ขอบคุณข่าวจาก เดลินิวส์
สถาบันป๋วยฯ เปิดบทวิจัย 'Climate Change' ไทยเสี่ยงนํ้าท่วมฉับพลันสลับแล้งหนัก กระทบเศรษฐกิจเร่งปรับตัวทุกมิติ
.......... โดย พงษ์พรรณ บุญเลิศ
สภาพภูมิอากาศของไทยในอดีตถึงปัจจุบัน พบว่ามีสภาพอากาศที่ร้อนขึ้นและร้อนยาวนาน คาดการณ์ไทยจะเผชิญกับปัญหาภัยแล้ง นํ้าท่วมฉับพลันจากเหตุการณ์ฝนตกหนักยิ่งขึ้น ชี้การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลกระทบ กับเศรษฐกิจ
31 พฤษภาคม 2567

สืบเนื่องจากPIER Research Briefเรื่อง "การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกับเศรษฐกิจ (Climate Change and the Economy)" Climate Change กับเศรษฐกิจเกี่ยวข้องกันอย่างไร?" โดยสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ เผยแพร่บทความ PIERspectivesชี้การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจ โดยการรวบรวมและสังเคราะห์งานวิจัย ทั้งในและต่างประเทศผ่านบทความ PIERspectives นำเสนอแนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ของโลกและของไทย ภาพจำลองการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในอนาคตและแบบจำลองภูมิอากาศต่าง ๆ ตลอดจนผลกระทบของ Climate Change ต่อเศรษฐกิจในภาพรวมและภาคเศรษฐกิจต่าง ๆ โดย ดร.กรรณิการ์ ธรรมพานิชวงศ์ สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ ศ.ดร.กฤษฎ์เลิศ สัมพันธารักษ์ University of California San Diego และ คุณสวิสา พงษ์เพ็ชร University of Oxford
ดร.กรรณิการ์ ธรรมพานิชวงศ์ หัวหน้ากลุ่มงานวิจัยให้ข้อมูลงานวิจัย ได้สรุปการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกับเศรษฐกิจว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ คีย์เวิร์ดสำคัญคือการติดตามสภาพอากาศที่มีการเปลี่ยนแปลงระยะยาว ส่วนใหญ่จะมองต่อเนื่องนับแต่หนึ่งทศวรรษขึ้นไป
"อุณหภูมิโลกมีการเปลี่ยนแปลงอยู่แล้ว แต่แกว่งตัวในกรอบแคบ ๆ กิจกรรมของมนุษย์เป็นส่วนที่เร่งให้อุณหภูมิเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว อุณหภูมิเฉลี่ยของไทยเพิ่มขึ้น 1 องศาเซลเซียส ซึ่งแต่ละพื้นที่อุณหภูมิเพิ่มขึ้นไม่เท่ากัน ทุกภาคร้อนขึ้นโดยเฉพาะภาคกลางและภาคตะวันออก ที่น่าสนใจอุณหภูมิทั้งกลางวันและกลางคืนเพิ่มขึ้น ดังนั้นในช่วงกลางวันจะร้อนขึ้น ช่วงกลางคืนก็อุ่นขึ้น
ถ้าย้อนดูข้อมูลที่ผ่านมา ไม่ใช่ฝนตกมากขึ้น แต่จำนวนวันที่ฝนตกในแต่ละปีมีแนวโน้มลดลง และระยะเวลาฝนตกต่อเนื่องลดลง สิ่งนี้เป็นสัญญาณของภัยแล้ง และนั่นหมายความว่า จากที่จะเห็นฝนตกติดต่อกันหลายวัน จะน้อยลง ฤดูฝนจะสั้นลง และฝนตกแต่ละครั้งจะมีความรุนแรงเพิ่มขึ้น มีความเสี่ยงต่อนํ้าท่วมฉับพลันสลับกับภัยแล้ง คาดว่า ประเทศไทยในอนาคตมีความเสี่ยงต่อการเกิดอุณหภูมิสูงขึ้นและหน้าร้อนยาวนานขึ้น สลับกับปัญหาเรื่องของนํ้าท่วมฉับพลันและภัยแล้ง" โดยเหล่านี้เป็นความท้าทายในการบริหารจัดการนํ้า
หัวหน้ากลุ่มงานวิจัยสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ ดร.กรรณิการ์ให้ข้อมูลอีกว่า จากอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นหากไม่เร่งร่วมมือแก้ไข ไม่ลดก๊าซเรือนกระจกอย่างเข้มข้น ฯลฯ คาดว่า มีโอกาสที่อุณหภูมิประเทศไทยจะเพิ่มสูงขึ้นและถ้ามองไปในอนาคต ความสุดขั้วของอุณหภูมิมีแนวโน้มแผ่กระจายไปในหลายภูมิภาคของประเทศไทย ร้อนเข้มข้นมากขึ้น ร้อนนานขึ้น ช่วงฤดูร้อนมีแนวโน้มจะขยายยาวออกไป โดยสรุปประเทศไทยในอนาคตมีความเสี่ยงต่อปัญหานํ้าท่วมฉับพลัน สลับกับปัญหาภัยแล้ง
ในแง่ผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ Climate Change ส่งผลกระทบต่อสินทรัพย์และรายได้ ตลอดจนการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของทั้งธุรกิจครัวเรือน สถาบันการเงิน และภาครัฐ ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานที่ทำให้ระบบเศรษฐกิจมหภาคเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย ทั้งผลผลิตมวลรวมในประเทศ (GDP) เงินเฟ้อและความเหลื่อมลํ้าในระบบเศรษฐกิจ
จากบทความตอนแรกสถานการณ์และผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเราร้อยเรียงให้เห็นภาพเห็นถึงปัญหาโดยสามารถอ่านฉบับเต็มได้จากเว็บไซต์สถาบันฯอย่างที่ใกล้ตัวภาคเกษตรกรรมจะได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก โดยภาคการเกษตรต้องพึ่งพาสภาพอากาศที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นการปลูกข้าว อุณหภูมิที่พอเหมาะที่ทำให้ข้าวออกรวงเติบโตโดยต้องไม่สูงจนเกินไป ดังนั้นเมื่ออุณหภูมิเปลี่ยนจะส่งผลกระทบกับผลิตผลของข้าว
ขณะที่ปศุสัตว์ก็เช่นกัน ผลผลิตจากสัตว์ลดลง หรือขณะที่นํ้าท่วม พืชผลเสียหายก่อนเก็บเกี่ยว หรือความเป็นกรดด่างในนํ้าทะเล มีผลต่อเนื่องไปยังเรื่องปะการังฟอกขาว อุณหภูมิสูงยังส่งผลกระทบต่อผลิตภาพแรงงานไทย ขณะที่ภาคท่องเที่ยวซึ่งเป็นหนึ่งตัวอย่างในภาคบริการก็ได้รับผลกระทบ นอกจากนี้ Climate Change ยังส่งผลกระทบต่อสุขภาพกาย และจิตใจ
"ผลกระทบของ Climate Change ต่อภาคการผลิตสินค้าและบริการ ทั้งภาคเกษตรกรรม ภาคอุตสาหกรรมการผลิตและภาคบริการ โดยเฉพาะภาคท่องเที่ยว พบว่า แต่ละภาคได้รับผลกระทบที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับการเปิดรับภัยคุกคามและความอ่อนไหวต่อสภาพภูมิอากาศ
ขณะที่ครัวเรือนได้รับผลกระทบจาก Climate Change เช่นกัน ทั้งการเจ็บป่วยหรือเสียชีวิตจากเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้ว การกระจายตัวของโรคติดต่อ ความเสียหายของโครงสร้างพื้นฐานทางด้านสาธารณสุข การย้ายถิ่นที่อยู่ ตลอดจนผลกระทบต่อรายได้ รายจ่าย สินทรัพย์ และหนี้สินของครัวเรือน"
นอกจากนี้ความเสี่ยงทางกายภาพจาก Climate Change และความเสี่ยงจากการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบเศรษฐกิจคาร์บอนตํ่า ทำให้ความเสี่ยงทางการเงินของภาคการเงินสูงขึ้น ทั้งความเสี่ยงด้านเครดิต ความเสี่ยงด้านภาวะตลาด ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง ตลอดจนความเสี่ยงด้านการปฏิบัติการ ส่วนผลกระทบต่อการคลังภาครัฐ Climate Change ส่งผลกระทบต่อสินทรัพย์ รายได้และรายจ่ายของภาครัฐ ซึ่งในที่สุดแล้วมีผลต่อหนี้สินและความยั่งยืนทางการคลัง
"Climate Change" ส่งผลกระทบต่อ GDP ทั้งฝั่งอุปสงค์รวม และฝั่งอุปทานรวม กระทบต่อระดับราคา ภาวะเงินเฟ้อ และมีแนวโน้มที่จะทำให้ความเหลื่อมลํ้าทางเศรษฐกิจรุนแรงขึ้น เนื่องจากธุรกิจและครัวเรือนต่าง ๆ มีความเปราะบาง และมีความสามารถในการรับมือต่อ Climate Change ที่ต่างกัน
แต่อย่างไรก็ตามทุกภาคส่วนจำเป็นต้องมีส่วนร่วมในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การปรับและขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจสู่เศรษฐกิจคาร์บอนตํ่า และการปรับตัวต่อ Climate Change ตลอดจนจัดการกับความท้าทายและอุปสรรคในการดำเนินงาน ไม่ว่าจะเป็นองค์ความรู้ การเข้าถึงเทคโนโลยี หรือการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ซึ่งนำไปสู่บทบาทของภาครัฐและภาคส่วนอื่น ๆ ในการสนับสนุนการดำเนินงานด้าน Climate Change
https://www.dailynews.co.th/news/3484139/
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
|