ดูแบบคำตอบเดียว
  #2  
เก่า 31-08-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default

ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ


เมื่อผลกระทบจากโลกร้อน ที่มาพร้อมกับลานีญา กำลังทำให้น้ำท่วมทั่วโลกมากผิดปกติ
........ Nature Matter, creator ณัฏฐ์นรี เฮงสาโรชัย


Summary

- สถานการณ์น้ำท่วมในไทยยังคงน่าเป็นห่วงในหลายพื้นที่ และอีกไม่นานน้ำจะไหลจากทางภาคเหนือมายังภาคกลาง ซึ่งจะมาถึงกรุงเทพฯ ประมาณวันที่ 2 กันยายนนี้

- แน่นอนว่าน้ำท่วมเป็นภัยธรรมชาติที่ประเทศไทยมักเจออยู่เป็นประจำทุกปี แต่สาเหตุหลักที่ทำให้น้ำท่วมมากในปีนี้เป็นเพราะ 'โลกร้อน'

- เดิมทีปีนี้เป็นปีของ 'เอลนีโญ' (El Ni?o) ส่งผลให้ไทยและภูมิภาคใกล้เคียงเกิดภัยแล้งและฝนตกน้อย เนื่องจากทิศทางกระแสลมทำให้กระแสน้ำอุ่นไปทางฝั่งตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟิกทำให้ฝั่งอเมริกาใต้ฝนตกมากขึ้น

- กรมอุตุนิยมวิทยาคาดว่า ปรากฏการณ์เอนโซที่อยู่ในภาวะปกติจะต่อเนื่องไป 1-2 เดือน โดยมีแนวโน้มจะเปลี่ยนเข้าสู่สภาวะลานีญาในช่วงเดือนกันยายน-พฤศจิกายน 2024 และจะต่อเนื่องไปจนถึงช่วงพฤศจิกายน 2024-มกราคม 2025




สถานการณ์น้ำท่วมในไทยยังคงน่าเป็นห่วงในหลายพื้นที่ และอีกไม่นานน้ำจะไหลจากทางภาคเหนือมายังภาคกลาง ซึ่งจะมาถึงกรุงเทพฯ ประมาณวันที่ 2 กันยายนนี้ แน่นอนว่าน้ำท่วมเป็นภัยธรรมชาติที่ประเทศไทยมักเจออยู่เป็นประจำทุกปี แต่สาเหตุหลักที่ทำให้น้ำท่วมมากในปีนี้เป็นเพราะ ?โลกร้อน?

เดิมทีปีนี้เป็นปีของ 'เอลนีโญ' (El Ni?o) ส่งผลให้ไทยและภูมิภาคใกล้เคียงเกิดภัยแล้งและฝนตกน้อย เนื่องจากทิศทางกระแสลมทำให้กระแสน้ำอุ่นไปทางฝั่งตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟิกทำให้ฝั่งอเมริกาใต้ฝนตกมากขึ้น

ส่วนกรณีน้ำท่วมหนักปี 2011 ช่วงรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ถือเป็นปีลานีญา เนื่องจากมีฝนตกก่อนฤดูและฝนหยุดตกช้า โดยปรากฏการณ์ลานีญาจะส่งผลให้ไทยฝนตกหนักและมีระดับน้ำทะเลขึ้นสูง ความรุนแรงของเอลนีโญและลานีญาจะแตกต่างออกไปในแต่ละปี เช่น เมื่อปี 2020 ก็เกิดปรากฏการณ์ลานีญา แต่มีกำลังอ่อนทำให้ฝนตกหนักกว่าปี 2019 เท่านั้น


จากรายงานเดือนสิงหาคม 2024 ของ กรมอุตุนิยมวิทยา ระบุว่า ปรากฏการณ์เอนโซ (ENSO : El Ni?o-Southern Oscillation) หรือสภาวะที่เป็นกลาง (ช่วงที่ทั้งเอลนีโญและลานีญาไม่ได้มีพลังอยู่) อยู่ในสภาวะปกติ โดยอุณหภูมิผิวน้ำทะเลบริเวณตอนกลาง และด้านตะวันออกของมหาสมุทรแปซิฟิกบริเวณเขตศูนย์สูตรในเดือนที่ผ่านมาเย็นลงเล็กน้อย ส่วนบริเวณด้านตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟิกสูงกว่าค่าปกติ

กรมอุตุนิยมวิทยาคาดว่า ปรากฏการณ์เอนโซที่อยู่ในภาวะปกติจะต่อเนื่องไป 1-2 เดือน โดยมีแนวโน้มจะเปลี่ยนเข้าสู่สภาวะลานีญาในช่วงเดือนกันยายน-พฤศจิกายน 2024 และจะต่อเนื่องไปจนถึงช่วงพฤศจิกายน 2024-มกราคม 2025

