ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ
บราซิลเตรียมจมเรือบรรทุกเครื่องบิน นักอนุรักษ์โวยเป็นขยะหนัก 30,000 ตัน

ที่มา : cna
บราซิลวางแผนจมเรือบรรทุกเครื่องบินเก่าลงมหาสมุทรแอตแลนติก ท่ามกลางเสียงต่อต้านจากนักอนุรักษ์ที่ระบุว่า ภายในเรือหนัก 30,000 ตันลำนี้เต็มไปด้วยวัสดุมีพิษ
กองทัพเรือกับกระทรวงกลาโหมของประเทศบราซิล ออกแถลงการณ์เมื่อ 2 ก.พ. 2566 ว่า พวกเขาจะจมเรือบรรทุกเครื่องบิน ?เซา เปาโล? ลงก้นทะเลด้วยการเจาะรูใต้ท้องเรือ หลังประสบความล่มเหลวในการหาท่าเรือที่จะยอมให้เรือลำนี้ไปจอด ทำให้มันถูกลากไปทั่วมหาสมุทรแอตแลนติกตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา
"จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นและความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากการลากจูงเรือลำนี้ กอปรกับความจริงที่ว่าการลอยตัวของลำเรือเสื่อมถอยลงเรื่อยๆ และหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่มันจะจมลงไปเองโดยไม่อาจควบคุม จังไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากกำจัดมันด้วยการจมเรือภายใต้แผนการและการควบคุม" แถลงการณ์ระบุ
เรื่องดังกล่าวเรียกร้องประณามจากนักสิ่งแวดล้อมทันที โดยระบุว่า เรือบรรทุกน้ำมันลำนี้บรรทุก แร่ใยหิน, โลหะหนัก และวัตถุมีพิษอย่างอื่นเป็นจำนวนมาก ซึ่งอาจรั่วไหลสู่น้ำทะเลและก่อมลพิษต่อห่วงโซ่อาหารของสัตว์น้ำ
นายจิม พัคเกตต์ ผู้อำนวยการเครือข่าย ?Basel Action Network? (BAN) กล่าวหากองทัพเรือบราซิลว่า ปล่อยปละละเลยอย่างร้ายแรง "หากพวกเขาเดินหน้าทิ้งเรือที่มีพิษสูงมากนี้สู่ธรรมชาติของมหาสมุทรแอตแลนติก พวกเขาจะละเมิดข้อกำหนดของสนธิสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยสิ่งแวดล้อมถึง 3 ฉบับ"
นายพัคเกตต์ยังเรียกร้องถึงนาย ลูอิซ อินญาซิโอ ลูลา ดา ซิลวา ประธานาธิบดีบราซิล ซึ่งเพิ่งรับตำแหน่งเมื่อเดือนก่อนและให้คำมั่นว่าจะย้อนคืนการทำลายสิ่งแวดล้อมที่เพิ่มขึ้นในยุคของอดีตประธานาธิบดี ชาอีร์ โบลโซนาโร ให้หยุดแผนการอันตรายนี้ในทันที
ด้าน โรแบง เด บัวส์ (Robin des Bois) องค์กรพิทักษ์สิ่งแวดล้อมในฝรั่งเศส เรียกเรือบรรทุกเครื่องบิน เซา เปาโล ว่าเป็น พัสดุพิษหนัก 30,000 ตัน
ทั้งนี้ เรือบรรทุกเครื่องบินลำนี้มีชื่อเดิมว่า 'ฟอช' (Foch) ถูกสร้างขึ้นที่ฝรั่งเศสเมื่อปี 2498 ประจำการในกองทัพฝรั่งเศสครั้งแรกเมื่อ 18 ก.ค. 2506 มันเคยมีส่วนร่วมในการทดสอบนิวเคลียร์ครั้งแรกในมหาสมุทรแปซิฟิกช่วงยุคปี 60 และถูกส่งไปประจำการยังประเทศต่างๆ ในแอฟริกา, ตะวันออกกลาง และยูโกสลาเวียในอดีตด้วย ก่อนจะถูกปลดประจำการเมื่อ 15 พ.ย. ปี 2543
ในปีเดียวกัน บราซิลซื้อต่อไปในราคา 12 ล้านดออลลาร์สหรัฐฯ และเปลี่ยนชื่อเป็น เซา เปาโล อย่างไรก็ตาม เกิดเหตุไฟไหม้ครั้งใหญ่ขึ้นในปี 2548 ส่งผลให้เรือลำนี้เสื่อมโทรมลงอย่างรวดเร็ว จนไม่สามารถใช้งานต่อได้ในปี 2560 และถูกปลดประจำการในเดือน พ.ย. 2561
เมื่อปีก่อน ทางการบราซิลให้อำนาจบริษัท Sok Denizcilik ของตุรกีในการแยกชิ้นส่วนเรือลำนี้เพื่อนำเศษเหล็กมาใช้ แต่ในเดือนสิงหาคมปีเดียวกัน หน่วยงานสิ่งแวดล้อมของตุรกีตัดสินใจขัดขวางแผนดังกล่าว ก่อนที่เรือลำนี้จะถูกเข้าสู่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
บราซิลต้องลากเรือเซา เปาโล กลับมาแต่กลับไม่มีท่าเรือใดยอมให้เข้าจอด อ้างเรื่องความเสี่ยงสูงต่อสภาพแวดล้อม ทำให้กองทัพเรือต้องลากเรือลำนี้ไปยังน่านน้ำห่างจากชายฝั่งบราซิล 350 กม. ในจุดที่มีความลึก 5,000 ม. โดยระบุว่าเป็นพื้นที่ที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับปฏิบัติการจมเรือแล้ว แต่กองทัพไม่เปิดเผยว่าจะเริ่มจมเรือเมื่อใด
https://www.thairath.co.th/news/foreign/2619821
******************************************************************************************************
เจ้าหน้าที่เร่งเก็บอวนประมง หลังพบคลุมแนวปะการังเสียหาย ทำปลาทะเลตายหลายชนิด
เจ้าหน้าที่และหน่วยงานจิตอาสาลงพื้นที่ เก็บอวนประมงในทะเล หลังโซเชียลแชร์ภาพ อวนคลุมแนวปะการังเสียหาย ซ้ำร้ายมีปลาหลายตัวติดอยู่ข้างใน

วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า โลกออนไลน์ได้มีการแชร์เรื่องราว จากผู้ใช้บัญชีเฟซบุ๊ก Tat Kewngaam ที่โพสต์ภาพอวนจับปลาในทะเล พร้อมระบุข้อความว่า ต้องการความช่วยเหลือด้วยครับ ก่อนที่จะสูญเสียมากไปกว่านี้ ขอบอกเลยว่าช่วงนี้ ที่เกาะกระดาน ทะเลตรัง เจอแบบนี้เยอะมาก และวางอวนกันใกล้หน้าที่ทำการอุทยานเลย ได้เหรอครับ ผมไม่ต่อต้านคนทำมาหากินทางทะเลนะ แต่อยากให้มีจิตสำนึกในสิ่งที่ทำ และอยากให้อุทยานช่วยดูแลตรงนี้หน่อย ช่วงนี้บ่อยเหลือเกิน ขอวอนผู้เกี่ยวข้องครับ
ต่อมาผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่ไปพบ นายโสภณ คิ้วงาม หรือครูทัช อายุ 45 ปี ผู้โพสต์ข้อความกล่าวว่า วันนี้ตนและทีมนักประดาน้ำจิตอาสา เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม และ อบต.เกาะลิบง ได้ร่วมกันเก็บกู้ซากอวนที่ลอยมาติดแนวปะการัง หลังจากเมื่อวันที่ 29 ม.ค. ที่ผ่านมา พาเด็กมาฝึกดำน้ำแถวอ่าวเนียง แล้วพบว่าเศษอวนไปคลุมแนวปะการัง และมีปลาหลายชนิดที่อาศัยอยู่บริเวณนั้น ต่างก็ติดอวนไปไหนไม่ได้ ตนและนักเรียนจึงช่วยกันแกะอวนบางส่วนออกมาก่อน
จากการประเมินด้วยสายตา แนวปะการังอาจจะได้รับความเสียหายบ้าง ซึ่งถ้าปล่อยไว้นาน ย่อมไม่ส่งผลดี จึงพูดคุยกับทีมงานจัดทีมลงเก็บกู้ครั้งนี้ โดยใช้ทุนส่วนตัวและผู้มีจิตอาสาที่ช่วยกันมา อย่างไรก็ตาม ฝากนักท่องเที่ยว และหลายๆ คนให้ช่วยกันลดใช้ขยะให้น้อยลง อย่าทำลายทรัพยากรตัวเอง เพราะถ้าถูกทำลายไปเรื่อยๆ อนาคตก็จบ
ซึ่งพื้นที่ที่พบเศษอวน คือบริเวณอ่าวเนียง ทิศใต้ ที่ทำการหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม ที่ จม.3 (เกาะกระดาน) จมอยู่ที่ระดับความลึก 8 เมตร ตรวจสอบพบมี เศษอวนคลุมแนวปะการัง เป็นทางยาวกว่า 100 เมตร นักประดาน้ำจิตอาสา และเจ้าหน้าที่ต่างช่วยกันเก็บกู้ โดยใช้ความระมัดระวัง เพื่อป้องกันความเสียหายกับแนวปะการัง ใช้เวลาดำน้ำประมาณ 2 ชั่วโมง สามารถเก็บกู้ได้ เบื้องต้นพบเป็นเครื่องมือประมง ชนิดอวนลอย มีความยาวประมาณ 100 เมตร น้ำหนักประมาณ 30 กิโลกรัม
ทั้งนี้ นายพริษฐ์ นราสฤษฏ์กุล หัวหน้าอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม และได้ทำรายงานชี้แจงถึงแนวทางการแก้ไขปัญหา ถึงประเด็นการทําประมงในพื้นที่อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม ดังนี้
1. จัดระเบียบการทําประมงพื้นบ้าน ในเขตอุทยานฯ ให้เป็นไปอย่างเหมาะสม ภายใต้ระเบียบ กฎหมายพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ
2. ประชุมชี้แจง ประชาสัมพันธ์ ให้องค์ความรู้ ความเข้าใจ แก่ชุมชนในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง
3. ควบคุม กําชับการทําประมงตามวิถีชีวิตพื้นบ้านในพื้นที่อุทยานฯ ให้ปฏิบัติตามข้อตกลง ระเบียบ และกฎหมายอย่างเคร่งครัด
4. บังคับใช้กฎหมายกับผู้กระทําความผิดอย่างเข้มข้น.
https://www.thairath.co.th/news/local/2619223
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายน้ำ : 03-02-2023 เมื่อ 03:49
|