ดูแบบคำตอบเดียว
  #2  
เก่า 11-12-2022
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is online now
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default

ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ


'กำแพงกันคลื่น' ความตายของชายหาด ประชาชนไม่อยากได้ แต่รัฐอยากสร้าง ............... Nature Matter




+ ในอดีต ก่อนจะสร้างกำแพงกันคลื่นต้องผ่านการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือการทำ EIA แต่เมื่อปี 2556 มีจุดเปลี่ยนสำคัญ คือ คณะรัฐมนตรีมีมติให้การก่อสร้างกำแพงกันคลื่นไม่ต้องผ่านการทำ EIA หลังจากนั้น กำแพงกันคลื่นก็ผุดขึ้นมากมาย ไม่ว่าชายหาดนั้นจะมีการกัดเซาะมากหรือน้อย

+ ประชาชนไม่ต้องการกำแพงกันคลื่นที่สร้างทับลงไปบนผืนชายหาด เพราะไม่เพียงแต่สูญเสียพื้นที่หาดที่พวกเขาเคยได้ใช้ชีวิตเท่านั้น การมีกำแพงกันคลื่นยังส่งผลกระทบสร้างการเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศอย่างมาก

+ กลุ่ม 'Beach for life' และเครือข่ายที่ต้องการทวงคืนชายหาดที่ถูกทำลายโดยกำแพงกันคลื่น จึงได้เดินทางมาปักหลักชุมนุมส่งเสียงเรียกร้องต่อรัฐบาล 3 ข้อ ได้แก่
1. การยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีที่ให้กรมโยธาธิการและผังเมืองมารับผิดชอบโครงการกำแพงกันคลื่น
2. กำแพงกันคลื่นต้องทำการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) และ
3. ฟื้นฟูชายหาดที่เสียหายจากกำแพงกันคลื่น


ถือว่าเป็นชัยชนะเบื้องต้นที่น่าพอใจ สำหรับการเดินทางมาปักหลักเรียกร้องต่อรัฐบาลของกลุ่ม 'Beach for life' และเครือข่ายที่ต้องการทวงคืนชายหาดที่ถูกทำลายโดยกำแพงกันคลื่น ซึ่งล่าสุดรัฐบาลได้ออกมารับข้อเรียกร้องจากประชาชนแล้ว เมื่อวันที่ 8 ธันวาคมที่ผ่านมา

ข้อเรียกร้องของชาวบ้านประกอบด้วย 3 ข้อ ได้แก่ 1. การยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีที่ให้กรมโยธาธิการและผังเมืองมารับผิดชอบโครงการกำแพงกันคลื่น 2. กำแพงกันคลื่นต้องทำการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) และ 3. ฟื้นฟูชายหาดที่เสียหายจากกำแพงกันคลื่น

จากข้อตกลงในครั้งนี้ได้มีการแต่งตั้ง 'คณะกรรมการศึกษาผลกระทบจากโครงการกำแพงกันคลื่น' ขึ้นมา ประกอบด้วย ชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ อดีตปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธาน ตัวแทนสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นรองประธาน อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง อธิบดีกรมเจ้าท่า เลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นักวิชาการ 3 คน ภาคประชาชน 3 คน เป็นกรรมการ ตัวแทนจากกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นเลขานุการ

กำแพงกันคลื่น ชื่อบ่งบอกชัดเจนว่าเป็นกำแพงป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งจากคลื่น แต่ที่ผ่านมาจากการทำโครงการที่ไม่รอบคอบ ขาดการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment: EIA) ทั้งยังเมินเสียงทัดทานจากชาวบ้านเจ้าของพื้นที่ ทำให้โครงการที่เหมือนจะดีกลับมีผลกระทบเสียหายตามมาในระดับที่หลายแห่งประเมินมูลค่าไม่ได้

เพื่อจะได้มองเห็นภาพปัญหานี้ชัดขึ้น 'ไทยรัฐพลัส' ได้รวบรวมประเด็นต่างๆ และความเป็นมาเป็นไปของเรื่องนี้ จากเวทีเสวนาสาธารณะ "ชายหาดไทยกำลังหายไป เพราะรัฐสร้างกำแพงกันคลื่น" ที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2565 จัดโดย กลุ่ม Beach for life, มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม, มูลนิธิภาคใต้สีเขียว, มูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน, ชมรมนักข่าวสิ่งแวดล้อม (TSEJ), สำนักข่าวสิ่งแวดล้อม GreenNews และภาคีเครือข่าย ที่มุ่งหมายจะนำปัญหาเดือดร้อนมากระแทกต่อหน้าผู้มีอำนาจ ขณะเดียวกันก็ต้องการนำความทุกข์ร้อนของชาวบ้านในพื้นที่มาบอกเล่าต่อพี่น้องในกรุงเทพมหานครในฐานะที่ไม่มากก็น้อยร่วมใช้ชายหาดเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจ


กำแพงกันคลื่น The death of beach

อภิศักดิ์ ทัศนี จากกลุ่ม Beach for life กล่าวว่า หาดทุกที่บนโลกนี้ล้วนมีกระบวนการทางธรรมชาติ คือ มีการกัดเซาะและมีการเติมตามฤดูกาลของมัน ในบางฤดูมรสุมหาดก็อาจเกิดความเสียหาย แต่หาดก็สามารถฟื้นฟูตัวเองได้ เช่น อ่าวน้อย จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งเป็นอ่าวสมดุลสถิต เปรียบเทียบให้เห็นภาพ คือ ลักษณะหาดคล้ายกับกระเป๋า ซึ่งจะมีทรายวิ่งซ้ายวิ่งขวาอยู่ในกระเป๋า ขณะที่หาดม่วงงาม จังหวัดสงขลา นอกจากวิ่งซ้ายวิ่งขวาแล้วก็อาจจะมีวิ่งเข้าวิ่งออกตามระบบธรรมชาติ บางปีอาจจะกัดเซาะเลยไปใกล้ถนน บางปีอาจจะยื่นออกไปในทะเลบ้างตามธรรมชาติ ซึ่งการกัดเซาะของหาดม่วงงามนั้นเกิดจากพายุปาบึกในช่วงต้นปี 2562 หลังจากนั้นหาดได้ฟื้นฟูตัวเองกลับมาแล้วถึง 3 เมตร แต่กรมโยธาธิการและผังเมืองกลับไปสร้างกำแพงกันคลื่นในปี 2564 ทั้งที่ความจำเป็นเร่งด่วนหมดไปแล้ว หาดได้ฟื้นฟูตัวเองแล้ว กรมโยธาฯ ยังเลือกที่จะใช้กำแพงกันคลื่น

อภิศักดิ์ บอกอีกว่า บางพื้นที่มีการกัดเซาะจริง แต่เป็นหาดท่องเที่ยวที่สำคัญของประเทศ เช่น ชะอำ และปราณบุรี ก็ไม่ควรจะทำกำแพงกันคลื่น ซึ่งเป็นการใช้ยาแรง ทั้งที่จริงแล้ว กับชายหาดท่องเที่ยวควรจะเลือกวิธีการป้องกันแบบอื่น

"ในปัจจุบันทั้งโลกนักวิชาการต่างสรุปตรงกันว่า กำแพงกันคลื่น คือ The death of beach คือ ความตายของชายหาด กำแพงกันคลื่นไปที่ไหนชายหาดจะตายทันที เพราะมันจะไม่เหลือชายหาดอีกต่อไป ลองคิดดูว่าขนาดกำแพงกว้าง 20-30 เมตร มันใหญ่มาก ซึ่งชายหาดในไทยโดยเฉลี่ยกว้าง 35 เมตร เราเหลือพื้นที่หาดอีกเท่าไหร่ เราจึงเห็นว่าพอสร้างกำแพงแล้วหาดหายไป นี่ยังไม่รวมผลกระทบอีกมากมายที่ตามมาหลังจากสร้างกำแพง"

อภิศักดิ์ บอกอีกประเด็นผลกระทบจากกำแพงว่า แม้ว่าจะมีบางโครงการที่สร้างแล้วรื้อ อย่างเช่น ที่พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน แต่การรื้อกำแพงไม่ได้ทำให้ชายหาดกลับไปเป็นเหมือนเดิม เพราะการมีกำแพงกันคลื่น มีคลื่นเข้ามาตีกำแพงทุกวัน ทำให้ท้องน้ำหน้ากำแพงลึก เกิดการเปลี่ยนทิศทางน้ำ เปลี่ยนมวลตะกอน และเปลี่ยนหลายอย่าง ดังนั้น การรื้อกำแพงไม่ได้แปลว่าชายหาดจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม และการเติมทรายก็ไม่ได้คอนเฟิร์มว่าจะหาดกลับมาเช่นกัน เพราะระบบนิเวศเปลี่ยนไปหมดแล้ว ดังนั้นถ้าบอกว่าทำแล้วไม่ดี เกิดผลกระทบ จะมาแก้ไขให้ ก็อย่าทำเลยดีกว่า

ไวนี สะอุ ตัวแทนประชาชนชาวสะกอม อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา ที่เกิดอยู่ใกล้ทะเล มีบ้านติดริมทะเล บอกเล่าว่า เขาได้ยินเสียงคลื่นดังทุกเช้า เขาชอบออกไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ชายหาด ซึ่งเป็นความสวยงามที่ไม่มีวันลืม จนกระทั่งมีโครงการก่อสร้าง เริ่มจากสร้างเขื่อนร่องน้ำแล้วนำมาสู่การแก้ปัญหาโดยการทิ้งหินลงไปเพื่อชะลอน้ำ แต่เมื่อผ่านไประยะหนึ่งน้ำก็กัดเข้ามาอีก มีการกัดเซาะต่อๆ กันมา ดังนั้น วิธีแก้ปัญหาเหล่านี้จึงไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ถูกต้อง มีแต่การพังทลายเพิ่มขึ้น

"ผมเชื่อเหลือเกินว่าพระผู้เป็นเจ้าให้พวกเราเกิดมาเป็นเจ้าของทรัพยากรร่วมกัน มีชายหาดที่สวยงามให้เราร่วมกันดูแล วันนี้ถึงเวลาแล้วที่พวกเราทุกคนมาเรียกร้อง มาบอกความจริงใจ อยากเห็นคนไทยรักแผ่นดินเกิด รักชายหาด มีชายหาดสวยงามให้การท่องเที่ยว สุดท้ายอยากบอกว่าทะเลกำลังร้องไห้ หาดทรายกำลังร้องไห้ ป่าสันทรายกำลังสูญหาย พอเถิดคนใจร้าย พอเถิดปิศาจร้าย พอเสียที" เสียงจากไวนีส่งต่อไปยังผู้รักทะเล และผู้มีอำนาจ

ปริดา คณะรัตน์ กลุ่ม Save หาดม่วงงาม กล่าวว่า ชายหาดม่วงงามเป็นชายหาดที่กว้างและสวย มีระบบธรรมชาติที่สมบูรณ์ มีชายหาดที่มีหอยเสียบ ปกติคนม่วงงามจะใช้ชายหาดในการพักผ่อนหย่อนใจ หาปลาและหาหอยเสียบ เป็นวิถีชาวบ้าน

"พอมีโครงการที่มีเสาเข็มตอกลงไปกลางชายหาดก็รู้สึกสะเทือนใจมากกับเหตุการณ์ที่หน่วยงานรัฐทำกับเรา เราเห็นตัวอย่างมามากมาย ที่การสร้างกำแพงกันคลื่นไม่ได้มีผลดีอะไรกับชายหาดและทำลายชายหาด ยิ่งสร้างยิ่งกัดเซาะ ทำไมเราต้องเสียเวลาไปต่อสู้กับเรื่องที่มันไม่สมควรที่จะเกิดขึ้นกับชายหาดบ้านเรา กับโครงการที่มันไม่เหมาะสมกับชายหาดของประเทศเลย ตรงนี้ไม่ได้มองเฉพาะบ้านเรานะ แต่มองทั้งประเทศเลย"

ด้าน ปฏิภาณ บุณฑริก ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง 'เบื้องหลังกำแพง' (BEHIND THE WALL) รางวัลขวัญใจผู้ชมใน ?เทศกาลหนังสั้นโลกป่วยเราต้องเปลี่ยน? ครั้งที่ 2 กล่าวว่า ก่อนหน้าจะทำหนังสั้นเรื่องเบื้องหลังกำแพง ก็เคยทำมาเรื่องหนึ่งแล้วเมื่อ 10 ปีที่แล้ว เป็นสารคดีชื่อ 'น้ำตานางเงือก' ถ้าได้เปิดเทียบกันกับหนังสั้นตอนนี้จะเห็นความต่างของชายหาดค่อนข้างชัดเจน

"เมื่อ 10 ปีที่แล้วไม่ค่อยมีคนพูดเรื่องเขื่อนกันคลื่น ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็มีการสร้างมาแล้ว ทำให้เราเห็นว่ามันน่ากลัว และมันค่อนข้างเงียบในยุคนั้น มายุคนี้เริ่มเห็นหลักฐานที่เขาเคยบอกว่าจะดี จะกันการกัดเซาะได้ แต่มันไม่เห็นได้แบบนั้น เพราะชายหาดน้อยลงเรื่อยๆ นักกีฬาไคท์เซิร์ฟยังต้องไปหาพื้นที่เล่น ตอนนี้คนเริ่มตื่นรู้มากขึ้น แต่ก็ไม่รู้ว่าเมื่อถึงวันนั้นจะมีหาดเหลือหรือเปล่า จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ควรรีบเคลื่อนไหวกันตั้งแต่ตอนนี้ เราอาจไม่ใช่คนที่ลงไปต่อสู้โดยตรง แต่เราก็มีทางของเราในการทำสื่อ ก็คิดว่าเป็นอีกวิธีการที่เราจะช่วยเรื่องนี้ได้"

โครงการผุดพรึ่บ 125 แห่ง งบฯ ทะลุ 8,000 ล้าน หลังยกเลิก EIA
อภิศักดิ์ ทัศนี กลุ่ม Beach for life กล่าวว่า หลังจากมีมติคณะรัฐมนตรีให้ไม่ต้องทำ EIA ก่อนก่อสร้างกำแพงกันคลื่น เมื่อประมาณปี 2556 ก็พบความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ คือ งบประมาณการสร้างกำแพงกันคลื่น ช่วงปี 2550-2557 ของทั้ง 2 กรม คือ กรมเจ้าท่า และกรมโยธาธิการและผังเมือง รวมประมาณ 2,000 ล้านบาท โดยกรมเจ้าท่ามี 13 โครงการ กรมโยธาฯ มี 32 โครงการ เป็นโครงการขนาดเล็กๆ แต่พอไม่ต้องทำ EIA แล้ว งบประมาณในช่วงปี 2558-2566 อยู่ที่ 8,400 ล้านบาท สัดส่วนงบประมาณถูกเทไปที่กรมโยธาฯ 78.9% จำนวน 107 โครงการ จากโครงการทั้งหมด 125 โครงการ ใช้งบประมาณ 6,600 ล้านบาท ขณะที่กรมเจ้าท่าใช้ไป 1,700 ล้านบาท

"เรื่องมติ ครม.จะมี 2 ประเด็น เรื่องแรก คือ มติ ครม.ให้อำนาจกรมโยธาฯ สร้างกำแพงกันคลื่น เป็นมติตั้งแต่ปี 2534 ส่วนอีกประเด็น คือ เมื่อมีมติไม่ต้องทำ EIA กรมโยธาฯ ที่มีอำนาจอยู่แล้วก็อาศัยช่องว่างนี้ทำมากขึ้น สร้างอย่างเดียว ขณะที่กรมเจ้าท่ายังเติมทรายบ้าง แต่กรมโยธาฯ ทำกำแพงอย่างเดียว"

ฐิติพันธ์ พัฒนมงคล ประธานชมรมนักข่าวสิ่งแวดล้อม และกองบรรณาธิการนิตยสารสารคดี มองว่าปัญหาสิ่งแวดล้อมและการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมในไทยตอนนี้ติดกับดักอยู่อย่างน้อย 2 กับดัก หนึ่งคืองบประมาณที่หน่วยงานภาครัฐมักจะเลือกอุปกรณ์นำเข้าราคาแพง ทำให้โครงการต่างๆ ใช้งบประมาณสูงมาก และสองคือ คุณสมบัติที่เหมาะสมของนักการเมืองที่เข้าไปดำรงตำแหน่งในกระทรวงต่างๆ "ซึ่งตอนนี้ต้องรอดูว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วราวุธ ศิลปอาชา จะกล้าแตะต้องเรื่องงบประมาณที่เป็นของกรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย ที่ดูแลโดย พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา หรือไม่"


(มีต่อ)
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม