ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์
"ศักดิ์สยาม"เช็กแผน"แลนด์บริดจ์" วางโมเดลธุรกิจสร้างรายได้เพิ่มความคุ้มค่าเทียบท่าเรือระดับโลก

"ศักดิ์สยาม" ติดตามความคืบหน้า"แลนด์บริดจ์" ศึกษาเทียบเคียงท่าเรือทั่วโลก หาแนวทางสร้างรายได้เพิ่ม จากอุตฯโลจิสติกส์และธุรกิจต่อเนื่อง กำชับ สนข.รับฟังความเห็นประชาชน ศึกษามาตรการป้องกันปัญหาสิ่งแวดล้อม
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ เพื่อเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน ครั้งที่ 1/2565 เพื่อติดตามผลการดำเนินการในด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ผ่านการประชุมทางไกล (Video Conference) เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2565 เวลา 13.30 น. และวันที่ 27 มกราคม 2565 เวลา 14.30 น. โดยมีผู้บริหารกระทรวงฯและ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า ในแผนการดำเนินการศึกษาโครงการ แลนด์บริดจ์นั้น จะต้องมีการศึกษาตัวเลขเศรษฐกิจด้านต่าง ๆ เกณฑ์การพิจารณาความคุ้มค่าในการลงทุน รวมถึงรายละเอียดของค่าก่อสร้างให้มีความชัดเจน เนื่องจากโครงการนี้มีผลต่อการพัฒนาประเทศในระยะยาว ซึ่งจากการศึกษาเทียบเคียงท่าเรือทั่วโลกที่มีการรองรับปริมาณสินค้าเทียบเท่าท่าเรือโครงการแลนด์บริดจ์ในประเทศไทย พบว่า โครงการสามารถสร้างรายได้จากการบริหารท่าเรือ การเติมน้ำมันทางทะเล และกิจกรรมการสร้างมูลค่าเพิ่มในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์จากการเป็นท่าเรือขนถ่าย หรือ Transshipment
และการประมาณการรายได้รวมของอุตสาหกรรมที่จะพัฒนาในพื้นที่ ได้แก่ อุตสาหกรรมเทคโนโลยีอนาคต (Mega Trend) อุตสาหกรรมฮาลาล อุตสาหกรรมเกษตรแปรรูป เช่น อาหารทะเล ผลไม้ ยางพาราและปาล์มน้ำมันขั้นสูง รวมถึงอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ต่อเนื่อง เช่น อุตสาหกรรม Cold Chain การจัดเก็บและกระจายสินค้า เป็นต้น
นายศักดิ์สยามกล่าวว่า ตนได้มีข้อสั่งการให้ สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข. ) พิจารณาแผนแม่บทการพัฒนาโครงการในระยะยาว เพื่อให้สามารถรองรับปริมาณสินค้าได้เต็มศักยภาพ เช่น อาจจะมองว่าแลนด์บริดจ์ในระยะแรกจะเป็นเส้นทางเลือกในการขนส่งสินค้าทางทะเล แต่เมื่อมีการพัฒนาเต็มศักยภาพแล้วจะเป็นเส้นทางหลักในการขนส่งสินค้าในภูมิภาค โดยให้พิจารณาต้นแบบจากท่าเรือในต่างประเทศที่ประสบผลสำเร็จ
พร้อมกันนี้ ให้ สนข.และบริษัทที่ปรึกษา ดำเนินการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน และต้องศึกษาออกแบบการพัฒนาโครงการต้องควบคู่ไปกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ รวมถึงเน้นเรื่องการศึกษามาตรการป้องกันผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อม ชุมชน และวิถีชีวิตให้รอบด้าน
นอกจากนี้ ได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการสร้างความรับรู้ให้กับภาคประชาชนและภาคสังคมเพื่อให้ไม่เกิดปัญหาในการปฏิบัติ รวมถึงให้ดำเนินการในประเด็นที่เกี่ยวข้องด้านสิ่งแวดล้อมในพื้นที่แหล่งอนุรักษ์ทะเลอันดามัน โดยเฉพาะด้านกฎหมาย โดยจะต้องประสานข้อมูลไปยังกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อหาแนวทางในการพัฒนาพื้นที่ร่วมกับการอนุรักษ์ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมให้มีความยั่งยืนต่อไป

รายงานข่าวแจ้งว่า ขณะนี้ สนข.อยู่ระหว่างดำเนินการศึกษาโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่ง เพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้เพื่อเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยกับอันดามัน (Landbridge) ระยะเวลาศึกษา 30 เดือน คาดว่าจะศึกษาแล้วเสร็จภายในปี 2566 ภายใต้แนวคิดการพัฒนาสร้างท่าเรือชุมพร ที่อยู่ฝั่งอ่าวไทย กำหนดให้เป็นท่าเรือน้ำลึกที่ทันสมัย โดยนำระบบออโตเมชันมาใช้เพื่อยกระดับท่าเรือสู่ Smart Port ส่วนแนวคิดการพัฒนาท่าเรือระนอง กำหนดให้เป็นท่าเรือสินค้าคอนเทนเนอร์และเป็นประตูการค้าฝั่งอันดามัน เชื่อมโยงระหว่างท่าเรือระนองกับท่าเรือกลุ่มประเทศแถบเอเชียใต้
โดยโครงการจะบูรณาการการขนส่งทางท่อ ทางบก และทางราง เพื่อให้เชื่อมต่อกับ 2 ท่าเรือ อย่างไร้รอยต่อ โดยศึกษาความเหมาะสมเพื่อพัฒนาทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) รถไฟทางคู่ และการขนส่งทางท่อ ก่อสร้างคู่ขนานบนเส้นทางเดียวกันเพื่อลดผลกระทบจากการเวนคืนที่ดินของประชาชน
https://mgronline.com/business/detail/9650000008970
*********************************************************************************************************************************************************
จะเป็นอย่างไร? เมื่อ "น้ำมันรั่วไหล" สู่ทะเลและชายฝั่ง หนึ่งในพื้นที่แห่งความหลากหลายทางชีวภาพ

จากข่าวการรั่วไหลของน้ำมันในพื้นที่เขตอุตสาหกรรม ของทางบริษัทสตาร์ปิโตรเลียม จำกัด มหาชน ตั้งอยู่ที่ ต.มาบตาพุด จ.ระยอง รั่วไหลลงสู่อ่าวไทยจำนวนสี่แสนลิตร ทำให้เกิดความกังวลต่อคนที่รักสิ่งแวดล้อม Science MGROnline จึงขอนำข้อมูลในเรื่องผลกระทบจากน้ำมันที่รั่วไหลลงสู่ทะเล ว่าจะสร้างผลกระทบในเรื่องใดบ้าง
เมื่อ "น้ำมัน" รั่วไหลสู่ทะเล น้ำมันจะเกิดกระบวนการเปลี่ยนแปลงสภาพทั้งทางกายภาพ เคมี และชีวภาพ เริ่มต้นจากน้ำมันบางส่วนจะระเหยไปในอากาศ จากนั้นน้ำมันที่เหลือจะเปลี่ยนสภาพไปตามคุณสมบัติเฉพาะของชนิดน้ำมันนั้นๆ โดยมีปัจจัยต่างๆ เช่น แสงแดด อุณหภูมิ กระแสน้ำ โดยส่วนใหญ่ที่ยังคงเหลือที่ได้เห็นอย่างชัดเจนก็คือ "คราบน้ำมัน" ที่ลอยอยู่บนผิวน้ำทะเล น้ำมันนี้จะทำปฏิกิริยากับออกซิเจน ส่งผลให้ออกซิเจนในน้ำลดลง และปิดกั้นแสงที่ส่องลงไปยังใต้น้ำพื้น ขัดขวางการสังเคราะห์แสงของพืชน้ำชนิดต่างๆ แพลงก์ตอนพืช สาหร่าย ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของห่วงโซ่อาหารของท้องทะเล
และเมื่อคราบน้ำมันลอยไปสู่พื้นที่บริเวณชายฝั่ง ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มี หาดทราย แนวปะการัง ป่าชายเลน คราบน้ำมันจะเคลือบติดอยู่กับทราย ปะการัง รากของต้นไม้ในพื้นป่าชายเลน และวัตถุต่างๆ ที่คราบน้ำมันสัมผัส ในพื้นที่ป่าชายเลนที่มีต้นไม้ จะทำให้ต้นไม้เจริญเติบโตได้ช้าและอาจตายได้ ในส่วนของแนวปะการัง ก็จะไปเกาะตามรูพรุนต่างๆ ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ขนาดเล็กทำให้สัตว์เหล่านั้นตาย หรือได้รับสารพิษจากคราบน้ำมัน อีกทั้งคราบน้ำมันจะไปติดตามตัวของสัตว์ชนิดต่างๆ ที่อาศัยและหากินอยู่ในพื้นที่นี้ เช่น เปื้อนขนนก ลำตัวปู ปลา เปลือกหอย ส่งผลกระทบระยะยาวต่อการดำรงชีวิตของสัตว์เหล่านั้น
นอกจากจะส่งกระทบทางตรงแล้ว คราบน้ำมันยังส่งผลกระทบระยะยาว เนื่องจากจะทำให้เกิดการสะสมสารพิษในสัตว์ชนิดต่างๆ ที่ปนเปื้อนคราบน้ำในแหล่งที่อยู่อาศัย และยังถือได้ว่าเป็นการการสะสมสารพิษผ่านระบบห่วงโซ่อาหาร ตั้งแต่ผู้ผลิต เช่น แพลงก์ตอนพืช สาหร่าย ที่เป็นอาหารปลา ปู กุ้ง ซึ่งสัตว์เหล่านี้ ก็เป็นอาหารของมนุษย์ แม้ว่าเราจะไม่ได้รับผลกระทบทางตรง แต่ผลกระทบก็อ้อมกลับมาหามนุษย์เราอยู่ดี
https://mgronline.com/science/detail/9650000008379
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
|