ขอบคุณข่าวจาก Greennews
ส่อเคาะ "Land bridge ชุมพร-ระนอง" นักนิเวศทะเลชี้ "ไม่คุ้มสวล.-เศรษฐกิจ" .............. ต่อ

(ภาพ : สนข.)
สวนทิศ "เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ"-ไม่คุ้มทางเศรษฐศาสตร์
"หากดูตามแนวนโยบายที่รัฐบาลประกาศมาตลอด ประเทศไทยมุ่งหน้าสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ เมื่อดูพื้นที่รอบอ่าวอ่าง จะเห็นป่าชายเลนเป็นจำนวนมาก
ป่าชายเลนคือแหล่ง Blue Carbon เป็นระบบนิเวศกักเก็บคาร์บอนดีที่สุดอย่างหนึ่งในโลก การเปลี่ยนสภาพป่าชายเลนหรือทำกิจกรรมที่อาจส่งผลกระทบ ย่อมไม่ส่งผลดีต่อแนวนโยบายดังกล่าว ปัจจุบันราคาคาร์บอนตลาดยุโรปสูงแตะ 100 ยูโร/ตัน และมีแนวโน้มว่าจะสูงมากขึ้นเรื่อยๆ การศึกษาขั้นต้นพบว่าป่าชายเลนในระนองกักเก็บคาร์บอนได้อย่างน้อย 1-5 ตันต่อไร่ต่อปี หมายถึงป่า 1 ไร่มีมูลค่าอย่างน้อย 3,800-19,000 บาทต่อไร่ต่อปี (เป็นตัวเลขคร่าวๆ ที่จำเป็นต้องมีการศึกษาในรายละเอียด)
ผมทราบดีถึงความจำเป็นของโครงการต่อการพัฒนาประเทศ ทราบถึงแนวความคิดในการคัดเลือกเส้นทางที่เหมาะสมที่สุดในด้านโลจิสติกส์และด้านวิศวกรรม เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าสูงสุด แต่ผมกังวลในเรื่องคุณค่าของทรัพยากรธรรมชาติที่อาจไม่ได้คำนวณอย่างละเอียดเพียงพอ
ผมไม่ขอกล่าวถึงเรื่องคุณค่าทางจิตใจซึ่งต้องคิดกันต่อไป ผมขอกล่าวถึงเฉพาะคุณค่าที่พอวัดได้ในเชิงเศรษฐศาสตร์
หากเขตมรดกโลกอันดามันไม่ผ่านเพราะการพัฒนาครั้งนี้ เราสูญเสียรายได้และขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการท่องเที่ยวขนาดไหน
หากเราเลือกจุดนี้เป็นที่สร้างท่าเรือน้ำลึก มีความเสี่ยงแค่ไหนต่อป่าชายเลนที่เป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอนที่สำคัญสุดของไทย" ดร.ธรณ์ กล่าว
ตำแหน่งท่าเรือไม่เหมาะสม-เสนอทางออก SEA
"คำพูดว่า "ไม่เกิดปัญหา ไม่เกิดอุบัติเหตุ มีการบริหารความเสี่ยงอย่างดียิ่ง" มีความเชื่อมั่นได้แค่ไหน เมื่อคิดถึงเหตุการณ์น้ำมันในทะเลที่เพิ่งผ่านมาหมาดๆ หากเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้นในบริเวณจุดท่าเรือที่เลือกไว้ มันจะกลายเป็นความเสียหายระดับที่เกินคาด ไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุระดับเทียร์ไหน เพราะเป็นพื้นที่อ่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างยิ่ง
โครงการ Land Bridge ยังอยู่ในระดับผลการศึกษาที่นำเสนอต่อสนข. ยังไม่เข้ากระทรวง ยังไม่นำเสนอต่อครม. ผิดจากโครงการอันดามันมรดกโลกที่ผ่านครม. ส่งไปถึง UNESCO จนประกาศอยู่ในลิสต์กำลังพิจารณาเรียบร้อยแล้ว หาก Land Bridge เข้าสู่กระบวนการขอใช้พื้นที่ใกล้เคียงหรือในเขตอุทยานแห่งชาติที่กระทรวงทรัพยากรฯ นำเสนอเป็นเขตมรดกโลกไปแล้ว ผมเชื่อว่าการพิจารณาอนุญาตในการก่อสร้างต่างๆ คงไม่ราบรื่น
ผมขอเน้นย้ำอีกครั้งว่า ผมทราบถึงความสำคัญของ land bridge แต่ผมคิดว่าตำแหน่งท่าเรือที่เลือกอยู่ในจุดที่ไม่เหมาะสม
ผมคิดว่าการพัฒนาที่ยั่งยืน จำเป็นต้องใช้กระบวนการต่างๆ เช่น SEA เพื่อคัดเลือกพื้นที่ซึ่งไม่ก่อให้เกิดผลกระทบมากเกินไป น่าเสียดายที่ SEA ส่วนใหญ่ที่เคยทำมา เป็นการทำหลังจากการปักหมุดเลือกพื้นที่ ทำให้เราไม่มีทางออกมากนัก และสุดท้ายอาจกลายเป็นข้อขัดแย้ง
หากเราต้องการพัฒนาแบบยั่งยืน เราต้องชั่งน้ำหนักทุกฝ่ายอย่างยุติธรรม และชั่งพร้อมกัน เพื่อหาจุดที่เหมาะสมในทุกด้าน จึงใคร่ขอเสนอว่า ควรพิจารณาพื้นที่ท่าเรือร่วมกับกระทรวงทรัพยากรฯ อย่างใกล้ชิด การปักหมุดแล้วบอกว่าจะดูแลเรื่องผลกระทบ อาจเป็นไปได้ยาก เพราะหมุดอาจอยู่ผิดที่ทางตั้งแต่ต้น
เราอาจนำ SEA มาใช้เพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมในทุกด้าน เพื่อพิจารณาหาสถานที่เหมาะสมจริงจัง สถานที่ซึ่งอาจต้องลงทุนในด้านการก่อสร้างมากขึ้นหน่อย ใช้เวลาขนส่งมากขึ้นนิด แต่คุ้มค่ากว่าเมื่อคิดถึงความเสี่ยงในด้านทรัพยากรธรรมชาติและกิจการอื่นๆ มิฉะนั้น การพัฒนาท่าเรือฝั่งอันดามันอันเป็นเป้าหมายของประเทศไทยมานาน อาจสะดุดและติดขัดเหมือนในอดีตครับ" ดร.ธรณ์กล่าว
https://greennews.agency/?p=27506
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
|