ดูแบบคำตอบเดียว
  #4  
เก่า 09-03-2021
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default

ขอบคุณข่าวจาก ThaiPBS


ขึ้นบัญชี "นกชนหิน" สัตว์ป่าสงวน ลำดับที่ 20

คณะกรรมการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า ผ่านความเห็นชอบให้ "นกชนหิน" เป็นสัตว์ป่าสงวนลำดับที่ 20 ของไทย



วันนี้ (8 มี.ค.2564) คณะกรรมการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า ผ่านความเห็นชอบให้นกชนหิน (Helmeted Hornbill) เป็นสัตว์ป่าสงวน ลำดับที่ 20 ของไทยแล้ว

สถานะ 'นกชนหิน' เสี่ยงสูญพันธุ์ ผลักดันเป็นสัตว์ป่าสงวนอันดับที่ 20

ข้อมูลจากเว็บไซต์ กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม ระบุว่า ช่วงปลายปี 2562 ที่ผ่านมา เกิดความตื่นตัวของสังคมในการผลักดันสถานะการอนุรักษ์ "นกชนหิน" นกเงือก 1 ใน 13 ชนิดของไทยจากสถานะสัตว์ป่าคุ้มครอง ตาม พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า ขึ้นเป็นสัตว์ป่าสงวนลำดับที่ 20

กระแสดังกล่าวเกิดขึ้นภายหลังการเปิดเผยข้อมูลจาก นายปรีดา เทียนส่งรัศมี เจ้าหน้าที่โครงการศึกษานิเวศวิทยาของนกเงือก คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ที่ระบุว่า เริ่มมีกลุ่มพรานเข้าป่าล่านกชนหินในเขตอุทยานแห่งชาติบูโด-สุไหงปาดี จ.นราธิวาส

จากแรงดึงดูดการตั้งค่าหัวนกชนิดนี้สูงถึงหลักหมื่น ก่อนจะส่งขายให้กลับกลุ่มนักสะสมที่มีความเชื่อเรื่องเครื่องรางของขลังทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ

สอดคล้องกับรายงานขององค์กรติดตามการค้าสัตว์ป่า (TRAFFIC) เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งติดตามการลักลอบการซื้อขายชิ้นส่วนและเครื่องประดับจากโหนกนกชนหินและนกเงือกชนิดอื่น ๆ ในตลาดออนไลน์ในประเทศไทย ระหว่างเดือนต.ค.2561- เม.ย.2562 พบการโพสต์ซื้อขายสินค้าจากนกเงือก 236 โพสต์ มีผลิตภัณฑ์จากนกเงือกมากกว่า 546 ชิ้น โดย 173 โพสต์ หรือ 73% เป็นการซื้อขายผลิตภัณฑ์จากนกชนหิน




ต่อมามูลนิธิสืบนาคะเสถียรจึงได้สร้างแคมเปญรณรงค์ ?ขอให้นกชนหินเป็นสัตว์ป่าสงวนอันลำดับที่ 20 ของไทย? ผ่านเว็บไซต์ www.change.org เพื่อขอชื่อสนับสนุนจากประชาชนก่อนส่งให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นำเรื่องนี้ไปพิจารณาผลักดันตามขั้นตอนต่อไป

ศ.ดร.พิไล พูลสวัสดิ์ หัวหน้าโครงการศึกษานิเวศวิทยาของนกเงือก คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาวิจัยนกเงือก ให้ความเห็นว่า สถานการณ์ในภาพรวมของนกเงือกแต่ละชนิดในประเทศไทยนั้น มีความแตกต่างกันในแง่พื้นที่ ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายด้านที่เชื่อมโยงกันเป็นวงจรชีวิต

อย่างไรก็ดี ชนิดของนกที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือนกชนหิน เพราะในอินโดนีเซีย มีการล่าเพื่อส่งหัวไปขายที่ประเทศจีน แต่ก็ยังไม่ลุกลามเข้ามาในประเทศไทย ยกเว้นมีข่าวเรื่องการล่านกในประเทศมาเลเซียและตะเข็บชายแดนไทย โดยที่ผ่านมามีการรายงานสถานการณ์ไปยังองค์กรนานาชาติ รวมถึงประเทศเพื่อนบ้านให้มีการเฝ้าระวังและดูแลอย่างเข้มข้น

ในจำนวนนกเงือกทั้ง 13 ชนิดในประเทศไทย นกชนหินเป็นนกที่มีอายุโบราณมากที่สุด กล่าวได้ว่า เป็นบรรพบุรุษของนกเงือกที่ยังมีชีวิตอยู่ นั่นคือนกเงือกสายพันธุ์โหนกใหญ่ เช่น นกกก นกหัวแรด แม้อาจจะไม่ใช่บรรพบุรุษโดยตรง แต่นกชนหินเป็นญาติสนิทกับบรรพบุรุษของนกกก และนกหัวแรด เหมือนเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน

บรรพบุรุษของนกเงือกในไทยมี 3 ชนิด เก่าแก่ที่สุดคือนกเงือกหัวหงอกมีอายุ 47 ล้านปี นกชนหิน 45 ล้านปี และนกเงือกคอแดง ซึ่งอยู่ในสถานะที่น่าเป็นห่วงเช่นเดียวกัน

บทบาทสำคัญของนกเงือกในระบบนิเวศคือการกระจายเมล็ดพันธุ์ไม้ การอนุรักษ์นกเงือกไว้ได้เท่ากับจะได้พื้นที่ป่าเพิ่มมากขึ้น เพราะนกเงือกเหล่านี้ช่วยปลูกป่าและขยายพื้นที่ป่าให้มากขึ้นจากพฤติกรรมการกินผลไม้ที่หลากหลาย ส่งผลให้ป่าที่นกปลูกมีความหลากหลายตามไปด้วย ขณะเดียวกันผลไม้ที่นกเงือกกินและปลูกยังเป็นผลไม้ประจำถิ่น จึงได้ทั้งปริมาณ คุณภาพ และความหลากหลายที่ทำให้ป่ามีความสมบูรณ์

ทั้งนี้ จากการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับชีววิทยาการสืบพันธุ์ของนกชนหินพบว่า การทำรังของนกชนิดนี้ไม่ง่ายเหมือนชนิดอื่น เนื่องจากจะพิถีพิถันในการเลือกทำรังอย่างมาก โดยรังต้องมีลักษณะพิเศษที่จะต้องมีปุ่ม หรือมีชานชาลายื่นออกมาเพื่อให้นกเกาะเมื่อโผเข้ารัง ซึ่งโพรงลักษณะนี้ในธรรมชาติมีอยู่น้อย ไม่เหมือนนกเงือกชนิดอื่นที่ไม่พิถีพิถันในการเลือกรัง อีกทั้งวงจรชีวิตของนกชนหินยาวกว่าชนิดอื่น ๆ โดยถือว่ายาวที่สุดในบรรดานกเงือกเอเชีย



เมื่อป่าลดลง ขาดป่าที่มีต้นไม้ใหญ่ โดยเฉพาะไม้วงศ์ยาง ไม้ตะเคียน ไม้กาลอ เป็นต้น ซึ่งไม้จำพวกนี้ถือเป็นไม้เศรษฐกิจการถูกลักลอบตัดก็มากขึ้น การลักลอบตัดไม้ในพื้นที่ป่าจึงเป็นภัยคุกคามอันดับแรกๆ ของนกชนหินและนกเงือกชนิดอื่น ๆ ในประเทศไทย

เพราะเป็นการทำลายและรบกวนถิ่นอาศัยของนกมากกว่าการล่าโดยตรง ทั้งการเข้าไปหาของป่า เข้าไปตัดไม้ หรือกิจกรรมการท่องเที่ยว แม้ว่าในเวลานี้จะยังไม่มีการล่าอย่างชัดเจน แต่เมื่อมีการรบกวนหรือทำกิจกรรมในป่านกก็จะตื่น และจะไม่ทำรัง เมื่อไม่ทำรังก็ไม่ออกลูกตามมา

จากการศึกษาวิจัยในผืนป่าเทือกเขาบูโดฯ กว่า 30 ปี ของทีม ศ.ดร.พิไล ระบุว่า พบรังนกสะสมทั้งหมด จำนวน 22 รัง ที่มีนกเข้ามาใช้ซ้ำ ๆ ราว 40 คู่ แต่เกิดการเสียหายไป 19 รัง เพราะต้นไม้หัก ถ้าไม่มีการเฝ้าระวังและมีการซ่อมแซมเมื่อต้นรังหักนกเงือกก็ต้องหารังใหม่

เท่ากับปีนั้นแม่นกจะไม่ออกลูก ซึ่งคาดว่าปัจจุบัน มีนกชนหินในพื้นที่เทือกเขาบูโดฯ ประมาณ 100 ตัว หรืออาจไม่ถึง 100 ตัวดีนัก เพราะในระยะหลังแต่ละปีพบนกทำรังแค่ 1-2 คู่ และออกลูกเพียงตัวเดียว ส่วนพื้นที่อื่นนั้นไม่ทราบจำนวนที่แน่ชัด แต่นกชนหินสามารถพบได้ในพื้นที่ป่าดิบทางภาคใต้ ตั้งแต่ จ.ชุมพรลงไป

กระแสเรียกร้องให้ขึ้นบัญชีนกชนหินเป็นสัตว์ป่าสงวนลำดับที่ 20 นั้น ศ.ดร.พิไล เห็นว่า มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดี คือกฎหมายในการดูแลนกชนหินจะมีความเข้มข้นขึ้น แต่เมื่อมีกฎหมายแล้วต้องเข้มงวดในการบังคับใช้ด้วย ซึ่งกรณีตัวอย่างจากทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ป่าตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา พบว่ามีการใช้ประโยชน์จากป่ามาก แต่ไม่มีการทำนุบำรุงทำให้เกิดการสูญเสียพื้นที่ป่าอย่างที่เป็นเช่นทุกวันนี้

สำหรับข้อเสีย หากนกชนหินถูกขึ้นบัญชีเป็นสัตว์ป่าสงวน เรื่องการทำวิจัยจะยุ่งยากขึ้น เพราะต้องมีการกำหนดเขตหวงห้าม ซึ่งอาจจะเป็นการปิดกั้นนักวิจัยจากภายนอก

ในขณะเดียวกันหากไม่มีการเฝ้าระวังนกชนิดนี้ก็อาจจะหายไปโดยธรรมชาติ เพราะไม่สามารถเจาะโพรงเองได้ และยังต้องเป็นโพรงลักษณะพิเศษอีกด้วย ดังนั้นการจัดอันดับให้เป็นสัตว์ป่าสงวน แต่ไม่มีการเฝ้าระวังที่ดี ในที่สุดนกก็จะค่อย ๆ ลดลง หรือหายไปโดยที่อาจไม่มีคนล่า แต่เพราะไม่มีที่ทำรัง

ในทางกลับกันการยกสถานะนกชนหินเป็นสัตว์ป่าสงวนอาจยิ่งเป็นการเพิ่มค่าหัวหรือสร้างแรงจูงใจของนักล่ามากยิ่งขึ้นด้วยเพราะเป็นสัตว์ป่าสงวน ดังนั้นควรเปิดกว้างให้ทุกภาคส่วนได้ร่วมศึกษาพัฒนาแนวทางในการอนุรักษ์นกชนหินอย่างเหมาะสม


https://news.thaipbs.or.th/content/302195


*********************************************************************************************************************************************************


ไฟฟ้าดับ "สมุย-พะงัน" ร.ล.อ่างทอง ทอดสมอโดนสายเคเบิลใต้ทะเล

อ.เกาะสมุย และ อ.เกาะพะงัน เผชิญวิกฤตไฟฟ้าดับ หลังสายเคเบิ้ลใต้ทะเลชำรุดเสียหาย ไม่สามารถส่งกระแสไฟฟ้าจาก อ.ขนอม มาเกาะสมุยได้ คาดซ่อมแซม 2 สัปดาห์ ขณะที่กองทัพเรือเร่งตรวจสอบ ยืนยันไม่ปฏิเสธความรับผิดชอบหากพบสาเหตุจากเรือหลวงอ่างทองทอดสมอถูกสายเคเบิ้ล



วันนี้ (8 มี.ค.2564) นายจักรกฤษณ์ มีเดช ผู้จัดการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค อำเภอเกาะสมุย กล่าวถึงเหตุการณ์กระแสไฟฟ้าดับในบางพื้นที่บน อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ตั้งแต่ช่วงเช้าที่ผ่านมา ว่า เมื่อช่วงเช้าได้มีเรือหลวงอ่างทอง เข้ามาทอดสมอเพื่อจอดเรือห่างจากชายฝั่งไปทางทิศตะวันตกประมาณ 2 กิโลเมตร ซึ่งเป็นจุดที่มีการวางสายเคเบิ้ลใต้ทะเล ส่งกระแสไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าขนอม มายังสถานีไฟฟ้าแห่งที่ 2 ที่ตั้งอยู่ใน ต.แม่น้ำ อ.เกาะสมุย ทำให้สายเคเบิ้ลใต้ทะเลบริเวณดังกล่าวเกิดความเสียหาย และโรงไฟฟ้าขนอมไม่สามารถจ่ายกระแสไฟฟ้ามายังเกาะสมุยได้


คาดซ่อมแซม 2 สัปดาห์

สำหรับสถานีไฟฟ้าแห่งที่ 2 บนเกาะสมุย ทำหน้าที่จ่ายกระแสไฟฟ้าให้พื้นที่บางส่วนใน อ.เกาะสมุย และ อ.เกาะพะงัน ทำให้พื้นที่บางส่วนของ ต.แม่น้ำ ต.บ่อผุด และ ต.มะเร็ต ไม่มีกระแสไฟฟ้าใช้เพียงพอ ทางการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจึงจ่ายกระแสไฟฟ้าแบบสลับกันใช้

ขณะเดียวกันทางการไฟฟ้า ประสานขอรถโมบายปั่นกระแสไฟฟ้าเคลื่อนที่จากพื้นใกล้เคียงมายังเกาะสมุย เพื่อระดมปั่นกระแสไฟฟ้าเสริมเข้าในระบบจ่ายไฟฟ้า ส่วนการซ่อมแซมสายเคเบิ้ลใต้ทะเลเบื้องต้นทางผู้เชี่ยวชาญต้องสำรวจความเสียก่อน เพื่อประเมิณเวลาในการซ่อมแซม คาดว่าใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์


ทร.เร่งตรวจสอบ ยันไม่ปัดความรับผิดชอบ

ขณะที่ พลเรือโทเชษฐา ใจเปี่ยม โฆษกกองทัพเรือ เปิดเผยว่า ขณะนี้กองทัพเรือกำลังดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างเร่งด่วน ว่ามีสาเหตุมาจากเรือของกองทัพเรือตามที่ได้มีการนำเสนอข่าวหรือไม่ โดยกองทัพเรือจะไม่ปฏิเสธความรับผิดชอบหากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเกิดจากเรือของกองทัพเรือจริง

เบื้องต้นได้เตรียมความพร้อมในการจัดกำลังพลและยุทโธปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับงานสำรวจใต้น้ำ เพื่อสนับสนุนการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคในการเข้าสำรวจความเสียหายตามแต่จะได้รับการประสานจากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค

ทั้งนี้ ผู้บัญชาการทหารเรือได้สั่งการหน่วยในพื้นที่รับผิดชอบ เตรียมจัดเรือและกำลังพลเพื่อให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนแล้ว โดยจะสนับสนุนส่วนราชการและประชาชนในพื้นที่ทันทีที่รับการร้องขอ


https://news.thaipbs.or.th/content/302208

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม