เราขับรถไปตามถนนที่ร่มรื่นด้วยไม้ใหญ่ที่ปลูกอยู่ข้างทาง....
หลังแนวไม้ด้านซ้าย เป็นอาคารที่ทำการของสถานีวิจัย และโรงเพาะชำกล้าไม้ ที่มีเยาวชนหลายคนเข้ามาศึกษางาน และมีคนงานทำงานอยู่
ส่วนด้ายซ้ายเป็นบ้านพักสีขาวทรงสูงคล้ายโรงนาฝรั่ง ตั้งอยู่บนสนามหญ้าสีเขียวขจี มีไม้เลื้อย และไม้ใหญ่ให้ความร่มรื่นแก่บ้านพักหลังนี้....
บ้านหลังนี้เอง ที่เคยเป็นที่ประทับของหม่อมเจ้าสิทธิพร กฤาดากร ในฟาร์มบางเบิด มาก่อนนั่นเอง
“ฟาร์มบางเบิด” เกิดขึ้นในปี พ.ศ.2463 ณ ไร่บางเบิด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยมีหม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร พร้อมกับศรีภรรยาและลูกน้อยอีก 2 คน เป็นผู้ก่อตั้งขึ้น
หม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากรทรงค้นคว้าความรู้ด้านช่างและเกษตรกรรม ทรงเห็นว่าเกษตรกรรมที่พึ่งพืชเพียงอย่างเดียว คือ ข้าว นั้นย่อมได้ประโยชน์จากการใช้ที่ดินไม่สมบูรณ์ และทรงพิสูจน์ว่าพืชอื่นๆ ก็สามารถปลูกให้ได้ผลดีในประเทศเราเหมือนกัน โดยเฉพาะในที่ดอน โดยปลูกพืชหลายชนิดในลักษณะการเกษตรผสมผสาน มีการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ทั้งด้านการปรับปรุงดิน การเลือกชนิดพันธุ์พืชและสัตว์ การคัดพันธุ์ ผสมพันธุ์ การบำรุงรักษาพืชที่ปลูกและสัตว์ที่เลี้ยง การให้ปุ๋ย การใช้ยากำจัดศัตรูพืช ฟาร์มบางเบิดจึงเป็นฟาร์มแห่งแรกในประเทศไทยที่ปลูกพืชคลุมต่างๆ ด้วยการปลูกหมุนเวียนในที่ดินแห่งเดียวต่างกับปลูกพืชดอนในสมัยนั้น ซึ่งส่วนมากปลูกในไร่เลื่อนลอย และเป็นแห่งแรกที่ได้ทำการอนุรักษ์ดินไม่ให้หน้าดินถูกชะล้างไป โดยการปลูกต้นมะพร้าวไว้ตามขอบแปลงเป็นแถวยาวโค้งไปตามความสูงต่ำของระดับพื้นดิน เป็นการเริ่มงานอนุรักษ์ดินที่แท้จริง
ฟาร์มบางเบิดเป็นฟาร์มแห่งแรกที่ได้ส่งพันธุ์ปศุสัตว์โดยเฉพาะไก่กับสุกรมาเลี้ยงเป็นการค้า สำหรับไก่ที่เลี้ยงเป็นพันธุ์เล็กฮอร์นขาว หงอนแดง โดยเลี้ยงเป็นฝูงใหญ่เพื่อจำหน่ายไข่ โดยส่งจำหน่ายในตลาดกรุงเทพฯ สำหรับหมูเป็นหมูพันธุ์ยอร์คเชีย ตัวย่อมกะทัดรัด โดยส่งจำหน่ายในตลาดปีนัง และยังเลี้ยงวัวนมที่มีน้ำนมดีสำหรับรีดเลี้ยงบุตร

ที่นี่ยังเป็นฟาร์มแห่งแรกที่ได้นำพันธุ์แตงโมจากสหรัฐอเมริกาพันธุ์ tom watson และพันธุ์ klondike มาปลูกจำหน่ายจนมีชื่อเสียงเป็นพันธุ์ที่รู้จักกันดีในนามของ “แตงโมบางเบิด” แตงโมที่ผลิตได้จะจำหน่ายในตลาดกรุงเทพฯ และปีนัง โดยการใช้เกวียนหลายๆ เล่มขนส่ง และเป็นแห่งแรกที่ได้ทดลองผลิตยาสูบพันธุ์เวอร์จิเนียที่บ่มด้วยความร้อน

ถั่วลิสงที่ปลูกในฟาร์มเป็นก็เป็นถั่วชนิดฝักป้อมใช้ปลูกด้วยเครื่องจักรและ เข้าเครื่องสำหรับกะเทาะเปลือกได้สะดวกดี ข้าวโพดที่ปลูกเป็นพันธุ์ที่ส่งมาจากต่างประเทศใช้เมล็ดเลี้ยงสัตว์และตัด ต้นลงดินเป็นปุ๋ยพืชสดเพื่อบำรุงดินให้อุดมสมบูรณ์สำหรับพืชอื่นๆ ต่อไป คนงานเป็นพวกชาวบ้านป่าแถบนั้นเอง ในระหว่างเขตของฟาร์มบางเบิดกับฟาร์มของเจ้าคุณพิพัทธกุลพงษ์มีห้วยน้ำไหล ผ่านไปลงทะเล น้ำในห้วยใสสะอาดจืดสนิทใช้บริโภคได้ และใช้น้ำในห้วยนี้สำหรับการเกษตรในฟาร์ม ซึ่งนับได้ว่าเป็นแห่งแรกที่ทำการปลูกพืชไร่และสัตว์เลี้ยงทำนองวิธีการที่ เรียกกันว่า “ไร่นาผสม”
พระองค์ทรงนำเครื่องทุ่นแรง คือ เครื่องจักรเครื่องมือเข้าใช้ ในที่ๆ วัวควายทำไม่ได้ ซึ่งการนำเครื่องทุ่นแรง เช่น รถแทรกเตอร์ในสมัยนั้นหย่อนคุณภาพ ค่าใช้จ่าย และค่าสึกหรอแพงมาก พระองค์จึงทรงใช้ทั้งวิทยาการสมัยใหม่ร่วมกับภูมิปัญญาพื้นบ้านได้อย่าง เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ อีกทั้งจัดให้มีการจัดระบบการเก็บสถิติการทดลอง การบันทึกค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการฟาร์ม ซึ่งเป็นการควบคุมต้นทุนการผลิต
พระองค์ทรงสนพระทัยเข้าคลุกคลีทำการทดลองวิจัยค้นคว้าหาข้อบกพร่อง และปรับปรุงจากการที่ทรงปฏิบัติจริงด้วยพระองค์เอง เมื่อปรากฎว่าได้ผลดีก็ได้นิพนธ์บทความชี้แจงถึงวิธีปฏิบัติการพร้อมด้วย สถิติตัวเลขประกอบ เพื่อเป็นวิทยาการเผยแพร่ในหนังสือพิมพ์ให้แก่เกษตรกรอื่นๆ ได้ทราบและปฏิบัติตาม จึงเป็นแนวความคิดให้เกิด “หนังสือพิมพ์กสิกร” โดยมีความมุ่งหมายเพื่อเผยแพร่วิชาชีพทางประกอบกสิกรรมและเป็นสื่อนำความคิด เห็นในด้านนโยบายส่งเสริมการเกษตรของนักวิชาการเกษตรไปสู่ความรู้สึกนึกคิด ของผู้ใหญ่ฝ่ายปกครองตลอดจนกระทั่งถึงพระเจ้าแผ่นดิน
ในช่วงบั้นปลายแห่งชีวิต ท่านสิทธิพรทั้งชราและยากจนลงมากเกินกว่าจะดูแลรักษาไร่บางเบิดซึ่งมีขนาด ใหญ่ถึง 250 ไร่ ให้มีสภาพคงเดิมได้ ท่านจึงตัดสินใจขายไร่บางเบิดให้กับรัฐบาลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และท่านนำเงินที่มีอยู่จาการขายไร่นี้ไปซื้อที่ดินแปลงเล็กๆ ที่หัวหินเพื่อทำการทดลองการเกษตรต่อไป
ข้อมูลจาก....http://www.aerdi.ku.ac.th/department...ge/history.htm (ขอขอบคุณไว้ ณ.ที่นี้ค่ะ)
เราเห็นที่ประทับของพระองค์ท่านแล้ว ชอบมากค่ะ ถึงจะเป็นบ้านที่สร้างมาหลายปี แต่ก็ยังดูทันสมัย และน่าอยู่อาศัยเป็นที่สุด....
__________________
Saaychol
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายชล : 07-07-2010 เมื่อ 16:15
|