกาศ “งดกิจกรรมดำน้ำบางจุด”หรือพูดง่ายๆว่า“ปิดพื้นที่ดำน้ำบางจุด”ในอุทยานฯทาง ทะเลบางแห่ง ย้ำนะครับว่า“ปิดพื้นที่ดำน้ำบางจุด” ไม่ได้ปิดอุทยานฯ ห้ามคนเข้าไปเที่ยวแต่อย่างใด นอกจากนี้กิจกรรมทางทะเลทั่วไป เช่น เล่นน้ำชายฝั่ง เดินชายหาด ชมทิวทัศน์ ท่องราตรี(ในบางพื้นที่) หรือดำน้ำในจุดที่อนุญาตไม่ใช่จุดต้องห้าม ก็ยังคงสามารถทำได้ตามปกติ

โดยอุทยานฯที่ทำการปิดพื้นที่ดำน้ำบางจุด ณ เวลานี้ มี 7 อุทยานฯด้วยกัน ได้แก่
1. อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม จ.ตรัง บริเวณเกาะเชือก
2. อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเภตรา จ.สตูล บริเวณเกาะบุโหลนไม้ไผ่ เกาะบุโหลนรังผึ้ง
3. อุทยานแห่งชาติตะรุเตา จ.สตูล บริเวณเกาะตะเกียง เกาะหินงาม เกาะราวี หาดทรายขาว เกาะดง
4. อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะชุมพร บริเวณเกาะมะพร้าว
5. อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี บริเวณแนวปะการังบริเวณหินกลาง
6. อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ จ.พังงา บริเวณอ่าวสุเทพ อ่าวไม้งาม เกาะสตอร์ค หินกอง อ่าวผักกาด และแนวปะการังหน้าที่ทำการอุทยาน
7. อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน จ.พังงา บริเวณอ่าวไฟแว๊ป และอีส ออฟ อีเด็น

อย่างไรก็ดีการเลือกปิดพื้นที่ดำน้ำบางจุดของกรมอุทยานฯ วัตถุประสงค์เท่าที่ผมจับจากข่าวก็เพื่อไม่ให้คน(นักท่องเที่ยว)เข้าไปซ้ำ เติมเหตุการณ์ให้มันเสื่อมเร็วและแย่ลงมากขึ้น เพราะหากเป็นปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวตามธรรมชาติปกตินั้นมันสามารถฟื้นตัวได้ อย่างเร็วอาจแค่ 1 ปี อย่างช้าอาจถึง 5 ปี

แต่กลับวิกฤตปะการังฟอกขาวครั้งนี้ยังไม่มีใครสรุปได้ว่าจะใช้เวลาฟื้นตัวแค่ไหน ยิ่งถ้าไม่หาทางป้องกันเยียวยาให้ดี ผลที่เกิดขึ้นตามมา มันไม่ได้เกิดเฉพาะแค่ปะการังตายจำนวนมากเท่านั้น หากแต่มันส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศทางทะเลและเกิดผลกระทบอื่นตามมา ทั้งทำให้จำนวนปลาลดลง แหล่งอาหารทางทะเลของมนุษย์ร่อยหรอ และส่งผลต่อไปยังเรื่องของการประมง การท่องเที่ยว ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง

เรียกว่าเมื่อมนุษย์เป็นตัวเอี่ยวสำคัญในการก่อวิกฤต ผลเอี่ยวจากการกระทำมันก็ย้อนศรกลับมากระทบต่อมนุษย์เราแบบไม่มีทางหลีกเลี่ยง


สร้างโอกาสจากวิกฤต

แม้วิกฤตปะการังฟอกขาวที่เกิดขึ้นจะอยู่ในขั้นรุนแรง แต่เราไม่ควรตื่นตระหนกจนเกิดเหตุ หากแต่ควรตื่นตัวต่อสภาวะโลกร้อนและปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้น เพราะปัญหาทะเลไทยที่ผ่านมามาได้มีเฉพาะเรื่องปะการังฟอกขาวเท่านั้น แต่มันมีมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการกัดเซาะชายฝั่ง การจับสัตว์น้ำแบบเกินพอดี การระเบิดปลา ทำลายปะการัง การลักลอบนำปะการังไปขาย การทำอวนลาก อวนรุน การพัฒนาเมือง พัฒนาทางวัตถุโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ฯลฯ

