ขอบคุณข่าวจาก GREENPEACE
กู้วิกฤตสภาพภูมิอากาศ ก่อนภัยพิบัติทางธรรมชาติจะทวีความรุนแรงสุดขั้วทั่วทุกภูมิภาค ................ โดย Supang Chatuchinda
เป็นเวลากว่า 7 เดือนแล้วที่โลกของเราเผชิญกับการระบาดของไวรัส Covid-19 ในขณะเดียวกันชุมชนทั่วโลกก็ต้องเจอกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่ร้ายแรงขึ้นเรื่อยๆ ในเวลาเพียงแค่ 2 สัปดาห์ แต่ทั่วโลกกลับเกิดเหตุการณ์มากมายไม่ว่าจะเป็น ไฟป่าในรัฐแคลิฟอเนียร์ที่มีเชื้อไฟมาจากภัยแล้งอย่างหนักหน่วง ไฟป่านี้เผาผลาญพื้นที่ป่าไปแล้วกว่า 5 ล้านเอเคอร์ กินพื้นที่ในรัฐแคลิฟอเนียร์ โอเรกอนและรัฐวอชิงตัน ยิ่งไปกว่านั้นยังคร่าชีวิตผู้คนไปแล้ว 33 คน และทำให้ผู้คนนับหมื่น ตั้งแต่ซานฟรานซิสโก ชิคาโก ไปจนถึงกรุงนิวยอร์กต้องเผชิญกับมลพิษทางอากาศจนท้องฟ้ากลายเป็นสีส้ม
ขณะเดียวกัน เหตุการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นในเอเชียใต้เป็นเหตุการณ์ประจำปีที่สถานการณ์เลวร้ายขึ้นเรื่อย ๆ มีคนจำนวน 9.6 ล้านคนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำท่วมในปีนี้ ในภาพรวมเราอาจเห็นภัยพิบัติทางธรรมชาติมาในรูปแบบของพายุฝน ไฟป่า น้ำท่วม เป็นต้น แต่ทราบหรือไม่ว่า ภัยคุกคามที่เกิดจากการขาดแคลนทรัพยากรทางธรรมชาติ (ecological threats) ก็เป็นส่วนหนึ่งของผลกระทบจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศเช่นกัน
การขาดแคลนทรัพยากรทางธรรมชาติ (ecological threats)
สถาบันเพื่อเศรษฐศาสตร์และสันติภาพ หรือ The Institute for Economics and Peace (IEP) ซึ่งเป็นสถาบันชี้วัดดัชนีการก่อการร้ายและดัชนีสันติภาพของโลก วิเคราะห์ว่าประชากรโลก 1.2 พันล้านคนที่อาศัยอยู่ใน 31 ประเทศจะไม่สามารถปรับตัวได้ทันต่อภัยคุกคามที่เกิดขึ้นจากการขาดแคลนทรัพยากรทางธรรมชาติ โดยประชากรโลกมากกว่า 1 พันล้านคนเหล่านี้จะต้องอพยพย้ายถิ่นฐานเนื่องจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศภายใน 30 ปี รวมทั้งการเติบโตของจำนวนประชากรยิ่งเป็นตัวเร่งให้เกิดการอพยพย้ายถิ่นฐานมากขึ้น ทั้งสองปัจจัยนี้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อทั้งประเทศพัฒนาแล้วกับประเทศที่กำลังพัฒนา

นักกิจกรรมกรีนพีซถือป้ายแบนเนอร์ ภาพทะเลสาบ The Laguna de Aculeo ในชิลี ที่เคยเต็มไปด้วยน้ำแต่ปัจจุบันทะเลสาบแห้งนี้ไม่มีน้ำเหลืออยู่แล้ว ? Martin Katz / Greenpeace
มี 19 ประเทศที่จะตกเป็นประเทศเสี่ยงที่จะขาดแคลนน้ำ อาหาร และมีแนวโน้มเผชิญกับภัยธรรมชาติมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นยังพบการขาดแคลนทรัพยากรใน 40 ประเทศที่มีสันติภาพน้อยที่สุดอีกด้วย โดยหลายประเทศที่พบเจอกับภัยการขาดแคลนทรัพยากร ประกอบไปด้วย ไนจีเรีย แองโกลา บูร์กินาฟาโซ (Burkina Faso) และอูกันดา ยังเป็นกลุ่มประเทศที่ถูกคาดการณ์ว่าจะมีประชากรเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ และจะต้องอพยพย้ายถิ่นฐานครั้งใหญ่ตามที่รายงานระบุ
นอกจากนี้ ผลการศึกษาดังกล่าวนำข้อมูลจากองค์การสหประชาชาติและข้อมูลจากองค์กรอื่นๆ ประเมินและพบว่า มี 157 ประเทศที่จะต้องเผชิญการขาดแคลนทรัพยากรทางธรรมชาติอย่างน้อย 8 ระลอก และพบว่ามี 141 ประเทศที่ต้องเจอกับการขาดแคลนทรัพยากรทางธรรมชาติอย่างน้อย 1 ระลอก ภายในปี พ.ศ. 2593 ซึ่งภูมิภาคเช่น แอฟริกา ซาฮารา เอเชียใต้ ตะวันออกกลางและแอฟริกาตอนเหนือ อาจเป็นภูมิภาคที่ต้องเผชิญภัยเช่นนี้บ่อยขึ้น

ภาพชาวบ้านใน เขต Mangalwheda taluk, Solapur ในอินเดีย กำลังเดินหาแหล่งน้ำใต้ดิน ในปี 2562 ที่ผ่านมาพื้นที่แห้งนี้เผชิญกับความแห้งแล้งอย่างหนัก ? Subrata Biswas / Greenpeace
บางประเทศเช่น อินเดีย จีน เป็นสองประเทศที่มีปัญหาขาดแคลนน้ำ ส่วนประเทศที่ไม่สามารถจัดการกับความต้องการทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ปากีสถาน อิหร่าน เคนยา โมซัมบิกและมาดากัสการ์ จะต้องเผชิญกับปัญหาดังกล่าวด้วยความยุ่งยากมากกว่าเดิม
การชะลอการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลก คือทางออกที่ต้นเหตุ

ธารน้ำแข็งในออสเตรียละลายเนื่องจากอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้นเพราะการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ (ภาพนี้ถูกถ่ายเมื่อ 24 กันยายน 2563) ? Mitja Kobal / Greenpeace
หากเรายังคงนิ่งเฉยและปล่อยให้อุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลกสูงขึ้นเรื่อยๆ ด้วยการไม่จำกัดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลง เราจะต้องพบเจอกับภัยพิบัติทางธรรมชาติที่รุนแรงและบ่อยมากขึ้นเรื่อยๆ รวมทั้งการขาดแคลนทรัพยากร เช่น น้ำ เป็นต้น ซึ่งอาจทำให้มนุษย์เราอาศัยอยู่บนโลกนี้ได้อย่างยากลำบากกว่าเดิม ดังนั้น สิ่งที่เราทำได้ในตอนนี้ก็คือ ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เพื่อชะลอไม่ให้อุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลกสูงขึ้นไปมากกว่านี้
เราจะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากทางไหนได้บ้าง
เพื่อชะลอไม่ให้วิกฤตสภาพภูมิอากาศรุนแรงไปยิ่งกว่านี้ เราจำเป็นต้องลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และรักษาอุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลกไม่ให้เพิ่มเกิน 1.5 องศาเซลเซียส สามารถทำได้ด้วยการยุติการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล โดยรายงานของ IPCC ระบุว่า ทั่วโลกจำเป็นต้องลดใช้ถ่านหินจาก 2 ใน 3 ภายในปี พ.ศ.2573 และต้องลดลงจนเกือบเป็นศูนย์ภายในปี พ.ศ.2593 โดยเปลี่ยนมาใช้พลังงานที่ชาญฉลาดขึ้น นั่นคือการผลิตพลังงานไฟฟ้าแบบคาร์บอนต่ำในภาคการขนส่ง ภาคอุตสาหกรรมและเมือง
นอกจากการเปลี่ยนผ่านทางพลังงานที่จะช่วยลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์แล้ว การลดบริโภคเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากนมที่มาจากการปศุสัตว์เชิงอุตสาหกรรมก็ยังเป็นการลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เนื่องจากการผลิตเนื้อสัตว์เชิงอุตสาหกรรมในปัจจุบัน เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของวิกฤตสภาพภูมิอากาศ
การผลิตเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากนมเพียงอย่างเดียวได้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกพอ ๆ กันกับภาคการคมนาคมขนส่ง ระบบอาหารแบบนี้บังคับให้เราเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดินเพื่อทำการเกษตร และยังเป็นระบบที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกถึง 1 ใน 4 ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เป็นต้นเหตุของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทั้งหมด หากเรายังนิ่งเฉยกับประเด็นนี้ ในปี พ.ศ. 2593 ระบบอาหารนี้จะปล่อยก๊าซจำนวนมากเป็นสัดส่วนเกินครึ่งของปริมาณก๊าซทั้งหมดที่ถูกปล่อยออกมาจากกิจกรรมของมนุษย์
และในอีกด้านหนึ่ง เราจำเป็นจะต้องปกป้องผืนป่าโดยมุ่งลดการทำลายป่าไม้ให้เป็นศูนย์ ป่าไม้และที่ดินมีบทบาทสำคัญต่อเป้าหมายการจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลกไว้ที่ 1.5 องศาเซลเซียส รวมถึงการดูแลผืนป่าที่มีอยู่และการอนุรักษ์ดินเพื่อขยายศักยภาพในการกักเก็บและดูดซับคาร์บอน
(มีต่อ)
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
|