ส่วนผลกระทบที่จะเกิดขึ้นประเทศไทยคาดว่าช่วงเดือนสิงหาคม-ตุลาคม 2024 ปริมาณฝนบริเวณประเทศไทยมีค่าใกล้เคียงค่าปกติ ส่วนอุณหภูมิจะสูงกว่าค่าปกติเล็กน้อย

ข้อมูลเดือนสิงหาคมขององค์การบริหารมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (NOAA) ระบุว่า การเปลี่ยนแปลงจากปรากฏการณ์เอนโซไปสู่ปรากฏการณ์ลานีญายังคงดำเนินไปอย่างช้าๆ โดยมีแนวโน้มว่าจะมีโอกาส 66 เปอร์เซ็นต์ที่ลานีญาจะเกิดขึ้นในช่วงกันยายน-ธันวาคม 2024 และจะคงอยู่ต่อไปในช่วงฤดูหนาวของซีกโลกเหนือ (มีโอกาส 74 เปอร์เซ็นต์ ในช่วงเดือนพฤศจิกายน-มกราคม)

จากผลคาดการณ์ของหลายสำนักยืนยันได้ว่าในช่วงปลายปีนี้มีโอกาสสูงที่จะเปลี่ยนไปเป็นลานีญา อย่างไรก็ตาม ความรุนแรงของเอลนีโญและลานีญานั้น ไม่ใช่สิ่งที่สามารถทำนายความรุนแรงแรงผลกระทบของอุณหภูมิหรือปริมาณน้ำฝนในพื้นที่นั้นๆ ได้ดีนัก หรืออธิบายง่ายๆ ว่า แม้จะเป็นปรากฏการณ์ลานีญาระดับปานกลางหรือระดับอ่อนก็อาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งได้


ทั่วโลกกำลังวิกฤตจากภัยธรรมชาติ

ไม่ใช่แค่ไทยเท่านั้นที่เจอกับน้ำท่วมหนักในปีนี้ แต่ผลกระทบจากโลกร้อน และการคืบคลานเข้ามาของลานีญาในช่วงระหว่างปรากฏการณ์เอนโซนี้ กำลังส่งผลกระทบไปทั่วบริเวณประเทศในภูมิภาคฝั่งตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟิก โดยเฉพาะบริเวณประเทศโซนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และตอนเหนือของทวีปออสเตรเลีย ซึ่งไทยก็รวมอยู่ในนั้นด้วย

เช่น บนเกาะเตอร์นาเต (Ternate Island) ทางตะวันออกของประเทศอินโดนีเซีย มีรายงานเมื่อวันที่ 25 สิงหาคมว่าเกิดฝนตกหนัก ทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันพัดถล่มพื้นที่อยู่อาศัยของชาวบ้านและมียอดผู้เสียชีวิตจำนวน 13 ราย

นอกจากนี้ยังมีคำเตือนสำนักงานอุตุนิยมวิทยาของประเทศอินโดนีเซีย (BMKG) ว่าจะยังคงมีฝนตกหนักในพื้นที่เมืองเตอร์นาเตและบริเวณโดยรอบ จึงยังให้ประชาชนคอยเฝ้าระวังน้ำท่วมต่อไป เนื่องจากฝนตกหนักจะทำให้เกิดดินถล่มและน้ำท่วมฉับพลันบ่อยครั้ง ซึ่งในอินโดนีเซียมีผู้คนนับล้านอาศัยอยู่ในพื้นที่ภูเขาและใกล้ที่ราบลุ่มที่น้ำท่วมถึง

ในขณะที่ประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็กำลังเผชิญกับน้ำท่วมเช่นกันตั้งแต่เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เช่น เวียดนาม ลาว กัมพูชา และพม่า


ส่วนทวีปออสเตรเลียก็เกิดฝนตกและน้ำท่วมหนักที่ตอนเหนือของเมืองหลวงซิดนีย์ ออสเตรเลียเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา และเมื่อเดือนสิงหาคมมีฝนตกหนักทำลายสถิติในบริเวณตอนใต้และตะวันตกส่งผลให้น้ำท่วมเป็นวงกว้าง แต่สภาพพื้นดินที่แห้งมากๆ ในบางเขตทำให้พื้นดินเหล่านั้น ดูดซับน้ำไว้ได้เหมือนกับฟองน้ำจึงทำให้ระดับน้ำลดลงแล้ว แต่บางพื้นที่อาจต้องใช้เวลามากกว่านั้นกว่าน้ำจะแห้ง


ส่วนฝั่งเอเชียตะวันออก เช่น จีน เกิดสภาพอากาศแปรปรวน โดยสำนักงานอุตุนิยมวิทยาแห่งชาติของจีน กล่าวเมื่อวันที่ 2 สิงหาคมว่า สภาพอากาศในจีนปีนี้เกิดความผิดปกติ ส่งผลให้เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ มีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยทั่วประเทศสูงกว่าค่าเฉลี่ย 13.3 เปอร์เซ็นต์

และสถานีตรวจอากาศ 30 แห่งพบว่ามีสถิติปริมาณน้ำฝนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แม่น้ำสายหลัก 4 สายมีปริมาณน้ำฝนมากกว่าค่าเฉลี่ย แม่น้ำหวยเหอและลุ่มแม่น้ำเหลียวเหอมีปริมาณน้ำฝนมากกว่าค่าเฉลี่ย 2 เท่า ซึ่งจีนได้ออกคำเตือนเกี่ยวกับน้ำท่วมและเตรียมอ่างเก็บน้ำเกือบ 5,000 แห่ง เพื่อรองรับน้ำท่วมกว่า 99,000 ล้านลิตรแล้ว


ภูมิภาคใกล้จีนก็ได้รับผลกระทบเหมือนกัน เช่น ญี่ปุ่น ก็เพิ่งมีรายงานเมื่อวันที่ 30 สิงหาคมนี้ว่า ประชาชนทางตอนใต้ของญี่ปุ่นเกือบ 4 ล้านคนต้องอพยพ เนื่องจากพายุไต้ฝุ่นชานชาน(Shanshan) ที่พัดขึ้นฝั่งเมื่อวันพฤหัสบดี (29 ส.ค.) ทำให้ประชาชนหลายพันคนไม่มีไฟฟ้าใช้ และมีลมแรงระดับเฮอริเคนพัดถล่มเกาะคิวชูด้วย ทำให้ฝนตกหนัก และมีอันตรายจากคลื่นพายุซัดฝั่งด้วย

สำนักงานอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นจึงออกคำเตือนฉุกเฉิน คาดว่าพายุลูกนี้จะทำให้เกิดน้ำท่วมและดินถล่มสร้างความเสียหายในพื้นที่ส่วนใหญ่ของคิวชูทางใต้ของประเทศ และยังคาดอีกว่าจะมีฝนตกหนักเป็นประวัติการณ์


ทางด้านฝั่งเอเชียใต้ก็เผชิญกับน้ำท่วมครั้งใหญ่เช่นกัน เพราะในประเทศโซนอินเดียและบังกลาเทศเกิดน้ำท่วมหนักตั้งแต่ช่วงเดือนกรกฎาคม และมีประชาชนรวมกว่าแสนคนติดอยู่ในพื้นที่นั้น ซึ่งองค์การอุตุนิยมวิทยาโลกของสหประชาชาติ (UN) คาดการณ์ว่าฤดูมรสุมในเอเชียใต้จะมีปริมาณฝนเกินปกติ และจะกินเวลาไปจนถึงเดือนกันยายน

และเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม บังกลาเทศยังคงเกิดน้ำท่วมหนัก ทำให้มีผู้เสียชีวิตในบังกลาเทศแล้วอย่างน้อย 23 ศพ มีประชาชนราว 4.5 ล้านคนในบังกลาเทศได้รับผลกระทบและมีชาวบ้านกว่า 65,000 คนต้องอพยพหนีภัยน้ำท่วม

น้ำท่วมที่เกิดพร้อมๆ กันทั่วโลกนี้เป็นสัญญาณหนึ่งของผลกระทบจากโลกร้อน ซึ่งปัญหาอุทกภัยในภูมิภาคใกล้เคียงไทยก็เป็นส่วนหนึ่งที่รัฐบาลจะต้องพิจารณาและแก้ไขสถานการณ์ในประเทศโดยเร็ว เพื่อลดการสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นให้ได้มากที่สุด

แม้การคาดการณ์ของเหล่าสำนักพยากรณ์อากาศจะช่วยให้ทราบสภาพอากาศล่วงหน้าได้ แต่การบริหารจัดการในพื้นที่ยังคงเป็นสิ่งสำคัญที่จะบรรเทาปัญหาในยุคโลกรวนนี้ เพราะสภาพภูมิประเทศของไทยนั้นแตกต่างกัน การจัดการปัญหาน้ำท่วมจึงต้องให้คนในพื้นที่เข้ามาเป็นส่วนสำคัญในการจัดการน้ำด้วย


อ้างอิง: climate.gov , trueplookpanya.com , reuters (1,2) , abc.net.au , voanews.com , cnn.com , thairath.co.th , theguardian.com ,ANC 24/7, thestar.com, tmd.go.th , reliefweb.int


https://plus.thairath.co.th/topic/na...JhdGgtcGx1cw==
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม