ขับรถท่องเที่ยวเทียวไป ทั่วแคว้นแดนไกล...หนองคาย...ลาว...เลย...ภาคที่ 2
สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เชียงขวาง...หลวงพระบาง..วังเวียง...เวียงจันทน์ |
หลังจากท่องเที่ยวพักผ่อนอย่างมีความสุข อยู่ที่หนองคายกับน้องดื้อได้สองวันกับสามคืน (อ่านรายละเอียดได้ที่ http://www.saveoursea.net/forums/showthread.php?t=2005)... สองสายก็พร้อมจะขับรถลุยเข้าไปในประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวแล้วค่ะ เราจะข้ามเข้าลาว ผ่านทางสะพานมิตรภาพไทย-ลาว ที่หนองคาย มุ่งสู่เวียงจันทน์ จากนั้น จะใช้เส้นทางเอเชียหมายเลข 13 มุ่งหน้าขึ้นเหนือผ่านวังเวียง ขึ้นไปที่เมืองกาสี ภูคูน จากนั้นแยกขวา สู่เส้นทางหมายเลข 7 มุ่งสู่เมืองโพนสะหวัน แขวงเชียงขวาง ก่อนจะย้อนกลับทางเดิมมาเข้าทางหลวงหมายเข 13 เพื่อไปหลวงพระบาง ส่วนขากลับ..ก็จะใช้เส้นทางหมายเข 13 กลับออกมาพักที่วังเวียง ก่อนจะล่องใต้มาเวียงจันทน์ และกลับเข้าไทยที่หนองคาย... |
เช้าวันที่สาม...ที่หนองคาย สองสายต้องตื่นแต่เช้ามืด เพราะวันนี้เรามีนัดกับสมาชิก "ฟอร์จูนเนอร์คลับ" อีกเกือบ 60 คน ที่โรงแรมโรยัลแม่โขง โรงแรมใหญ่ของเมืองหนองคาย http://i835.photobucket.com/albums/z...ng-Khai_04.jpg เมื่อไปถึงที่โรงแรม รถโตโยต้าฟอร์จูนเนอร์ 24 คัน รถกระบะดีเมกซ์และสปอร์ตไรเดอร์อีกรุ่นละคัน จอดคอยอยู่ในลานจอดรถ... คุณอานนท์ เจ้าของบริษัททัวร์ที่เป็นผู้จัดทริป ตรงเข้ามาต้อนรับ พร้อมกับนำสติ๊กเกอร์มาติดที่รถของเรา เจ้ากระต่ายขาว มีเลข 15 ติดทั้งข้างรถและหลังรถอย่างเท่เลยล่ะค่ะ.... ป้ายที่อยู่ท้ายรถ มีชื่อ "สายน้ำ" เป็นภาษาลาว และมีข้อความกำกับไว้ชัดเจนว่า "ขับชิดขวา" เพื่อเตือนใจให้คนขับรถชาวไทยไม่หลงลืม ไปขับชิดซ้ายในลาวละก็ จะยุ่งกันใหญ่... http://i835.photobucket.com/albums/z...g-Kwang_11.jpg |
มีการแจกวิทยุแดง (Walky-Talky) ให้ใช้ติดต่อกันคนละเครื่อง และสติ๊กเกอร์ประกันภัยรถยนต์ ให้กับเจ้าของรถทุกคัน จากนั้นก็มีการสรุปเกี่ยวกับกฎระเบียบในการขับรถของกองคาราวาน ซึ่งสรุปคร่าวๆ ได้ความว่า... ..รถยนต์ทุกคันจะต้องวิ่งเป็นแถวเป็นแนว ห้ามแตกแถว เรียงตามลำดับก่อนหลัง ..ต้องขับรถห่างกันพอเบรคได้ไม่ชนท้ายกัน ..ห้ามแซงกันเอง หรือจอดรถโดยไม่มีเหตุผลและไม่บอกไม่กล่าว ..ก่อนจะขับเคลื่อนรถออกไป จะต้องเปิดไฟหน้าตลอดเวลา เพื่อให้รถอื่นรู้ว่าเป็นรถในขบวนคาราวาน ..ถ้ารถถึงสี่แยกไฟแดง ให้เปิดไฟกระพริบ ถ้ารถเจอไฟแดง ให้ขับฝ่าไฟแดงไปจนท้ายขบวนผ่านไฟ เว้นแต่จะมีรถท้องถิ่นคั่นอยู่ข้างหน้า และติดไฟแดงอยู่ ให้หยุดรอจนกว่าจะไฟเขียว และแจ้งหัวขบวนให้ทราบ เพื่อรอด้วย ..ต้องฟังและปฏิบัติตามคำสั่งการของสตีาฟในรถนำขบวนหรือรถปิดท้าย (รถซ่อมบำรุง) ซึ่งจะใช้เบอร์รถ 00 และ 99 ตามลำดับเท่านั้น... จากนั้น..ก็มีการถ่ายภาพหมู่สมาชิกซึ่งต่างหอบพ่อแม่และลูกหลานมาร่วมขบวน รวมๆแล้วราว 60 คน อายุมากสุดก็ราว 70 ปี อ่อนสุดนั้นยังเป็นเบบี้ อายุเพียง 8 เดือนเศษ แต่ทุกคนก็แข็งแรง มีความสุข สนุกสนาน พร้อมสู้กับการนั่งรถนานๆได้อย่างอดทน... อ้าวววว...ในภาพหายไปไหนตั้งหลายคนล่ะคะเนี่ย... http://i835.photobucket.com/albums/z...ng-Khai_07.jpg ถึงเวลาเคลื่อนขบวนแล้วค่ะ...ทุกคนขึ้นรถของตัวเอง คนขับนั่งประจำที่ รถแล่นเข้าต่อแถวเรียงลำดับเป็นระเบียบเรียบร้อย http://i835.photobucket.com/albums/z...ng-Khai_11.jpg เมื่อทุกอย่างพร้อม..รถทั้ง 25 คัน ก็แล่นออกจากโรงแรม ตั้งแถวเพื่อเตรียมแล่นขึ้นสะพานมิตรภาพไทย-ลาว ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงแรมมากนัก.. http://i835.photobucket.com/albums/z...ng-Khai_12.jpg |
"กระต่ายขาว เบอร์ 15" พร้อมแล้วค่ะ... http://i835.photobucket.com/albums/z...ng-Khai_13.jpg ขบวนรถเริ่มผ่านด่านศุลกากรและตำรวจตรวจคนเข้าเมืองของไทยประจำหนองคาย และแล่นขึ้นสะพานมิตรภาพไทย-ลาว.. http://i835.photobucket.com/albums/z...ng-Khai_14.jpg รถวิ่งชิดซ้าย ฉิวๆขึ้นสะพานข้ามไปฝั่งลาว..เห็นเมฆเป็นริ้วๆเต็มท้องฟ้า วันนี้ถ้าจะไม่เห็นแดดแล้วล่ะค่ะ.. http://i835.photobucket.com/albums/z...ng-Khai_15.jpg แล้วก็ถึงด่านตรวจคนเข้าเมืองของลาว โดยเราไม่ต้องลงจากรถให้เสียเวลา เพราะสต๊าฟของคุณอานนท์ได้จัดการให้เราสำเร็จเรียบร้อย.. เย้ๆ...ถึงลาวแล้วค่ะ...เห็นภาษลาวที่เขียนอยู่ไหมคะ แปลได้ความว่า "สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ยินดีต้อนรับ" http://i835.photobucket.com/albums/z...ng-Khai_18.jpg |
สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เป็นประเทศเล็กๆ ที่มีประชากรเพียงประมาณห้าล้านคน ในขณะที่มีแผ่นดินที่กว้างใหญ่กว่า 236,800 ตารางกิโลเมตร นับเป็นอาณาจักรที่เต็มไปด้วยขุนเขาและสายน้ำ พอเราเข้าไปในอาณาจักร์ของลาวแล้ว ขบวนคาราวานของเราก็มีรถตู้ของตำรวจทางหลวงเปิดไฟแว้บ มาช่วยนำขบวนรถของเราตลอดทางทั้งไปและกลับ มีตำรวจยศร้อยโทของลาวเป็นผู้ควบคุมมา เราขับรถชิดขวา ไปตามถนนไฮเวย์คอนกรีตชั้นดี รถวิ่งได้นิ่มก้นมาก แต่พักเดียว ถนนไฮเวย์ก็หมดลง รถแล่นปุเลงๆเข้าถนนลาดยางแคบๆ ถนนปุๆปะๆ รถราก็วิ่งกันขวั่กไขว่ แต่พอเห็นรถตู้ติดไฟแว้บ รถทั้งที่วิ่งอยู่ข้างหน้าและที่สวนมา จะหยุดแอบให้ขบวนรถของเราหมด อย่างไรก็ตาม การขับรถก็ไม่สะดวกสบายเหมือนที่วิ่งในบ้านเราเลย http://i835.photobucket.com/albums/z...g-Kwang_03.jpg เมื่อรถเริ่มไต่ขึ้นเขา..การขับรถก็ยิ่งลำบาก เราจะต้องพยายามตามติดรถที่อยู่ข้างหน้าให้ทัน มิฉะนั้น รถอื่นจะไม่หลบให้เรา แม้จะเปิดไฟหน้าแสดงว่าเป็นรถในขบวนก็ตาม.. วิ่งลุยฝุ่นไปได้สักพัก ขบวนก็แวะจอดให้พักเพื่อเข้าห้องน้ำ ที่ปั๊มใหญ่ไม่ไกลจากวังเวียงนัก.. http://i835.photobucket.com/albums/z...g-Kwang_05.jpg |
การจะเข้าห้องน้ำ ถ้าไม่เติมน้ำมัน ต้องเสียเงินคนละ 1,000 กีบ หรือ 5 บาท แต่เราเข้าฟรีหมดทุกคน...ห้องส้วมสะอาดดี มีแต่ส้วมนั่งยองๆนะคะ โอ้..คนแก่ลุกนั่งลำบากมากๆเลยล่ะค่ะ http://i835.photobucket.com/albums/z...g-Kwang_08.jpg รถกระบะดีแมกซ์ เบอร์ 00 ทำหน้าที่ทั้งรถซ่อมบำรุง...รถปิดท้ายขบวน...และรถเสบียง พอขบวนรถหยุด ก็จะมีชา กาแฟ ของว่าง เครื่องดื่มชูกำลัง และผ้าเย็น นำมาแจกจ่าย... ขบวนรถไปจอดทานข้าวเช้าผสมข้าวเที่ยง ที่ปากทางเข้า เมืองวังเวียง..กุ้ยหลินเมืองจีน ที่เราจะมาแวะเที่ยวและค้างคืนตอนขากลับ ต้องขออภัยนะคะ ที่ไม่ได้ถ่ายภาพอาหารมื้อแรกในลาวมาให้ชม เพราะสองสายหิวจนตาลาย และอาหารก็ช่างอร่อยถูกปากมากๆ โดยเฉพาะตำแตง และผัดผักสลัดน้ำ (Watercress) |
พอพ้นวังเวียน...ถนนหมายเลข 13 ก็ไต่ระดับสูงขึ้นไปๆ ขบวนคาราวานขับขึ้นเขาตามกันเป็นทิวแถว ถนนที่คดเคี้ยวไปมา ผ่านภูเขารูปร่างแปลกๆ และหุบเหวลึก ที่มีหมอกเมฆสวยงาม อืมมมมม!....เสาไฟที่เมืองลาวอยู่ชิดติดถนน และสายไฟระโยงระยางข้ามถนนไปมา น่าเวียนหัว..... แต่สองสายไม่มีเวลาจะชื่นชมความงามกันนัก เพราะคนหนึ่งต้องตั้งสติและสมาธิกับการจับพวงมาลัยขับรถ ส่วนอีกคนต้องคอยเป็นคนนำทาง (Navigator) ตาสอดส่าย 360 องศา คอยดูทั้งถนนข้างหน้า...ซ้าย...ขวา...และหลัง เพื่อบอกให้คนขับเร่ง..เบรค..แซง..หลบ แถมยังต้องคอยรายงานผ่านวิทยุแจ้งเตือนอันตรายให้ทั้งรถข้างหน้า ข้างหลัง และรถบัญชาการ 00 เพื่อทราบ...และตอบคำถามต่างๆของ 00 และรถคันอื่นๆ... เป็นประสบการณ์แปลกใหม่ แต่ก็มีความสุขสนุกสนานมากค่ะ... |
รถแล่นผ่านเมืองกาสี เพื่อมุ่งหน้าสู่เมืองภูคูน ก่อนจะถึงภูคูนเราแวะที่จุดพักรถ "ภูเพียงฟ้า" เพื่อแวะเข้าห้องน้ำ ดื่มกาแฟและชมวิวที่สวยงามกัน http://i835.photobucket.com/albums/z...iang-Fa_05.jpg เสียดายที่ "ภูเพียงฟ้า" ในวันนั้น มีหมอกเยอะไปหน่อย ทำให้ได้ภาพสลัวมัวซัว แถมลมก็แรงและเย็นมากๆ ทำให้เราไม่กล้าจะเดินออกไปถ่ายภาพกันที่ริมหน้าผา คงจะต้องมาแก้มือใหม่ ตอนขากลับแล้วล่ะค่ะ http://i835.photobucket.com/albums/z...iang-Fa_04.jpg เข้าห้องน้ำ(เสียเงินคนละ 5 บาท)แล้ว..ก็ดื่มกาแฟแก้ง่วงกันหน่อย.. http://i835.photobucket.com/albums/z...iang-Fa_06.jpg |
จากภูเพียงฟ้า...เราผ่านภูคูน ซึ่งเป็นจุดแยกของเส้นทางหมายเลข 13 ที่จะตรงไปเมืองหลวงพระบาง กับเส้นทางหมายเลข 7 ที่จะตรงไปเมืองโพนสะวัน เมืองหลวงของแขวงเชียงขวาง และเลยไปจนถึงพรมแดนติดเวียตนาม ด้วยระยะทางราว 400 เมตร ไปทางตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองเวียงจันทน์ เราไปถึงโรงแรมเชียงขวางในเมืองโพนสะหวัน ซึ่งเป็นที่พักของเราในวันแรกนี้ ก็เกือบจะสองทุ่มแล้ว อากาศที่ลดลงเหลือ 6 องศาเซลเซียส ทำให้เราหนาวเข้ากระดูกดำ จนสั่นงั่กๆยามขนของลงจากรถขึ้นห้องนอน หลังทานข้าวเย็นเสร็จก็เกือบสี่ทุ่ม คืนนั้นเราอาบน้ำร้อนๆแล้วก็ขึ้นเตียงหลับเป็นตาย.. เช้าวันใหม่ จึงเห็นหน้าตาโรงแรมที่พักว่ามีสีฟ้าอ๋อยดีแท้.. http://i835.photobucket.com/albums/z...l/Hotel_01.jpg หน้าโรงแรมเป็นถนนใหญ่กว้างขวาง บ้านเรือนก็ดูเจริญดี.. http://i835.photobucket.com/albums/z...l/Hotel_03.jpg รถตุ๊กๆหน้าตาเหมือนที่หนองคาย ดูจะเป็นพาหนะหลักของที่นี่.. http://i835.photobucket.com/albums/z...l/Hotel_04.jpg ทานข้าวเช้าเสร็จ เราต้องนำรถออกไปเติมน้ำมันที่ปั๊มน้ำมันที่อยู่ไม่ไกลจากโรงแรมนัก..เสร็จแล้วก็ต้องนำไปจอดเตรียมตัวเข้ากองคาราวาน |
วันนี้...เราจะไปชมทุ่งไหหิน ที่มีชื่อเสียงของแขวงเชียงขวางกันค่ะ แม้ว่าอากาศจะหนาว 9 องศาเซลเซียส และเมฆหมอกเต็มท้องฟ้าก็ตาม.. เมื่อรถทุกคันพร้อม..ขบวนคาราวานก็เคลื่อนที่ออกจากโรงแรม มุ่งหน้าไปทางตะวันออกของตัวเมืองโพนสะหวัน ที่เป็นที่ตั้งของทุ่งไหหิน ในระหว่างทาง...ไกด์สาวชาวลาว ได้เล่าให้เราฟังเรื่องแขวงเชียงขวางว่า ที่นี่เป็นแขวงที่อยู่ติดกับเวียตนาม ในอดีตเมื่อราวเกือบ 400 ปีมาแล้ว เคยตกเป็นเมืองขึ้นของเวียตนาม และถูกบังคับให้แต่งกาย และใช้ขนบธรรมเนียมประเพณีของเวียตนาม แต่ชาวเชียงขวางได้ต่อสู่จนเป็นอิสระและมารวมอยู่กับลาว ในปี พ.ศ. 2513...ระหว่างสงครามอินโดจีนหรือสงครามเวียตนาม เชียงขวางกลายเป็นสมรภูมิรบอันดุเดือด เนื่องจากเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ เพราะตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ อยู่ห่างจากนครเวียงจันทน์ประมาณ 400 กิโลเมตร และจากเมืองโพนสะหวันซึ่งเป็นเมืองหลวงของเชียงขวาง ข้ามเทือกเขาอันสลับซับซ้อนบนทางหลวงหมายเลข 7 ไปสิ้นสุดที่ ด่านน้ำกลั่น ชายแดนทางตอนเหนือของประเทศเวียตนาม ระยะทางเพียงแค่ 130 กิโลเมตร ในช่วงสงครามอินโดจีนเส้นทางสายนี้เคยใช้เป็นเส้นทางส่งกำลังบำรุง รวมทั้งอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆจากประเทศเวียตนามเหนือ สู่ขบวนการประเทศลาว ซึ่งในขณะนั้นเป็นพันธมิตรซึ่งกันและกัน เส้นทางสายนี้จึงมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "เส้นทางโฮจิมินห์" ขบวนการลาวได้ตัดสินใจตั้งกองบัญชาการใหญ่ขึ้นที่นี่ กองทัพอากาศอเมริกัน จึงส่งเครื่องบินทิ้งระเบิด บี 52 เข้ามาทิ้งระเบิดปูพรหมหมายทำลายล้างขบวนการลาวอย่างหนัก หมู่บ้านใหญ่น้อยหลายร้อยแห่ง ตลอดจนวัดวาอารามถูกทำลายแทบทั้งหมด ที่หนักหนาสาหัส คือ "ฝนเหลือง" ที่ถูกโปรยลงมาตามแหล่งน้ำ และป่าเขาของเชียงขวาง ส่งผลให้ราษฏรและทหารฝ่ายขบวนการประเทศลาว ต้องอพยพเข้าไปอยู่ตามถ้ำและหุบเขาทั่วไป ในแขวงเชียงขวางและข้างเคียง ไกด์สาวบอกเราด้วยน้ำเสียงเจ็บปวดว่า ชาวเชียงขวางเจ็บช้ำน้ำใจกับเรื่องนี้มาก เธอชี้ให้เราดูว่าสองข้างทางที่เราเห็น เป็นผลพวงของสงครามครั้งนั้น 30 กว่าปีผ่านไป..ระเบิดที่ยังไม่ระเบิด สามารถพบเห็นได้มากมายในดินแดนของแขวงเชียงขวาง บางส่วนได้ถูกกู้ไปแล้ว แต่ผลพวงของ "ฝนเหลือง" ยังส่งผลกระทบ ทำให้ดินแดนแถบนี้รกร้าง ทำไร่นาและสวนไม่ได้ผล ที่ เมืองคูน เมืองหลวงเก่า ยังคงมีร่องรอยของสงครามให้เห็นอยู่โดยทั่วไป ซากปรักหักพังบางแห่ง ทางรัฐบาลลาวได้อนุรักษ์เอาไว้ให้คนรุ่นหลังได้เห็น ถึงพิษภัยของสงครามที่เกิดขึ้นเมื่อในอดีต ร่องรอยของหลุมระเบิดขนาดใหญ่จากฝูงบิน บี 52 ของอเมริกันยังคงมีให้เห็นกันอยู่ทั่วไป ปัจจุบันได้ถูกดัดแปลงให้เป็นบ่อเลี้ยงปลาในนาข้าว ซากของลูกระเบิดน้ำหนักหลายสิบตัน ถูกดัดแปลงมาเป็นรั้วบ้าน เสาบ้าน รางข้าวหมู ที่นั่งเล่น เตาปิ้งบาร์บีคิวสำหรับนักท่องเที่ยว... |
เรานั่งอยู่บนรถ ไม่ได้เห็นภาพอย่างที่ไกด์บอก แต่ก็รู้สึกได้ว่า สองข้างทางดูแห้งแล้ง ต้นไม้ต้นไร่ดูไร้ชีวิตชีวา ดินบางแห่งมีสีผิดปกติจากที่ได้เห็นแถววังเวียง หรือภูเพียงฟ้า.. http://i835.photobucket.com/albums/z...g-Kwang_16.jpg รถเริ่มวิ่งแยกเข้าสู่ทุ่งไหหินกลุ่มที่ 1 ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองโพนสะหวัน ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ไปทางเมืองคูนเมืองหลวงเก่า ระยะทางประมาณ 7.5 กิโลเมตร เรานำรถเข้าไปจอดในลานจอดรถเป็นระเบียบเรียบร้อย นอกจากขบวนรถคาราวานของพวกเราแล้ว มีรถตู้นักท่องเที่ยว ที่ส่วนมากเป็นพวกฝรั่งหัวแดง จอดอยู่แล้วหลายคัน.. http://i835.photobucket.com/albums/z...Hai-Hin_02.jpg ทางเข้า มีป้ายบอกว่าแถวนี้เป็นเขตที่ยังกู้กับระเบิดไม่หมด ให้เดินในเขตสีขาวที่มีการกู้ระเบิดออกแล้วเท่านั้น มิฉะนั้นจะเป็นอันตรายได้ การกู้ระเบิดครั้งนี้ รัฐบาลลาวได้รับการช่วยเหลือ และสนับสนุนเป็นอย่างดี จาก UNESCO http://i835.photobucket.com/albums/z...Hai-Hin_03.jpg ป้ายที่เห็นอยู่คู่กัน เป็นภาพวาดวิธีการที่จะช่วยกันดูแลทุ่งไหหิน... |
ทางเดินเข้าทุ่งไหหิน เป็นทางดินลูกรังผ่านเข้าไปในทุ่งหญ้าคา ที่รกเรื้อสองข้างทาง...เดินไปๆ สายชลชักจะเริ่มหอบ เพราะทางเดินเริ่มไต่สูงขึ้นไปบนเนิน ระยะทางก็ไม่ใช่ใกล้ๆ คนแก่ชักจะหมดแรง... http://i835.photobucket.com/albums/z...Hai-Hin_05.jpg พอพ้นยอดเนิน...ก็เห็นผู้คนมากมาย เดินยั้วเยี้ยๆอยู่ตามไหใบใหญ่ ที่ตั้งบ้าง นอนตะแคงบ้างอยู่บนยอดเนิน.. http://i835.photobucket.com/albums/z...Hai-Hin_06.jpg ขอหยุดหายใจหน่อยค่ะ...ตอนนี้ปล่อยให้คนอื่นเขาดูไหกันไปก่อนนะคะ.. |
ทุ่งไหหิน เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของแขวงเชียงขวาง ชาวบ้านไปพบเข้าระหว่างไปหาของป่าและล่าสัตว์ ซึ่งภาชนะมีรูปทรงคล้ายไหทำด้วยหินทรายนี้มีขนาดเล็กจนถึงขนาดใหญ่ น้ำหนักมากที่สุดถึง 15 ตันและใบที่เล็กที่สุดหนักประมาณ 40 – 50 กิโลกรัม กระจัดกระจายอยู่ในละแวกของเมืองโพนสะหวัน จึงเรียกที่นี่ว่า "ทุ่งไหหิน" (Plain of Jars) http://i835.photobucket.com/albums/z...Hai-Hin_09.jpg จริงๆแล้วยังมีไหหินในทุ่งต่างๆของแขวงเชียงขวาง แต่ที่โพนสะหวันมีมากที่สุด คนจึงนิยมมาเที่ยวที่ทุ่งไหหิน เมืองโพนสะหวันมากกว่าที่อื่นๆ.. http://i835.photobucket.com/albums/z...Hai-Hin_11.jpg |
ไหหินส่วนใหญ่สกัดมาจากหินทราย ที่เป็นวัสดุที่หาง่ายในบริเวณนั้น แต่ก็มีอยู่หลายใบ ที่ปรากฏร่องรอยว่าถูกชักลากมาจากที่อื่น บางไหยังสกัดไม่เสร็จก็มีค่ะ... http://i835.photobucket.com/albums/z...Hai-Hin_10.jpg ส่วนที่ไปที่มาของไหหินเหล่านี้ ยังไม่มีใครยืนยันได้ว่าไหหินมีไว้เพื่อทำการใด มีแต่เพียงข้อสันนิษฐาน 3 ประการว่า ประการที่ 1...อาจจะทำขึ้นเพื่อบรรจุคนตายในสมัยก่อน หลายพันปีมาแล้ว (ก่อนประวัติศาสตร์ยุคโลหะ 3,000-4,000ปี) ตามความเชื่อของคนในสมัยนั้นที่ว่า สถานที่ฝังศพคนตายต้องรักษาไว้ในที่สูง เพื่อหลีกเว้นการเซาะพังทลายจากน้ำ ดังนั้นจึงเห็นได้ว่า ไหหินอยู่ในสถานที่เป็นเนินสูง ประการที่ 2...อาจจะเป็นไหเหล้าของนักรบโบราณ คือตามตำนานกล่าวไว้ว่าระว่างศตวรรษที่ 8 นักรบผู้กล้าหาญของลาวผู้หนึ่ง ชื่อว่า ท้าวขุนเจือง ได้ยกกำลังพลไปทำสงคราม แล้วก็ได้ชัยชนะอยู่ที่เชียงขวาง หลังจากได้รับชัยชนะแล้ว ก็ได้ทำการฉลองชัยอยู่ที่นั่นเป็นเวลา 7 เดือน ไหที่เห็นอยู่ในปัจจุบันเป็นไหเหล้าสำหรับเลี้ยงไพร่พลในการฉลองชัยชนะของท้าวขุนเจือง ในคราวนั้น ดังนั้นคนลาวทั่วไปมักเรียกว่า “ไหเหล้าเจือง” ประการที่ 3...เป็นปรากฎการณ์ธรรมชาติเช่นเดียวกับ Stone Henge ที่คล้ายคลึงกันคือเป็นหินตั้งกลางแจ้ง ทุ่งไหหินที่เชียงขวางนี้มีอยู่ด้วยกัน 3 กลุ่ม กลุ่มที่ 1...อยู่ห่างจากเมืองโพนสะหวัน 7.5 กิโลเมตร มีไหหินกระจัดกระจายอยู่ประมาณ 200 กว่าใบ มีขนาดใหญ่กว่ากลุ่มอื่นๆ และมีไหใบใหญ่ที่สุดอยู่ที่นี่ กลุ่มที่ 2...อยู่ห่างออกไป 25 กิโลเมตร มีไหหินประมาณ 90 กว่าใบ กลุ่มที่ 3...อยู่ห่างกลุ่มที่ 2 ไปประมาณ 10 กิโลเมตร มีไหหินอยู่ประมาณ 150 ใบ กระจายอยู่บนเนินเขาลูกเล็กๆ |
ทุ่งไหหินที่เรามาเที่ยวกันนี้...เป็นทุ่งไหหินกลุ่มที่ 1 เพราะอยู่ไม่ไกล ไปมาสะดวก มีจำนวนมาก และไหใบใหญ่กว่ากลุ่มอื่นๆค่ะ ดูความใหญ่ของไหใบใหญ่ที่สุดในบริเวณนี้ เทียบกับคนตัวใหญ่ๆเหมือนไหอย่างสองสายสิคะ... http://i835.photobucket.com/albums/z...Hai-Hin_19.jpg เขาว่าใบใหญ่ที่สุด..มีขนาดสูง 3.25 เมตร และปากกว้าง 3 เมตร http://i835.photobucket.com/albums/z...Hai-Hin_21.jpg ไหใบใหญ่ที่สุด...คงไม่ใช่ไหที่อยู่แถวๆนี้นะคะ... http://i835.photobucket.com/albums/z...Hai-Hin_23.jpg |
มองลงไปจากเนิน...มีไหหินเกลื่อนกลาด อยู่ในทุ่งข้างล่าง มากกว่าที่บนเนินนี้ ที่มีอยู่เพียง 20 ใบ เดินลงไปดูดีกว่า.. http://i835.photobucket.com/albums/z...Hai-Hin_30.jpg เราต้องเดินไต่ลงไปตามทางเดินที่เห็นๆอยู่ ไม่แตกแถวไปเดินในบริเวณอื่น เพราะเห็นรอยหลุมขนาดใหญ่อยู่ริมทางเดิน และไกด์บอกว่า นั่นคือหลุมระเบิดเก่า.. http://i835.photobucket.com/albums/z...Hai-Hin_27.jpg มีป้ายปักไว้..ยืนยันว่าเป็นหลุมระเบิดจริงๆนะ จะบอกให้... http://i835.photobucket.com/albums/z...Hai-Hin_28.jpg |
ไหหินข้างล่างนี่มีสัก 70 ใบ เห็นจะได้...มากกว่าที่มีอยู่บนเนินที่เราไปดูมาแล้วจริงๆด้วยค่ะ http://i835.photobucket.com/albums/z...Hai-Hin_24.jpg แต่ไหข้างล่างนี่ ใบเล็กกว่าไหที่ได้เห็นข้างบนมาก.. http://i835.photobucket.com/albums/z...Hai-Hin_26.jpg ขนาดของไห น่าจะมีการแบ่งชั้นวรรณะของผู้ใช้ประโยชน์จากไห หรือไม่หนอ...? http://i835.photobucket.com/albums/z...Hai-Hin_29.jpg |
ไม่ไกลจากลานทุ่งไหหินที่เราเดินดูอยู่นัก มีเขาลูกย่อมๆ ที่มีผู้คนเดินตรงไปที่นั่นกันเป็นทิวแถว ถามไถ่เพื่อนร่วมกองคาราวานว่าผู้คนเดินไปที่นั่นทำไมกัน เขาบอกว่าไปดูถ้ำ ต้องมีอะไรดีแน่ๆ เดินตามไปดีกว่า... http://i835.photobucket.com/albums/z...Hai-Hin_31.jpg ระหว่างทาง...เราเจอหลุมระเบิดเป็นระยะๆ ดูที่นี่จะเป็นยุทธภูมิกรำศึก เดิมไหคงมีอยู่มากมาย แต่คงจะแตกไปเยอะเพราะระเบิด http://i835.photobucket.com/albums/z...Hai-Hin_35.jpg เมื่อไปใกล้ๆเนินเขา..ก็เห็นปากถ้ำเล็กๆ เดิมทีคงมีไม้ใหญ่ขึ้นบังปากถ้ำอยู่ แต่ถูกตัดไปเหลือไว้ให้เห็นแต่ราก มีผู้คนยืนล้นออกมาที่ปากถ้ำอยู่หลายคน แว่วเสียงไกด์กำลังเล่าเกี่ยวกับถ้ำ จับใจความได้ว่า ถ้ำเล็กๆแห่งนี้ ชาวบ้านใช้เป็นที่หลบลูกระเบิดที่อเมริกันนำมาทิ้งแถวๆนี้ เหมือนมีเทพยดาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำถ้ำนี้ ช่วยคุ้มครองป้องกันให้ผู้คนอยู่รอดปลอดภัย ได้มากมายหลายราย เมื่อเสร็จสงครามแล้ว จึงมีการตั้งศาลไว้กราบไหว้บูชาที่หน้าถ้ำ เพื่อแสดงความคารวะและขอบคุณ... http://i835.photobucket.com/albums/z...Hai-Hin_32.jpg เรารอจนคนออกจากถ้ำไปจนเกือบหมด จึงเข้าไปในถ้ำ โดยไม่ลืมที่จะไหว้ศาลที่ตั้งไว้ด้านซ้ายของปากถ้ำก่อน เพื่อแสดงความคารวะ... http://i835.photobucket.com/albums/z...Hai-Hin_33.jpg |
ถ้ำที่เราได้เห็นนั้น มีลักษณะเหมือนสุ่มไก่หรือปล่องไฟเตาผิง พื้นเป็นดินราบเรียบ มีหินตกเกลื่อนอยู่เป็นหย่อมๆ เนื้อที่ในถ้ำตกราว 20 ตารางเมตร ลักษณะภายในถ้ำไม่ลึกมากนัก สามารถบรรจุคนได้ 20 –30 คน ถ้ำแห่งนี้เคยใช้เป็นที่หลบภัยสงครามของชาวเมืองเชียงขวางยามเมื่อเครื่องบินมาทิ้งระเบิด ปากถ้ำโค้งมนเหมือนมีใครมาเจาะและตกแต่งไว้... ผนังถ้ำหินแดงที่ล้อมเป็นวงกลม สูงตรงขึ้นไปจากพื้นราว 5 เมตร ก่อนที่จะสอบเข้าหากันเหมือนปล่องไฟสูงจากพื้นราว 20 เมตร ที่ปลายบนสุดเยื้องไปทางด้านตะวันตกเล็กน้อย มีช่องทะลุทรงรี กว้างราวครึ่งเมตร เปิดรับแดดและลมอยู่ แสงแดดยามสายส่องทะลุผ่านช่องทะลุเข้ามา เป็นลำสีเงินยวง ให้แสงสว่างแก่ถ้ำนี้ได้เป็นอย่างดี เรายืนอยู่ในถ้ำนั้น ด้วยความรู้สึกสลดรันทดใจ เมื่อนึกถึงสภาพผู้คนที่คงอกสั่นขวัญหาย เข้ามาอาศัยถ้ำนี้หลบภัยจากลูกระเบิด ที่ถูกทิ้งลงมาจากเครื่องบินไม่ขาดสาย.. |
เดินออกจากถ้ำแล้ว เราเดินกลับรถด้วยความรู้สึกเศร้าซึม ยิ่งผ่านหลุมระเบิดใหญ่ๆมากมายข้างทาง ก็ยิ่งทำให้เราเศร้าใจหนักเข้าไปใหญ่ http://i835.photobucket.com/albums/z...Hai-Hin_36.jpg ความขัดแย้งทำให้เกิดสงคราม...สงครามก่อให้เกิดความสูญเสียขึ้นกับทั้งสองฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นผู้แพ้ หรือ ผู้ชนะ.. http://i835.photobucket.com/albums/z...Hai-Hin_37.jpg สันติภาพภายหลังสงคราม...ไม่ได้ทำให้ความเสียใจ และ ความคับแค้นใจ สูญสลายไปจากใจได้เลย แล้วทำไมเราไม่แสวงหาสันติภาพกันตั้งแต่ต้น ก่อนที่สงครามจะเกิดขึ้นนะ... แม้ไม่ใช่สีขาว...แต่เราก็ขอมอบดอกหญ้าสีม่วงในหลุมระเบิดนี้ ให้แก่ผู้รักสันติภาพทุกคนค่ะ...และขอภาวนา อย่าให้เรื่องของความคิด ความเชื่อ หรือสี ที่แตกต่าง ทำให้เกิดสงครามขึ้นอีกเลยนะคะ |
จากทุ่งไหหิน...ขบวนรถคาราวานย้อนกลับไปเข้าถนนสาย 7 หรือ "เส้นทางโฮจิมินห์" ยิ่งห่างจากเมืองโพนสะหวันเท่าไร ต้นไม้สองข้างทางก็ดูจะหนาแน่นมากขึ้นๆทุกที แสดงให้เห็นว่า ในบริเวณนั้น อาจจะได้รับผลกระทบจาก "ฝนเหลือง" น้อยลงๆ หรืออาจไม่ได้ถูกฝนเหลืองโปรยปรายลงมาทำลาย... ตอนขามาเชียงขวางนั้น ระหว่างทางก็มืดซะก่อน เลยทำให้เราไม่ได้เห็นวิวสองข้างทาง พอขากลับออกมา แม้อากาศจะยังหนาวจับใจ แต่ท้องฟ้าก็แจ่มใส ทำให้เราเห็นความงามของสองข้างทาง ที่เต็มไปด้วยป่าสนสองใบและสามใบ (คนลาวเรียกสนว่า "แปก" ซึ่งเป็นชื่อเมืองเก่าของเมืองโพนสะวัน) เราเห็นมีเด็กๆและสาวๆชาวเขา แต่งชุดชนเผ่ายืนกันอยู่ในดงสน... คุณอานนท์ หัวหน้ากองคาราวานจากรถเบอร์ 00 สั่งให้เราหยุดรถทันที เพื่อให้เราลงไปถ่ายภาพกัน รถทุกคันจอดชิดขอบถนนด้านขวา...แล้วพวกเราก็ค่อยๆทะยอยลงรถ และเดินตรงไปยังดงสนที่เห็นเด็กชาวเขายืนออกันอยู่ พอไปถึง...จากเด็กชาวเขา 3-4 คนที่เราเห็น ก็มีเด็กชาวเขาเดินออกมาจากดงสนที่ลึกเข้าไปอีกเป็นโขยง ทุกคนหน้าแฉล้มแช่มช้อย ตกแต่งหน้าตาด้วยเครื่องสำอางอ่อนๆ ใส่ชุดชาวเขาหลากเผ่าพันธุ์ แต่ใส่ถุงน่องรองเท้าสวยงามซะด้วยสิคะ ไม่เหมือนชาวเขาบ้านเราเลย... เอิ้กกกก....โดนนางแบบอาชีพหลอกซะแล้วเรา.. |
http://i835.photobucket.com/albums/z...k/Break_08.jpg ไหนๆก็ไหนๆแล้ว...พวกเราก็รุมขอถ่ายภาพชาวเขานางแบบอาชีพพวกนี้ไว้เป็นที่ระลึก http://i835.photobucket.com/albums/z...k/Break_06.jpg คนไทยใจดีเสมอ..ถ่ายภาพกับนางแบบชาวเขาแล้ว ก็มีทั้งขนมและเงินมาแจกนางแบบด้วย.. http://i835.photobucket.com/albums/z...k/Break_07.jpg ถ่ายภาพหมู่เป็นที่ระลึกซะหน่อย พอเดินเข้าไปด้านหลังหมู่นางแบบชาวเขา (มีหนุ่มนายแบบหน้าดำๆมาสมทบด้วย) สายชลก็ได้ไอร้อนๆ ที่ทำให้เราอุ่นขาขึ้นมาทันทีทันใด ก้มลงไปมอง ก็เห็นเตาไฟอั้งโล่ มีถ่านติดไฟลุกวาบๆเต็มเตา....อืมมม...มืออาชีพจริงๆเลยนะคะเนี่ย... http://i835.photobucket.com/albums/z...k/Break_10.jpg |
เราเดินกลับไปขึ้นรถด้วยความขบขัน ที่ถูกหลอกให้ลงไปถ่ายภาพชาวเขา ที่เป็นนางแบบมืออาชีพ... http://i835.photobucket.com/albums/z...k/Break_03.jpg รถวิ่งต่อไปเรื่อยๆ การจราจรเริ่มสับสนวุ่นวายเมื่อฝ่าเข้าไปกลางเขตชุมชน ถนนที่นี่แคบๆ ไม่มีขอบถนน แต่ทั้งผู้คน รถยนต์ รถวีโก้คอยาว (อีแต๋น) หมู เป็ด ไก่ สุนัข แพะ วัว ฯลฯ อาศัยขอบถนนเป็นที่ดำรงชีวิต วิ่ง หรือเดินเล่น... รถหมายเลข 15 ของเรา ที่อยู่กลางขบวน มักจะถูกทั้งมีสิ่งมีชีวิต และไม่มีชีวิตทั้งหลาย ตัดหน้าเป็นประจำ ทำให้รถของเราทิ้งช่วงรถคันหน้าไกลๆเสมอๆ จนกลายเป็นหัวขบวน ของรถคันหลังๆเราไป กว่าจะตามไปเจอท้ายรถคันที่ 14 ได้ ก็เล่นลุ้นกันจนเหนื่อยแล้วเหนื่อยอีก.. เราหยุดเข้าห้องน้ำที่หมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่ง สังเกตว่ามีบ้านปลูกสร้างใหม่ๆผุดขึ้นมากมาย ที่เป็นเช่นนี้ เป็นเพราะรัฐบาลลาวมีนโยบายให้ชาวเขาซึ่งปกติปลูกบ้านที่อยู่อาศัยอยู่ในหุบเขาให้ออกมาตั้งบ้านเรือนอยู่ริมถนน เพื่อเป็นยามเฝ้าเส้นทาง และเป็นหูเป็นตาแทนเจ้าหน้าที่บ้านเรือน... การไปเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของชาวเขาเช่นนี้ เราไม่แน่ใจว่าชาวเขาพอใจหรือไม่ ดูพวกผู้ชายยังรื่นเริงบันเทิงใจดี เพราะมีทางออก นอกเหนือจากการทำมาหากิน ได้อีกมากมายหลายทาง อย่างเช่น การเตะตะกร้อ เตะบอล ไปเที่ยวบ้านเพื่อน ฯลฯ... |
ส่วนพวกผู้หญิง...คงมีทางออกน้อยกว่า เพราะชีวิตของพวกเธอ คงจะมีเพียงงานบ้าน ดูแลสามี (ที่ไม่ค่อยจะอยู่บ้านในยามอื่น นอกจากยามนอน) และ ลูกๆแล้ว การหาความสำราญด้านอื่นของพวกเธอ คงไม่ค่อยจะมีให้เลือกมากนัก นอกจากการมานั่งคุยกับเพื่อนๆไป เลี้ยงลูกเลี้ยงหลานไป...นี่ละกระมัง ที่ทำให้เราไม่ค่อยจะเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าพวกเธอ http://i835.photobucket.com/albums/z...k/Break_15.jpg แม้แต่เด็กๆก็หารอยยิ้มได้ยาก.. http://i835.photobucket.com/albums/z...k/Break_16.jpg เราอยากเห็นรอยยิ้มของเธอนะคะ... http://i835.photobucket.com/albums/z...k/Break_18.jpg เราอยากเห็นรอยยิ้มของเด็กๆค่ะ... http://i835.photobucket.com/albums/z...k/Break_20.jpg |
เราวิ่งผ่านเมืองภูคูน เข้าสู่ถนนสาย 13 ที่ถนนมีฝุ่นตลบ วกไปวนมาเป็นงูเลื้อย และแล้วชบวนรถก็แวะจอดที่เมือง "กิ่วกะจำ" หรือที่เรียกกันเล่นๆว่า "หิวประจำ" เพราะที่นี่ เป็นจุดจอดเพื่อให้รับประทานอาหาร ของผู้จะเดินทางเข้าและออกจากหลวงพระบาง ผ่านถนนสาย 13 กิ่วกะจำ เป็นหมู่บ้านเล็กๆที่มีชาวเขาอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ตามนโยบายให้ชาวเขาออกมาตั้งบ้านเรือนอยู่ริมถนน เพื่อเป็นยามเฝ้าเส้นทาง ในช่วงฤดูหนาว อากาศบนกิ่วกระจำจะหนาวเย็น แม้ช่วงสายๆก็สามารถพบสายหมอกที่ปกคลุมเต็มบริเวณหุบเขา เกิดเป็นวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม ร้านอาหารที่เราใช้บริการชื่อ "ร้านพี่วัน" ที่ลงทุนทำที่ชมวิว เป็นศาลาอย่างดี เปิดโล่งใหญ่โต มีห้องน้ำเป็นสิบห้อง ทั้งแบบนั่งยองๆ และเป็นโถส้วม ที่สะอาด ให้ผู้มาทานอาหารได้ใช้ ที่นี่วิวสวยใช้ได้ทีเดียวค่ะ... |
คณะทัวร์เกือบทุกคณะ จะมาแวะพักรับประทานอาหารและทำธุรส่วนตัว ณ กิ่วกะจำแห่งนี้เป็นประจำ ทำให้บนที่ราบบนกิ่วกะจำแห่งนี้ มีร้านอาหารเกิดใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้...ยังมีชาวลาวนำสินค้าพื้นเมืองมาจำหน่ายมากมายหลายชนิด http://i835.photobucket.com/albums/z...-Krajum_04.jpg ผลไม้พอจะซื้อได้ ทุกอย่างกิโลละ 60 บาทหมด ส่วนของพื้นเมืองอย่าเพิ่งรีบซื้อนะคะ...ไปซื้อที่หลวงพระบาง หรือเวียงจันทน์ดีกว่า เพราะถูกกว่ากันหลายบาท http://i835.photobucket.com/albums/z...-Krajum_05.jpg ถ้าอยากจะได้เพลงลาวไปฟังบ้าง...ก็เชิญเลือกซื้อหา ติดไม้ติดมือได้เลยค่ะ.. http://i835.photobucket.com/albums/z...-Krajum_06.jpg |
รถมุ่งหน้าสู่หลวงพระบาง ไปตามถนนหมายเลข 13...ไม่ถึงห้าโมงเย็น เราก็ถึงเมือง หลวงพระบาง หลวงพระบาง เป็นเมืองเอกของแขวงหลวงพระบาง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว อยู่ทางภาคเหนือของประเทศ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขงและแม่น้ำคาน ซึ่งไหลมาบรรจบกัน เป็นเมืองที่งดงามด้วยศิลปและวัฒนธรรม จนองค์การยูเนสโกได้ยกย่องให้เป็นมรดกโลกด้วย ในเมืองหลวงพระบาง...เรากลับมาพบกับความวุ่นวาย ที่มีรถนานาชนิดจำนวนมากมายเป็นต้นเหตุ ผิดกับเมื่อครั้งเรามาเยือนหลวงพระบาง เมื่อยี่สิบปีก่อน ที่เราแทบไม่ได้เห็นรถวิ่งบนถนนของหลวงพระบางเลย.. กว่าจะไปถึงโรงแรมที่พัก The Grand Luang Prabang ...โรงแรมริมแม่น้ำโขงระดับ 5 ดาวของหลวงพระบาง เราต้องใช้เวลาฝ่าการจราจรจากถนนสาย 13 เกือบชั่วโมง... แต่พอเห็นโรงแรมแล้วก็หายเหนื่อย...โรงแรมสวยคลาสสิคมากค่ะ.. http://i835.photobucket.com/albums/z...B_Hotel_07.jpg ห้องพักของเราอยู่ชั้นล่างของตึกสองชั้นรูปตัวยู..มองจากระเบียงห้องพักก็เห็นสระบัวและสวนสวย http://i835.photobucket.com/albums/z...B_Hotel_02.jpg |
โรงแรมแห่งนี้...เมื่อยามได้เข้าไปพักแล้ว ทำให้รู้สึกร่มเย็นและสุขใจอย่างบอกไม่ถูก.. http://i835.photobucket.com/albums/z...B_Hotel_04.jpg จากประวัติของโรงแรม ทำให้เราได้ทราบว่า เดิมที่นี่เป็นวังของเจ้าเพชราช เจ้าองค์นี้ไม่ได้เป็นเจ้าชีวิต ถ้านับตามตำแหน่งแบบไทยเค้าจะเรียกว่าพระมหาอุปราช ส่วนเจ้าของที่แท้จริงในปัจจุบันเป็นของคนไทย ถ้าอยากทราบว่าเป็นใคร ลองเข้าไปอ่านใน Pantip ตามลิงค์นี้ อ่านแล้ว จะจริงเท็จประการใด โปรดใช้วิจารญานของท่านเองนะคะ http://topicstock.pantip.com/bluepla.../E7599920.html http://i835.photobucket.com/albums/z...B_Hotel_05.jpg ความร่มเย็นของที่นี่ น่าจะได้มาจากต้นไม้น้อยใหญ่ที่ปลูกเรียงรายอยู่ทั่วบริเวณโรงแรม... http://i835.photobucket.com/albums/z...B_Hotel_08.jpg และความเย็นจากลำน้ำโขง ที่ยามนี้มีน้ำล้นเต็มตลิ่ง... http://i835.photobucket.com/albums/z...B_Hotel_09.jpg |
เช้าวันใหม่...เราต้องรีบตื่นกันแต่เช้ามืด เพื่อจะไปตักบาตรพระตามที่ได้นัดแนะไว้กับไกด์ ที่จะเป็นผู้จัดเตรียมข้าวเหนียวสำหรับใส่บาตร น้ำสำหรับกรวดน้ำ กระดาษเย็นสำหรับเช็ดมือ และผ้าที่ใช้พาดไหล่ตามธรรมเนียม ไว้ให้กับเรา ยังไม่ทันสว่างดี...เราก็นั่งรถตุ๊กๆฝ่าลมหนาวยะเยือก ออกไปใส่บาตรกัน พอถึงถนนสายหลักกลางเมืองหลวงพระบาง ก็เห็นผู้คนมากมายบนถนนและริมถนน บ้างถือกล้องหรือตั้งกล้อง เตรียมบันทึกภาพอยู่กลางถนน บ้างนั่งอยู่ริมทางเดินที่มีเสื่อปูไว้ พร้อมกับกระติบข้าวเหนียว ที่มีผ้าพาดบ่าสีขาววางไว้บนกระติบอย่างเรียบร้อย มีแก้วน้ำเล็กๆวางอยู่ข้างๆกระติบ http://i835.photobucket.com/albums/z...ai-Bart_13.jpg เรารีบไปนั่งเรียบร้อยหลังกระติบข้าวบ้าง และใช้ผ้าพาดไหล่สะพายแล่ง ตามวิธีที่ไกด์แนะนำ แล้วนั่งคอยพระสงฆ์ที่ใกล้จะเดินมาถึง.. แห่ะๆ....หน้าตายังไม่ค่อยตื่นดีเลยค่ะ... http://i835.photobucket.com/albums/z...ai-Bart_01.jpg พระเดินมาเป็นขบวนยาวเหยียดแล้วค่ะ...เรารีบยกกระติบข้าวเหนียวขึ้นจบ... http://i835.photobucket.com/albums/z...ai-Bart_02.jpg เมื่อพระมาถึง เราปั้นข้าวเหนียวเป็นก้อนเล็กๆ ใส่ในบาตรพระที่เปิดฝาบาตรคอยอยู่... http://i835.photobucket.com/albums/z...ai-Bart_07.jpg |
พระและเณรท่านเดินมารับบาตรกันยาวเหยียด และค่อนข้างจะติดกันมาก... http://i835.photobucket.com/albums/z...ai-Bart_15.jpg คนใส่บาตร ก็ต้องปั้นข้าวเหนียว มือเป็นระวิง เพื่อพยายามใส่บาตรพระและเณรทุกรูปที่เดินผ่านมา... http://i835.photobucket.com/albums/z...ai-Bart_06.jpg เราจึงใส่บาตรทันบ้างไม่ทันบ้าง... http://i835.photobucket.com/albums/z...ai-Bart_14.jpg อิ่มเอิบใจมากค่ะ... http://i835.photobucket.com/albums/z...ai-Bart_05.jpg |
พระสงฆ์และเณรแต่ละวัดท่านเดินตามกันมาเป็นแถว จึงมีช่วงว่างระหว่างพระแต่ละวัด ให้เราได้หายใจหายคอ และพักเข่าบ้าง... http://i835.photobucket.com/albums/z...ai-Bart_16.jpg พระและเณรท่านยังเดินมาไม่ครบทุกวัด ข้าวเหนียวในกระติ๊บของสายชลก็เหลืออยู่สักสองสามหยิบมือ สายชลจึงปิดกระติ๊บ แล้วก็นั่งพับเพียบ พนมมือไหว้พระและเณรที่เดินผ่านไป... http://i835.photobucket.com/albums/z...ai-Bart_10.jpg ได้สงบจิตสงบใจอยู่ครู่ใหญ่ พระและเณรท่านก็เดินผ่านไปจนหมด.. http://i835.photobucket.com/albums/z...ai-Bart_11.jpg |
เมื่อแน่ใจว่าพระและเณรผ่านไปหมดแล้ว...เราก็ลุกขึ้นยืน แล้วนำข้าวเหนียวที่เหลือในกระติ๊บ มาปั้นเป็นก้อนกลมๆเล็กๆได้ 4-5 ลูก แล้วนำไปวางบนกำแพงวัด เพื่อให้นกกากิน http://i835.photobucket.com/albums/z...ai-Bart_19.jpg นอกจากนี้ ยังเป็นการแบ่งปันให้กับสัพเวสีที่อยู่แถวๆนั้นได้กินด้วย... http://i835.photobucket.com/albums/z...ai-Bart_20.jpg จากนั้น...เราได้นำน้ำในแก้ว มากรวดน้ำอุทิศส่วนกุศล ให้กับพ่อ แม่ ญาติสนิทมิตรสหาย เจ้ากรรมนายเวร ฯลฯ http://i835.photobucket.com/albums/z...ai-Bart_22.jpg |
ยังไม่สายนัก...เราไปเดินตลาดเช้าของเมืองหลวงพระบาง กันดีกว่าค่ะ.. http://i835.photobucket.com/albums/z..._Market_05.jpg ตลาดเช้า นับเป็นสีสันหนึ่งของเมืองหลวงพระบาง เขาจะติดตลาดกันตั้งแต่ตี 5 และขายไปเรื่อยๆจนกว่าแดดจะจัดตลาดวาย ที่ตั้งนั้นอยู่ในซอยเล็กๆ ติดกับวัดเชียงทอง สินค้าในตลาดที่วางขายกันริมถนนมีทั้งของสด ของแห้ง อาหารสำเร็จรูป ของฝากประเภทผ้าถุง ผ้านุ่ง กระเป๋า ฯลฯ http://i835.photobucket.com/albums/z..._Market_27.jpg ด่านแรกที่เราเจอที่ทางเข้าตลาด เป็นรถกระบะ บรรทุกผักมาวางขายกันตรงปากทางเลย ดูผักจะสดอละน่ารับประทานมากค่ะ http://i835.photobucket.com/albums/z..._Market_03.jpg ในตลาดก็มีผักและผลไม้ วางขายอยู่อีกหลายเจ้า.. http://i835.photobucket.com/albums/z..._Market_09.jpg |
ส้มสูกลูกไม้ มากมายให้เลือกซื้อ...แต่ขอบอก ส้มที่เห็นนั่น ไม่อร่อยเลยค่ะ... http://i835.photobucket.com/albums/z..._Market_07.jpg ข้าวเหนียว...ข้าวสาร http://i835.photobucket.com/albums/z..._Market_04.jpg อาหารแห้ง http://i835.photobucket.com/albums/z..._Market_11.jpg แป้งจี่ http://i835.photobucket.com/albums/z..._Market_10.jpg |
ในแม่น้ำโขง มีปลาชุกชุมและหลากหลายพันธุ์ ปลาจึงกลายมาเป็นอาหารหลักของที่นี่อีกชนิดหนึ่ง ที่นี่...มีทั้งปลาตัวใหญ่ๆ http://i835.photobucket.com/albums/z..._Market_14.jpg ปลาตัวเล็กๆ...ตัวจิ๋วๆ... http://i835.photobucket.com/albums/z..._Market_16.jpg แล่ให้เห็นกันสดๆ... http://i835.photobucket.com/albums/z..._Market_13.jpg ซื้อปลา แล้วก็ซื้อพริกและมะขามไปทำปลาทอด ลาดพริกผัดน้ำมะขามซะเลย... http://i835.photobucket.com/albums/z..._Market_12.jpg |
ผลิดภัณฑ์จาก "ควาย" มารวมตัวอยู่ที่นี่ค่ะ...ดูดีๆ มีอะไรบ้าง... ที่เป็นเท้า..จมูก...หู...น่าจะเห็นได้ชัดเจน http://i835.photobucket.com/albums/z..._Market_20.jpg http://i835.photobucket.com/albums/z..._Market_21.jpg ถ้าเป็นเส้นๆนี่ ถ้าไม่บอกคงไม่ทราบนะคะ.. http://i835.photobucket.com/albums/z..._Market_18.jpg จริงๆแล้ว คือ "หนังควาย" ที่นำขนออก ตัดเป็นเส้นๆ แล้วนำไปนึ่ง หรือตากแห้ง นำมาใช้ย่าง หรือนำไปทำเป็นน้ำพริก ที่เรียกว่า "แจ่วบอง" ซึ่งอยู่ในถุงสีดำที่วางอยู่ข้างๆ http://i835.photobucket.com/albums/z..._Market_19.jpg |
แผ่นสาหร่ายที่มีทั้งแบบตากแห้งและที่ทอดกรอบ ทานกับแจ้วบองอร่อยสุดๆเลยล่ะค่ะ.. http://i835.photobucket.com/albums/z..._Market_01.jpg ปูน้อยไม่หนีบมือ เพราะถูกมัดเป็นพวงๆ อย่างสวยงาม http://i835.photobucket.com/albums/z..._Market_22.jpg ขอถ่ายภาพหน่อยจ้ะ.. http://i835.photobucket.com/albums/z..._Market_23.jpg น่าสงสาร... http://i835.photobucket.com/albums/z..._Market_25.jpg |
เราสังเกตว่า ไม่มีพืชหรือสัตว์ป่ามาขายในตลาด เหมือนที่เคยเห็นเมื่อยี่สิบปีก่อน เข้าใจว่า ทางการคงสั่งห้ามไว้ เพราะไม่เช่นนั้น จะเสียชื่อเมืองมรดกโลกหมด... http://i835.photobucket.com/albums/z..._Market_08.jpg เราเดินดูกันจนทั่ว สายชลสนใจไปหมด แต่คุณสายน้ำ ดูจะสนใจไก่ย่าง ขนมปังฝรั่งเศส และกาแฟโบราณ เพราะเริ่มจะหิวอาหารเช้าแล้วล่ะค่ะ... http://i835.photobucket.com/albums/z..._Market_28.jpg |
นั่งตุ๊กๆ กลับโรงแรมไปทานข้าวเช้าดีกว่านะคะ...ห้องอาหาร บรรยากาศสวยงาม มีความสุขมากค่ะ... http://i835.photobucket.com/albums/z...B_Hotel_14.jpg รับประทานไป..ชมวิวแม่น้ำโขงไป... http://i835.photobucket.com/albums/z...B_Hotel_11.jpg หมอกบางๆยังลอยอ้อยอิ่งอยู่หนือลำน้ำโขง.... http://i835.photobucket.com/albums/z...B_Hotel_15.jpg สวยจนอยากนั่งอยู่ที่นี่นานๆ แต่ไม่มีเวลาแล้วค่ะ ถูกตามตัวไปเที่ยวแล้ว.... http://i835.photobucket.com/albums/z...B_Hotel_16.jpg |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 18:24 |
vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger