ขอบคุณข่าวจาก Nation TV
น้ำมันรั่วทำปะการังเป็นหมัน นักวิจัยแนะต้องติดตามผลกระทบน้ำมันรั่วระยะยาว

รายงานล่าสุด สถาบันวิจัยทรัพยากรทางน้ำเผย แม้ตอนนี้ยังไม่เห็นผลกระทบที่เห็นได้ชัดจากเหตุน้ำมันรั่วที่ชลบุรี แต่มีผลวิจัยชี้ชัดว่ามลพิษน้ำมันรั่วทำให้ปะการังเป็นหมัน จึงต้องติดตามผลกระทบน้ำมันรั่วไหลในระยะยาว
เหตุน้ำมันรั่วไหลที่ จ.ชลบุรี ถือเป็นวิกฤตด้านสิ่งแวดล้อมล่าสุด ที่ทะเลอ่าวไทยตอนในต้องประสบ หลังจากเมื่อวันที่ 4 กันยายน 2566 ที่ผ่านมา เกิดเหตุน้ำมันดิบกว่า 60 ตัน หรือ 60,000 ลิตร รั่วไหลลงทะเลบริเวณทางตอนใต้ของเกาะสีชัง จากอุบัติเหตุขณะขนถ่ายน้ำมันดิบจากทุ่นกลางทะเลของ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน)
ภายหลังเกิดเหตุน้ำมันรั่ว สถาบันวิจัยทรัพยากรทางน้ำ ร่วมกับ ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะวิทยาศาสตร์ และศูนย์บริการวิชาการ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ออกไปสำรวจเบื้องต้น พบว่ายังไม่พบผลกระทบที่เห็นชัดเกิดขึ้น เนื่องจากคราบน้ำมันได้ถูกกำจัดไปเกือบหมดแล้ว
อย่างไรก็ตาม จากประสบการณ์ของทีมวิจัยที่ทำงานศึกษาผลกระทบของน้ำมันรั่วที่มีต่อระบบนิเวศปะการังในอดีตที่ จ.ระยอง พบว่า
การรั่วไหลของน้ำมันดิบลงทะเลสามารถส่งผลต่อนิเวศแนวปะการังบริเวณข้างเคียง ทำให้ปะการังเป็นหมันได้
ศาสตราจารย์ ดร. สุชนา ชวนิชย์ รองผู้อำนวยการ สถาบันวิจัยทรัพยากรทางน้ำ และศูนย์บริการวิชาการ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ความเห็นว่า จากการศึกษาในอดีตและในห้องปฏิบัติการที่ผ่านมา พบว่าน้ำมัน หรือคราบน้ำมัน รวมทั้งสารขจัดคราบน้ำมันสามารถทำให้ปะการังเป็นหมัน โดยปะการังไม่สามารถปล่อยเซลล์สืบพันธุ์ไข่และสเปิร์มได้ หรือถึงแม้ปะการังจะสามารถปล่อยเซลล์สืบพันธุ์ไข่และสเปิร์มได้ แต่คราบน้ำมันและสารขจัดคราบน้ำมัน จะทำให้เซลล์สืบพันธุ์ที่ถูกปล่อยออกมามีรูปร่างที่ผิดปกติ ทำให้ไม่สามารถปฏิสนธิกันได้ จึงทำให้เกิดสถานการณ์ที่เรียกว่า ปะการังเป็นหมัน
"แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าสิ่งแวดล้อมกลับมาเหมือนเดิม ปะการังส่วนใหญ่ก็สามารถกลับมาเหมือนเดิมได้ แต่อาจจะไม่ 100% ดังนั้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องตรวจติดตามอย่างใกล้ชิดว่าจะมีผลกระทบในระยะกลางและระยะยาวอย่างไรต่อสัตว์ทะเล" ศาสตราจารย์ ดร. สุชนา กล่าว
น้ำมันรั่วทำปะการังเป็นหมัน นักวิจัยแนะต้องติดตามผลกระทบน้ำมันรั่วระยะยาว
ด้าน ศาสตราจารย์ ดร.วรณพ วิยกาญจน์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยทรัพยากรทางน้ำ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และอาจารย์ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ เผยว่า เนื่องจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีสถานีวิจัยสัตว์ทะเลตั้งอยู่บนเกาะสีชัง และมีงานวิจัยเกี่ยวกับการปลูกปะการังที่เกาะค้างคาว จึงต้องมีการตรวจติดตามอย่างใกล้ชิดว่าการรั่วไหลของน้ำมันในครั้งนี้จะมีผลกระทบต่อระบบนิเวศทางทะเลบริเวณนั้นอย่างไร เพราะทั้งเกาะค้างคาวและเกาะสีชังห่างจากบริเวณที่น้ำมันรั่วประมาณ 1-2 กิโลเมตรเท่านั้น
ทั้งนี้ ทางทีมนักวิจัยจากจุฬาฯ กำลังดำเนินการเก็บตัวอย่างและสำรวจอย่างละเอียดโดยจะใช้เรือจุฬาฯ วิจัย ออกไปเก็บตัวอย่างน้ำทะเลและดิน ที่อยู่บริเวณรอบ ๆ กลุ่มคราบน้ำมัน เพื่อดูผลกระทบของน้ำมันที่รั่วและสารเคมีขจัดคราบน้ำมัน (Oil Spil Dispersant) ต่อสิ่งมีชีวิตและสภาพแวดล้อมบริเวณนั้น และจะนำมาศึกษาวิจัยในเชิงลึกต่อไป
"สำหรับในครั้งนี้ ทางทีมวิจัยจะติดตามศึกษาผลกระทบต่อสัตว์ทะเลและสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำเสนอให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องได้เข้ามาร่วมมือกันป้องกันแก้ไขในระยะยาว เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมทางทะเลของเราให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้" ศ.ดร.วรณพ กล่าว
ด้าน ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นักวิชาการด้านทะเลและสิ่งแวดล้อม และอาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า มีพื้นที่แนวปะการังอยู่ประมาณ 250 ไร่ ในบริเวณที่ได้รับผลกระทบจากคราบน้ำมัน หลักๆ คือเกาะค้างคาว/ท้ายตาหมื่น เกาะร้านดอกไม้ และเกาะขามใหญ่
อ.ธรณ์ อธิบายว่า น้ำมันส่งผลกระทบต่อปะการัง 2 แบบ อย่างแรกคือเฉียบพลัน เกิดเมื่อน้ำมันเยอะๆ สะสมในอ่าว เมื่อน้ำลง คราบน้ำมันโดนปะการังโดยตรง ขาวทันทีตายทันที อีกแบบคือส่งผลระยะยาว ปะการังอาจไม่ตาย มองภายนอกก็ปรกติ แต่จะอ่อนแอและเริ่มเกิดโรคเพิ่มมากขึ้น
"ผลกระทบอย่างแรกประเมินไม่ยาก แต่อย่างที่สองยากครับ ต้องติดตามกันเป็นปีๆ ซึ่งก็คงต้องใช้งบประมาณ จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการตกลงกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ได้แก่ กรมทะเล และผู้ก่อเหตุ จะครอบคลุมถึงส่วนนี้ไว้ครบถ้วน ให้มากพอ ถี่พอ และรับผิดชอบต่อระบบนิเวศและท้องทะเลเพียงพอครับ" อ.ธรณ์ กล่าว
https://www.nationtv.tv/gogreen/378929360
******************************************************************************************************
น้ำเสียคือพลังงาน เปลี่ยนภัยสิ่งแวดล้อม เป็นพลังกู้โลกร้อน

รู้หรือไม่ น้ำเสียเป็นแหล่งปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกเกือบเทียบเท่ากับอุตสาหกรรมการบิน แต่ถ้าจัดการอย่างเหมาะสมก็สามารถแปลงเป็นแหล่งพลังงานสะอาดที่สามารถจ่ายไฟให้กว่า 50 ล้านคนใช้ได้พอทั้งปี เปลี่ยนวิกฤตภัยสิ่งแวดล้อม เป็นพลังกู้โลกร้อนกันเถอะชาวโลก
น้ำเสีย ถือเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมพื้นฐานที่แทบทุกประเทศทั่วโลกต้องประสบ เพราะน้ำเสียนอกจากจะทำให้ระบบนิเวศและธรรมชาติเสื่อมโทรมลงแล้ว ยังเป็นแหล่งก่อภัยสุขภาพให้กับมนุษย์ หากแต่ทุกวันนี้มีเพียง 11% ของน้ำเสียที่ถูกปล่อยออกมาทั่วโลกเท่านั้น ที่ได้รับการบำบัดอย่างถูกต้อง
อย่างไรก็ตาม โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) เผยรายงานเมื่อเร็วๆ นี้ ว่า น้ำเสียสามารถแปรเปลี่ยนให้เป็นทรัพยากรทรงคุณค่าที่สามารถนำมาช่วยแก้ปัญหาสภาวะโลกร้อน การขาดแคลนน้ำ อีกทั้งยังสามารถสกัดเอาสารต่างๆ ในน้ำเสีย ออกมาใช้เป็นปุ๋ย และวัตถุดิบสำหรับอุตสาหกรรมอื่นๆ ได้อีกด้วย
"จริงๆ แล้ว น้ำเสียเป็นทรัพยากรที่มีประโยชน์มาก แต่ว่าเรากลับปล่อยน้ำเสียเหล่านี้ทิ้งลงสู่สิ่งแวดล้อม จนทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ต่อโลกธรรมชาติที่เราพึ่งพา" Leticia Carvalho หัวหน้าผู้ประสานงานสาขาสิ่งแวดล้อมทะเลและน้ำจืดของ UNEP กล่าว
Carvalho กล่าวว่า
ในปัจจุบัน ปัญหาน้ำเสีย กำลังทำให้วิกฤตสิ่งแวดล้อมโลกหนักหนายิ่งขึ้น ดังจะเห็นได้จาก สารเคมีในน้ำเสียอุตสาหกรรมและบ้านเรือนทำให้เกิดการปนเปื้อนในระบบนิเวศ ส่งผลกระทบต่อทั้งธรรมชาติและสุขภาพมนุษย์ เช่นเดียวกับธาตุอาหารมหาศาลในน้ำเสียจากการเกษตร ที่เร่งให้เกิดปรากฎการณ์แพลงตอนบลูมจนทะเลเป็นพิษ
ไม่เพียงเท่านั้น น้ำเสีย ยังเป็นแหล่งปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกชนิดรุนแรงอย่าง ก๊าซมีเทน และไนตรัส ออกไซด์ จนเมื่อคำนวณรวมแล้ว ก๊าซเรือนกระจกจากน้ำเสียมีเป็นสัดส่วนถึง 1.57% ของการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด ซึ่งมีปริมาณเกือบเทียบเท่ากับการปลดปล่อยคาร์บอนของภาคอุตสาหกรรมการบินทั้งภาค
Carvalho ยังเผยอีกว่า
น้ำเสีย ก็สามารถเป็นทางออกในการแก้ปัญหาสภาวะโลกร้อนได้เช่นกัน โดยน้ำเสียสามารถนำมาใช้เป็นแหล่งพลังงานสะอาดจากไบโอแก๊ซ ซึ่งมีศักยภาพสามารถนำมาใช้ผลิตกระแสไฟฟ้าหล่อเลี้ยงประชากรกว่า 50 ล้านคน ให้มีไฟฟ้าใช้ได้ทั้งปี
นอกจากจะเป็นแหล่งพลังงานสะอาดที่ช่วยให้เราเปลี่ยนผ่านจากเชื้อเพลิงฟอสซิลได้ง่ายขึ้น น้ำเสียยังเป็นแหล่งทรัพยากรที่สามารถนำมาแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำและเป็นวัตถุดิบสำหรับอุตสาหกรรมอื่นๆ ได้เช่นกัน โดยสารธาตุอาหารในน้ำเสีย สามารถกรองนำกลับมาใช้เป็นปุ๋ยสำหรับการเกษตร ช่วยลดการพึ่งพาปุ๋ยเคมีในภาคเกษตรได้ถึง 13.4%
น้ำเสียคือพลังงาน เปลี่ยนภัยสิ่งแวดล้อม เป็นพลังกู้โลกร้อนน้ำเสีย ที่ได้รับการบำบัดแล้ว ยังสามารถนำกลับมาใช้อุปโภคบริโภคได้ใหม่ โดยจากรายงาน UNEP คาดการณ์ว่า หากเราสามารถบำบัดน้ำเสียทั้งหมดที่เราปลดปล่อยออกมา เราจะได้ทรัพยากรน้ำสะอาดที่สามารถใช้หล่อเลี้ยงพื้นที่เกษตรได้มากกว่า 40 ล้านเฮกตาร์ หรือกว่า 150 ล้านไร่
ยิ่งไปกว่านั้น เรายังสามารถสกัดเอาสารหรือทรัพยากรอื่นๆ ออกมาจากน้ำเสีย ซึ่งทรัพยากรจากน้ำเสียเหล่านี้สามารถนำมาเป็นวัตถุดิบในหลากหลายอุตสาหกรรม นับตั้งแต่ การทำกระดาษ โพลิเมอร์ ยาฆ่าแมลง น้ำมันไบโอดีเซล ไปจนถึงสารกันเสียหรือแต่งกลิ่นในอาหาร
"ดังนั้น เราจึงไม่ควรปล่อยทรัพยากรทรงคุณค่าเช่นนี้ทิ้งไปโดยเปล่าประโยชน์ ถึงเวลาแล้วที่เราควรจะหันกลับมามองถึงศักยภาพของน้ำเสียในการนำมาเป็นแหล่งพลังงานสะอาดในการแก้ไขปัญหาสภาวะโลกร้อน" Carvalho กล่าวทิ้งท้าย
https://www.nationtv.tv/gogreen/378929368
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
|