ดูแบบคำตอบเดียว
  #3  
เก่า 03-04-2023
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default

ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์


สิงห์อาสา ลงพื้นที่ป้องแปลงหญ้าทะเลที่ใหญ่ที่สุดฝั่งอ่าวไทย ที่ จ.สุราษฎร์ฯ



สิงห์อาสา ร่วมกับ เครือข่ายมหาวิทยาลัย 18 สถาบันในพื้นที่ภาคใต้และภาคตะวันออก ลงพื้นที่ดูแลแปลงหญ้าทะเลผืนใหญ่ที่สุดฝั่งอ่าวไทยที่ จ.สุราษฎร์ธานี ป้องกันการเสียพื้นที่หญ้าทะเลประมาณ 500-700 ไร่ต่อปี หวังเป็นพื้นที่ดูดซับและกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ในภาคใต้ ลดปัญหาโลกรวน พร้อมขยายต่อในหลายพื้นที่จังหวัดชายทะเลทั้งภาคใต้และภาคตะวันออก

จากข้อมูลสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประเทศไทยมีพื้นที่แหล่งหญ้าทะเลประมาณ 160,628 ไร่ แต่จากการสำรวจเมื่อปี 2564 พบว่า มีพื้นที่หญ้าทะเล เพียง 99,325 ไร่ แบ่งเป็นฝั่งทะเลอันดามัน จำนวน 65,209 ไร่ และฝั่งอ่าวไทย จำนวน 34,116 ไร่ จากข้อมูลเหล่านี้บอกได้ว่าประเทศไทยยังมีพื้นที่อีกมากที่สามารถฟื้นฟูหญ้าทะเลให้กลับมาเป็นระบบนิเวศที่สมบูรณ์ โดยเฉพาะภาคใต้ จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งมีพื้นที่หญ้าทะเลกว่า 16,000 ไร่ ถือเป็นจังหวัดที่มีพื้นที่หญ้าทะเลมากที่สุดทางฝั่งอ่าวไทย จากการสำรวจพบว่าบริเวณพื้นที่เกาะเสร็จ เป็นเกาะเกิดใหม่ในสุราษฎร์ฯ มีระบบนิเวศชายทะเลที่เหมาะกับการปลูกหญ้าทะเลรวมถึงป่าชายเลน ที่จะเป็นทั้งแหล่งที่อยู่อาศัย และแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำ เช่น ปูม้าในช่วงวัยอ่อน ปลาหลายชนิด รวมไปถึงการเป็นแหล่งอาหารของพะยูนและเต่าทะเล สัตว์สงวนของไทยที่อยู่ในภาวะใกล้สูญพันธุ์ เกาะเสร็จ จึงมีความพร้อมของธรรมชาติที่จะทำให้หญ้าทะเลมีโอกาสอยู่รอดได้

ซึ่งการลงพื้นที่ในครั้งนี้ สิงห์อาสา โดย มูลนิธิพระยาภิรมย์ภักดี และ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ยังได้ร่วมกับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กลุ่มประมงพื้นบ้านในพื้นที่ และบริษัท สุราษฎร์ธานีเบเวอเรช จำกัด หนึ่งในเครือบริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ร่วมดูแลและฟื้นฟูระบบนิเวศทางทะเลควบคู่กับการดูแลคุณภาพชีวิตคนในชุมชนอย่างยั่งยืนในโครงการ ?สิงห์อาสาอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทางทะเล? โดยมีการปลูกหญ้าทะเลกว่า 10,000 ต้น ปลูกป่าชายเลน 5,000 ต้น และปล่อยพันธุ์ปูม้ากว่า 100,000 ตัว เพื่อสร้างพื้นที่หญ้าทะเลและระบบนิเวศทางทะเลที่สมบูรณ์ ที่เกาะเสร็จ ต.พุมเรียง อ.ไชยา จ. สุราษฎร์ธานี ซึ่งหลังจากนี้จะขยายพื้นที่ปลูกหญ้าทะเลในจังหวัดอื่นๆ ทั่วประเทศต่อไป

ผศ.พรเทพ วิรัชวงศ์ หัวหน้าสาขาวิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเลและสิ่งแวดล้อม คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการประมง มทร.ศรีวิชัย วิทยาเขตตรัง ผู้เชี่ยวชาญด้านการปลูกหญ้าทะเล ที่ปรึกษาโครงการ กล่าวว่า "พื้นที่ของหญ้าทะเล มีศักยภาพในการเป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอนฯ อย่าง Blue Carbon หรือคาร์บอนฯ ที่ดูดซับโดยระบบนิเวศทางทะเล ซึ่งบลูคาร์บอนมีความสามารถในการกักเก็บคาร์บอนฯ สูงกว่าป่าไม้เกือบ 10 เท่า การมีหญ้าทะเลจึงเป็นตัวชี้วัดความสมบูรณ์ของระบบนิเวศ แต่หญ้าทะเลกำลังพบเจอกับภัยคุกคามหลายอย่าง เช่น การเดินเรือทับหญ้าทะเล การพัฒนาชายฝั่งให้เป็นโรงแรมหรือสถานที่ท่องเที่ยว นับเป็นโอกาสดีที่ ?สิงห์อาสา? ได้เข้ามาปลูกหญ้าทะเลเพิ่มเติมให้กับเกาะเสร็จ รวมไปถึงดำเนินการฟื้นฟูระบบนิเวศทางทะเลอื่นๆ คืนความอุดมสมบูรณ์ ร่วมกับเด็กนักเรียนจากโรงเรียนและชาวบ้านในพื้นที่ และเครือข่ายสิงห์อาสาจากสถาบันการศึกษาต่างๆ"

นายอมร เสานอก ผู้จัดการฝ่ายโรงงาน บริษัท สุราษฎร์ธานีเบเวอเรช จำกัด หนึ่งในเครือ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด กล่าวว่า "ในฐานะประชาชนของจังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้ให้ความสำคัญกับการร่วมแก้ไขป้ญหาสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศทางทะเลมาอย่างต่อเนื่อง โครงการสิงห์อาสาอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทางทะเล ถือเป็นโอกาสจะทำให้ผู้คนในพื้นที่ได้ตระหนักถึงความสำคัญของหญ้าทะเลในการช่วยลดภาวะโลกรวน ร่วมกันสร้างจิตสำนึกไม่ทำลายหญ้าทะเล และยังส่งผลในเรื่องกระตุ้นการท่องเที่ยวในจังหวัดสุราษฎร์ธานีที่มีความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติสูง ซึ่งจะเป็นการอนุรักษ์ที่เอื้อประโยชน์ให้ทั้งธรรมชาติทั้งผู้คนอย่างเป็นระบบ"

โดยเครือข่ายมหาวิทยาลัย 18 สถาบันในพื้นที่ภาคตะวันออกและภาคใต้ ที่เข้าร่วมโครงการ ประกอบด้วย มทร.ศรีวิชัย วิทยาเขตตรัง, สงขลา, ม.สงขลานครินทร์ วิทยาเขตสุราษฎร์ธานี, สงขลา, ภูเก็ต ,ตรัง , ม.หาดใหญ่ , มรภ.สงขลา, มรภ.สุราษฎร์ธานี, มรภ.นครศรีธรรมราช, มรภ.ภูเก็ต, ม.บูรพา จ.ชลบุรี, วิทยาเขตจันทบุรี, ม.เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา, มทร.ตะวันออก วิทยาเขตบางพระ, ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ วิทยาเขตระยอง, มรภ.ราชนครินทร์ จ.ฉะเชิงเทรา, มรภ.รำไพพรรณี จ.จันทบุรี

โดยในปีนี้ สิงห์อาสา โดย มูลนิธิพระยาภิรมย์ภักดี และ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด และบริษัทในเครือทั่วประเทศ ยังร่วมมือกับเครือข่ายต่างๆ ทุกภาคส่วน เพื่อมุ่งเน้นภารกิจในการดูแลทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน ทั้งดูแลป่าต้นน้ำในเขตจังหวัดภาคเหนือ การดูแลแหล่งน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคในจังหวัดภาคอีสาน การดูแลสายน้ำในจังหวัดภาคกลาง และภารกิจสร้างความยั่งยืนให้ทะเลไทยทั้งภาคตะวันออกและภาคใต้ เพื่อให้ "องค์กร ชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อม มีความสุขร่วมกันอย่างยั่งยืน"


https://mgronline.com/live/detail/9660000030104


******************************************************************************************************


เชยแล้ว "กินปลาแล้วฉลาด" สมัยนี้ "กินปลาแถมปรอท" น่าตกใจ "ไทย = อันดับ 9 ของโลก!!"



ไม่ได้มีแค่ "โอเมก้า 3" ผลสำรวจชี้ "กินปลา แถมปรอท" พบปนเปื้อนสูง เสี่ยงส่งผลต่อร่างกาย อันตรายถึงเด็กในท้อง หันมองประเทศไทย สถิติเตือนใจ ติดอันดับสะสมสารพิษเป็น "ที่ 9" ของโลก


ปรอท! สดจากทะเล

ถ้าการกินปลาไม่ได้ต่อดีสุขภาพเสมอไปล่ะ? เมื่อ "คณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐอเมริกา (FDA)" ออกมาเตือน 78% ของปรอทที่เรารับเข้าไปในร่างกายในแต่ละวันนั้น มาจากปลาและอาหารทะเล การรับปรอทจำนวนมาก เป็นอันตรายต่อร่างกายและส่งต่อทารกในครรภ์

ปรอทที่ปนเปื้อนในปลาและอาหารทะเล จะมีปริมาณของปรอทที่มากน้อยไม่เท่ากัน ยิ่งเป็นปลาที่มีขนาดใหญ่ก็จะมีสารปรอทคงค้างมากกว่าปลาขนาดเล็ก และปลาที่พบปนเปื้อนปรอทสูงคือ ปลาเก๋า, ปลากะพง, ปลาหิมะ, ปลาอินทรี, ทูน่าครีบเหลือง, ฉลาม และปลากระโทง


แล้วอะไรทำให้สารปรอท เข้ามาอยู่ในตัวปลาได้ล่ะ?

ปรอทเป็นสารที่เกิดอยู่ตามธรรมชาติอยู่แล้ว การมีปนเปื้อนปรอทเล็กน้อยไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวล

แต่อุตสาหกรรม โรงไฟฟ้าถ่านหิน การเผาขยะ ปล่อยสารปรอทลอยไปกับอากาศ ทำให้ฝนที่ตกลงแหล่งน้ำและทะเลมีปรอทปนเปื้อนอยู่ ทำให้ในตัวปลามีปรอทสะสมเกินค่ามาตรฐาน นี่ยังไม่นับรวมการทิ้งขยะลงทะเล ที่ส่งผลต่อการปนเปื้อนของปลาเช่นกัน

จากผลการศึกษาทั่วโลกของผู้หญิง 1,044 คน ใน 25 ประเทศ พบว่า 36% มีสารปรอทเกิน 1 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม โดยประเทศไทยมีค่าเฉลี่ยของสารปรอทอยู่ที่ 3.077 มิลิกรัมต่อกิโลกรัม เป็นลำดับที่ 9 ของโลก

พบว่าสิ่งที่มีผลต่อปริมาณปรอทที่เพิ่มขึ้นในร่างกาย คือ การกินปลาเป็นประจำ ทำงานในเหมืองทองขนาดเล็ก และอาศัยใกล้เขตอุตสาหกรรม แสดงให้เห็นว่าการปนเปื้อนของสารปรอท เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ ทำให้ปรอทแพร่กระจาย สะสม และตกค้างอยู่ในธรรมชาติ

ร่างกายคนเราสามารถรับปรอทได้ไม่เกิน 0.5 มิลิกรัมต่อกิโลกรัม แต่ถ้ากินอาหารที่ปรอทสะสมเป็นเวลานาน ก็จะสงผลเสียต่อร่างกายและอาจถึงตายได้

ไม่สามารถควบคุมการทรงตัวได้, ชา-ตามแขนขา, แขนขาบิดเบี้ยวคล้ายคนพิการ, ตาบอด, กล้ามเนื้อสั่น, หูตึง, หลอดเลือดแข็ง, เป็นอัมพาต และอาการเหล่าท้ายจากสู่ลูกได้ ทำให้เด็กที่เกิดมา มีอาการพิการทางสมอง

นี่คือผลกระทบจาก พิษของสารปรอท หรือเรียกว่า "โรคมินามาตะ"


"สมองพรุน" สู่ทารกในครรภ์

คงมองข้ามปัญหาการปนเปื้อนของปรอทไม่ได้แล้ว เมื่อมีกรณีตัวอย่างจากญี่ปุ่น ช่วงยุค 50 ที่มีโรงงานแอบปล่อยสารปรอทลงแหล่งน้ำใน เมืองมินามาตะ ทำให้ชาวเมืองเริ่มป่วยเป็นโรคประหลาด

ชาวเมืองเริ่ม มีอาการชาที่มือและเท้า กล้ามเนื้ออ่อนแรง สูญเสียการได้ยินและการมองเห็น ควบคุมสติไม่ได้ มีอาการวิกลจริตอย่างอ่อนๆ กรีดร้อง มีการกระตุกตัวแข็ง แขนขาบิดงออย่างรุนแรง

จากบันทึกของ นพ.ฮาจิเมะ โฮโซคาวะ ผอ.โรงพยาบาล ชิสโสะ เขียนว่า "เมื่อแพทย์ชำแหละสมองของผู้ที่เสียชีวิต สมองของผู้ป่วยนั้นจะพรุนเหมือนฟองน้ำ ส่วนที่เนื้อสมองหายไปนั่นคือส่วนที่ถูกทำลายด้วยสารปรอท และ ยังพบอีกว่า ทารกที่เกิดมาในช่วงนั้นมีความพิการทางสมอง" จากเหตุการณ์ทั้งหมดจึงเป็นที่มาของ โรคมินามาตะ

ตอกย้ำอันตรายจากปรอท ด้วยผลการศึกษาในไทย "สารปรอทในปลาและร่างกายมนุษย์ ในพื้นที่พัฒนาอุตสาหกรรมและโรงไฟฟ้าของประเทศไทย" โดย มูลนิธิบูรณะนิเวศ ร่วมกับ สมาคมอาร์นิก้า สาธารณรัฐเชก

"จากการศึกษาปริมาณสารปรอทในผู้หญิง อายุระหว่าง 18 - 44 ปี ในพื้นที่รอบเขตนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จ.ระยอง และเขตอุตสาหกรรมเยื่อกระดาษและโรงไฟฟ้าถ่านหิน จ.ปราจีนบุรี พบว่า 73.5% ของอาสาสมัครมีสารปรอทเกินมาตรฐานของ EPA ที่ 1 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม และค้นพบว่าเป็นจุดเริ่มต้นความเสียหายทางระบบประสาทของทารกในครรภ์ "


8 จังหวัดไทย กลายเป็น มินามาตะ!

"มินามาตะโมเดล" อาจเกิดในไทยก็ได้ เมื่อผลการศึกษายังระบุอีกว่า 8 จังหวัด อุตสาหกรรม พบการปนเปื้อนของปรอทสูง ได้แก่ สมุทรปราการ, สมุทรสาคร, ระยอง, ปราจีนบุรี, ฉะเชิงเทรา, เลย, ขอนแก่น และจันทบุรี

ซึ่งแหล่งกำเนิดสารปรอทคงหนีไม่พ้น เขตอุตสาหกรรมที่หนาแน่น และโรงไฟฟ้าถ่านหิน จากการเก็บตัวอย่างปลาและหอยในพื้นที่ทั้ง 8 จังหวัด พบว่าทั้งปลาทะเลและปลาน้ำจืด มีค่าปรอทที่เกินมาตรฐาน

จากการเก็บตัวอย่าง ปลาและดิน แบ่งเป็น 2 แบบ คือ พื้นที่ใกล้กับเขตอุตสาหกรรม และพื้นที่อยู่ห่างไกลจากเขตอุตสาหกรรม พบว่าเขตอุตสาหกรรม ในปลาหลายชนิด เช่น ปลาเต็กเล้ง ปลาช่อน ทุกตัวอย่างมีปรอทเกินค่ามาตรฐานไทยถึง 24 เท่า

แต่ที่น่าตกใจ ในพื้นที่ห่างไกลจากแหล่งอุตสาหกรรม กลับพบปลาบางชนิด มีปรอทสะสมถึง 16 เท่าจากค่ามาตรฐาน ในเขตอุทยานบางแห่ง พบว่าปลาช่อน ปลาบู่ ปลานิล มีปรอทอยู่ในตัว เกิน 6 - 28 เท่า

ถ้ากินปลาเหล่านี้ เราจะได้รับปรอทถึง 6.1 ? 375 กรัม ขึ้นอยู่กับชนิดของปลา แต่ก็เลยระดับความปลอดภัยมาตรฐาน ที่ร่างกายจะรับได้ที่ 0.5 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมต่อวัน

และนี่คือคำแถลงการณ์จาก อัครพล ตีบไธสง นักวิชาการมูลนิธิบูรณะนิเวศ

"ผลการศึกษายืนยันการสะสมของสารปรอทในสิ่งมีชีวิต แสดงให้เห็นว่าคนในพื้นที่ 8 จังหวัดของไทย เสี่ยงที่จะได้รับอันตรายจากสารปรอท และสารปรอทสามารถเดินทางได้ไกลในอากาศ แม้จะอยู่ห่างไกลจากแหล่งอุตสาหกรรม ก็สามารถเสี่ยงพบปัญหาการปนเปื้อนจากปรอทที่ลอยอยู่ในอากาศได้เช่นกัน"


https://mgronline.com/live/detail/9660000029063

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม