ขอบคุณข่าวจาก BBCThai
วาฬเพชฌฆาตออกอาละวาด โจมตีเรือยอชต์แถบชายฝั่งยุโรป

รายงานข่าวล่าสุดจากพื้นที่คาบสมุทรไอบีเรีย ซึ่งเป็นบริเวณแถบชายฝั่งของประเทศสเปนและโปรตุเกสระบุว่า วาฬเพชฌฆาตชนิดที่ใกล้สูญพันธุ์ฝูงหนึ่งซึ่งอาศัยอยู่ในน่านน้ำดังกล่าว ออกอาละวาดโจมตีเรือหลายลำที่แล่นผ่านช่องแคบยิบรอลตาร์ จนทำให้มีเรือยอชต์จมลงเป็นลำที่ 3 แล้ว นับตั้งแต่เหตุการณ์นี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อช่วงกลางปี 2020
งานวิจัยของทีมนักวิทยาศาสตร์ชาวสเปน ซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร Marine Mammal Science ฉบับเดือนมิ.ย. ของปีที่แล้ว ระบุว่าพฤติกรรมก้าวร้าวผิดปกติของวาฬเพชฌฆาตหรือ "ออร์กา" (orca) ฝูงดังกล่าว มีสาเหตุมาจากออร์กาตัวเมียตัวหนึ่งในฝูงเริ่มเข้ากัดและพยายามหักหางเสือเรือยอชต์ทุกลำที่มันเห็น หลังได้รับบาดเจ็บจากเหตุถูกหางเสือของเรือลำหนึ่งกระแทก
พฤติกรรมก้าวร้าวที่เกิดจากความเจ็บแค้นฝังใจดังกล่าวได้แพร่ขยายออกไปในวงกว้าง โดยออร์กาตัวอื่น ๆ ในฝูงเกิดพฤติกรรมเลียนแบบและพยายามเข้ารุมโจมตีทำลายเรือหลายครั้ง จนผู้คนพากันเกิดความสงสัยว่า ออร์กาฝูงดังกล่าวกำลังมุ่งทำร้ายมนุษย์เพื่อแก้แค้น หรือต้องการจมเรือเพื่อป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับฝูงของมันในอนาคตกันแน่
ดร. ลูค เรนดัลล์ นักชีววิทยาจากมหาวิทยาลัยเซนต์แอนดรูส์ของสหราชอาณาจักร ผู้เชี่ยวชาญพฤติกรรมสัตว์ทะเลที่เลี้ยงลูกด้วยนม ได้ให้สัมภาษณ์กับเว็บไซต์วิชาการ The Conversation ว่าเราไม่อาจทราบได้แน่ชัดถึงเจตนาของวาฬเพชฌฆาตฝูงดังกล่าวว่ามันโจมตีเรือไปเพื่ออะไร ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าพวกมันอาจทำไปเพื่อแก้แค้นหรือป้องกันตัว แต่ก็มีโอกาสสูงที่พฤติกรรมก้าวร้าวจะไม่ได้เกิดจากเหตุจูงใจทั้งสองนี้เลย
ดร. เรนดัลล์ อธิบายว่า ตามปกติแล้วสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่อาศัยอยู่ในทะเล อย่างเช่นแมวน้ำ สิงโตทะเล โลมา วาฬชนิดต่าง ๆ และออร์กา มักมีพฤติกรรมแปลกประหลาดที่ไม่ได้เกิดจากการปรับตัวเพื่อความอยู่รอดอยู่บ่อยครั้ง โดยจะมี "แฟชั่น" ที่ทั้งฝูงทำเลียนแบบตามกันในระยะสั้นโดยไม่มีสาเหตุแน่ชัด เช่นมีช่วงหนึ่งที่ออร์กาบางกลุ่มนิยมทูนซากปลาแซลมอนไว้บนหัวหรือเลียนเสียงสิงโตทะเล ซึ่งเห็นได้ชัดว่าการกระทำเหล่านี้ไม่ได้มาจากแรงจูงใจเรื่องแหล่งอาหารหรือการได้คู่ผสมพันธุ์
ดร. เรนดัลล์ มองว่าพฤติกรรมรุมโจมตีและจมเรือของฝูงออร์กาในช่องแคบยิบรอลตาร์ มีแนวโน้มว่าจะเป็นพฤติกรรมเลียนแบบระยะสั้นที่ไม่มีสาเหตุแน่ชัด มากกว่าจะเป็นพฤติกรรมเชิงปรับตัวเพื่อความอยู่รอด แต่ก็มีความเป็นไปได้อยู่บ้างว่า ฝูงออร์กาเหล่านี้รุมโจมตีเรือเพราะความอยากรู้อยากเห็น และต้องการจะตรวจสอบว่ามีแหล่งอาหารบนเรือที่พวกมันนำมาแบ่งกันกินได้หรือไม่
มีรายงานว่าพฤติกรรมโจมตีทำลายเรือได้แผ่ขยายออกไปในวงกว้าง โดยเริ่มมีออร์กาฝูงอื่น ๆ ในน่านน้ำบริเวณดังกล่าวทำตามแล้ว ซึ่งดร. เรนดัลล์เห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดาในหมู่สัตว์ทะเลที่เลี้ยงลูกด้วยนม ซึ่งมีความฉลาดมากพอที่จะถ่ายทอดข้อมูลข่าวสารระหว่างกลุ่มและเกิดการเรียนรู้ทางสังคม (social learning) ตัวอย่างเช่นโลมาที่เคยถูกมนุษย์เลี้ยงดูและฝึกฝนมาก่อน สามารถสอนทำท่ากายกรรมให้แก่เพื่อนโลมาที่เติบโตในธรรมชาติได้ โดยตั้งลำตัวตรงเหนือผิวน้ำและใช้หางโบกให้ดูคล้ายกับเดินบนน้ำ
นอกจากนี้ สาเหตุที่ฝูงออร์การุมโจมตีเรือเพื่อแสดงความสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเข้าช่วยเหลือปกป้องเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์นั้น ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เลยเสียทีเดียว เพราะเคยมีมาแล้วที่สัตว์ทะเลซึ่งเลี้ยงลูกด้วยนม แสดงการเสียสละเข้าช่วยชีวิตเพื่อนต่างสายพันธุ์โดยไม่หวังผลตอบแทน อย่างเช่นวาฬหลังค่อมมักเข้าช่วยแมวน้ำที่ถูกออร์กาไล่ล่าเสมอ
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ที่ออร์กาพยายามจมเรือไม่เคยมีปรากฏมาก่อนในบันทึกประวัติศาสตร์ ตัวของดร. เรนดัลล์เองเคยพบเพียงเหตุการณ์ที่ฝูงออร์กาเข้ามาสำรวจเรือของนักวิทยาศาสตร์อย่างสันติเท่านั้น
ส่วนตำนานเรื่องสัตว์ทะเลที่เที่ยวจมเรือของมนุษย์ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีที่สุด เห็นจะได้แก่นิยายเรื่องโมบีดิ๊ก (Moby Dick) ซึ่งดัดแปลงมาจากเรื่องจริงที่มีวาฬสเปิร์มสีขาวตัวใหญ่นอกชายฝั่งอเมริกาใต้ และเหตุการณ์ที่เรือล่าวาฬเอสเซ็กซ์ (Essex) ถูกวาฬตัวใหญ่ทำให้จมลงในน่านน้ำเขตเส้นศูนย์สูตร
ดร. เรนดัลล์ ยังแสดงความห่วงกังวลว่า หากเหตุการณ์ที่ฝูงออร์กาเที่ยวโจมตีและจมเรือยังคงดำเนินอยู่ต่อไป จนส่งผลกระทบต่อการประมงระดับท้องถิ่นและการท่องเที่ยวในเส้นทางเดินเรือดังกล่าว อาจเกิดอันตรายกับพวกมันได้ เนื่องด้วยแรงกดดันทางการเมืองจากกลุ่มผลประโยชน์ อาจทำให้ทางการต้องกำจัดฝูงออร์กาที่แสนดุร้ายนี้ไปเสีย
ดร. เรนดัลล์หวังว่า การแก้ปัญหาจากพฤติกรรมก้าวร้าวของฝูงออร์กาจะกระทำโดยละมุนละม่อม ซึ่งมนุษย์ควรพิจารณาที่จะยอมเป็นฝ่ายเสียสละ โดยให้เรือเล็กหลีกเลี่ยงการใช้เส้นทางดังกล่าวเสีย แม้ปัจจุบันเส้นทางผ่านช่องแคบยิบรอลตาร์ที่ลัดสั้น จะเป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมท่องเที่ยวก็ตาม
https://www.bbc.com/thai/articles/cx9n2y9ww81o
******************************************************************************************************
ภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงอาจก่อสึนามิยักษ์ในซีกโลกใต้

ผู้เชี่ยวชาญด้านอุทกศาสตร์ (hydrography) จากทั่วโลก ออกมาเตือนว่าภาวะโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่กำลังรุนแรงขึ้นทุกขณะ อาจเป็นตัวกระตุ้นให้มีเหตุดินถล่มครั้งใหญ่ที่ก้นมหาสมุทรแอนตาร์กติก จนเกิดคลื่นยักษ์สึนามิขนาดมหึมาซัดถล่มซีกโลกใต้ได้
ทีมนักวิทยาศาสตร์นานาชาติจากสหรัฐฯ ยุโรป และเอเชีย ตีพิมพ์ผลการศึกษาข้างต้นลงในวารสาร Nature Communications เมื่อวันที่ 18 พ.ค. ที่ผ่านมา โดยชี้ว่าเหตุการณ์ลักษณะเดียวกันเคยเกิดขึ้นมาแล้วถึงสองครั้งเมื่อหลายล้านปีก่อน ระหว่างที่โลกอยู่ในช่วงมีอุณหภูมิสูงขึ้นและเกิดการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศเหมือนกับทุกวันนี้
ดร. เจนนี เกลส์ ผู้นำทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยพลีมัธของสหราชอาณาจักรบอกว่า คลื่นยักษ์สึนามิขนาดมหึมาเนื่องจากเหตุชั้นตะกอนก้นมหาสมุทรพังถล่ม เคยเกิดขึ้นมาแล้วในยุคดึกดำบรรพ์เมื่อราว 3 ล้านปีก่อน และเมื่อ 15 ล้านปีก่อน ซึ่งล้วนเป็นช่วงเวลาที่เกิดภาวะโลกร้อน ทำให้มีคลื่นยักษ์ซัดถล่มภูมิภาคอเมริกาใต้ นิวซีแลนด์ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งอาจทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมากหากเกิดขึ้นในยุคปัจจุบัน
เมื่อปี 2017 ทีมผู้วิจัยค้นพบหลักฐานทางธรณีวิทยาที่ชี้ว่า เคยเกิดเหตุดินถล่มก้นสมุทรนอกชายฝั่งทวีปแอนตาร์กติกาบริเวณทิศตะวันออกของทะเลรอสส์ (Ross Sea) ทำให้ในปีต่อมามีการขุดเจาะแกนของชั้นตะกอนก้นสมุทรขึ้นมาตรวจสอบ
ผลวิเคราะห์พบว่าชั้นตะกอนที่เกาะตัวกันเพียงหลวม ๆ และพังถล่มลงมานั้น แท้ที่จริงคือซากแพลงก์ตอนปริมาณมหาศาล ซึ่งขยายพันธุ์อย่างรวดเร็วในยุคไพลโอซีนตอนกลางและยุคไมโอซีน เนื่องจากอุณหภูมิของน้ำในมหาสมุทรแอนตาร์กติกยุคนั้นสูงกว่าปัจจุบันถึง 3 องศาเซลเซียส
ดร. โรเบิร์ต แม็กเคย์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยมหาสมุทรแอนตาร์กติก ประจำมหาวิทยาลัยวิกตอเรียแห่งกรุงเวลลิงตันของนิวซีแลนด์ หนึ่งในสมาชิกทีมวิจัยกล่าวว่า "ในช่วงยุคน้ำแข็งที่อากาศหนาวเย็นลง ชั้นตะกอนที่เกิดจากซากแพลงก์ตอนถูกทับถมด้วยหินกรวดที่ธารน้ำแข็งพัดพามา ทำให้เกิดโครงสร้างที่ไม่มั่นคงและมีความเสี่ยงจะพังถล่มลงมาได้ง่าย"
แม้ทีมผู้วิจัยยังไม่ทราบแน่ชัดว่า สาเหตุที่จะทำให้ชั้นตะกอนก้นสมุทรพังถล่มนั้นได้แก่อะไรบ้าง แต่คาดว่าการละลายและหดตัวของธารน้ำแข็งจากภาวะโลกร้อนในอดีต ทำให้แผ่นเปลือกโลกรับน้ำหนักน้อยลงและเกิดการ ?ดีดตัว? (isostatic rebound) ซึ่งจะทำให้มีแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวที่เขย่าให้ชั้นตะกอนก้นสมุทรพังลงมาและเกิดคลื่นยักษ์สึนามิได้
อย่างไรก็ตาม ทีมผู้วิจัยยังไม่สามารถคำนวณได้ว่า คลื่นยักษ์สึนามิขนาดมหึมาที่อาจซัดถล่มซีกโลกใต้อีกครั้งนี้ จะมีขนาดและความสูงเป็นเท่าใดกันแน่ แต่พวกเขาคาดว่าน่าจะมีขนาดไม่เล็กไปกว่า "สึนามิแกรนด์แบงส์" (The Grand Banks Tsunami) เมื่อปี 1929 ที่ซัดถล่มชายฝั่งเขตนิวฟาวด์แลนด์ของแคนาดา โดยมีความสูงถึง 13 เมตร
นอกจากนี้ คลื่นยักษ์จากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศดังกล่าว น่าจะมีขนาดใหญ่กว่าสึนามิที่ถล่มปาปัวนิวกินีเมื่อปี 1998 ซึ่งมีความสูงถึง 15 เมตร และทำให้มีผู้เสียชีวิตไป 2,200 คน
https://www.bbc.com/thai/articles/c4nknvn27lmo
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
|