
03-08-2023
|
 |
Senior Member
|
|
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
|
|
ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ
เข้าสู่ยุคโลกเดือด มนุษยชาติจะอยู่รอดได้อย่างไร .......... โดย ณัฏฐ์นรี เฮงสาโรชัย

Summary
- อันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ ระบุว่า ยุคของภาวะโลกร้อน ได้สิ้นสุดลงแล้ว และมาถึงยุคภาวะโลกเดือด หลังกรกฎาคมกำลังจะเป็นเดือนที่ร้อนที่สุดเป็นประวัติการณ์
- สุลต่าน อัล จาเบอร์ ประธาน COP28 ปี 2023 ระบุว่า การลดเชื้อเพลิงฟอสซิลเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้และจำเป็น และทำแผน COP28 ที่จะตั้งเป้าหมายพลังงานหมุนเวียนเพิ่ม 3 เท่า และใช้เทคโนโลยีการดักจับ และกักเก็บคาร์บอน (CCS)
- ผศ.แคทเธอรีน ฮอร์นบอสเทล และทีมวิจัย จากมหาวิทยาลัยพิตต์สเบิร์ก พัฒนาการดักจับคาร์บอนในมหาสมุทรที่เป็นนวัตกรรมใหม่ เพื่อประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้น และลดค่าใช้จ่าย
ด้วยความร้อนระอุที่ทั่วโลกกำลังประสบ อันโตนิโอ กูเตอร์เรส (Ant?nio Guterres) เลขาธิการสหประชาชาติ ระบุว่า ยุคของภาวะโลกร้อน (global warming) ได้สิ้นสุดลงแล้ว และมาถึงยุคของ ภาวะโลกเดือด (global boiling) ทั่วโลก หลังจากที่นักวิทยาศาสตร์ยืนยันว่าเดือนกรกฎาคมกำลังจะเป็นเดือนที่ร้อนที่สุดเป็นประวัติการณ์
ตามรายงานของ องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) และโครงการสังเกตการณ์โลกโดย โคเปอร์นิคัส (Copernicus) ของโครงการอวกาศสหภาพยุโรป ระบุว่า อุณหภูมิโลกในเดือนนี้ทำลายสถิติ เพราะได้รับผลกระทบจากการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงฟอสซิล และสภาพอากาศที่รุนแรง รวมถึงอุณหภูมิเฉลี่ยทั่วโลกที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นผลมาจากมลพิษที่ทำหน้าที่เหมือนเรือนกระจกครอบโลก ทำให้สภาพอากาศเลวร้ายขึ้นอย่างสุดขั้ว
นอกจากนี้ ตามการวิเคราะห์จากเครือข่าย World Weather Attribution ระบุว่า มลพิษก๊าซเรือนกระจกทำให้อุณหภูมิของคลื่นความร้อนที่อันตรายถึงชีวิตใน 3 ทวีปในเดือนนี้ อีกทั้งมีการศึกษาพบว่า มนุษยชาติทำให้คลื่นความร้อนในยุโรปตอนใต้ อเมริกาเหนือ และจีน ร้อนขึ้น 2.5 องศาเซลเซียส, 2 องศาเซลเซียส และ 1 องศาเซลเซียส ตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์คาดว่าปีนี้จะร้อนกว่าปกติ เนื่องจาก 'เอลนีโญ' ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติของลมและน้ำที่ทำให้โลกร้อน ผลกระทบดังกล่าวพร้อมกับมลพิษจากก๊าซเรือนกระจก ทำให้ WMO คาดการณ์ว่ามีโอกาส 2 ใน 3 ที่ 1 ใน 5 ปีข้างหน้าจะมีอุณหภูมิร้อนกว่าก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรมถึง 1.5 องศาเซลเซียส
เราจะแก้ปัญหานี้ได้อย่างไร?
เมื่อปัญหาเหล่านี้ยังไม่สามารถแก้ไขได้ทันที และเป็นสิ่งที่น่ากังวล ที่ล่าสุดประเทศสมาชิก G20 อาทิ สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป จีน เป็นต้น ไม่มีข้อตกลงที่จะเพิ่มกำลังการผลิตพลังงานหมุนเวียนเป็น 3 เท่า ภายในปี 2573 และมีฉันทามติที่จะไม่ลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล
สุลต่าน อัล จาเบอร์ (Sultan Al Jaber) ผู้บริหารบริษัทน้ำมันแห่งชาติอาบูดาบี (Abu Dhabi National Oil Company) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและเทคโนโลยี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และประธานการประชุมสุดยอดรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงประจำปี 2023 หรือ COP28 ที่จะเกิดขึ้นที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 30 พฤศจิกายน ถึง 12 ธันวาคม 2023 ได้ให้สัมภาษณ์กับ สำนักข่าว The Guardian ว่า การลดเชื้อเพลิงฟอสซิลเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้และจำเป็น
"สิ่งที่ผมพยายามพูดคือคุณไม่สามารถถอดระบบพลังงานปัจจุบันออกจากของโลกก่อนที่คุณจะสร้างระบบพลังงานใหม่ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน ต้องใช้เวลา"
อัล จาเบอร์ จะจัดทำแผนสำหรับ COP28 โดยมีแนวโน้มรวมเป้าหมายของการผลิตพลังงานหมุนเวียนทั่วโลกเพิ่มขึ้น 3 เท่า ซึ่งประเทศที่พัฒนาแล้ว และกำลังพัฒนาให้การสนับสนุน นอกจากนี้จะเน้นย้ำเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของ COP28 โดยมีแผนเพิ่มตัวแทนของกลุ่มเยาวชน ภาคประชาสังคม ชนพื้นเมือง และผู้หญิงมากขึ้น
ทั้งนี้ แผนสำคัญอีกประการหนึ่งคือการรวมบริษัทเชื้อเพลิงฟอสซิลเข้าร่วมการเจรจา COP28 โดยบริษัทเชื้อเพลิงฟอสซิลบางแห่งได้จัดตั้ง 'พันธมิตรระดับโลก' ซึ่งให้คำมั่นว่าจะดำเนินการเกี่ยวกับสภาพอากาศ รวมทั้งเดินหน้าไปสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์
อย่างไรก็ตาม มีแนวโน้มที่จะอาศัยวิธีการลดการปล่อยมลพิษจากการผลิต เทคโนโลยีการดักจับ และกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture and Storage: CCS) เป็นกระบวนการดักจับคาร์บอนไดออกไซด์จากการทำงานของภาคอุตสาหกรรม หรือโรงไฟฟ้า ซึ่งกำลังจะถูกปล่อยเข้าสู่ชั้นบรรยากาศ แล้วนำคาร์บอนไดออกไซด์นั้นฉีดลึกลงไปใต้ดิน เพื่อกักเก็บไว้อย่างปลอดภัย
มหาสมุทรแหล่งดูดซับคาร์บอนที่ใหญ่ที่สุดในโลก
นอกจากเทคโนโลยี CCS แล้ว ขณะเดียวกันมีอีกเทคโนโลยีหนึ่งที่สำคัญในการช่วยบรรเทาปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศคือ 'การดักจับคาร์บอนไดออกไซด์จากทะเล'
ด้วยโลกของเรามีส่วนประกอบของทะเลอยู่ 3 ใน 4 ส่วน เป็นพื้นที่ส่วนใหญ่ที่มีผลต่อสิ่งแวดล้อมอย่างมาก ทั้งยังมีประโยชน์สำคัญคือทะเลสามารถดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้ หรือที่เรียกว่า บลู คาร์บอน (Blue Carbon) และเป็นแหล่งดูดซับคาร์บอนที่ใหญ่ที่สุดในโลก หรือเรียกว่า Oceanic Carbon Sink ที่ดูดคาร์บอนได้มากกว่า 1 ใน 4 ที่มนุษย์ปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศ
จากข้อมูลของ องค์การบริหารมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติสหรัฐฯ (NOAA) ระบุว่า ค่า pH เฉลี่ยของมหาสมุทรปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 8.1 หรือเป็นด่างเล็กน้อย แต่หากมหาสมุทรยังคงดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากขึ้น ค่า pH ก็ยิ่งจะลดลง และมหาสมุทรจะมีความเป็นกรดมากขึ้น ส่งผลต่อระบบนิเวศและสิ่งมีชีวิตในทะเล เช่น หอยนางรม หอยเม่น ปะการัง เพราะแคลเซียมคาร์บอเนตลดลง ซึ่งเป็นแร่ธาตุสำคัญต่อการสร้างเปลือกและโครงสร้าง ทำให้สิ่งมีชีวิตในทะเลอ่อนแอเสี่ยงสูญพันธุ์
การดักจับคาร์บอนในมหาสมุทรโดยตรง (DOC) เป็นรูปแบบหนึ่งของเทคโนโลยีที่มีข้อได้เปรียบกว่าเทคโนโลยีบนบก หรือคือการดักจับทางอากาศโดยตรง เนื่องจากจากดักจับทางอากาศไม่สามารถทำได้ทุกพื้นที่ แต่การดักจับคาร์บอนในมหาสมุทรสามารถทำงานได้อย่างสะดวก ควบคู่กับแหล่งพลังงานอย่าง ลมนอกชายฝั่งทะเล (offshore wind) และแหล่งกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์นอกชายฝั่ง (offshore carbon dioxide storage)
ผศ.แคทเธอรีน ฮอร์นบอสเทล (Katherine Hornbostel) ภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกลและวัสดุศาสตร์ แห่งมหาวิทยาลัยพิตต์สเบิร์กสาขาวิศวกรรม (University of Pittsburgh Swanson School of Engineering) มีความเชี่ยวชาญในด้านเทคโนโลยีการดักจับคาร์บอน ที่ร่วมงานกับ ผศ.ตักโบ เนียปา (Tagbo Niepa) จากภาควิชาวิศวกรรมเคมีและปิโตรเลียมของมหาวิทยาลัยพิตต์สเบิร์ก เพื่อพัฒนาการดักจับคาร์บอนในมหาสมุทรที่เป็นนวัตกรรมใหม่
โดยมีเผยแพร่เอกสาร 2 ฉบับ ในวารสารวิศวกรรมเคมี (Chemical Engineering Journal) คือ การสาธิตการดักจับคาร์บอนในมหาสมุทรโดยตรงโดยใช้ตัวทำละลายห่อหุ้ม (Demonstration of direct ocean carbon capture using encapsulated solvents) และ การสาธิตการจับคาร์บอนในมหาสมุทรโดยตรงโดยใช้คอนแทคเตอร์เยื่อใยกลวง (Demonstration of direct ocean carbon capture using hollow fiber membrane contactors)
ผศ.แคทเธอรีน กล่าวถึงหลักการทำงานว่า คอนแทคเตอร์เมมเบรน หรือกระบวนการแยกก๊าซ เป็นเหมือนสิ่งที่นำของเหลว 2 ชนิดมาสัมผัสกัน คือน้ำทะเล และตัวทำละลาย
"ทีมวิจัยได้ทดสอบเมมเบรนคอนแทคเตอร์ 2 ชนิด ได้แก่ เส้นใยกลวง และตัวทำละลายที่ห่อหุ้ม ความแตกต่างที่ชัดที่สุดระหว่าง 2 วิธีนี้คือ ?รูปร่าง? แม้ว่าคอนแทกเตอร์เยื่อใยกลวงจะดูเหมือนหลอดดูดน้ำ แต่ตัวทำละลายที่ห่อหุ้มจะดูเหมือนไข่ปลาคาเวียร์ แต่ทำงานเหมือนกันทุกประการ"
ผศ.แคทเธอรีน อธิบายต่อว่า แนวคิดของทั้ง 2 วิธีนี้คือ การมีพื้นที่ผิวสัมผัสระหว่างน้ำทะเลกับตัวทำละลาย ยิ่งมีพื้นที่ผิวมาก อัตราการกำจัดคาร์บอนไดออกไซด์ก็จะยิ่งดีขึ้นเท่านั้น เมื่อน้ำทะเลสัมผัสกับตัวทำละลายที่ทำจากโซเดียมคาร์บอเนต คาร์บอนไดออกไซด์จะทำปฏิกิริยา และแยกตัวออกจากน้ำทะเล ซึ่งวิธีนี้จะต้องหมุนเวียนซ้ำ เพื่อให้กระบวนการมีความคุ้มค่ามากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ปัญหาโลกเดือดในยุคนี้ อาจยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ที่สำคัญคือการลดใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลได้อย่างทันที แต่ยังคงมีวิธีการที่จะช่วยบรรเทาสถานการณ์ได้ อย่างเช่น การดักจับคาร์บอนบนบก และโดยเฉพาะในมหาสมุทรที่มีเทคโนโลยีใหม่เพื่อประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้น และลดค่าใช้จ่าย เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ทั่วโลกกำลังหาทางออกในการเพิ่มขีดจำกัดการดูดคาร์บอนไดออกไซด์ของมหาสมุทร เพื่อต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
อ้างอิง: theguardian.com (1,2) , datacenter.deqp.go.th , sciencedaily.com , energyfactor , sdgmove.com, Thai PBS
https://plus.thairath.co.th/topic/naturematter/103532
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
|