ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์
ชายหาดมะริดพบ "ฉลามวาฬตายเกยตื้น" คาดดินฟ้าอากาศอุณหภูมิน้ำทะเลเปลี่ยน

ฉลามวาฬที่ลอยมานอนตายเกยตื้นบนชายหาดเจ้าก์กา เมืองปะลอ จังหวัดมะริด เมื่อตอนเที่ยงวันนี้
พบฉลามวาฬยาว 24 ฟุต ขึ้นมานอนตายเกยตื้นชายหาดมะริด เจ้าหน้าที่คาดเกิดจากสภาพดินฟ้าอากาศเปลี่ยน ก่อนหน้านี้ 2 เดือน พบโลมา 3 ตัว ว่ายหลงทางจนมาเกยตื้นบนชายหาดพะสิมถึง 3 ตัว ในวันเดียว
ช่วงเที่ยงวันนี้ (24 ส.ค.) ชาวบ้านเจ้าก์กา หมู่บ้านชายทะเลอันดามัน ในเมืองปะลอ จังหวัดมะริด ภาคตะนาวศรี ประเทศพม่า ได้พบเห็นปลาฉลามวาฬขนาดใหญ่ ลอยตามน้ำขึ้นมานอนตายเกยตื้นอยู่บนชายหาด จึงแจ้งให้เจ้าหน้าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบ
ต่อมามีเจ้าหน้าที่จากกรมประมงเดินทางมาตรวจซากปลาฉลามวาฬ พบว่าเป็นเพศผู้ ลำตัวยาว 24 ฟุต ส่วนกลางลำตัววัดเส้นรอบวงได้ 10 ฟุต ความกว้างของปาก 3 ฟุต 6 นิ้ว ครีบหางกว้าง 5 ฟุต 6 นิ้ว
เนื่องจากปลาฉลามวาฬอยู่ในบัญชีสัตว์หายากของโลก เจ้าหน้าที่จึงต้องเก็บรายละเอียดและหลักฐานทั้งหมด เพื่อนำไปวิเคราะห์หาสาเหตุการตายว่ามาจากอะไร อย่างไรก็ตาม เบื้องต้น เจ้าหน้าที่คาดว่าเกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพดินฟ้าอากาศ จากนั้น ชาวบ้านในพื้นที่ได้ช่วยกันนำซากปลาฉลามวาฬตัวนี้ ไปฝังกลบ

แผนที่เมืองปะลอ ชายทะเลอันดามัน จังหวัดมะริด
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน ที่บ้านฉ่วยตองยาน หมู่บ้านชายทะเลในอ่าวเบงกอล จังหวัดพะสิม ภาคอิรวดี ซึ่งอยู่ห่างจากภาคตะนาวศรี ข้ามอ่าวเมาะตะมะขึ้นไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ได้เกิดปรากฏการณ์โลมาได้ว่ายหลงมานอนเกยตื้นอยู่บนชายหาดถึง 3 ตัวภายในวันเดียว
โดยในตอนเช้า ชาวบ้านพบโลมา 2 ตัว นอนเกยตื้นอยู่บนชายหาดฉ่วยตองยาน จึงได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่แผนกประมงประจำจังหวัดมาให้ความช่วยเหลือ เจ้าหน้าที่ได้มาวัดขนาดของโลมาทั้ง 2 ตัว ตัวหนึ่งยาว 6 ฟุต 1 นิ้ว ส่วนกลางลำตัววัดเส้นรอบวงได้ 2 ฟุต 7 นิ้ว ครีบหางกว้าง 1 ฟุต 4 นิ้ว อีกตัวหนึ่งยาว 6 ฟุต 3 นิ้ว ลำตัววัดได้ 2 ฟุต 7 นิ้ว ครีบหางกว้าง 1 ฟุต 9 นิ้ว
ต่อมาตอนบ่าย ที่ชายหาดบริเวณด้านหน้าโรงแรมฉ่วยฮิงตา (หงส์ทอง) ซึ่งอยู่เหนือขึ้นไปจากจุดที่พบโลมา 2 ตัวเกยตื้นในตอนเช้าเล็กน้อย ชาวบ้านได้พบกับโลมาอีกหนึ่งตัวนอนเกยตื้นอยู่ จึงได้ระดมกำลังกันมาให้ความช่วยเหลืออีกครั้ง
ชาวบ้านบอกว่าตั้งแต่ต้นปี ได้พบโลมามาเกยตื้นบริเวณชายหาดฉ่วยตองยานแล้วถึง 4 ตัว คาดว่าเป็นเพราะการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของกระแสน้ำ ส่งผลให้โลมาเกิดอาการว่ายผิดปกติ จนมาเกยตื้นที่ชายหาด
https://mgronline.com/indochina/detail/9640000083629
*********************************************************************************************************************************************************
ผลศึกษาตอกย้ำโลกร้อนจากฝีมือมนุษย์ เพิ่มแนวโน้มยุโรปจมน้ำบ่อย-รุนแรงขึ้น

ภาพถ่ายวันที่ 19 ส.ค. แสดงให้เห็นตะกอนดินโคลน และซากหักพังในพื้นที่ทางภาคตะวันตกของเยอรมนี หลายสัปดาห์หลังจากเกิดฝนตกหนักและน้ำท่วมใหญ่ช่วงกลางเดือนกรกฎาคม
ผลศึกษาระหว่างประเทศตอกย้ำการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจากฝีมือมนุษย์ทำให้เกิดอุทกภัยร้ายแรงที่มีผู้เสียชีวิตมากมายในเยอรมนีและเบลเยียมเมื่อปีที่แล้วถึง 9 ครั้งและมีแนวโน้มเกิดขึ้นอีกหลายหน
ประชาชนอย่างน้อย 190 คนเสียชีวิตในเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ทางภาคตะวันตกของเยอรมนีเมื่อกลางเดือนที่แล้ว และอย่างน้อย 38 คนหลังฝนตกหนักในเขตวัลโลเนียทางใต้ของเบลเยียม
ผู้เชี่ยวชาญด้านสภาพภูมิอากาศสามารถเชื่อมโยงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจากฝีมือมนุษย์กับสภาพอากาศเลวร้ายสุดขั้วบางอย่างได้มากขึ้นโดยใช้ศาสตร์การบ่งชี้ที่เฉพาะเจาะจง
ในการคำนวณบทบาทของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มีต่อฝนที่ตกลงมาและทำให้เกิดน้ำท่วม นักวิจัยวิเคราะห์บันทึกข้อมูลสภาพอากาศและจำลองด้วยระบบคอมพิวเตอร์เพื่อเปรียบเทียบสภาพภูมิอากาศปัจจุบันที่อุณหภูมิสูงกว่าในอดีตราว 1.2 องศาเซลเซียสอันเนื่องมาจากฝีมือมนุษย์
นักวิจัยมุ่งเน้นระดับน้ำฝนในวันเดียวและสองวัน และพบว่าพื้นที่ที่ฝนตกหนักมากสองแห่งมีหยาดน้ำฟ้าแบบไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา
ในเขตอาร์และแอฟต์ของเยอรมนี พบปริมาณน้ำฝน 93 มิลลิเมตรในวันเดียวในวันที่อุณหภูมิพุ่งสูงระดับวิกฤต ส่วนเขตมูสของเบลเยียมพบปริมาณน้ำฝนสูงสุดทำสถิติที่ 106 มิลลิเมตรในช่วง 2 วันที่ฝนตก
นักวิจัยคำนวณว่า มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 1.2-9 เท่าที่น้ำจะท่วมท่ามกลางสภาวะโลกร้อนขณะนี้ เทียบกับสถานการณ์ที่อุณหภูมิโลกไม่ได้สูงขึ้นนับจากยุคก่อนอุตสาหกรรม
รายงานที่จัดทำโดยเวิลด์ เวทเธอร์ แอตทริบิวชันระบุว่า ฝนที่ตกหนักขึ้น 3-19% ในเยอรมนีและเบเนลักซ์ขณะนี้เป็นผลจากภาวะโลกร้อนฝีมือมนุษย์
แฟรงค์ ไครเอนแคมป์ จากบริการสภาพอากาศในเยอรมนี ชี้ว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพิ่มแนวโน้มที่จะมีฝนตกรวมทั้งระดับความรุนแรง
ผู้ช่วยศาสตราจารย์เฟรเดอริโก ออตโต ของสถาบันการเปลี่ยนแปลงด้านสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด เสริมว่า น้ำที่ท่วมแสดงให้เห็นว่า แม้แต่ประเทศพัฒนาแล้วก็ไม่ปลอดภัยจากผลกระทบรุนแรงของสภาพอากาศเลวร้ายที่เกิดขึ้นและเป็นที่รับรู้ว่า เลวร้ายลงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จึงถือเป็นความท้าทายเร่งด่วนที่โลกต้องรีบจัดการ
ผู้จัดทำรายงานฉบับนี้ที่เผยแพร่ออกมาเมื่อวันอังคาร (24 ส.ค.) สามารถประเมินแนวโน้มที่เหตุการณ์น้ำท่วมเมื่อเดือนที่แล้วจะเกิดขึ้นอีกจากการวิเคราะห์รูปแบบฝนทั่วยุโรปตะวันตก ซึ่งพบว่า อาจเกิดเหตุการณ์คล้ายกันนี้ในบางพื้นที่ทุกๆ 400 ปีในระดับอุณหภูมิปัจจุบัน หมายความว่า มีแนวโน้มเกิดน้ำท่วมรุนแรงระดับเดียวกับที่เยอรมนีและเบลเยียมทั่วยุโรปตะวันตกในกรอบเวลาดังกล่าว
มาร์เทน แวน อะแลสต์ ผู้อำนวยการศูนย์สภาพภูมิอากาศขององค์การกาชาดและเสี้ยววงเดือนแดงระหว่างประเทศ ระบุว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นน้อยมากในอดีต แต่มีแนวโน้มจะเกิดบ่อยขึ้นในอนาคต
นักวิจัยมุ่งเน้นการเกิดฝนตกในการศึกษานี้ เนื่องจากข้อมูลระดับน้ำในแม่น้ำสูญหายไปหลังจากสถานีตรวจวัดหลายแห่งถูกน้ำท่วม
แวน อะลาสต์ ทิ้งท้ายว่า รายงานฉบับนี้เป็นสัญญาณเตือนทุกคนว่า จำเป็นต้องจัดการความเสี่ยงน้ำท่วม การเตรียมพร้อม และระบบเตือนภัยล่วงหน้า แต่ที่น่าเป็นห่วงคือ ดูเหมือนคนจะเตรียมพร้อมรับมือโดยคิดว่า เป็นภัยพิบัติครั้งสุดท้ายแล้ว
(ที่มา: เอเอฟพี)
https://mgronline.com/around/detail/9640000083668
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
|