|
#1
|
||||
|
||||
สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันพฤหัสบดีที่ 3 มิถุนายน 2564
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป มรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังอ่อนพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณประเทศไทยมีฝนน้อยในระยะนี้ สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามัน และอ่าวไทยมีกำลังอ่อน อนึ่ง พายุโซนร้อน "ฉอย-หวั่น" (CHOI-WAN) บริเวณชายฝั่งตะวันตก ตอนกลางของประเทศฟิลิปปินส์มีแนวโน้มเคลื่อนตัวทางเหนือค่อนตะวันตกเล็กน้อยสู่ทะเลจีนใต้ตอนบน โดยพายุนี้ไม่มีผลกระทบต่อประเทศไทย กรุงเทพมหานครและปริมณฑล อากาศร้อนในตอนกลางวัน กับมีฝนเล็กน้อยบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 27-29 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 34-39 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-15 กม./ชม. คาดหมาย ในช่วงวันที่ 3 ? 4 มิ.ย. 64 มรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังอ่อนพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทย ทำให้บริเวณประเทศไทยมีฝนน้อย และคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยมีกำลังอ่อน ส่วนในช่วงวันที่ 5 - 8 มิ.ย. 64 มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยจะมีกำลังแรงขึ้น ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมบริเวณประเทศเวียดนามตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณประเทศไทยจะมีฝนเพิ่มขึ้น กับมีฝนตกหนักบางแห่ง สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนจะมีกำลังปานกลาง โดยบริเวณทะเลอันดามันมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ข้อควรระวัง ในช่วงวันที่ 5 - 8 มิ.ย. 64 ขอให้ประชาชนบริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้ ระวังอันตรายจากฝนที่ตกหนักไว้ด้วย สำหรับชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทย ควรเพิ่มความระมัดระวังในการเดินเรือบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#2
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ
อินโดนีเซียยุติกู้ซากเรือดำน้ำกองทัพ จมทะเลพร้อมลูกเรือ 53 ชีวิต อินโดนีเซียประกาศยุติปฏิบัติการกู้ซากเรือดำน้ำของกองทัพ ซึ่งจมลงก้นทะเลเมื่อเดือนเมษายน พร้อมลูกเรือ 53 ชีวิตแล้ว โดยไม่สามารถยกเรือหรือนำศพกลับขึ้นมาได้ สำนักข่าว บีบีซี รายงานว่า ทางการอินโดนีเซียยุติความพยายามกู้ซากเรือดำน้ำ 'เคอาร์ไอ นังกาลา' ของกองทัพเรือ ซึ่งจมลงก้นทะเลนอกชายฝั่งเกาะบาหลีเมื่อ 21 เม.ย.ที่ผ่านมา และทำให้ลูกเรือทั้ง 53 คนเสียชีวิตแล้ว โดยภารกิจล้มเหลว ไม่สามารถกู้ซากซึ่งอยู่ลึกมากกว่า 800 ม. ขึ้นมาได้ ทั้งนี้ เรือดำน้ำ เคอาร์ไอ นังกาลา อายุกว่า 40 ปีลำนี้ หายสาบสูญไปหลังจากขออนุญาตดำลงใต้น้ำ ระหว่างการฝึกซ้อมยิงตอร์ปิโดกระสุนจริงในทะเลบาหลี ทำให้เจ้าหน้าที่จากนานาชาติระดมกำลังกันค้นหา และพบในไม่กี่วันต่อมาว่า เรือลำนี้แตกออกเป็น 3 ส่วนและจมลงก้นทะเลแล้ว ในวันพุธที่ 2 มิ.ย. นาย จูเลียส วิดโจโจโน โฆษกกองทัพเรืออินโดนีเซีย เปิดเผยต่อสื่อเรื่องยุติปฏิบัติการกู้เรือดำน้ำ เคอาร์ไอ นังกาลา โดยระบุว่า การกู้ซากเรือจบลงแล้ว และไม่สามารถกู้ร่างผู้เสียชีวิตทั้ง 53 กลับขึ้นมาได้แล้วแม้แต่รายเดียว ด้านนาย สุดาร์มาจี บิดาของหนึ่งในผู้เสียชีวิตบอกกับสำนักข่าว เอเอฟพี ก่อนที่กองทัพจะประกาศยุติปฏิบัติการว่า ครอบครัวของเขายังหวังว่าเจ้าหน้าที่จะสามารถยกเรือดำน้ำขึ้นมาได้ "มันไม่สำคัญว่าจะต้องใช้เวลา หรือต้องขอความช่วยเหลือจากประเทศอื่นๆ" https://www.thairath.co.th/news/foreign/2107050 ********************************************************************************************************************************************************* ศรีลังกากลุ้ม เรือสินค้าไหม้นอกชายฝั่ง กำลังจม หวั่นน้ำมัน 350 ตันรั่วไหล เรือสินค้าซึ่งเกิดไฟไหม้เมื่อปลายเดือน พ.ค. และทำให้ศรีลังกาต้องเผชิญกับวิกฤติสิ่งแวดล้อมครั้งใหญ่ที่สุด กำลังจะจมลงก้นทะเล พร้อมกับน้ำมันเชื้อเพลิงถึง 350 ตัน สำนักข่าว แชนเนลนิวส์เอเชีย รายงานว่า เรือสินค้า ?เอ็มวี เอ็กซ์-เพรส เพิร์ล? ซึ่งบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์บรรจุสารเคมีและพลาสติกถึง 1,486 ตู้ ถูกไฟไหม้เป็นเวลานานถึง 13 วัน ที่นอกชายฝั่งกรุงโคลอมโบ ประเทศรีลังกา ขณะรอเข้าเทียบท่า และเจ้าหน้าที่เพิ่มควบคุมเพลิงได้เมื่อวันอังคารที่ 1 มิ.ย. 2564 ที่ผ่านมา เหตุการณ์นี้ทำให้ตู้สินค้าเสียหายเกือบทั้งหมด และมีตู้บรรจุเม็ดพลาสติกอย่างน้อย 8 ตู้ตกสู่ทะเล ทำให้เม็ดพลาสติกจำนวนมหาศาลลอยขึ้นฝั่งศรีลังกา ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ คนถึงตอนนี้เจ้าหน้าที่ก็ยังเก็บกวาดไม่หมด นอกจากนั้นทะเลแถบนี้ยังมีป่าชายเลน แหล่งอนุบาลสัตว์น้ำ และแหล่งประมง ซึ่งอาจได้รับผลกระทบไปด้วย ไม่เพียงเท่านั้น ในวันพุธเจ้าหน้าที่พบว่าเรือความยาว 186 ม. น้ำหนัก 31,600 ตันลำนี้กำลังจะจมลงสู่ก้นทะเล โดยส่วนท้ายเรือจมแตะก้นทะเลใกล้เมืองปามูนูกามา ทางเหนือของกรุงโคลอมโบ ซึ่งมีความลึกเพียง 22 ม. ไปแล้ว ขณะที่ส่วนหัวเรือยังลอยอยู่ ทำให้ความพยายามลากเรือไปเขตน้ำลึกต้องหยุดชะงัก บนเรือลำนี้ยังมีน้ำมันเตาชนิดหนัก (heavy fuel oil) อีกถึง 297 ตัน และน้ำมันดีเซลสำหรับเดินเรือ (marine fuel oil) อีก 51 ตัน ทำให้เกิดความกังวลว่ามันจะรั่วไหลลงสู่มหาสมุทรอินเดีย และทำให้เกิดหายนะต่อสิ่งแวดล้อมยิ่งขึ้นไปอีก อย่างไรก็ตาม นายแดน กูนาเซเครา ผู้เชี่ยวชาญด้านการขนส่งทางเรือระหว่างประเทศ เชื่อว่า นักประดาน้ำจะสามารถใช้ปั๊มดูน้ำมันทั้งหมดออกมาได้อย่างปลอดภัย เพราะเรือเพิ่งมีอายุเพียง 3 เดือน ระบบต่างๆ ยังคงดีอยู่ ด้านนาย เดอ ซิลวา กล่าวว่า เรือของหน่วยยามฝั่งอินเดียมาประจำการพร้อมอุปกรณ์เฉพาะทาง เพื่อรับมือกรณีเกิดน้ำมันรั่วไหลแล้ว ทั้งนี้ ปัญหาเม็ดพลาสติกที่ตกสู่ทะเลส่งผลให้การทำประมงในน่านน้ำแถบนี้ถูกระงับชั่วคราวไปแล้ว กระทบการใช้ชีวิตของชาวประมงอย่างน้อย 4,500 คน ขณะที่หน่วยงานป้องกันสิ่งแวดล้อมทางทะเลของศรีลังกาเตือนก่อนหน้านี้ว่า นี่อาจเป็นหายนะทางทะเลครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศ https://www.thairath.co.th/news/fore...PANORAMA_TOPIC ********************************************************************************************************************************************************* พัฒนาวิธีใหม่เพื่อใช้ศึกษาพลาสติกขนาดเล็กในมหาสมุทร ขยะพลาสติกนานาชนิดเมื่อไปลงเอยที่มหาสมุทร ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตในทะเลและสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังคุกคามความปลอดภัยของอาหารและสุขภาพของมนุษย์ด้วย เพราะในที่สุดพลาสติกจำนวนมากจะแตกตัวจนเล็กเป็นนาโนพลาสติกและไมโครพลาสติกซึ่งตาเปล่ามองไม่เห็น การจะหาปริมาณและวัดผลก็ทำได้ยาก ล่าสุด ทีมนักวิจัยนำโดยสถาบันแห่งชาติของมาตรฐานและเทคโนโลยี (NIST) และศูนย์บริการด้านวิทยาศาสตร์และความรู้ของคณะกรรมาธิการยุโรป (JRC) ได้พัฒนาวิธีใหม่ในการศึกษานาโนพลาสติกในมหาสมุทร โดยใช้สัตว์ทะเลที่กรองกินอนุภาคของอาหารขนาดเล็กจิ๋วที่ลอยอยู่ในน้ำ นั่นคือกลุ่มเพรียงหัวหอม (Tunicate) ชนิด C. robusta พบว่ามีประสิทธิภาพในการกักเก็บอนุภาคนาโนได้ดี ทีมจึงนำมาทดลองให้มันสัมผัสกับอนุภาคพลาสติกโพลีสไตรีน (polystyrene) ที่มีความเข้มข้นต่างกัน ฝ่าย C. robusta จะมีกระบวนการแยกนาโนพลาสติกออกจากสิ่งมีชีวิต ทว่าในขั้นตอนนี้สารประกอบอินทรีย์ตกค้างบางส่วนที่ย่อยโดย C. robusta ยังคงผสมอยู่ในนาโนพลาสติกจนอาจรบกวนการทำให้บริสุทธิ์และการวิเคราะห์พลาสติก นักวิจัยจึงใช้เทคนิคการแยกส่วนเพิ่มเติม แล้วก็รวบรวมนาโนพลาสติกมาวางลงบนชิปที่ออกแบบเป็นพิเศษทำให้นาโนพลาสติกรวมตัวเป็นกลุ่ม ง่ายต่อการตรวจจับและนับจำนวน https://www.thairath.co.th/news/foreign/2105815
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#3
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ข่าวสด
เรือบรรทุกสารเคมีจมทะเล หลังไฟไหม้2สัปดาห์ หายนะเอาไม่อยู่ เรือบรรทุกสารเคมีจมทะเล ? เมื่อ 2 มิ.ย. รอยเตอร์ รายงานความคืบหน้าเหตุเพลิงไหม้เรือบรรทุกสินค้าเคมีหลายตันในน่านน้ำประเทศศรีลังกา เจอปัญหาสาหัสอีกแม้เพลิงสงบแล้ว เมื่อเจอจมลงบริเวณชายฝั่งตะวันตกของประเทศ เจ้าหน้าที่พยายามควบคุมเพลิงบนเเรือเอ็กซ์-เพรส เพิร์ล จดทะเบียนสัญชาติสิงคโปร์ บรรทุกคอนเทนเนอร์ 1,486 ตู้ เป็นกรดไนตริด 25 ตัน นับตั้งแต่วันที่ 20 พ.ค. มานานเกือบ 2 สัปดาห์ ต่อมาแม้ว่าจะดับไฟได้ แต่เม็ดพลาสติกจากสารเคมีรั่วไหลลงทะเลที่อุดมไปด้วยทรัพยากรสัตว์น้ำ และเป็นหายะทางทะเลที่เลวร้ายที่สุดของศรีลังกา กัญจนา ไวจีเสกรา รมว.ประมง ศรีลังกา ทวีตข้อความว่า ช่วงเช้าเรือเริ่มจมลง และทีมกู้ภัยพยายามลากตัวเรือออกห่างจากฝั่ง เพื่อลดความเสียหายให้ระบบนิเวศปะการังน้ำตื้น โดยใช้เวลาอยู่นานหลายชั่วโมง แต่ไม่สำเร็จ ต้องยุติปฏิบัติการ เมื่อหางเรือชนพื้นทะเล ซึ่งอยู่ลึกเพียง 22 เมตร จากสถานการณ์ดังกล่าว รัฐบาลสั่งระงับการประมงตลอดแนวชายฝั่ง 5,600 ลำ และส่งกองกำลังทหารเข้าไปทำความสะอาดชายหาด ส่วนกองทัพเรือจะรับมือกับคราบน้ำมันที่จะทะลักรั่วจากเรือ นักสิ่งแวดล้อมจากอินเดียเตือนว่า การที่เรือจมลงในเขตน้ำตื้นจะกลายเป็นโศกนาฏกรรมสิ่งแวดล้อมครั้งใหญ่ ไม่ใช่จากน้ำมันเชื้อเพลิงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงสารเคมีกรดไนตริกที่จะทำลายพื้นทะเลอย่างราบคาบ https://www.khaosod.co.th/update-news/news_6432704
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#4
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ไทยโพสต์
'ไบเดน'ระงับขุดเจาะน้ำมันเขตอนุรักษ์อะแลสกา ผลงานสั่งลา'ทรัมป์' รัฐบาลประธานาธิบดีโจ ไบเดน ประกาศระงับโครงการขุดเจาะน้ำมันในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแห่งชาติอาร์กติก (ANWR) ในรัฐอะแลสกา ที่อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อนุมัติไว้เมื่อเดือนพฤศจิกายนภายหลังพ่ายแพ้การเลือกตั้ง แฟ้มภาพ แม่หมีขั้วโลกและลูกๆ ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอาร์กติกของสหรัฐ (Photo by Steven Kazlowski / Barcroft Medi via Getty Images) กระทรวงมหาดไทยสหรัฐแถลงเมื่อวันอังคารที่ 1 มิถุนายน ว่าได้แจ้งไปยังบริษัทต่างๆ ในโครงการขุดเจาะน้ำมันที่ ANWR ให้ระงับการดำเนินงานชั่วคราว ระหว่างรอการตรวจสอบด้านสิ่งแวดล้อมอย่างครอบคลุมในโครงการนี้ ว่าควรให้โครงการเดินหน้าต่อ, เป็นโมฆะ หรือควรมีมาตรการชดเชยเพิ่มเติม ในการขายสัญญาเช่า 11 ฉบับในพื้นที่ขุดเจาะน้ำมันที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแห่งนี้ราว 1.6 ล้านเอเคอร์ หรือ 4.04 ล้านไร่เมื่อเดือนมกราคม ผู้ชนะการประมูลสัญญาเช่า 9 ฉบับคือ องค์การส่งออกและพัฒนาอุตสาหกรรมอะแลสกา ที่เป็นหน่วยงานของรัฐ ส่วนสัญญาเช่าอีก 2 ฉบับตกเป็นของบริษัทเล็กๆ ไบเดนเคยให้คำมั่นสัญญาระหว่างหาเสียงเลือกตั้งว่า เขาจะปกป้อง ANWR ทำเนียบขาวเผยแพร่ถ้อยแถลงของจีนา แม็กคาร์ธี ที่ปรึกษาด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของทำเนียบขาว ว่า ไบเดนทำตามสัญญาและความเชื่อของเขาที่ว่า สมบัติของชาติคือเสาหลักของวัฒนธรรมและเศรษฐกิจของประเทศ นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมคัดค้านโครงการขุดเจาะน้ำมันนี้มายาวนาน เนื่องจากเป็นแหล่งที่อยู่ของหมีขั้วโลกและสัตว์ป่าใกล้สูญพันธุ์อีกหลายชนิด และชนพื้นเมืองที่ล่ากวางคาริบูเป็นอาหาร แต่อุตสาหกรรมน้ำมันต้องการขุดเจาะน้ำมันพื้นที่นี้เนื่องจากมีน้ำมันหลายพันล้านบาร์เรล แม้แต่สมาชิกสภาคองเกรสของรัฐอะแลสกา เช่น ส.ว.ลิซา เมอร์คาวสกี จากพรรครีพับลิกัน ก็สนับสนุนโครงการขุดน้ำมันนี้อย่างแข็งขัน. https://www.thaipost.net/main/detail/105106
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#5
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก อสมท.
หมึกกระดอง สุดยอดนักพรางตัว เรามักจะตื่นเต้นกับลักษณะพิเศษของเพื่อนๆ เสมอ โดยเฉพาะพวกที่สามารถปรับเปลี่ยนสีได้ หนึ่งในนั้นก็คือหมึกกระดอง หลายคนคิดว่าหมึกทะเลเป็นปลา แต่ความจริงแล้วหมึกเป็นสัตว์กลุ่มหอยที่มีวิวัฒนาการสูงสุดเลยทีเดียว หมึกกระดองพรางตัวเพื่อกินอาหารเป็นหลัก โดยพวกมันจะประบเม็ดสีที่อยู่ตามตัวให้กลมกลืนกับสภาพแวดล้อม แล้วว่ายน้ำอย่างช้าๆ ค่อยๆ เข้าใกล้ตัวเหยื่อมากที่สุด เมื่อถึงจังหวะโจมตีก็จะพุ่งหนวดจับเหยื่ออย่างรวดเร็ว https://www.mcot.net/view/76Zmskv8
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#6
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก BBCThai
ชาวประมงเยเมนกลายเป็นเศรษฐี หลังพบ "อ้วกวาฬ" มูลค่า 46.5 ล้านบาท ชาวประมงกลุ่มหนึ่งในประเทศเยเมนกลายเป็นเศรษฐีเงินล้าน หลังจากพบ "อำพันทะเล" (Ambergris) หรือที่คนทั่วไปเรียกว่า "อ้วก หรือ ขี้วาฬ" มูลค่า 1.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 46.5 ล้านบาท) ในซากวาฬตัวหนึ่งที่ลอยอยู่ในอ่าวเอเดน ชาวประมงคนหนึ่งเล่าให้ทีมข่าวบีบีซีฟังว่า เพื่อนโทรมาบอกว่าพบซากวาฬลอยอยู่ในทะเล ซึ่งอาจมีอำพันทะเลอยู่ "ทันทีที่เราเข้าไปใกล้ ก็มีกลิ่นเหม็นรุนแรง เรารู้สึกว่าวาฬตัวนี้มีอะไรบางอย่าง เราตัดสินใจลากซากวาฬเข้าฝั่งแล้วผ่าท้องมัน เพื่อดูว่ามีอะไรอยู่ในท้อง และใช่เลย มันคืออำพันทะเล" "กลิ่นมันไม่สู้ดีนัก แต่มันมีมูลค่ามหาศาล" เขาบอก อำพันทะเล เป็นสารที่ได้จากการสำรอกหรือการขับถ่ายของวาฬหัวทุย หรือ วาฬสเปิร์ม (sperm whale) มีลักษณะเป็นก้อนไขมันคล้ายขี้ผึ้ง มีหลายเฉดสีตั้งแต่สีเทา หรือสีดำ ไปจนถึงสีโทนอ่อนอย่างสีส้ม หรือสีขาวคล้ายหินอ่อน อำพันทะเลถือเป็นของหายากที่มีราคาแพง ในประวัติศาสตร์มีการนำอำพันทะเลไปใช้ในการทำยารักษาโรค เครื่องหอม และยากระตุ้นกำหนัด แต่ปัจจุบันมักถูกนำไปใช้ในการผลิตน้ำหอม เพราะมีคุณสมบัติช่วยให้น้ำหอมมีกลิ่นคงทน การหาอำพันทะเลมักทำโดยการรอให้ลอยมาติดตามชายฝั่ง หรือล่องเรือออกไปหากลางทะเล รวมทั้งการออกล่าวาฬ แล้วผ่าท้องหาในลำไส้ซึ่งถือเป็นสิ่งผิดกฎหมายในหลายประเทศ ผู้เชี่ยวชาญบอกว่า มีวาฬหัวทุยเพียง 1-5% เท่านั้นที่มีอำพันทะเล โดยอำพันทะเลคุณภาพดีมักมีราคาขายอยู่กิโลกรัมละ 50,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 1.5 ล้านบาท) "ถ้าคุณพบอำพันทะเล มันคือขุมทรัพย์" ชาวประมงคนหนึ่งบอก การพบ "ขุมทรัพย์ในท้องวาฬ" ครั้งนี้ช่วยเปลี่ยนชีวิตที่ยากจนข้นแค้นของชาวประมงกลุ่มนี้ให้ได้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น หลังจากสงครามกลางเมืองที่ยืดเยื้อในเยเมนทำให้ผู้คนที่นี่ต้องทนทุกข์อย่างแสนสาหัส องค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ระบุว่า 80% ของประชากรในเยเมนเผชิญกับความอดอยาก ชาวประมงกลุ่มนี้บอกว่าหลังจากขายอำพันทะเลได้ พวกเขาได้เอาเงินมาแบ่งกันอย่างเท่าเทียม อีกทั้งยังปันเงินส่วนหนึ่งให้กับผู้คนที่ขาดแคลนด้วย แม้จะได้ "ลาภลอย" มาอย่างไม่คาดฝัน แต่หนึ่งในชาวประมงผู้โชคดีกลุ่มนี้บอกว่า เขาจะยังออกทะเลหาปลาต่อไป เพราะ "มันอยู่ในสายเลือดของผม" https://www.bbc.com/thai/international-57333229
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
|