|
#1
|
||||
|
||||
สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันเสาร์ที่ 26 สิงหาคม 2566
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป ร่องมรสุมพาดผ่านประเทศเมียนมา และประเทศลาวตอนบน เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณชายฝั่งประเทศเวียดนามตอนบน ในขณะที่มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ยังคงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยยังคงมีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นได้ และมีฝนตกหนักบางแห่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ขอให้ประชาชนในบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมได้ สำหรับบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทย ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูง 1-2 เมตร ขอให้ชาวเรือในบริเวณดังกล่าวเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย กรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 26-27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-36 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-25 กม./ชม. คาดหมาย ในช่วงวันที่ 26 ? 28 ส.ค. 66 ร่องมรสุมพาดผ่านประเทศเมียนมาตอนบน และประเทศลาวตอนบน เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณชายฝั่งประเทศเวียดนามตอนบนและอ่าวตังเกี๋ย ในขณะที่มรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นได้ และมีฝนตกหนักบางแห่งในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก ส่วนในช่วงวันที่ 29 ? 31 ส.ค. 66 ร่องมรสุมกำลังแรงจะเลื่อนลงมาพาดผ่านภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลางตอนบนของประเทศไทย ประกอบกับในช่วงวันที่ 28 ? 31 ส.ค. 66 มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย จะมีกำลังแรงขึ้น ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยจะมีฝนเพิ่มขึ้น และมีฝนตกหนักหลายพื้นที่ โดยมีฝนตกหนักมากบางแห่งในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทย สูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูง 1 ? 2 เมตรในช่วงวันที่ 25 ? 27 ส.ค. 66 ส่วนในช่วงวันที่ 28 ? 31 ส.ค. 66 คลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยจะมีกำลังแรงขึ้น โดยบริเวณทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยตอนบน ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนอ่าวไทยตอนล่างมีคลื่นสูง 1 ? 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร อนึ่ง พายุโซนร้อน "เซาลา" (SAOLA) บริเวณมหาสมุทรแปซิฟิกหรือด้านตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศฟิลิปปินส์ มีแนวโน้มจะทวีกำลังแรงขึ้น คาดว่าจะเคลื่อนผ่าน สาธารณรัฐจีน(ไต้หวัน) ในช่วงวันที่ 30 ? 31 ส.ค. นี้ โดยพายุนี้ไม่ส่งผลกระทบต่อลักษณะอากาศของประเทศไทยโดยตรง ขอให้ผู้ที่จะเดินทางไปยังบริเวณดังกล่าวตรวจสอบสภาพอากาศก่อนออกเดินทางในช่วงวันและเวลาดังกล่าวไว้ด้วย ข้อควรระวัง ในช่วงวันที่ 29 ? 31 ส.ค. 66 ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่มไว้ด้วย ส่วนชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองตลอดช่วง
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#2
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ
ออสเตรเลียพบ "ปลาเดินได้" พันธุ์หายากเป็นครั้งแรกในรอบ 27 ปี นักวิทยาศาสตร์ออสเตรเลีย พบ "ปลาเดินได้" สายพันธุ์ที่พบได้ยาก บริเวณพื้นที่อันห่างไกลทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศ นับตั้งแต่การพบเห็นปลาชนิดนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อ 27 ปีที่แล้ว "ปลาแฮนด์ฟิชตัวแคบ" (narrowbody handfish) ซึ่งเป็นปลาแฮนด์ฟิชสายพันธุ์ที่ไม่ได้พบเห็นมานานกว่า 20 ปี ถูกพบในเขตน้ำลึกใกล้เกาะฟลินเดอร์ส บริเวณช่องแคบบาสส์ ใกล้เกาะแทสมาเนีย การค้นพบนี้เกิดขึ้นระหว่างการเดินทางสำรวจขององค์การวิจัยวิทยาศาสตร์และอุตสาหกรรมแห่งเครือจักรภพ (CSIRO) เป็นเวลาหนึ่งเดือน เพื่อศึกษาว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมทางทะเลของออสเตรเลียตะวันออกเฉียงใต้อย่างไร คาร์ลี เดอวีน เจ้าหน้าที่เทคนิคด้านการวิจัย กล่าวว่า "ถือเป็นการค้นพบที่น่าตื่นเต้นมาก เพราะนี่เป็นเพียงครั้งที่ 3 ที่เราได้เห็นสัตว์สายพันธุ์นี้" นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าสัตว์ตัวเล็กๆ ตัวนี้ซึ่งพบที่ระดับความลึกประมาณ 292 เมตรนั้นเป็นปลาแฮนด์ฟิชตัวแคบ โดยครั้งสุดท้ายที่มีผู้พบเห็นปลาดังกล่าวคือในปี 2539 นอกชายฝั่งรัฐวิกตอเรีย เดอวีนกล่าวว่า "เราอาจไม่สามารถยืนยันได้ 100 เปอร์เซ็นต์ว่าเป็นสายพันธุ์นี้ เพราะจริงๆ แล้วคุณจำเป็นต้องรวบรวมตัวอย่างเพื่อดูลักษณะทางอนุกรมวิธานของมัน แค่หากพิจารณาความลึกและตำแหน่งของมัน เราคิดว่าน่าจะเป็นปลาแฮนด์ฟิชตัวแคบ" ปลาแฮนด์ฟิชตัวแคบไม่เป็นที่รู้จักมากนัก แต่พบได้ในน้ำลึกกว่าปลาแฮนด์ฟิชลายจุด ซึ่งส่วนใหญ่พบที่ระดับความลึกระหว่าง 5 ถึง 10 เมตร ปลาแฮนด์ฟิชตัวแคบถูกพบในสัปดาห์แรก ของการเดินทางของเจ้าหน้าที่ CSIRO ซึ่งกำลังสำรวจสายพันธุ์ที่พบในน่านน้ำทะเลทางตะวันออกเฉียงใต้ของออสเตรเลีย ซึ่งเป็นการสำรวจในเส้นทางเดียวกับการสำรวจเมื่อ 25 ปีที่แล้ว เพื่อพยายามทำความเข้าใจว่าระบบนิเวศมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ และเหตุใดจึงอาจเกิดขึ้น ริช ลิตเติล หัวหน้านักวิทยาศาสตร์ที่ร่วมในการเดินทางกล่าวว่า "เรายังไม่รู้ว่าพวกมันอพยพลงไปทางใต้หรือไม่ แต่เรารู้ว่านับตั้งแต่ที่มีการพบครั้งล่าสุดเมื่อกว่า 20 ปีก่อน มีการพบปลาแจ็คแมคเคอเรล และปลาแมคเคอเรลสีน้ำเงินมากกว่าเดิมมาก ซึ่งนั่นแสดงให้เห็นว่าสภาพมหาสมุทรและสภาพที่อยู่อาศัยของสัตว์สายพันธุ์เหล่านั้นเปลี่ยนไปในทางที่ดี" นอกจากนั้น ในระหว่างการเดินทาง ทีมเจ้าหน้าที่ได้ค้นพบสัตว์น้ำอีกกว่า 10 สายพันธุ์ที่ไม่พบในการสำรวจครั้งก่อน รวมถึงปลาสีสันสวยงามต่างๆ เช่น ปลาโลงศพพู่ (Chaunax fimbriatus) ซึ่งเป็นคางคกทะเลชนิดหนึ่ง. https://www.thairath.co.th/news/foreign/2720024 ****************************************************************************************************** ที่หลบภัยของวาฬเพชฌฆาตในแปซิฟิกเหนือ แปซิฟิกตอนเหนือใกล้กับญี่ปุ่นและรัสเซียเป็นที่อยู่ของวาฬเพชฌฆาตหลายกลุ่ม แต่พวกมันไม่มีการติดต่อซึ่งกันและกัน ไม่หาอาหารแบบเดียวกัน ไม่สื่อสารด้วยภาษาถิ่นเดียวกัน ไม่ผสมพันธุ์กัน ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นในเมื่อพวกมันอาศัยอยู่ใกล้กันและเป็นสายพันธุ์เดียวกัน นี่คือสิ่งที่นักวิจัยสงสัย ล่าสุดนักชีววิทยาที่ศึกษาวาฬจากมหา วิทยาลัยเซาเทิร์น เดนมาร์ก ในเดนมาร์ก เผยว่าหลังจากได้สำรวจมหาสมุทรแปซิฟิกตอนเหนือหลายครั้ง และใช้การวิเคราะห์ทางพันธุกรรมโดยตัดชิ้นเนื้อผิวหนังของวาฬ และการวิเคราะห์เสียงกลุ่มวาฬที่บันทึกด้วยไมโครโฟนใต้น้ำ ก็ได้ผลลัพธ์บางส่วนเกี่ยวกับปฏิสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างวาฬเพชฌฆาตกับประวัติศาสตร์หลังยุคน้ำแข็งในมหาสมุทรแปซิฟิกเหนือ ซึ่งชี้ให้เห็นว่าวาฬเพชฌฆาตที่อาศัยอยู่ใกล้ช่องแคบเนมูโระ ทางตอนเหนือของญี่ปุ่นนั้น เป็นลูกหลานของวาฬเพชฌฆาตที่มาตั้งรกรากที่นั่นในช่วงยุคน้ำแข็งสุดท้ายเมื่อประมาณ 20,000 ปีก่อน สถานที่แห่งนี้ได้ถูกเลือกให้เป็นแหล่งหลบภัยตั้งแต่ของบรรพบุรุษวาฬเพชฌฆาตที่อยู่ห่างไกล และลูกหลานวาฬชนิดนี้ก็อาศัยอยู่ที่นั่นนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา นักชีววิทยาระบุว่า นี่เป็นครั้งที่ 2 ที่พบแหล่งหลบภัยของวาฬเพชฌฆาตจากยุคน้ำแข็ง โดยจุดแรกอยู่ใกล้กับหมู่เกาะอะลู เชียน ซึ่งการค้นพบวาฬผู้ลี้ภัยจากยุคน้ำแข็งทั้ง 2 แห่งนี้ จะช่วยให้เข้าใจได้ว่าวาฬเพชฌฆาตสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในปัจจุบันและอนาคตได้อย่างไร พวกมันมีแนวโน้มที่จะเคลื่อนตัวไปทางเหนือเมื่อน้ำแข็งละลาย ทั้งที่จริงๆ แล้ววาฬเพชฌฆาตเป็นสัตว์อนุรักษนิยมและยึดติดขนบเดิมๆ มันไม่เคลื่อนไหวหรือเปลี่ยนแปลงขนบของตน เว้นแต่จะมีเหตุผลที่ดีมากๆ. https://www.thairath.co.th/news/foreign/2719857
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#3
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการ
ฮือฮา! พบ "วาฬหลังค่อม" ในน่านน้ำไทยเป็นครั้งที่ 2 หลังหายไปนาน 14 ปี ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลฯ ภูเก็ต เผยข่าวดี หลังมีรายงานจากนักท่องเที่ยวว่าพบวาฬขนาดใหญ่บริเวณทะเลภูเก็ต ก่อนได้รับการยืนยันจากผู้เชี่ยวชาญว่าเป็น "วาฬหลังค่อม" ซึ่งถือเป็นครั้งที่ 2 ที่มีรายงานการพบวาฬชนิดนี้ในน่านน้ำไทย เฟซบุ๊กเพจกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง โพสต์คลิปวิดีโอสั้นๆ ที่เก็บภาพวาฬขนาดใหญ่ได้ บริเวณทะเลภูเก็ต ก่อนที่ภายหลังจะได้รับการยืนยันว่าเป็น "วาฬหลังค่อม" โดยทางเพจได้ให้ข้อมูลว่า เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2566 ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลอันดามันตอนบน จังหวัดภูเก็ต ได้รับแจ้งพบวาฬขนาดใหญ่ จากคุณเจริญ ชนะพล ซึ่งเดินทางโดยเรือท่องเที่ยวออกจากจังหวัดภูเก็ต มุ่งหน้าสู่เกาะพีพี จังหวัดพังงา ซึ่งได้รับการยืนยันจากสัตวแพทย์หญิงราชาวดี จันทรา นายสัตวแพทย์ปฏิบัติการ ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอ่าวไทยตอนบน ว่าเป็นชนิดวาฬหลังค่อม (Humpback whale; Megaptera novaeangliae) วาฬหลังค่อม (Humpback whale; Megaptera novaeangliae) เป็นวาฬซี่กรองขนาดกลาง ลำตัวสีดำ ปลายครีบข้างและท้องมีสีขาว โตเต็มที่มีความยาว 11-17 เมตร น้ำหนักประมาณ 40 ตัน ลูกแรกเกิดยาว ประมาณ 4 เมตร หนัก 680 กิโลกรัม ร่องใต้คางจำนวน 12-36 ร่อง ซี่กรองมีสีดำหรือสีเขียวมะกอก จำนวน 270 ? 400 ซี่ ลักษณะเด่นประจำสายพันธุ์ มีปุ่มกลมที่ส่วนหัว มีครีบข้างยาวถึง 1 ใน 3 ของความยาวลำตัว มีสันหยักเป็นลอนคล้ายฟันเลื่อย จากครีบหลังไปถึงโคนหาง ครีบหลังอยู่ค่อนไปทางหาง ฐานครีบข้างกว้างเป็นโหนก ครีบหลังสั้นหนาแต่ละตัวมีลักษณะแตกต่างกัน อาหารของวาฬหลังค่อม คือ ฝูงปลาขนาดเล็ก เคย ปู หมึก และโคพิพอด โดยวาฬหลังค่อม ถูกพบเห็นในน่านน้ำไทยครั้งแรกเมื่อปี 2552 ที่อ่าวปอ จังหวัดภูเก็ต โดยมีภาพถ่ายยืนยันจากนักท่องเที่ยวเพียงภาพเดียวเท่านั้น และครั้งการพบเห็นครั้งนี้เป็นรายงานการพบเห็นครั้งที่สอง หากท่านใดพบเห็น ขอความอนุเคราะห์เดินเรือด้วยความระมัดระวัง ลดความเร็วเร็วเรือให้ต่ำกว่า 7 น็อต ในรัศมี 400 เมตร จากตัววาฬ และใช้ความเร็วเรือไม่เกิน 4 น็อต ในรัศมี 100-300 เมตร จากวาฬ ไม่ควรเข้าใกล้เกิน 100 เมตร หากวาฬว่ายเข้าใกล้เรือ ให้หยุดเรือ ไม่เปลี่ยนทิศทาง และความเร็วเรืออย่างกะทันหัน เพราะอาจเป็นอันตรายต่อวาฬ ไม่แนะนำให้ว่ายน้ำหรือลงเล่นน้ำกับวาฬ ซึ่งอาจทำให้บาดเจ็บหรือถึงขึ้นเสียชีวิต รวมทั้งอาจจะติดเชื้อโรคจากสัตว์สู่คน และคนสู่สัตว์ และไม่ควรให้อาหารแก่วาฬในธรรมชาติ สามารถแจ้งการพบเห็นได้ที่ สายด่วนกรมทะเลและชายฝั่ง 1362 หรือทางเพจของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง https://mgronline.com/travel/detail/9660000076745
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#4
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก กรุงเทพธุรกิจ
เลี้ยง "หอยเป๋าฮื้อ" ราชินีแห่งคอลลาเจน รสชาติดี ราคาปัง กรมประมงชวนเลี้ยง "หอยเป๋าฮื้อ" ราชินีแห่งคอลลาเจน เผยเลี้ยงง่าย เนื้อเยอะ รสชาติดี ราคาสูงขั้นต่ำกิโลกรัมละ 1,000 บาท "หอยเป๋าฮื้อ"? หอยทะเลที่มีมูลค่าทางการตลาดสูง เป็นที่นิยมของผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ ด้วยสรรพคุณที่มีส่วนช่วยบำรุงร่างกาย ทั้งระบบประสาทและสมอง รวมถึงช่วยบำรุงกระดูก ข้อต่อ จึงนิยมนำมาทำเป็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ นอกจากนี้ หอยเป๋าฮื้อ ยังมีคอลลาเจนที่มีคุณภาพสูง จึงถูกขนานนามว่าเป็น "ราชินีแห่งคอลลาเจน" จากรายงานพบว่า ในช่วงปี พ.ศ. 2556-2565 ประเทศไทยนำเข้าหอยเป๋าฮื้อมีมูลค่าการนำเข้าเฉลี่ย 18.35 ล้านบาท และมีมูลค่าการส่งออกเฉลี่ย 5.81 ล้านบาท โดยทั่วไปส่วนใหญ่ตลาดต้องการหอยที่มีขนาดใหญ่มีน้ำหนักประมาณ 200-250 กรัม หรือประมาณ 4-5 ตัวต่อกิโลกรัม ซึ่งหอยเป๋าฮื้อของไทยสามารถเข้าสู่ตลาดนี้ได้น้อยมาก เนื่องจากผลิตภัณฑ์หอยเป๋าฮื้อของไทยในอดีตได้มาจากการจับจากธรรมชาติทั้งหมดส่งผลทำให้ไม่สามารถควบคุมให้ได้ขนาด คุณภาพและปริมาณที่แน่นอนอย่างต่อเนื่องไม่ได้ กรมประมงให้ความสำคัญกับปัญหาดังกล่าวจึงได้เริ่มทำการศึกษาวิจัยการเพาะและอนุบาลหอยเป๋าฮื้อพันธุ์ไทยชนิด Haliotis asinina จนประสบผลสำเร็จในปี 2531 โดยศูนย์พัฒนาประมงทะเลอ่าวไทยฝั่งตะวันออก จ.ระยอง หลังจากนั้นกองวิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง โดยศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่งประจวบคีรีขันธ์ ได้พัฒนาเทคนิคการเพาะพันธุ์หอยเป๋าฮื้อพันธุ์ไทยจนสามารถควบคุมการผสมพันธุ์และผลิตลูกหอยปริมาณมากได้ตลอดทั้งปี นายประพันธ์ ลีปายะคุณ รองอธิบดีกรมประมง กล่าวว่า หอยเป๋าฮื้อพันธุ์ไทยชนิด H. asinina เป็นชนิดที่มีความเป็นไปได้ในการพัฒนาการเลี้ยงในระดับพาณิชย์ เนื่องจากสามารถเพาะเลี้ยงได้ง่าย ทนต่อการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิน้ำในประเทศไทยได้ดี และมีอัตราการแลกเปลี่ยนเนื้อเยอะ ซึ่งนอกจากกรมประมงได้พัฒนาเทคนิคในการเพาะเลี้ยงหอยเป๋าฮื้อพันธุ์ไทยชนิด H. asinina จนสามารถเพาะและผลิตลูกพันธุ์จำนวนมากได้ต่อเนื่องทั้งปีแล้ว ยังได้ถ่ายทอดเทคนิคการเพาะเลี้ยงให้แก่เกษตรกรได้นำไปประกอบเป็นอาชีพในการทำฟาร์มเพาะเลี้ยงหอยเป๋าฮื้อตามพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลทั้งฝั่งอ่าวไทยและอันดามัน เลี้ยง "หอยเป๋าฮื้อ" ราชินีแห่งคอลลาเจน รสชาติดี ราคาปังเลี้ยง "หอยเป๋าฮื้อ" ราชินีแห่งคอลลาเจน รสชาติดี ราคาปังเลี้ยง ?หอยเป๋าฮื้อ? ราชินีแห่งคอลลาเจน รสชาติดี ราคาปังเลี้ยง "หอยเป๋าฮื้อ" ราชินีแห่งคอลลาเจน รสชาติดี ราคาปัง ปัจจุบันเริ่มมีผลผลิตหอยเป๋าฮื้อพันธุ์ไทยชนิด H. asinina จากการทำฟาร์มเพาะเลี้ยงของเกษตรกรสู่ตลาดภายในประเทศแล้วซึ่งคาดว่าในอนาคตจะมีการส่งออกหอยเป๋าฮื้อไปยังตลาดต่างประเทศเพิ่มมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตามปัญหาเรื่องตลาดหอยเป๋าฮื้อไม่น่าเป็นห่วงเนื่องจากเป็นสัตว์น้ำมูลค่าสูงและเป็นที่ต้องการของตลาด แต่ยังติดปัญหาที่เรื่องต้นทุนการผลิตหอยที่สูง กรมประมงจึงได้มีนโยบายให้นักวิชาการทดลองเลี้ยงหอยเป๋าฮื้อพร้อมจำหน่ายลูกพันธุ์ให้กับเกษตรกรเพื่อช่วยลดต้นทุนให้ต่ำลงพร้อมให้คำแนะนำในการเพาะเลี้ยงอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ได้มีแผนในการปล่อยลูกพันธุ์หอยเป๋าฮื้อคืนสู่ท้องทะเลเพื่อเป็นการเพิ่มปริมาณในธรรมชาติให้มีปริมาณเพิ่มมากยิ่งขึ้น นางสุทธินี ลิ้มธรรมมหิศร ผู้อำนวยการกองวิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง กล่าวว่า หอยเป๋าฮื้อ หรืออะบาโลน (abalone) จัดเป็นหอยทะเลฝาเดียวทุกชนิดที่อยู่ในสกุล Haliotis และมีชื่อเรียกสามัญแตกต่างกันไปตามสถานที่เช่น หอยโข่งทะเล หอยร้อยรู หรือหอยตัวผู้ เป็นต้น หอยเป๋าฮื้อที่พบทั้งหมดในโลกมีประมาณ 70-80 ชนิด แต่ชนิดที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจมีประมาณ 22 ชนิด แต่ในส่วนของประเทศไทยจากการสำรวจของ อนุวัฒน์ นทีวัฒนา และ ยอห์น ฮิลลิเบริก. 2539. การสำรวจหอยโข่งทะเลบริเวณรอบเกาะภูเก็ตและการศึกษาความเป็นไปได้ของการเลี้ยงหอยโข่งทะเลในประเทศไทย. วารสารการประมง 36 (2): 177-190. พบว่ามีหอยเป๋าฮื้ออยู่ 3 ชนิด ได้แก่ Haliotis asinina, H. ovina และ H. varia หอยเป๋าฮื้อพันธุ์ไทยชนิด H. asinina เป็นชนิดที่กรมประมงเพาะพันธุ์ได้ จะมีลักษณะเด่นคือมีเปลือกติดกับกล้ามเนื้อเท้าขนาดใหญ่แข็งแรง ไม่มีฝาปิดเปลือก มีลักษณะคล้ายจานรี มีสีเขียวเข้ม น้ำตาลหรือแดงคล้ำ ตามขอบเปลือกมีรูเล็กๆ เรียงเป็นแถวยาวไปจนถึงขอบปาก รูบนเปลือกของหอยจะสร้างเพิ่มขึ้นตลอดเวลาเมื่อหอยโตขึ้น ส่วนรูเก่าจะถูกปิดไปขึ้นกับชนิดของหอยเป๋าฮื้อ สำหรับการเพาะเลี้ยงพันธุ์หอยเป๋าฮื้อจะใช้เวลาในการเลี้ยงประมาณ 1 ปี ซึ่งจากการรวบรวมข้อมูลจากนักวิชาการพบว่า พ่อแม่พันธุ์หอยจะมีความสมบูรณ์เพศตลอดทั้งปี แต่ไข่จะมีปริมาณมากที่สุดในช่วงเดือนมกราคม - กุมภาพันธ์ ในส่วนของการปล่อยไข่ในแต่ละครั้งจะขึ้นอยู่กับขนาดของแม่หอยหากมีขนาดเล็กก็จะให้ปริมาณไข่น้อย ดังนั้น เพศเมียที่เหมาะสมกับการนำมาเพาะจะมีขนาดตั้งแต่ 5.5 ซม.ขึ้นไป ซึ่งจะสามารถให้ไข่ในแต่ละครั้งจำนวน 200,000 - 600,000 ฟอง/ตัว อัตราการฟัก 60-80% และพัฒนาถึงระยะเกาะวัสดุประมาณ 30% และมีอัตรารอด 0.5% เป็นลูกหอยขนาด 1-2 มม. สำหรับ ขั้นตอนการเลี้ยงที่สำคัญ คือการเตรียมสถานที่ที่จะเพาะเลี้ยงหอย โดยจะต้องเป็นสถานที่ที่อยู่ใกล้ทะเลเพราะจะต้องมีการสูบน้ำให้ไหลหมุนเวียนอย่างสม่ำเสมอ ทั้งยังควรเป็นสถานที่ที่อยู่ห่างจากโรงงานอุตสาหกรรมเพื่อป้องกันผลผลิตเสียหายได้ เมื่อได้สถานที่แล้วเตรียมบ่อสำหรับเลี้ยงพันธุ์หอย และที่หลบซ่อนของตัวหอยเป๋าฮื้อ เช่นกระเบื้องมุมโค้ง หรือแผ่นพีวีซีงอเป็นรูปตัว ?V? จากนั้นสูบน้ำเข้าบ่อพัก โดยน้ำจากบ่อพักจะผ่านเข้าสู่บ่อกรอง ซึ่งมีวัสดุจำพวกกรวดและทรายช่วยกรองน้ำก่อนแล้วจึงใช้ถุงกรอง ซึ่งเป็นผ้าสักหลาดมีขนาดช่องตา 5?10 ไมครอน กรองอีกครั้งที่ปลายท่อส่งน้ำก่อนเปิดลงสู่บ่อเลี้ยง เมื่อเตรียมบ่อเรียบร้อยแล้วก็สามารถหาพันธุ์หอยเป๋าฮื้อมาเลี้ยงลงในบ่อได้ ส่วนอาหารที่ให้แก่หอยมีทั้งสาหร่ายผมนาง สาหร่ายสีแดงชนิดต่าง ๆ และอาหารสำเร็จรูป โดยให้สาหร่ายไม่เกินร้อยละ 20 ของน้ำหนักหอย ทุก ๆ 2 วัน หรืออาหารสำเร็จรูปไม่เกินร้อยละ 3 ของน้ำหนักหอย โดยให้วันละครั้ง และควรจัดการคุณภาพน้ำในบ่อให้ดีอยู่เสมอ ป้องกันไม่ให้เกิดน้ำเน่าเสียซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผลผลิตของเราได้ ใช้เวลาเพาะเลี้ยงประมาณ 1 ปี ก็สามารถเก็บผลผลิตไปขายได้ ซึ่งจากการสำรวจราคาหอยในตลาดปัจจุบันพบว่าหอยเป๋าฮื้อขนาด 3-5 ซม. ราคาขาย 1,000 บาท/กก. และขนาด 7 ซม. ราคาขายขั้นต่ำ 1,500 บาท/กก. อย่างไรก็ตามถึงแม้การเลี้ยงหอยเป๋าฮื้อจะได้ราคาดีแต่โดยทั่วไปจะใช้ระยะเวลานาน ทำให้ระหว่างการเพาะเลี้ยงเกษตรกรไม่มีรายได้จากการเลี้ยงหอยเข้าสู่ฟาร์ม ขณะที่ในช่วงดังกล่าวเกษตรกรจะต้องมีรายจ่ายค่าไฟฟ้าและค่าแรงงานอยู่แล้ว และจากการที่หอยเป๋าฮื้อเป็นสัตว์กินพืช ทำให้สิ่งขับถ่ายมีความเป็นพิษต่ำ ดังนั้น การทำฟาร์มเพาะเลี้ยงหอยเป๋าฮื้อแบบผสมผสานจึงเป็นแนวทางที่จะทำให้เกิดรายได้เข้าสู่ฟาร์ม เป็นการใช้ทรัพยากรในฟาร์มอย่างคุ้มค่าและกระจายความเสี่ยงในการประกอบธุรกิจอีกด้วยหากมีการบริหารจัดการฟาร์มที่ดี จากการศึกษาสัตว์น้ำชนิดอื่นๆ ที่สามารถเพาะเลี้ยงแบบผสมผสานในฟาร์มเพาะเลี้ยงหอยเป๋าฮื้อได้ดี ควรเป็นสัตว์น้ำที่เพาะเลี้ยงง่าย เจริญเติบโตเร็ว ใช้พื้นที่ในการอนุบาลไม่มากและตลาดมีความต้องการสูง เช่น หอยหวาน ชนิด Babylonia areolata หรืออาจเป็นปลาทะเลสวยงามชนิดต่างๆ ปูม้า หรือสาหร่ายทะเล เป็นต้น ปัจจุบันประเทศไทยสามารถพัฒนาการเพาะเลี้ยงหอยเป๋าฮื้อสายพันธุ์ไทยได้เป็นอย่างดีทำให้สามารถพัฒนาผลผลิตให้ได้ขนาด คุณภาพ และปริมาณได้อย่างต่อเนื่อง ประกอบกับปัจจุบันได้มีหอยเป๋าฮื้อขนาดเล็กถูกป้อนเข้าสู่ตลาด อาทิ หอยเป๋าฮื้อสายพันธุ์ไต้หวัน และเป็นที่นิยมเป็นอย่างมากเนื่องจากรสชาติดี และราคาถูกกว่าหอยขนาดใหญ่ ดังนั้นหากประเทศไทยสามารถพัฒนาการเพาะเลี้ยงหอยเป๋าฮื้อสายพันธุ์ไทยให้เป็นที่นิยมแพร่หลายเป็นระดับอุตสาหกรรมก็จะสามารถผลักดันนำเข้าสู่ตลาดหอยขนาดเล็กนี้ได้ทันที สำหรับเกษตรกรผู้สนใจเลี้ยงหอยเป๋าฮื้อชนิดดังกล่าวสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่งประจวบคีรีขันธ์ เบอร์โทรศัพท์ 0-3266-1398 หรือ กองวิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง เบอร์โทรศัพท์ 0-2579-4496 https://www.bangkokbiznews.com/busin...onomic/1085329
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#5
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก Nation TV
ญี่ปุ่นเผยผลตรวจน้ำทะเลปลอดภัย คนจีนตื่นแห่กักตุนเกลือ บริษัทเทปโกของญี่ปุ่น เผยผลสุ่มตรวจตัวอย่างน้ำทะเลรอบโรงไฟฟ้าฟุกุชิมะ หลังการปล่อยน้ำปนเปื้อนสารกัมมันตรังที่ผ่านการบำบัดลงสู่ทะเล ยังอยู่ในระดับปลอดภัย ขณะที่ในจีนมีการแห่ซื้อเกลือกักตุน เนื่องจากวิตกว่า ต่อไปเกลืออาจมีการปนเปื้อน บริษัทโตเกียว อิเล็กทริก พาวเวอร์ คอมพานี หรือ เทปโก (TEPCO) ยืนยันในวันศุกร์ (25 สิงหาคม) ว่า ผลการตรวจตัวอย่างน้ำทะเล หลังการปล่อยน้ำปนเปื้อนสารกัมมันตรังที่ผ่านการบำบัดจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะลงสู่มหาสมุทรแปซิฟิกเมื่อวันพฤหัสบดี (24 สิงหาคม) ยังอยู่ในเกณฑ์ที่มีความปลอดภัย โดยมีปริมาณความเข้มข้นของทริเทียมต่ำกว่า 10 เบ็กเคอเรลต่อลิตรใน 10 จุดที่มีการเก็บตัวอย่างน้ำทะเล ขณะที่มาตรฐานความปลอดภัยของประเทศอยู่ในระดับ 60,000 เบ็กเคอเรล เทปโกเผยผลการตรวจวิเคราะห์น้ำ ที่เก็บจาก 10 จุดภายในระยะ 3 กิโลเมตรจากโรงไฟฟ้า เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากการปล่อยน้ำปนเปื้อนลงทะเลในบ่ายวันพฤหัสบดี และบริษัทจะตรวจสอบน้ำทะเลทุกวันและเผยผลการวิเคราะห์ในวันรุ่งขึ้นตลอดหนึ่งเดือนข้างหน้า ขณะเดียวกันกระทรวงสิ่งแวดล้อม ส่งเรือ 4 ลำไปเริ่มเก็บตัวอย่างน้ำทะเลใน 11 จุดภายในรัศมีเกือบ 50 กม. จากโรงไฟฟ้าในวันศุกร์ (25 สิงหาคม) และจะเผยผลการตรวจวิเคราะห์ในวันอาทิตย์หรือหลังจากนั้น รวมทั้งวางแผนเผยแพร่ข้อมูลที่รวบรวมจากการตรวจวิเคราะห์ตัวอย่างน้ำทะเลทุกสัปดาห์เป็นเวลาราว 3 เดือน ผู้เชี่ยวชาญ ระบุว่า ทริเทียมส่งผลต่อสุขภาพของมนุษย์น้อยกว่าสารกัมมันตรังสีอื่น ๆ เช่น ซีเซียม และสตรอนเทียม โดยมีการแผ่รังสีที่อ่อนมาก และไม่สะสมในร่างกาย ขณะที่แผนการกำจัดน้ำปนเปื้อนจากโรงไฟฟ้าฟุกุชิมะ ที่มีมากถึง 1.34 ล้านตันอาจใช้เวลาอย่างน้อย 30 ปี แม้ญี่ปุ่นพยายามยืนยันให้ความมั่นใจว่า แผนการปล่อยน้ำที่ผ่านการบำบัดลงทะเลเป็นไปตามมาตรฐานสากล แต่รัฐบาลจีนตัดสินใจระงับการนำเข้าอาหารทะเลทั้งหมดจากญี่ปุ่น โดยมีผลบังคับใช้ทันทีหลังญี่ปุ่นเริ่มปล่อยน้ำ ความวิตกเรื่องน้ำทะเลอาจปนเปื้อนด้วยสารกัมมันตรังสี ทำให้ชาวจีนแห่ซื้อเกลือกักตุนไว้ และมีคลิปแพร่สะพัดในโซเชียลมีเดียเผยให้เห็นลูกค้าพากันซื้อเกลือถุงใหญ่ที่ร้านค้าแห่งหนึ่งในอำเภอเต้าเซี่ยน มณฑลหูหนาน กลุ่มอุตสาหกรรมเกลือแห่งชาติ ที่เป็นรัฐวิสาหกิจของจีน และผู้ผลิตเกลือรายใหญ่ที่สุดของจีน เรียกร้องให้ประชาชนอย่าแห่ซื้อเกลือกักตุนด้วยความแตกตื่น หลังจากเกลือถูกซื้อจนเกลี้ยงชั้นวางในซูเปอร์มาร์เก็ตหลายแห่ง และเกลือถูกซื้อจนหมดผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ในบางพื้นที่ รวมถึง ปักกิ่ง และเซี่ยงไฮ้ บริษัท ระบุด้วยว่า ประชาชนบริโภคเกลือทะเลเพียง 10% ของเกลือทั้งหมด โดยส่วนที่เหลือเป็นเกลือจากบ่อและทะเลสาบ ซึ่งปลอดภัยจากการปนเปื้อน https://www.nationtv.tv/foreign/378928141
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
|