![]() |
|
|
|
|
|
|
|
เห็นบทความของอาจารย์ศักดิ์อนันต์ในเฟซบุ๊ค เลยของอนุญาตนำมาลงไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ ความเห็นของอาจารย์น่าสนใจเหมือนเดิมครับ ..
ที่มา ..http://www.facebook.com/home.php#!/n...00000708994198 Top down policy เส้นทางที่ไม่เดินไปตามระบบ แต่จำเป็นในสถานการณ์เร่งด่วน by Sakanan Plathong on Wednesday, February 2, 2011 at 8:07am เรื่องปะการังฟอกขาวที่นักวิชาการเสนอสู่นายกรัฐมนตรี.. อย่าเพิ่งเชื่อว่ามันจะได้เป็นอย่างที่คาดหวัง สิ่งที่พวกเราทำเป็นเพียงกระบวนการหนึ่งของอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องทำ ที่ผ่านมาพวกเราก็อยากเห็นกระบวนการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเดินไปตามขั้นตอนของระบบต่างๆ ข้อมูลจากการทำงานของเจ้าหน้าที่ที่รู้สถานการณ์ดี เสนอแนะการแก้ไขปัญหา ขึ้นไปสู่ผู้บริหารระดับต่างๆ เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาอย่างทันสถานการณ์ แต่ที่ผ่านมา ..มันก็เห็นแล้วว่า มันไปได้ช้ามาก มีขั้นตอน และวัฒนธรรมองค์กร ค่อยฉุดรั้งไม่ให้มันเดินไปเร็วอย่างที่ควรจะเป็น ดังนั้น การทำงานในรูปแบบนี้ จึงเป็นเหมือนการข้ามขั้นตอนของระบบ นำเสนอขึ้นไปสู่ผู้บริหารระดับสูงสุดของประเทศโดยตรง เพื่อให้สั่งการมาจากด้านบน ซึ่งตามหลักการมันไม่ควรเป็นอย่างนี้ นายกรัฐมนตรี ไม่ควรต้องมาสั่งการงานที่หน่วยงานที่มีหน้าที่ปฏิบัติต้องทำอยู่แล้ว ท่านนายกฯ บอกว่า "กฎหมายมันมีอยู่แล้ว หน่วยงานที่รับผิดชอบ มีหน้าที่ต้องทำอยู่แล้ว" แต่การให้ผู้บริหารระดับสูงได้รับทราบปัญหาดีในด้านการผลักดันในระดับนโยบาย เร่งด่วน และการจัดการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างในระยะยาวของประเทศ ท่านนายก ก็เพิ่งทราบว่า เรามีแผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการแนวปะการังของประเทศ ที่นักวิชาการช่วยกันคิดมานาน ที่ควรออกมาเป็นมติคณะรัฐมนตรี ท่านก็กำชับให้เลขาฯของท่าน ตามเรื่องไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทันที และเรื่องราวอีกหลายเรื่องที่ท่านได้รับทราบ แต่ที่สุดแล้วการทำงานระดับปฏิบัติ มันก็จะกลับไปที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอยู่ดี เพราะ ไม่ใช่หน้าที่ของ นายกรัฐมนตรีของประเทศไทย ที่จะไปบอกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้จัดทำแนวเขตห้ามเข้าบริเวณที่น้ำตื้น จนเหยียบปะการัง ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องป้องกันเรือลักลอบทำการประมงในเขตอุทยานฯแห่งชาติ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องออกมาตรการและระเบียบเรื่องการปล่อยน้ำทิ้งลงสู่ แนวปะการัง การป้องกันตะกอนที่ไหลลงแนวปะการัง และอื่นๆ อีกหลายข้อที่เป็นข้อจุกจิกในเชิงเทคนิค และแม้แต่เรื่องที่อุทยานแห่งชาติทางทะเลควรจะมีผู้เรื่องทะเลไปปฏิบัติงาน เรื่องเหล่านี้เป็นหน้าที่ของหน่วยงานต่างๆ ที่ต้องทำ ดังนั้น.. ก็ยังคงต้องช่วยคิดอยู่ดีว่า สิ่งที่อยู่ในมือนายกรัฐมนตรี มันจะเดินทางไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้วยขั้นตอนอย่างไร |
ขอรายงานต่อจากของอาจารย์งบอยอีกนิดหน่อย.....
สิ่งหนึ่งที่เห็นผลทันทีที่ได้เข้าพบท่าน เมื่ออาจารย์ธรรมศักดิ์ได้พูดถึงแผนยุทธศาสตร์ และแผนปฎิบัติการ บริหารจัดการแนวปะการัง ที่ได้จัดทำขึ้นมาโดยนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญ (ดูตามลิงค์ http://61.19.55.253/omcrc/ebookdetail.php?book_id=00020) ซึ่งทำไว้ตั้งแต่ 5 ปี ที่แล้วแล้ว แต่ไม่สามารถทำไปผ่านการพิจารณาเพื่อนำมาปฎิบัติใช้ได้ เมื่อท่านนายกฯ ได้ทราบ ท่านก็ได้ให้ฝ่ายเลขาฯโทรมาสอบถามหลังจากเข้าพบท่านแล้ว เพื่อที่จะสอบถามรายละเอียดและจะได้สั่งการให้ไปตรวจสอบว่า และหวังว่าท่านคงจะช่วยผลักดันให้ได้ใช้แผนฯ เพิ่ออย่างน้อยให้เราได้มีแผนการจัดการที่รูปธรรมมากกว่าปัจจุบันนี้..... ทุกสิ่ง ทุกอย่าง ที่ทุกคนที่ได้ทั้งร่วมแรงและร่วมใจทำ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะมีผลอย่างไร มันจะไม่มีวันสูญเปล่า.... |
ในวงการดำน้ำ....เราถือว่าการวางแผนการดำน้ำเป็นสิ่งสำคัญ เพราะการวางแผนที่ดีจะทำให้การดำน้ำปลอดภัย มีความสุขสนุกสนาน ลดปัญหาข้อติดขัดต่างๆไปได้มากมาย จนเรามี Slogan ดีๆเดี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ว่า "Plan Your Dive,then, Dive Your Plan" หากทางราชการมี "แผนยุทธศาสตร์และแผนปฎิบัติการ บริหารจัดการแนวปะการัง" แต่มิได้นำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ อีกทั้งพวกเราชาวบ้านทั่วไป และผู้ประกอบการทั้งหลาย ก็มิได้ใส่ใจกับการดูแลรักษาแนวปะการัง และ ธรรมชาติเองพลอยมาช่วยซ้ำเติมให้แนวปะการังบอบช้้ำเข้าไปด้วยแล้ว เราก็คงพอจะมองอนาคตของแนวปะการังของไทยได้ว่า ในอีกไม่ช้าไม่นาน แนวปะการังบ้านเราคงไม่พ้นจากหายนะ หาความสวยงามและความสมบูรณ์ไม่ได้ จากการประมาณกันว่า แนวปะการังบ้านเราจะอยู่ได้ไปอีกสัก 50 ปี ก่อนจะถึงการณ์อวสาน เวลานั้นก็จะลดน้อยถอยลง และเราอาจจะได้เห็นว่า ทะเลไร้ปะการังโดยสิ้นเชิง ภายในช่วงชีวิตของเราก็อาจเป็นไปได้..... และ ไม่ต้องไปนึกถึงรุ่นหลานเหลนของเราหรอกนะคะ....เพระาเขาและเธอคงได้เห็นแต่ภาพปะการังในหนังสือ VDO หรือ Internet เท่านั้น คิดแล้วเศร้าจริงๆค่ะ.... :( |
อ่านข่าวนี้แล้วอมยิ้มแก้มตุ้ยเลยค่ะ.....
ดีใจค่ะ ที่ผลจากการเสวนาเรื่อง ""ระดมสมองกู้วิกฤติแนวปะการัง"....น่าจะเริ่มส่งผลให้เห็นแล้ว อย่างน้อยๆ ก็ทำให้เรื่องที่เคยซุบซิบๆกันมานาน ได้ขึ้นมาอยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์เสียที.... จี้อุทยานฯสอบธุรกิจร้านค้าสวัสดิการ จี้อุทยานฯสอบธุรกิจร้านค้าสวัสดิการด้านผอ.รับไม่เคยตรวจสอบต้องดูระเบียบก่อน วันนี้( 2 ก.พ.) ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้ากรณีนายสุนันต์ อรุณนพรัตน์ อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบทุจริตค่าธรรมเนียมดำน้ำในฝั่งทะเลอันดามัน และตรวจสอบเงินรายได้ของร้านอาหารสวัสดิการในอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ และหมู่เกาะสิมิลัน จ.พังงา เนื่องจากมีการอ้างว่าเป็นร้านอาหารสวัสดิการ และได้มีการแอบนำขยะไปฝังกองทิ้งไว้โดยไม่ได้มีการฝังกลบที่อ่าวสุเทพ อ่าวสัปปะรด ซึ่งเป็นแหล่งวางไข่เต่าทะเล และบริเวณหน้าหาดมีแนวปะการังอยู่ด้วย ด้านนายรัชฎา สุริยกุล ณ อยุธยา ผอ.สำนักอุทยานแห่งชาติ กรมอุทยานแห่งชาติฯ กล่าวว่า โดยหลักการอุทยานแห่งชาติทั่วประเทศ ต้องส่งเงินรายได้จากการจัดเก็บค่าธรรมเนียมเข้าอุทยาน ค่าธรรมเนียมดำน้ำ ค่าบ้านพัก และค่าเช่าเต็นท์ ให้กับกรมอุทยานฯ ส่วนเงินรายได้ที่ไม่ส่งให้ส่วนกลาง เช่น ร้านค้าอาหารสวัสดิการในอุทยาน ค่าเช่าอุปกรณ์ดำน้ำ ชูชีพ ซึ่งเท่าที่ทราบในหลายแห่งจะใช้วิธีบริหารแบบถือหุ้นทุกคน ตั้งแต่ระดับหัวหน้า และเจ้าหน้าที่อุทยาน โดยผลประโยชน์ที่ได้รับจะปันผลให้ตามจำนวนหุ้นที่ถือ ทั้งนี้ยอมรับว่าที่ผ่านมากรมอุทยานฯไม่ได้เข้าตรวจสอบบัญชีรายรับจากส่วนนี้ เพราะถือว่าเป็นการหารายได้เพื่อช่วยเหลือเจ้าหน้าที่อุทยานฯ แต่ถ้ามีการร้องเรียนเกิดขึ้นก็ต้องดูระเบียบก่อนว่าจะสามารถตรวจสอบได้หรือไม่ อีกทั้งจะหยิบกรณีนี้เป็นหัวข้อพูดคุยระดมความเห็นกันในวันที่ 14 ก.พ.นี้ ที่จ.ภูเก็ต ขอบคุณข่าวจาก .... http://www.dailynews.co.th/newstartp...ntentID=119072 |
มีข่าวเรื่องการเสวนามาเพิ่มให้อ่านค่ะ....