ในขณะที่ถ้าโฟกัสให้แคบลงมาเฉพาะในมิติของการท่องเที่ยว ที่ผ่านมาท้องทะเลไทยเราได้รับผลกระทบจากภาคการท่องเที่ยวไม่น้อยเหมือนกัน ทั้งจาก นายทุนบุกรุกท้องทะเลสร้างรีสอร์ท โรงแรม การปล่อยน้ำเสีย ขยะ ตะกอน ของผู้ประกอบการลงสู่ทะเล การมักง่ายทิ้งขยะลงทะเลของนักท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวดำน้ำตื้นไปเหยียบยืนทำลายปะการังจนตายทั้งพวกที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์และพวกที่ตั้งใจ เรือนำเที่ยวทิ้งของเสียลงทะเล หรือแม้กระทั่งการรับใต้โต๊ะของเจ้าหน้าที่อุทยานฯบางคนดังที่ปรากฏเป็นข่าว

ซึ่งจากเหตุการณ์ครั้งนี้นอกจากการปิดพื้นที่ดำน้ำบางจุดแล้ว ผู้เกี่ยวข้องควรให้ข้อมูลกับนักท่องเที่ยวในเรื่องปะการังฟอกขาว สร้างจิตสำนึกการท่องเที่ยวอย่างถูกวิธีที่แม้จะต้องพูดแล้วพูดอีกพูดซ้ำพูดซากก็คงต้องทำกันต่อไป เพราะหากนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ยังคงเที่ยวกันแบบไร้สำนึก ทิ้งขยะ ของเสียลงทะเล ขโมยเก็บทรัพยากรนำกลับมา ไปเหยียบยืนบนปะการัง ไม่ว่าปะการังฟอกขาวหรือปะการังดีมันก็ถูกทำลายไม่ต่างกัน

และภาครัฐ นับแต่นี้ไปคงต้องเอาจริงเอาจังต่อการปฏิบัติหน้าที่กันเสียที ผู้ประกอบการคนใดไม่ปฏิบัติตามกฎหมายของอุทยานฯ หากถูกจับได้ ต้องจัดการให้เด็ดขาด อย่าให้เอาเยี่ยงอย่าง เจ้าหน้าที่คนไหนทุจริตคอร์รัปชั่นต้องไล่ออกอย่าให้เป็นเยี่ยงอย่าง นายทุนคนไหนรุกล้ำที่ทั้งทางบกทางทะเลต้องอย่าปล่อยไว้ แม้หลายคนจะใหญ่มากเป็น“ตอยักษ์”ไม่สามารถจัดการได้ก็ต้องหาลู่ทางทำให้สื่อ ให้สังคมรับรู้ เพื่อสกัดยับยั้งไม่ให้เชื้อชั่วขยายผล

ส่วนทางด้านผู้ประกอบการท่องเที่ยวก็ต้องไม่ทำมาหากินแบบละโมบ แต่เน้นที่ความยั่งยืนแทน และต้องให้ความร่วมมือปฏิบัติตามกฎหมาย ข้อบังคับต่างๆ รวมถึงช่วยดูและตักเตือนนักท่องเที่ยวที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์หลงทำผิดไปบ้าง

นอกจากนี้อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือเรื่องของการบริหารจัดการการท่องเที่ยว การการจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวพักค้างบนอุทยานฯ จำกัดจำนวนคนดำน้ำในพื้นที่สุ่มเสี่ยงหลายจุด เป็นต้น

สำหรับเรื่องเหล่านี้แม้อาจดูฝันเฟื่อง เป็นอุดมคติ แต่อย่างน้อยการที่พวกเราโดยเฉพาะผู้เกี่ยวข้องได้ทำอะไรบ้างในทางที่ช่วยให้ดีขึ้น

มันย่อมดีกว่าการไม่ทำอะไรเลย




จาก ..................... ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 28 มกราคม 2554

KENG@SK 28-01-2011 20:51

เห็นด้วยครับเรื่องเพิ่มโทษคนละเมิดกฏปิดอุทยานให้หนักขึ้นไม่งั้นเดี๋ยวก็จะทำซ้ำอีกให้ดีเพิ่มโทษแบนเรือห้ามเข้าอุทยานไปเลยก็ดี(ได้มั้ยเนี่ย:confused:)

อ้างอิง:

ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ สายชล (โพส 22866)


ขอบคุณล่วงหน้าค่ะน้องเก่ง....:)


ครับแต่คงได้มาแต่ปะการังน้ำตื้นนะครับเพราะผมยังไม่ได้ว่างเรียนสกูบาซะทีรอบนี้เลยจะดำแบบฟรีสกินไปก่อน:D


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 21:34

vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2025, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger