ดูแบบคำตอบเดียว
  #5  
เก่า 15-07-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default

ขอบคุณข่าวจาก BBCThai


เอไอพบ "เสียงพยัญชนะ" ในภาษาของวาฬสเปิร์ม
............ โดย แคเธอรีน ลาแธม และ แอนนา เบรสซานิน


คำบรรยายภาพ,การสื่อสารของวาฬสเปิร์มมีความคล้ายคลึงกับภาษาของมนุษย์
ภาพ,AMANDA COTTON/PROJECT CETI


ทีมนักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาวาฬหัวทุยหรือวาฬสเปิร์ม (sperm whale) ค้นพบว่าพวกมันสามารถจะพูดคุยกันเองได้รู้เรื่อง โดยใช้โครงสร้างทางภาษาที่ละเอียดซับซ้อน ไม่ต่างไปจากการสื่อสารด้วยภาษาของมนุษย์

ใต้ผืนน้ำดำมืดของทะเลลึกที่ไม่มีแสงอาทิตย์ส่องลงไปถึง หรือที่เรียกกันว่า "เขตเที่ยงคืน" (midnight zone) ยักษ์ใหญ่แห่งท้องทะเลซึ่งเป็นวาฬสเปิร์มตัวเมียตัวหนึ่ง กำลังออกล่าเหยื่อท่ามกลางความมืดมิด โดยมุ่งค้นหาหมึกยักษ์ในตำนานที่เคยฝากรอยแผลเป็นไว้บนตัวของมันหลายแห่ง จากวิธีระบุตำแหน่งด้วยเสียงสะท้อน (echolocation) เมื่อพบเป้าหมายแล้วมันส่งเสียงดัง "คลิก" อย่างกระชั้นถี่รัว ก่อนจะพุ่งเข้าโจมตีสังหารเหยื่อในทันที

อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีใครรู้แน่ว่าวาฬสเปิร์มจับเหยื่อที่ดุร้ายและมีขนาดมหึมาอย่างหมึกยักษ์ได้อย่างไร ปริศนานี้เป็นหนึ่งในเรื่องราวความลี้ลับของชีวิตวาฬเสปิร์ม ซึ่งยังมีคำถามที่นักวิทยาศาสตร์ยังไม่ทราบคำตอบอีกมาก

"พวกมันเป็นนักว่ายน้ำที่ช้ามาก" คริสเทน ยัง นักวิทยาศาสตร์ทางทะเลจากมหาวิทยาลัยเอ็กซีเตอร์ของสหราชอาณาจักรกล่าวด้วยความสงสัย เพราะหมึกยักษ์ที่เป็นเหยื่อนั้นว่ายน้ำได้เร็วอย่างเหลือเชื่อ ?พวกมันจับหมึกยักษ์เป็นอาหารได้อย่างไร ถ้าสามารถแหวกว่ายได้เร็วที่สุดเพียง 3 น็อต หรือราว 5.5 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเท่านั้น คำตอบของเรื่องนี้อาจเป็นได้ว่า หมึกยักษ์ไม่ได้เคลื่อนตัวเร็วอย่างที่คิดกัน หรือวาฬสเปิร์มอาจใช้คลื่นเสียงเข้ากระแทกโจมตีก่อน จนทำให้เหยื่อแน่นิ่งไปและสังหารได้ง่าย แต่อันที่จริงแล้ว เกิดอะไรขึ้นใต้ทะเลลึกนั้นไม่มีใครรู้?

วาฬสเปิร์มไม่ใช่สัตว์ที่นักวิทยาศาสตร์จะทำการศึกษาได้ง่าย ๆ เพราะพวกมันใช้ชีวิตส่วนใหญ่ออกหาอาหารและล่าเหยื่อใต้ทะเลลึก ในส่วนที่มืดมิดปราศจากแสงสว่างเหมือนเวลากลางคืน โดยวาฬสเปิร์มสามารถดำน้ำได้ลึกถึง 3 กิโลเมตร ทั้งยังกลั้นลมหายใจได้นานถึง 2 ชั่วโมงติดต่อกัน