http://www.suthichaiyoon.com/media/i...fa9fkbecbi.jpg ชง'มาร์ค'ปิดท่องเที่ยวดำน้ำฟื้นปะการัง นักวิชาการชงวาระเร่งด่วนแก้ปะการังให้ "อภิสิทธิ์" 1 ก.พ. เสนอปิดการท่องเที่ยว ปิดจุดดำน้ำ สร้างทางเลือกปะการังเทียมให้นักท่องเที่ยว เพื่อฟื้นฟูปะการังระยะยาว นักดำน้ำเปิดข้อมูลพบเจ้าหน้าที่อุทยานฯ ขอแบ่งเค้กค่าธรรมเนียมดำน้ำ 60 ต่อ 40 เรียกร้องกรมอุทยานฯ จัดโซนนิ่งพื้นที่ดำน้ำให้ชัดเจน มูลนิธิเพื่อทะเล ได้จัดเสวนาเรื่อง "ระดมสมองกู้วิกฤติแนวปะการัง" โดย มีตัวแทนจากกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ตัวแทนจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) นักวิชาการด้านวิทยาศาสตร์ทางทะเล กลุ่มนักดำน้ำ และประชาชนที่สนใจเข้าร่วมจำนวนมาก วานนี้ (28 ม.ค.) นายศักดิ์อนันต์ ปลาทอง อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กล่าวว่า ปะการังฟอกขาวในปัจจุบันอยู่ในช่วงการตายของปะการัง แต่แปลกที่หน่วยงานภาครัฐกลับบอกว่าปะการังที่มีสีเข้ม เพราะมีสาหร่ายขึ้นปกคลุมนั้นหายจากภาวะฟอกขาว โดยหารู้ไม่ว่าปะการังเหล่านั้นตายแล้ว ซึ่งแม้มีบางส่วนฟื้นคืนมาบ้างแต่ก็ไม่สมบูรณ์ และแตกต่างจากเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นเมื่อปี 2534 และ 2538 ที่ปะการังฟอกขาวส่วนมากฟื้นกลับมาได้ นอกจากนี้ ที่น่าเป็นห่วง คือ พวกปะการังโขดที่คาดว่าอายุ 300-400 ปี ซึ่งแต่ละปีจะเติบโตได้เพียง 1 เซนติเมตร ก็เกิดการฟอกขาว จึงต้องมองไปถึงปะการังส่วนที่เหลือรอดอยู่ซึ่งมีจำนวนน้อย หรือส่วนที่ตายไปแล้วจะทำอย่างไรให้รอดอยู่ได้ เพื่อไม่ให้ระบบนิเวศน์เสียหาย โดยเฉพาะถ้าไม่สามารถป้องกันการปกคลุมของสาหร่ายได้ เราก็จะไม่ได้ปะการังกลับคืนมา นายศักดิ์อนันต์ กล่าวว่า ในส่วนของอันดามันตอนใต้บริเวณช่องแคบมะละกาหรือบริเวณตั้งแต่ จ.ภูเก็ต-สตูล หลายแห่งพบปะการังฟอกขาว แต่ฟื้นคืนได้เป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะที่หมู่เกาะอาดัง-ราวี ในอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะตะรุเตา จ.สตูล มีฟื้นกลับมาได้ ตายไปเพียง 10% ซึ่งกำลังติดตามศักยภาพในการฟื้นตัวของปะการังวัยอ่อนที่กำลังลงเกาะซาก ปะการัง ดังนั้น จึงไม่ใช่ว่าประเทศไทยหมดหวังกับเรื่องปะการังแล้ว เพราะยังมีโอกาสจากการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศของปะการังอยู่ ซึ่งทางฝั่งอ่าวไทยช่วงนี้เป็นช่วงที่ปะการังผสมพันธุ์อยู่ จึงต้องขอความร่วมมือในการปกป้องและรบกวนให้น้อยที่สุด "วาระเร่งด่วน คือ ต้องปิดการท่องเที่ยว ปิดจุดดำน้ำ และสร้างแหล่งปะการังเทียมขึ้น เพื่อให้นักท่องเที่ยวมีทางเลือก ส่งเสริมการท่องเที่ยวไปกลับบนเกาะแทนการนอนค้าง ลดการพัฒนาบนฝั่งที่ทำให้มีตะกอนลงทะเล โดยเฉพาะการก่อสร้างถนนของภาครัฐ และการเปิดหน้าดินเพื่อก่อสร้างรีสอร์ทของเอกชน ที่ทำให้มีตะกอนลงไปทับถมซากปะการัง แก้ปัญหาน้ำทิ้งจากเรือท่องเที่ยว" ส่วนระยะยาวขอให้กรม อุทยานฯ ปฏิบัติตามกฎระเบียบและแผนแม่บทเพื่อควบคุมนักท่องเที่ยว และการปรับองค์กรของรัฐ โดยเฉพาะกรมอุทยานฯ ที่น่าจะมีนักวิชาการด้านทะเลมาทำหน้าที่ รวมทั้งการหาบุคลากรที่มีคุณภาพในการเข้ามาเป็นหัวหน้าอุทยานฯ ทางทะเล เป็นต้น ด้านนายวิทเยนทร์ มุตตามระ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะเลขานุการมูลนิธิเพื่อทะเล กล่าวว่า จะนำข้อมูลทั้งหมดที่ได้ในการระดมสมอง จัดทำเป็นข้อสรุป เพื่อส่งถึงมือนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในการประชุม ครม. 1 ก.พ.นี้ ยืนยันว่าจะใช้ทุกสถานะของตัวเอง เพื่อผลักดันในเรื่องนี้อย่างเต็มที่ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการระดมสมองครั้งนี้มีนักดำน้ำอิสระ และครูสอนดำน้ำ และผู้ประกอบการธุรกิจทัวร์ ได้ร่วมประชุมและเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการเรียกรับผลประโยชน์ค่าธรรมเนียม เข้าอุทยานแห่งชาติทางทะเลในฝั่งอันดามัน โดยนักดำน้ำอิสระรายหนึ่ง กล่าวว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ได้เดินทางพาลูกทัวร์เข้าไปดำน้ำที่อุทยานฯ แห่งหนึ่ง พอไปถึงก็มีเจ้าหน้าที่กระโดดลงมาที่เรือทันที พร้อมกับยื่นข้อเสนอทางวาจาว่าจะแบ่งกันไหมเขาขอ 60 และให้เรา 40 จากเงินค่าธรรมเนียมจากจำนวนหัวของนักท่องเที่ยวที่มาในเรือลำนี้ "พอเจอแบบนี้ก็รู้สึกอึ้ง มาก และสอบถามกับเพื่อนๆ ที่ทำทัวร์ในพื้นที่นี้ ต่างยอมรับว่าการเก็บเงินค่าธรรมเนียมทางทะเล มีอิทธิพลท้องถิ่น และทำงานเป็นกระบวนการ" นักดำน้ำอิสระรายนี้ กล่าวต่อไปว่า อยากเรียกร้องให้กรมอุทยานฯ ลงมาตรวจสอบสภาพปัญหาในพื้นที่ และให้กรมชี้แจงการเก็บเงินค่าธรรมเนียมดำน้ำจำนวน 400 บาทต่อคนด้วย ว่า เก็บเงินเข้ากระเป๋าส่วนตัวของใคร หรือได้นำเงินรายได้ส่วนนี้ไปใช้ประโยชน์ในการฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลหรือไม่ ขณะที่นายทรงธรรม สุขสว่าง ผู้อำนวยการส่วนอุทยานแห่งชาติ กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ยอมรับว่า ความล้มเหลวในการจัดการทรัพยากรปะการัง มาจากการขาดนโยบายในระดับชาติที่ชัดเจน รวมทั้งมีปัญหาบุคลากรที่มาดูแลอุทยานทางทะเล ที่ส่วนใหญ่จะมาจากสายป่าไม้ ไม่ได้จบทางด้านทะเลโดยตรง ทั้งที่ก่อนหน้านี้ กรมเคยมีส่วนอุทยานแห่งชาติทางทะเล และมีการเทรนด์หลักสูตรดำน้ำเสริมประสิทธิภาพให้กับหัวหน้าอุทยานทางทะเล แต่ปัจจุบันส่วนอุทยานทางทะเล ได้ถูกยุบไปแล้ว "ในสัปดาห์หน้า จะมีการประชุมเรื่องปะการังฟอกขาวตาย โดยเตรียมผลักดันให้เป็นวาระแห่งชาติ เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง ซึ่งในส่วนของกรมมีข้อเสนอหลักที่จะให้นายสุนันต์ อรุณนพรัตน์ อธิบดีกรมอุทยานฯ พิจารณา ประกอบด้วย ข้อเสนอให้โซนนิ่งแหล่งดำน้ำ เพื่อกำหนดให้ชัดเจนว่าพื้นที่ไหนที่ต้องเก็บเพื่ออนุรักษ์ และไม่ให้มีกิจกรรมท่องเที่ยว" นายทรงธรรม กล่าวต่อไปว่า ส่วนแนวปะการังที่ตายบริเวณหมู่เกาะสุรินทร์ สิมิลัน รวมทั้งที่หมู่เกาะอาดัง ราวี ของอุทยานฯ ตะรุเตา ถึงจะมีโอกาสฟื้นตัวได้ แต่ก็ขอให้คงนโยบายปิดไว้ก่อน เพื่อให้นักวิชาการเข้าศึกษาวิจัยอย่างละเอียด นอกจากนี้ จะให้พิจารณาขึ้นค่าธรรมเนียมดำน้ำ เพื่อช่วยคัดกรองนักท่องเที่ยว และจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยว เพราะถ้าเทียบกับแหล่งดำน้ำอื่นๆ อาทิเช่น ที่หมู่เกาะมัลดีฟส์ และออสเตรเลีย แล้วของไทยถูกที่สุดแล้ว ส่วนนางแน่งน้อย ยศสุนทร ตัวแทนจากกลุ่มครูสอนดำน้ำ องค์กร Saveoursea เสนอว่า อยากให้กรมอุทยานฯ กำหนดพื้นที่ดำน้ำลึก และดำน้ำตื้นในแหล่งท่องเที่ยวแต่ละจุด โดยอิงเรื่องประสบการณ์ดำน้ำของนักท่องเที่ยวที่ต้องมีระดับของการดำน้ำมา เป็นเกณฑ์ แต่ในเมืองไทยทุกคนเข้าถึงพื้นที่ได้ง่าย นอกจากนี้ ขอให้ยกเลิกสอบดำน้ำตามอุทยานต่างๆ เพราะเป็นสาเหตุที่ทำให้ปะการังน้ำตื้นเสียหาย รวมทั้งขอให้ทบทวนพิจารณาประกาศปิดจุดดำน้ำ เพื่อลดผลกระทบในพื้นที่ที่ปะการังฟอกขาวตาย และยังเลือกปิดในจุดที่ไม่มีผลกระทบจากการฟอกขาว ซึ่งส่วนใหญ่เกิดในแนวปะการังน้ำตื้น มากกว่าจุดดำน้ำลึก นางกุลปราโมทย์ วรรณะเลิศ ตัวแทนการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า ข่าวปะการังฟอกขาวที่ออกไปนั้น ไม่พบว่ามีผลกระทบต่อการท่องเที่ยวมากนัก จะกระทบเฉพาะในส่วนการดำน้ำดูปะการังน้ำตื้นเท่านั้น ขอบคุณข้อมูลจาก....http://www.suthichaiyoon.com/detail/8106 |
ได้อ่านบทความของอาจารย์บอยแล้ว เหมือนเราคงต้องพยายามกันต่อไปนะครับพี่
ส่วนมาตรการเร่งด่วนข้อที่ 1 ถ้าอุทยานไม่ทำเราช่วยกันทำไหมครับ |
| เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 12:19 |
vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2025, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger