ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์
ส่อง COP26 : ความหวังสำคัญในการอนุรักษ์มหาสมุทร ................... บทความโดย ดร.เพชร มโนปวิตร

การประชุมสุดยอดด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (COP26) ครั้งที่ 26 ที่กรุงกลาสโกว์ ประเทศสกอตแลนด์ ระหว่างวันที่ 31 ต.ค. ถึง 12 พ.ย. 2564 นับเป็นการประชุมด้านสิ่งแวดล้อมครั้งสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งที่ทั่วโลกต่างให้ความสนใจ
หลายคนเชื่อว่าผลของการประชุมน่าจะสร้างแรงกระเพื่อมสำคัญต่อต่อการแก้วิกฤตด้านสภาพภูมิอากาศที่จะส่งผลต่อทิศทางการพัฒนาในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานหมุนเวียน การเลิกใช้พลังงานถ่านหิน การยุติการทำลายป่าไม้ รวมไปถึงความหวังในการอนุรักษ์มหาสมุทร ซึ่งมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการแก้ปัญหาสภาวะโลกร้อน แต่มักถูกมองข้ามมาโดยตลอด
มหาสมุทรและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
มหาสมุทรครอบคลุมพื้นที่ผิวของโลกราวร้อยละ 70 และคือที่กักเก็บน้ำร้อยละ 96.5 ของโลก จึงไม่น่าแปลกใจที่มหาสมุทรคือกลไกควบคุมสมดุลของสภาพภูมิอากาศและระบบนิเวศที่ค้ำจุนชีวิตบนโลกอย่างแท้จริง ผ่านวัฏจักรของน้ำ กระแสคลื่นลมที่ไหลเวียนไปทั่วโลก รวมทั้งสิ่งมีชีวิตที่ทำหน้าที่เหมือนปั๊มน้ำชีวภาพขนาดยักษ์อย่างวาฬ และสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กจิ๋วอย่างแพลงก์ตอนพืชที่ทำให้มหาสมุทรเป็นแหล่งผลิตออกซิเจนราวครึ่งหนึ่งของอากาศที่เราทุกคนหายใจ ช่วยดูดซับความร้อนกว่าร้อยละ 90 เนื่องจากก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมมนุษย์ และยังกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ราว 1 ใน 4 ที่ถูกปล่อยออกมาทุกๆ ปี
นอกจากนี้ ระบบนิเวศชายฝั่งและทะเลโดยเฉพาะป่าชายเลน หญ้าทะเล และพื้นที่ชุ่มน้ำชายฝั่งทะเลประเภทอื่น ยังมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์จากชั้นบรรยากาศ
งานวิจัยในช่วงหลังพบว่าป่าชายเลนสามารถกักเก็บคาร์บอนได้มากกว่าป่าบกถึง 10 เท่า ในขณะที่หญ้าทะเลกักเก็บคาร์บอนได้มากกว่าป่าเขตร้อนถึง 35 เท่า
ปัจจัยที่ทำให้ระบบนิเวศชายฝั่งเป็นแหล่งดูดซับคาร์บอนชั้นดี ก็เพราะเป็นพืชโตเร็วและสามารถกักเก็บคาร์บอนไว้ในดินตะกอนที่ทับถมสะสมอยู่ได้นับพันๆ ปี ต่างจากพืชบนบกที่มีอายุการดูดซับคาร์บอนได้สูงสุดราว 50 ปีเท่านั้น จึงเป็นที่มาของชื่อเรียกระบบนิเวศทางทะเลที่สำคัญอย่างหญ้าทะเลและป่าชายเลนว่า คาร์บอนสีน้ำเงิน (blue carbon) ซึ่งปัจจุบันได้รับการยอมรับว่าเป็นเครื่องมือสู้โลกร้อนที่ทรงอานุภาพที่สุด
จากรายงานล่าสุดของ IPCC ว่าด้วยมหาสมุทรและหิมะภาค ระบุว่าพื้นที่ป่าชายเลนหรือหญ้าทะเลเพียง 1 ไร่สามารถกักเก็บคาร์บอนโดยเฉลี่ยได้ถึง 160 ตันต่อปี สูงกว่าระบบนิเวศป่าไม้บนบกซึ่งกักเก็บคาร์บอนโดยเฉลี่ย 4-5 ตันต่อปีหลายสิบเท่า
อย่างไรก็ตาม ความร้อนและคาร์บอนไดออกไซด์ที่มหาสมุทรกักเก็บไว้มหาศาลเริ่มส่งสัญญานอันตรายชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ว่า มหาสมุทรอันกว้างใหญ่ก็เริ่มจะรับมือกับการเปลี่ยนแปลงไม่ไหวแล้วเช่นกัน ในปี 2020 ร้อยละ 80 ของมหาสมุทรทั่วโลกเผชิญกับคลื่นความร้อน และส่งผลกระทบลงลึกไปถึงระดับ 1,000 เมตร
สิ่งที่น่ากังวลอย่างยิ่งจากรายงานประเมินฉบับล่าสุดของ IPCC (AR6) ก็คือ แม้เราจะจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิไม่ให้สูงเกิน 1.5-2 องศาได้ตามข้อตกลงปารีส แต่ความร้อนที่สะสมไว้แล้วและที่จะเกิดขึ้นอีกในอนาคตจะทำให้เกิดคลื่นความร้อนบ่อยกว่าเดิมถึง 4 เท่าภายในศตวรรษนี้ ซึ่งแน่นอนว่าจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อความหลากหลายทางชีวภาพในทะเลและนิเวศบริการด้านต่างๆ
คลื่นความร้อนในทะเลเคยเป็นเหตุการณ์ที่นานๆ จะเกิดขึ้นสักครั้ง แต่ในช่วงหลังเกิดขึ้นบ่อยและทำให้เกิดปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวอย่างรุนแรงในหลายพื้นที่ รายงานการประเมินผลกระทบด้านระบบนิเวศของ IPCC ระบุว่าปะการังเกือบทั้งหมดในโลก (99%) จะเสื่อมโทรมหรือตายลงหากอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเพิ่มขึ้นเกิน 2 องศาเซลเซียส คลื่นความร้อนในมหาสมุทรยังจะส่งผลให้เกิดสาหร่ายบลูม (algal bloom) บ่อยและรุนแรงขึ้น เกิดการขยายตัวของเขตมรณะที่ไร้ออกซิเจน (dead zone) และเกิดการเปลี่ยนแปลงขององค์ประกอบสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ รูปแบบการแพร่กระจายของสัตว์น้ำในภูมิภาคต่างๆ จะเปลี่ยนไป สัตว์น้ำเริ่มเคลื่อนย้ายจากเขตร้อนใกล้เส้นศูนย์สูตร
ระดับคาร์บอนไดออกไซด์ที่สะสมในมหาสมุทรยังทำปฏิกิริยากับน้ำทะเลเกิดเป็นกรดคาร์บอนิก โมเลกุลของกรดคาร์บอนิกทำปฏิกิริยากับโมเลกุลของน้ำ เกิดเป็นไอออนไบคาร์บอเนตและไอออนไฮโดรเจน (H+) ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดภาวะเป็นกรดในทะเล (ocean acidification) และกำลังเกิดขึ้นในอัตราที่รวดเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ของโลก หากไม่ได้รับการแก้ไขปรากฏการณ์ทะเลเป็นกรดที่รุนแรงขึ้นจะส่งผลให้สัตว์ทะเลจำนวนมากโดยเฉพาะสัตว์มีเปลือก ไม่ว่าจะเป็น กุ้ง หอย ปู เม่นทะเล หรือแม้แต่ปะการัง ไม่สามารถสร้างเปลือกและโครงสร้างแข็งได้ ข้อมูลในอดีตชี้ว่าผลกระทบของสภาวะทะเลเป็นกรดคือปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ของสิ่งมีชีวิต (mass extinction) ซึ่งมีหลักฐานปรากฏเมื่อ 66 ล้านปีมาแล้วที่พบว่าสิ่งมีชีวิตในทะเลสูญพันธุ์ไปกว่าร้อยละ 75
ผลกระทบจากการละลายของแผ่นน้ำแข็งและธารน้ำแข็งทั่วโลก และการขยายตัวของมหาสมุทรอันเนื่องมาจากพลังงานความร้อนที่สะสมส่งผลให้ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้นแล้วราว 20 เซนติเมตรระหว่างปี 1901-2018 แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่าคืออัตราการเพิ่มสูงขึ้นที่เพิ่มจาก 1.3 มิลลิเมตรต่อปีในช่วงปี 1901-1971 เป็น 1.9 มิลลิเมตรต่อปีในช่วงปี 1971-2006 และเพิ่มเป็น 3.7 มิลลิเมตรต่อปีในช่วง 2006-2018 นั่นหมายความว่าในช่วงทศวรรษหลังสุดระดับน้ำทะเลเพิ่มขึ้นเร็วกว่าเดิมถึงเกือบ 2 เท่า หรือเกือบ 3 เท่าเมื่อเทียบกับช่วงก่อนปี 1971
อัตราการเปลี่ยนแปลงแบบก้าวกระโดดทำให้เป็นไปได้ที่ระดับน้ำทะเลอาจเพิ่มสูงขึ้นถึง 2 เมตรภายในศตวรรษนี้ และอาจสูงถึง 5 เมตรภายในปี 2150 ซึ่งนอกจากจะส่งผลกระทบระดับหายนะต่อมหานครทั่วโลก เช่น กรุงเทพฯ ที่ตั้งอยู่ริมทะเล
ยังส่งผลต่อระบบนิเวศชายฝั่งทั้งหมด เช่น ป่าชายเลนและหญ้าทะเลที่อาจปรับตัวไม่ทัน หรือไม่มีพื้นที่ให้ถอยร่นได้อีกแล้วเพราะมีการตั้งถิ่นฐานและการใช้ประโยชน์ของมนุษย์ครอบครองอยู่
ด้านหนึ่งมหาสมุทรมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยบรรเทาปัญหาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แต่อีกด้านหนึ่งมหาสมุทรเองก็ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากสภาวะโลกร้อนเช่นกัน ไม่นับวิกฤติด้านต่างๆ ที่กำลังคุกคามสมดุลของระบบนิเวศทางทะเล ไม่ว่าจะเป็นการทำประมงเกินขนาด การทำประมงด้วยเครื่องมือทำลายล้าง ขยะพลาสติกจำนวนมากในทะเลที่เมื่อปล่อยไว้ในสภาพแวดล้อมก็ปลดปล่อยก๊าซมีเทนและเอทิลีนซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกที่มีความรุนแรงกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 30 เท่า
COP26 กับข้อเรียกร้องเพื่อการอนุรักษ์ทะเล
ความเชื่อมโยงกันอย่างแยกไม่ออกระหว่างมหาสมุทรและสภาพภูมิอากาศ ทำให้มีความพยายามยกระดับความสำคัญของการอนุรักษ์และปกป้องระบบนิเวศทางทะเลให้เป็นเครื่องมือสำคัญในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศตั้งแต่การประชุมสุดยอดด้านสภาพภูมิอากาศเมื่อครั้งที่แล้ว (COP25) ที่กรุงมาดริด ประเทศสเปน การประชุมครั้งนั้นได้รับการขนานนามว่าเป็นการประชุมสุดยอดสีน้ำเงิน หรือ Blue COP ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ทางทะเลคาดหวังว่า ในการประชุมสุดยอดครั้งที่ 26 จะมีข้อตกลงด้านการคุ้มครองมหาสมุทรที่เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น
ก่อนหน้าการประชุม COP26 ได้มีความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับการอนุรักษ์มหาสมุทรที่น่าสนใจหลายอย่าง เริ่มจาก สหประชาชาติได้กำหนดให้ทศวรรษ 2021-2030 เป็นทศวรรษแห่งวิทยาศาสตร์ทางทะเลเพื่อสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืน (The United Nations Decade of Ocean Science for Sustainable Development) ซึ่งมีคำขวัญว่า "วิทยาศาสตร์ที่เราจำเป็นต้องรู้เพื่อทะเลที่เราต้องการ"
ซึ่งพยายามชี้ให้เห็นว่ามหาสมุทรมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อการหาทางออกของวิกฤติหลายด้านในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการแก้ปัญหาสภาวะโลกร้อน เศรษฐกิจถดถอย ไปจนถึงความมั่นคงทางอาหาร
ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา รัฐบาลและองค์กรอนุรักษ์นานาชาติหลายแห่งได้พยายามกระตุ้นให้มีการพูดคุยเกี่ยวกับการอนุรักษ์ทะเลอีกครั้ง หลังจากที่ทุกอย่างถูกทำให้หยุดชะงักเพราะโควิด มีการประชุมระดับสูงโดยสหประชาชาติว่าด้วยเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนที่ 14 (มหาสมุทร) และการประชุมนานาชาติเพื่อแก้ปัญหาประมงผิดกฎหมาย ซึ่งล้วนได้ผลสรุปไปในทิศทางเดียวกัน คือ ข้อเรียกร้องทางออกที่ต้องนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงแบบขุดรากถอนโคน (transformative change) และปฏิบัติได้จริง เพื่อบรรลุเป้าหมายในการแก้ปัญหามลภาวะทางทะเล คุ้มครองและฟื้นฟูระบบนิเวศอย่างจริงจัง และหยุดยั้งปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย รวมไปถึงหยุดเงินอุดหนุนการประมงเกินขนาด
กิจกรรมของมนุษย์หลายอย่างในทะเลส่งผลโดยตรงต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น การขนส่งทางเรือที่ยังคงปล่อยก๊าซเรือนกระจกปริมาณมหาศาล การทำประมงด้วยเครื่องมือทำลายล้าง และการทำเหมืองใต้ทะเล งานวิจัยที่เพิ่งตีพิมพ์ในวารสาร Nature เมื่อต้นปีที่ผ่านมา รายงานว่า การทำประมงด้วยเรืออวนลาก (bottom trawling) ซึ่งเปิดหน้าดินบริเวณพื้นมหาสมุทรทำให้เกิดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูงถึง 1.5 พันล้านตันทุกๆ ปี มากกว่าอุตสาหกรรมการบินทั่วโลกเสียอีก การทำประมงที่ใช้เครื่องมือทำลายล้างจึงจำเป็นต้องได้รับการควบคุมอย่างเคร่งครัดและต้องพิจารณาปรับเปลี่ยนเครื่องมือให้มีความยั่งยืนและรับผิดชอบมากขึ้น
(มีต่อ)
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
|