"ที่ระดับความลึก 1,000 เมตร วาฬสเปิร์มส่วนใหญ่ในฝูงจะหันหน้าไปในทิศทางเดียวกัน และเคลื่อนที่เป็นแนวขนาบข้างกันเสมอ แต่พวกมันจะไม่อยู่ชิดติดกัน และกระจายตัวอยู่ห่างกันออกไปทั่วพื้นที่หลายตารางกิโลเมตร ในระหว่างนั้นพวกมันจะพูดคุยสื่อสารกัน ด้วยการส่งเสียงดังคลิกอยู่ตลอดเวลา" คริสเทนอธิบาย
"เมื่อผ่านไปราวหนึ่งชั่วโมง ทั้งฝูงจะขึ้นสู่ผิวน้ำพร้อมกันและเข้าสู่ช่วงเวลาพักผ่อน พวกมันจะอยู่ที่ผิวน้ำราว 15-20 นาที ก่อนจะเริ่มดำลงไปใหม่"

เมื่อสิ้นสุดการออกล่าหาอาหารในแต่ละวัน วาฬสเปิร์มทั้งฝูงจะมารวมกันที่ผิวน้ำและถูไถลำตัวเบียดเสียดกัน พลางส่งเสียงพูดคุยสื่อสารคล้ายมนุษย์ขณะกำลังเข้าสังคม คริสเทนกล่าวถึงพฤติกรรมนี้ว่า "แม้เราจะเป็นนักวิจัย แต่ก็ไม่ได้เห็นพฤติกรรมในการดำรงชีวิตของพวกมันมากนัก เพราะวาฬสเปิร์มไม่ค่อยจะขึ้นมาอยู่ที่ผิวน้ำ ทำให้สิ่งที่เราไม่รู้เกี่ยวกับมันมีมากมายมหาศาล เนื่องจากเราสังเกตการณ์ได้แค่ในช่วงเวลาสั้น ๆ ราว 15 นาที ที่มันขึ้นสู่ผิวน้ำเท่านั้น"

เมื่อ 47 ล้านปีก่อน ต้นตระกูลของสัตว์จำพวกวาฬและโลมา (cetaceans) ที่เคยอยู่บนบก เริ่มหวนกลับลงไปใช้ชีวิตในมหาสมุทรอีกครั้ง ทำให้เกิดเส้นทางวิวัฒนาการที่ยาวนาน สำหรับการปรับตัวใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างจากมนุษย์ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องง่ายในการทำความเข้าใจสัตว์โลกอีกกลุ่มหนึ่ง ในขณะที่พวกมันดำรงชีวิตและสื่อสารภายใต้แรงกดดันทางวิวัฒนาการที่ไม่เหมือนกับคนเราอย่างสิ้นเชิง

"แต่มันง่ายที่จะทำความเข้าใจ ผ่านการแปลความหมายจากส่วนที่ทับซ้อนกันระหว่างโลกของเราและโลกของสัตว์ เช่นพฤติกรรมการกิน การนอน หรือการเลี้ยงดูลูกหลาน" เดวิด กรูเบอร์ หัวหน้าและผู้ก่อตั้งโครงการ "ซีติ" (Cetacean Translation Initiative - CETI) หรือความริเริ่มเพื่อการแปลภาษาของสัตว์จำพวกวาฬและโลมา กล่าวอธิบาย

กรูเบอร์ซึ่งเป็นศาสตราจารย์ในสาขาวิชาชีววิทยา ประจำมหาวิทยาลัย City University of New York บอกว่า "คนเราและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดอื่น ๆ มีพฤติกรรมพื้นฐานบางอย่างร่วมกัน แต่ผมว่ามันจะน่าสนใจมากขึ้น หากเราพยายามทำความเข้าใจสัตว์โลกบางจำพวกที่แทบจะไม่มีอะไรคล้ายกับเราเลย"

ปัจจุบันเทคโนโลยีล้ำสมัยช่วยให้นักวิทยาศาสตร์เข้าใจความหมายในภาษาของสัตว์ ตั้งแต่ช้างไปจนถึงสุนัขได้กระจ่างชัดเจนมากขึ้น โดยปัญญาประดิษฐ์หรือเอไอ (AI) สามารถวิเคราะห์ชุดข้อมูลขนาดใหญ่ จนค้นพบความหลากหลายและซับซ้อนในรูปแบบการสื่อสารของสัตว์ที่มนุษย์ไม่เคยทราบมาก่อน ซึ่งล่าสุดนักวิจัยในโครงการซีติแถลงว่า พวกเขาได้ใช้เอไอทำการศึกษากับวาฬและโลมาด้วยเช่นกัน จนสามารถถอดรหัสและค้นพบ "สัทอักษร" (phonetic alphabet) หรือเสียงพยัญชนะในภาษาของวาฬสเปิร์มได้

เมื่อปี 2005 เชน เกโร หัวหน้านักชีววิทยาของโครงการซีติ ได้ก่อตั้งโครงการ Dominica Sperm Whale เพื่อศึกษาพฤติกรรมทางสังคมและการใช้เสียงของวาฬสเปิร์มราว 400 ตัว ที่อาศัยอยู่ในทะเลแคริบเบียนตะวันออก โดยใช้เวลาเกือบ 20 ปี เฝ้าสังเกตการณ์ฝูงวาฬสเปิร์มนานหลายพันชั่วโมง จนค้นพบความละเอียดซับซ้อนในการเปล่งเสียงของพวกมันที่ไม่มีใครเคยทราบมาก่อน ซึ่งการค้นพบนี้เผยถึงโครงสร้างในการสื่อสารของวาฬสเปิร์ม ที่ดูไปแล้วละม้ายคล้ายคลึงกับภาษาของมนุษย์อย่างยิ่ง

สังคมของวาฬสเปิร์มแบ่งเป็นหลายระดับ โดยมีการสืบตระกูลผ่านทางสายของมารดาเป็นหลัก ประกอบไปด้วยกลุ่มของลูกสาว, แม่, และยายซึ่งเป็นผู้นำฝูง ในขณะที่วาฬตัวผู้จะออกพเนจรอย่างโดดเดี่ยวไปในท้องทะเลกว้าง และกลับมารวมฝูงเพื่อผสมพันธุ์เป็นครั้งคราวเท่านั้น

พวกมันเป็นสัตว์ที่รู้จักกันดีว่า มีพฤติกรรมทางสังคมซับซ้อนและตัดสินใจร่วมกันเป็นหมู่คณะได้ ซึ่งพฤติกรรมเช่นนี้จะต้องอาศัยการสื่อสารระดับสูงเท่านั้น ตัวอย่างเช่นความสามารถของวาฬสเปิร์มในการปรับตัวให้เกิดพฤติกรรมใหม่ที่สอดคล้องกันทั้งฝูง เพื่อปกป้องตนเองและเครือญาติ เมื่อเผชิญภัยจากผู้ล่าอย่างวาฬเพชฌฆาตหรือมนุษย์

ก่อนหน้านี้นักวิทยาศาสตร์พบว่า วาฬสเปิร์มสื่อสารกันด้วยเสียงคลิกถี่ ๆ เป็นจังหวะในหลากหลายรูปแบบ ซึ่งสัญญาณเหล่านี้เรียกว่า "โคดา" (Coda) ในอดีตนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าโคดาของวาฬสเปิร์มมีอยู่เพียง 21 แบบ แต่หลังจากโครงการซีติได้ศึกษาข้อมูลเสียงที่บันทึกไว้ได้เกือบ 9,000 ครั้ง กลับพบว่ามีโคดาที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงอยู่ถึง 156 แบบ รวมทั้งค้นพบองค์ประกอบพื้นฐานที่ใช้สร้างโคดาเหล่านี้ขึ้นมาด้วย ซึ่งก็คือ "สัทอักษร" ของภาษาวาฬสเปิร์มนั่นเอง โดยหน่วยของเสียง (phonemes) เหล่านี้ เหมือนกับเสียงพยัญชนะในภาษามนุษย์ที่ประกอบกันขึ้นเป็นคำศัพท์ต่าง ๆ

ปรัตยุชา ชาร์มา นักศึกษาวิจัยระดับปริญญาเอก จากสถาบันเทคโนโลยีแห่งแมสซาชูเซตส์หรือเอ็มไอที (MIT) ซึ่งเป็นผู้นำการวิจัยข้างต้นอธิบายว่า ได้ใช้เอไอวิเคราะห์เสียงวาฬสเปิร์ม จนพบ ?ความเปลี่ยนแปลงในระดับย่อยที่เล็กละเอียดอย่างยิ่ง? ในการเปล่งเสียงของพวกมัน โดยโคดาแต่ละแบบประกอบไปด้วยเสียงคลิกถี่ที่ดังขึ้นอย่างรวดเร็ว 3-40 ครั้ง ซึ่งความเร็วในการเปล่งเสียงโคดาหรือ tempo จะแตกต่างกันไปในแต่ละคราวได้ วาฬสเปิร์มยังเปล่งเสียงโคดาโดยเร่งให้เร็วขึ้นหรือลากช้าลงกว่าปกติ จนกลายเป็นเสียงแปลงที่เรียกว่า rubato ได้อีกด้วย

ลักษณะการเปล่งเสียงทั้งหมดที่กล่าวมา เหมือนกับการบรรเลงดนตรีที่ใช้ความแตกต่างของเสียงสื่อความหมายได้อย่างรุ่มรวยและหลากหลาย นอกจากนี้ วาฬสเปิร์มยังชอบเติมหางเสียงหรือเพิ่มเสียงคลิกพิเศษลงที่ส่วนท้ายของโคดาในบางครั้ง ซึ่งคล้ายกับการประดับตกแต่ง (ornamentation) ทางดนตรี ซึ่งจะเพิ่มโน้ตเข้าไปในทำนองเพลงเพื่อให้เกิดอารมณ์ความรู้สึกมากขึ้น ชาร์มากล่าวสรุปว่าความหลากหลายในการเปล่งเสียงของวาฬสเปิร์มเหล่านี้ บ่งชี้ว่าการสื่อสารของพวกมันอาจมีการรับส่งข้อมูลข่าวสารปริมาณมากกันอย่างซับซ้อน ในระดับสูงกว่าที่นักวิทยาศาสตร์เคยคาดการณ์เอาไว้มาก

"ความแตกต่างของเสียงเหล่านี้สื่อความหมายที่ขึ้นอยู่กับบริบท" ชาร์มากล่าวเสริม "ในภาษาของมนุษย์ เวลาที่ฉันพูดว่า 'อะไรนะ' กับ 'อารายน้า' ทั้งสองประโยคมาจากคำเดียวกันทั้งหมด แต่ให้ความหมายที่สื่อถึงอารมณ์ความรู้สึกต่างกัน ซึ่งคุณต้องฟังเสียงทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบถึงจะเข้าใจ"

ทีมผู้วิจัยยังพบว่าวาฬสเปิร์มสามารถใช้หน่วยเสียงมาจัดหมู่ผสมผสานกัน แล้วสร้างรูปแบบการเปล่งเสียงใหม่ ๆ ออกมาได้อีกอย่างกว้างขวาง ทำให้การสื่อสารของพวกมันมีระบบการเข้ารหัสแบบจัดผสม ซึ่งจำเป็นต่อการเกิดปรากฏการณ์ทางภาษาศาสตร์ที่เรียกว่า duality of patterning หรือการที่องค์ประกอบย่อยของภาษาที่ไร้ความหมาย มารวมกันแล้วเกิดเป็นคำที่มีความหมายได้ ซึ่งสิ่งนี้เป็นปรากฏการณ์ที่เคยคิดกันว่ามีอยู่แต่ในภาษาของมนุษย์เท่านั้น

อย่างไรก็ตามชาร์มาเน้นย้ำว่า การค้นพบของเอไอดังกล่าวยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มารองรับหรือยืนยันได้ว่าเป็นภาษาระดับสูงของวาฬสเปิร์มจริงหรือไม่ "เราเพียงพบว่าโคดาในการสื่อสารของวาฬสเปิร์ม ก่อตัวขึ้นจากการรวมหน่วยเสียงและรูปแบบการเปล่งเสียงพื้นฐานเหล่านี้ จากนั้นโคดาจะถูกจัดเรียงลำดับเข้าด้วยกัน ทำให้เกิดเป็นชุดของลำดับโคดา ซึ่งก็เหมือนกับที่มนุษย์รวบรวมหน่วยเสียงเพื่อสร้างคำ แล้วจัดเรียงคำเพื่อสร้างประโยค"


(มีต่อ)
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม