|
#1
|
||||
|
||||
สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันอังคารที่ 21 พฤษภาคม 2567
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป ลมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย ภาคใต้ และอ่าวไทยมีกำลังแรงขึ้น ในขณะที่มีแนวลมพัดสอบของลมตะวันออกเฉียงใต้และลมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมบริเวณภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักบางแห่ง โดยมีฝนตกหนักมากบางพื้นที่ในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม รวมทั้งเพิ่มความระมัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยเริ่มมีกำลังแรงขึ้น โดยทะเลอันดามันตอนบนมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยเพิ่มความระมัดระวังในการเดินเรือ และหลีกเลี่ยงการเดินเรือบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย อนึ่ง ในช่วงวันที่ 22-26 พ.ค. 67 หย่อมความกดอากาศต่ำที่ปกคลุมบริเวณอ่าวเบงกอลตอนล่างจะทวีกำลังแรงขึ้น และมีแนวโน้มจะเคลื่อนเข้าสู่อ่าวเบงกอลตอนบน ทำให้มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามันและภาคใต้มีกำลังค่อนข้างแรง ลักษณะเช่นนี้จะทำให้ภาคใต้มีฝนเพิ่มมากขึ้น โดยมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง โดยทะเลอันดามันตอนบนมีคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ส่วนทะเลอันดามันตอนล่างมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร สำหรับอ่าวไทยทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูง 1?2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันตอนล่างและอ่าวไทยควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง สำหรับชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันตอนบนควรงดการเดินเรือในระยะนี้ไว้ด้วย กรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 70 ของพื้นที่ กับมีลมกระโชกแรง และมีฝนตกหนักบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 25-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-37 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม. คาดหมาย ในช่วงวันที่ 21 - 22 พ.ค. 67 ลมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยมีกำลังแรงขึ้น โดยมีแนวพัดสอบของลมตะวันตกเฉียงใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้บริเวณภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมบริเวณชายฝั่งประเทศจีนตอนใต้และอ่าวตังเกี๋ย ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักบางแห่ง โดยมีฝนตกหนักมากบางพื้นที่บริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคใต้ฝั่งตะวันตก สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยมีกำลังแรงขึ้น โดยบริเวณทะเลอันดามันตอนบนมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ทะเลอันดามันตอนล่างมีคลื่นสูง 1 - 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนอ่าวไทยทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูง 1 ? 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนในช่วงวันที่ 23 - 26 พ.ค. 67 ลมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามันตอนบน และด้านตะวันตกของประเทศไทยมีกำลังค่อนข้างแรง ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณดังกล่าวยังคงมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ส่วนคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันตอนบนมีกำลังค่อนข้างแรง โดยมีคลื่นสูง 2 ? 3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ทะเลอันดามันตอนล่างมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนอ่าวไทย ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูง 1 ? 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร อนึ่ง หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณอ่าวเบงกอลตอนล่างมีแนวโน้มจะมีกำลังแรงขึ้นเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรง และพายุดีเปรสชันในช่วงวันที่ 22 - 24 พ.ค. 67 และคาดว่าจะเคลื่อนขึ้นฝั่งบริเวณด้านตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศอินเดียในช่วงวันที่ 25 ? 26 พ.ค. 67 โดยพายุนี้ไม่มีผลกระทบโดยตรงต่อลักษณะอากาศของประเทศไทย ข้อควรระวัง ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสมซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม รวมทั้งเพิ่มความระมัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง ส่วนชาวเรือควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองตลอดช่วง สำหรับเรือเล็กบริเวณทะเลอันดามันตอนบนควรงดการเดินเรือในช่วงวันที่ 23 ? 26 พ.ค. 67 นี้ไว้ด้วย ****************************************************************************************************** ประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา เรื่อง ฝนตกหนักถึงหนักมากบริเวณประเทศไทย และคลื่นลมแรงบริเวณทะเลอันดามัน ฉบับที่ 4 (96/2567) ในช่วงวันที่ 21-24 พ.ค. 67 ลมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย ภาคใต้ และอ่าวไทยมีกำลังแรงขึ้น ในขณะที่มีแนวลมพัดสอบของลมตะวันออกเฉียงใต้และลมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมบริเวณภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักบางแห่ง โดยมีฝนตกหนักมากบางพื้นที่ในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม รวมทั้งเพิ่มความระมัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย จังหวัดที่คาดว่าจะมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง มีดังนี้ วันที่ 21 พฤษภาคม 2567 ภาคเหนือ: จังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง พะเยา น่าน แพร่ อุตรดิตถ์ ตาก กำแพงเพชร สุโขทัย พิจิตร พิษณุโลก และเพชรบูรณ์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: จังหวัดเลย หนองคาย บึงกาฬ อุดรธานี สกลนคร นครพนม ชัยภูมิ ขอนแก่น กาฬสินธุ์ มหาสารคาม ร้อยเอ็ด มุกดาหาร ยโสธร อำนาจเจริญ นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี ภาคกลาง: จังหวัดนครสวรรค์ อุทัยธานี ลพบุรี สระบุรี สุพรรณบุรี พระนครศรีอยุธยา กาญจนบุรี ราชบุรี นครปฐม สมุทรสาคร และสมุทรสงคราม ภาคตะวันออก: จังหวัดนครนายก ปราจีนบุรี สระแก้ว ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด ภาคใต้: จังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสตูล วันที่ 22 พฤษภาคม 2567 ภาคเหนือ: จังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง พะเยา น่าน แพร่ อุตรดิตถ์ ตาก กำแพงเพชร สุโขทัย พิจิตร พิษณุโลก และเพชรบูรณ์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: จังหวัดเลย หนองคาย บึงกาฬ อำนาจเจริญ อุดรธานี สกลนคร นครพนม ชัยภูมิ ขอนแก่น กาฬสินธุ์ มหาสารคาม ร้อยเอ็ด มุกดาหาร และนครราชสีมา ภาคกลาง: จังหวัดนครสวรรค์ อุทัยธานี ชัยนาท ลพบุรี สระบุรี สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา กาญจนบุรี ราชบุรี สุพรรณบุรี สมุทรสงคราม สมุทรสาคร นครปฐม รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออก: จังหวัดนครนายก ปราจีนบุรี สระแก้ว ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด ภาคใต้: จังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี ระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสตูล วันที่ 23-24 พฤษภาคม 2567 ภาคเหนือ: จังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ ลำปาง ตาก กำแพงเพชร และพิจิตร ภาคกลาง: จังหวัดนครสวรรค์ อุทัยธานี ชัยนาท กาญจนบุรี ราชบุรี สมุทรสงคราม สมุทรสาคร นครปฐม รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออก: จังหวัดระยอง จันทบุรี และตราด ภาคใต้: จังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี ระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสตูล อนึ่ง ในช่วงวันที่ 22-26 พ.ค. 67 หย่อมความกดอากาศต่ำที่ปกคลุมบริเวณอ่าวเบงกอลตอนล่างจะทวีกำลังแรงขึ้น และมีแนวโน้มจะเคลื่อนเข้าสู่อ่าวเบงกอลตอนบน ทำให้มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้มีกำลังค่อนข้างแรง ลักษณะเช่นนี้จะทำให้ภาคใต้มีฝนเพิ่มมากขึ้นโดยมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ส่วนคลื่นลมในบริเวณทะเลอันดามันมีกำลังค่อนข้างแรง โดยทะเลอันดามัน ตอนบนมีคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ส่วนทะเลอันดามันตอนล่างมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร สำหรับอ่าวไทยทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูง 1?2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันตอนล่างและอ่าวไทยควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง สำหรับชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันตอนบนควรงดการเดินเรือในระยะนี้ไว้ด้วย
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#2
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ
รวมจุดดำน้ำในประเทศไทย ที่เป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับนักดำน้ำทั่วโลก ปักหมุด 5 จุดดำน้ำในประเทศไทย ที่เป็นจุดหมายปลายทางสำหรับนักท่องเที่ยว และนักดำน้ำทั่วโลกต้องเดินทางมาสักครั้ง ประเทศไทย มีจุดแข็งในการท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก ด้วยแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมที่หลากหลาย และทรัพยากรธรรมชาติอันสมบูรณ์ ?การเที่ยวทะเลและชายหาด? รวมถึง ?กิจกรรมดำน้ำ? จึงเป็นสิ่งที่นักท่องเที่ยวในหลายๆ ประเทศใฝ่ฝันที่จะเดินทางมาท่องเที่ยวอย่างไม่ขาดสาย โดยท้องทะเลประเทศไทย ทั้งฝั่งอันดามันและอ่าวไทย มีทรัพยากรทางทะเลที่อุดมสมบูรณ์ และความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ที่สวยงามแตกต่างกันตามแต่ละพื้นที่ ทำให้นักดำน้ำ หรือนักท่องเที่ยว ต่างเพลิดเพลินกับสัตว์น้ำและปะการังหลากสีสัน ที่มากี่ครั้งก็ไม่มีเบื่อ ไทยรัฐออนไลน์ นำข้อมูลจาก Tourism Product ของ ททท. ที่มาแนะนำ 5 จุดดำน้ำยอดนิยมในประเทศไทย ที่นักท่องเที่ยวสายกิจกรรมดำน้ำต้องห้ามพลาด 5 จุดดำน้ำสวยในประเทศไทย กองปะการังเทียม เกาะลิบง จ.ตรัง ช่วงเวลาที่เหมาะสม : พฤศจิกายน-พฤษภาคม เกาะลิบง เป็นหนึ่งเกาะที่มีกองปะการังเทียมหลายสิบแห่งในทะเลตรัง โดยกองปะการังนี้ถูกสร้างขึ้นเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว เพื่อเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำ และด้วยความอุดมสมบูรณ์ของกระแสน้ำในละแวกกองปะการังเทียมนี้ ทำให้ได้รับแร่ธาตุและสารอาหารอย่างเต็มที่ ทำให้กองปะการังนี้มีสีชมพูที่สวยงามทั่วทั้งบริเวณ รวมถึงยังมีฝูงปลาเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่มากมาย ซึ่งเป็นหนึ่งจุดดำน้ำที่แปลกและสวยงามแบบไม่เหมือนใคร จุดดำน้ำแห่งนี้เหมาะสำหรับนักดำน้ำลึกแบบสกูบา และนักดำน้ำแบบฟรีไดพ์ที่มีประสบการณ์ นอกจากนี้เนื่องจากกองปะการังเทียมอยู่ในพื้นที่ใกล้ปากแม่น้ำ จึงควรเลือกดำน้ำในช่วงวันขึ้นและแรม 7-9 ค่ำ ระหว่างเวลาที่น้ำขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงตะกอนที่ทำให้น้ำขุ่น เกาะริ้น จ.ชลบุรี ช่วงเวลาที่เหมาะสม : ตุลาคม-พฤษภาคม เกาะริ้น คือหนึ่งในเกาะที่มีธรรมชาติใต้น้ำที่อุดมสมบูรณ์ และอยู่ใกล้กรุงเทพฯ ที่สามารถเดินทางได้ง่ายที่สุด โดยเกาะริ้นเป็นเกาะที่อยู่ในความดูแลของกองทัพเรือ และอนุญาตให้นักดำน้ำสามารถเข้ามาชื่นชมธรรมชาติได้ภายใต้เงื่อนไขด้านการดูแลรักษาธรรมชาติอย่างเคร่งครัด ธรรมชาติที่นี่จึงสวยงามและบริสุทธิ์เหมือนจุดดำน้ำที่เพิ่งถูกค้นพบใหม่ เนื่องมาจากถูกปิดไปเพื่อฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลเป็นระยะเวลานาน จุดดำน้ำหมายนี้ไม่ได้จำกัดเงื่อนไขในการดำน้ำ จึงขึ้นอยู่ที่ความลึก หรือตื้น หากเราดำน้ำแบบสกูบาลงไปที่ความลึก 15-17 เมตร จะได้พบกับดงปะการังอ่อนสีม่วง หรือดำน้ำแบบฟรีไดฟ์จะลงไปที่ความลึก 3-7 เมตร ก็จะได้เห็นปะการังแข็งที่สมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในไฮไลต์ของจุดดำน้ำของที่นี้ หินเพลิง จ.ระยอง ช่วงเวลาที่เหมาะสม : ตุลาคม-พฤษภาคม กองหินเพลิง เป็นหนึ่งในจุดดำน้ำที่นักดำน้ำมากมายต่างยกย่องให้เป็นจุดดำน้ำที่สวยที่สุดในภาคตะวันออก ด้วยกองหินแห่งนี้อยู่ไกลจากชายฝั่งค่อนข้างมาก จึงทำให้น้ำทะเลที่นี่ใส จนบางวันสามารถมองเห็นแนวปะการังได้จากบนเรือเลยทีเดียว กองหินเพลิง มีลักษณะเป็นกองหินใต้น้ำขนาดใหญ่ 2 กอง โดยกองหินด้านทิศตะวันตกมีความลึกมากกว่า ส่วนกองหินด้านทิศตะวันออกมียอดลึกจากผิวน้ำเพียง 3 เมตร และลดหลั่นเป็นแนวลาดชันไปถึงระดับความลึก 30 เมตร ซึ่งทั้งสองเป็นแหล่งอาศัยที่สำคัญของสัตว์น้ำมากมายหลายชนิด เราสามารถพบฝูงปลาข้างเหลือง ปลาหูช้าง ปลาสิงโต ปลาโนรี รวมไปถึงปลาฉลามวาฬ นอกจากนี้ที่นี่ยังมีปะการังหลากหลายชนิด ทั้งปะการังแข็ง ฟองน้ำครก แส้ทะเลสีแดงสด และทุ่งดอกไม้ทะเลบนยอดกองหินที่พลิ้วไหวไปตามกระแสน้ำเสมือนเปลวเพลิง จึงเป็นที่มาของชื่อ หินเพลิง เกาะเต่า จ.สุราษฎร์ธานี ช่วงเวลาที่เหมาะสม : กุมภาพันธ์-ตุลาคม หนึ่งในหมู่เกาะที่เป็นที่รวมตัวของนักดำน้ำทั่วโลกที่เยอะที่สุด นั่นก็คือ ?เกาะเต่า? เกาะกลางทะเลอ่าวไทย ซึ่งเป็นดั่งมหานครแห่งปะการัง นอกจากนี้ที่นี่ยังเป็นจุดเริ่มต้นของผู้ที่สนใจดำน้ำสกูบา โดยมีโรงเรียนสอนดำน้ำอยู่มากมาย ใครที่สนใจเริ่มกิจกรรมดำน้ำ มาที่นี่รับรองไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน เหตุนี้ทำให้นักเดินทางมากมายต่างมุ่งหน้ามาเพื่อฝึกฝนทักษะการดำน้ำ และใช้เวลาในการดำน้ำชื่นชมความงามของโลกใต้ทะเล ตามจุดดำน้ำที่มีอยู่มากมายหลายแห่งรอบๆ เกาะ แถมยังมีความสวยงามเป็นอย่างมาก นอกจากนี้สิ่งที่น่าดึงดูดบนเกาะเต่าที่นอกจากการดำน้ำแล้ว ที่นี่ยังมีความสงบ มีกิจกรรมให้ทำอยู่มากมาย ซึ่งเรียกว่าหากได้เดินทางมาท่องเที่ยวแล้ว จะหลงใหลอยู่บนเกาะแห่งนี้อย่างแน่นอน กองหินมูสัง หรือชาร์ค พอยท์ จ.ภูเก็ต ช่วงเวลาที่เหมาะสม : ตุลาคม-พฤษภาคม กองหินมูสัง หรือชาร์ค พอยต์ (Shark Point) เป็นเส้นทางระหว่างจากเกาะภูเก็ตไปหมู่เกาะพีพี ซึ่งเป็นหนึ่งจุดดำน้ำที่มีระบบนิเวศใต้น้ำที่สมบูรณ์ ในอดีตยังมีการพบปลาฉลามเสือดาวได้บ่อยครั้ง จึงถูกนำมาตั้งเป็นชื่อของหมุดหมายดำน้ำแห่งนี้ จุดดำน้ำแห่งนี้ ประกอบไปด้วยกองหิน 3 กอง เรียงตัวตามแนวเหนือใต้ กองด้านเหนือสุดเป็นหินพันน้ำ มีกระโจมไฟตั้งเป็นสัญลักษณ์, กองถัดมามียอดที่ระดับความลึก 5 เมตร และกองด้านใต้สุดมียอดที่ระดับความลึก 15 เมตร กองหินที่ได้รับความนิยมในการดำน้ำที่สุด คือ กองหินความลึกระดับ 5 เมตร เนื่องจากมีระดับความลึกไม่มาก และมีทิวทัศน์ใต้น้ำสวยงาม มีทั้งปะการังแข็ง กัลปังหา และฟองน้ำครก เปรียบเสมือนสวนปะการังใต้น้ำ ส่วนบริเวณยอดกองที่ความลึก 15 เมตร มีปะการังอ่อนหลากสีสันปกคลุมและสัตว์น้ำมากมาย ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดถ่ายภาพใต้น้ำที่สวยงาม เพราะมีระดับความลึกสำหรับทำเซฟตี้สตอป (Safety Stop) ในทุกๆ 5 เมตร ทำให้นักดำน้ำมีเวลาสำหรับการชื่นชม และถ่ายภาพธรรมชาติสวยงามได้เต็มที่ ซึ่งเป็นหนึ่งในโลเคชันดำน้ำที่ควรดำน้ำแบบสกูบา ข้อมูล : Tourism Product https://www.thairath.co.th/lifestyle...travel/2787047
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#3
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ
ไฟไหม้เรือใบหรู ลอยลำใกล้เกาะภูเก็ตวอดทั้งลำ กู้ภัยช่วยคนดูแลรอด เรือใบหรูต่างชาติจอดลอยลำกลางทะเลอันดามัน ระหว่างเกาะโหลนกับเกาะภูเก็ต เกิดเพลิงไหม้วอดทั้งลำ กู้ภัยไข่มุก รุดช่วยฝรั่งคนดูแลไว้ทันรอดปลอดภัย เสียหายนับสิบล้านบาท ตำรวจเร่งสอบสวนสาเหตุ เวลา 15.30 น. วันที่ 20 พ.ค. 67 ศูนย์ช่วยเหลือนักท่องเที่ยว จ.ภูเก็ต อบจ.ภูเก็ต (ศูนย์ไข่มุก) ได้รับการประสานจากศูนย์ศรชล 3 และตำรวจน้ำภูเก็ตว่า เกิดเหตุเพลิงไหม้เรือใบแบบท้องเดียวของชาวต่างชาติที่จอดทอดสมอลอยลำอยู่ระหว่างเกาะโหลนกับเกาะภูเก็ต ต.ราไวย์ อ.เมือง ห่างจากท่าเทียบเรืออ่าวฉลองราว 1 ไมล์ทะเล จึงรายงานนายเรวัต อารีรอบ นายก อบจ.ภูเก็ต เพื่อขอนำเรือตรวจการณ์ 1 ออกตรวจสอบร่วมกับเรือตรวจการณ์ตำรวจน้ำภูเก็ต ที่เกิดเหตุอยู่กลางทะเลอันดามัน พบเรือใบหรูสีขาวน้ำเงินแบบท้องเดียวถูกเพลิงกำลังลุกไหม้อย่างหนักจากภายในเรือและลุกลามไปยังท้ายเรืออย่างรวดเร็ว เจ้าหน้าที่ศูนย์ไข่มุกสามารถช่วยเหลือคนดูแลเรือที่เป็นชาวต่างชาติออกจากเรือที่กำลังถูกเพลิงไหม้ไว้ได้ทัน โดยไม่ได้รับอันตราย จากนั้นเจ้าหน้าที่พยายามที่จะดับเพลิงที่ลุกไหม้ แต่ไม่สามารถทำได้ เนื่องจากเพลิงได้โหมไหม้และลุกลามไปยังส่วนอื่นอย่างรวดเร็ว และไหม้วอดในที่สุด เหลือเพียงตัวเรือลอยลำอยู่ ส่วนอื่นๆ ถูกเพลิงเผาไหม้จนหมด เบื้องต้นค่าเสียหายนับสิบล้านบาท ส่วนสาเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ฉลอง อยู่ระหว่างการตรวจสอบร่วมกับเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลัก จ.ภูเก็ต สำหรับเรือใบลำดังกล่าวเป็นเรือใบแบบท้องเดียว ชื่อเรือ ออฟเซลชัน 2 (OBSESSION 2) หมายเลขทะเบียนเรือ 655100194 เป็นเรือประเภทนิติบุคคล วัสดุตัวเรือทำจากไฟเบอร์กลาส ชนิดเรือเป็นเรือกล ประเภทเรือกลเดินทะเลเฉพาะเขต ประเภทการใช้บรรทุกคนโดยสารจำนวน 16 คน เขตการเดินเรือลำน้ำและทะเล ระหว่างจังหวัดระนองกับจังหวัลสตูล ห่างจากฝั่งหรือเกาะไม่เกิน 24 ไมล์ทะเล ในเวลาคลื่นลมสงบ เรือมีขนาดกว้าง 8.05 เมตร ยาว 34.20 เมตร ลึก 3.60 เมตร น้ำหนักบรรทุก 155 ตันกรอส 1 เครื่องยนต์ดีเซล ราคาเรือพร้อมเครื่องยนต์ 5,334,600.00 บาท วันที่จดทะเบียน วันที่ 2 เดือน ก.พ.2565 โดยมีบริษัท เสลาลัย จำกัดเป็นเจ้าของเรือ ตั้งอยู่หมู่ 7 ต.วิชิต อ.เมือง จ.ภูเก็ต. (ขอบคุณภาพ-ศูนย์ไข่มุกและนิกรมารีน) https://www.thairath.co.th/news/local/south/2787077
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#4
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก กรุงเทพธุรกิจ
ปิดพื้นที่ท่องเที่ยวบางจุดในอุทยานฯ ทางทะเล 12 แห่ง ป้องกัน 'ปะการังฟอกขาว' กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ประกาศปิดแหล่งท่องเที่ยวในพื้นที่อุทยานแห่งชาติทางทะเล 12 แห่ง ทั้งฝั่งทะเลอันดามันและอ่าวไทย ที่เริ่มเกิด 'ปะการังฟอกขาว' เช่น หมู่เกาะสุรินทร์-สิมิลัน , หมู่เกาะชุมพร เพื่อให้ปะการังฟื้นฟู นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กล่าวถึงกรณีหลายพื้นที่ในเขตอุทยานแห่งชาติทางทะเลเกิด "ปะการังฟอกขาว" รุนแรงว่า จำเป็นต้องประกาศปิดแหล่งท่องเที่ยวในพื้นที่อุทยานแห่งชาติทางทะเล 12 แห่ง ทั้งฝั่งทะเลอันดามันและอ่าวไทย ที่เริ่มเกิดปะการังฟอกขาวแล้วประมาณร้อยละ 50 - 70 เช่น หมู่เกาะสุรินทร์-สิมิลัน , หมู่เกาะชุมพร เพื่อให้ปะการังฟื้นฟูและลดกิจกรรมจากการท่องเที่ยว และอยู่ระหว่างสำรวจเพิ่มเติมอีก 7 พื้นที่ สถานการณ์ปะการังฟอกขาว ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติทางทะเล การพบเจอปะการังฟอกขาว 12 แห่ง ได้แก่ 1. อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะช้าง 2. อุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้า - หมู่เกาะเสม็ด 3. อุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด 4. อุทยานแห่งชาติหาดวนกร 5. อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะชุมพร 6. อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ 7. อุทยานแห่งชาติสิรินาถ 8. อุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา 9. อุทยานแห่งชาติธารโบกขรณี 10. อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา - หมู่เกาะพีพี 11. อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะลันตา 12. อุทยานแห่งชาติหาดขนอม-หมู่เกาะทะเลใต้ ซึ่งการปิดพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวชั่วคราวจะช่วยลดกิจกรรมที่อาจเพิ่มผลกระทบกับปะการังฟอกขาว หากในอนาคตอุณหภูมิน้ำทะเลลดลงจะทำให้ปะการังฟื้นฟูและกลับมาได้ตามปกติ ส่วนการทดลองติดตั้งสแลนลดแสง (Shading) ในฝั่งทะเลอันดามันจะช่วยบังแสงแดดที่ร้อนจัดให้ปะการังได้ แต่กลับพบมีข้อจำกัดหลายอย่าง จึงประเมินวิธีปิดกิจกรรมรบกวนและให้ปะการังฟื้นฟูตัวเองดีที่สุด เพราะปะการังแต่ละชนิดแต่ละพื้นที่ใช้ระยะเวลาฟื้นฟูไม่เท่ากัน ปิดพื้นที่ท่องเที่ยวบางจุดในอุทยานฯ ทางทะเล 12 แห่ง ป้องกัน ?ปะการังฟอกขาว? ขณะที่ กองอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเล โดยส่วนฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเล ร่วมกับ ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลอันดามันตอนล่าง ได้ทดลองติดตั้งสแลนลดแสง (Shading) บริเวณแนวปะการังเกาะกา อ.เหนือคลอง จ.กระบี่ 5 แปลง กับปะการัง 3 รูปแบบ คือ รูปแบบแผ่น รูปแบบก้อน และรูปแบบกิ่งก้าน ที่มีลักษณะสีซีดจาง เมื่อเปรียบเทียบกับปะการังรูปแบบเดียวกันบริเวณใกล้เคียงที่ไม่ได้กางสแลนลดแสง และได้ติดตั้ง Data Temperature Logger เพื่อติดตามอุณหภูมิน้ำทะเลต่อเนื่อง https://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/travel/1127570
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#5
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ThaiPBS
เศรษฐกิจสีน้ำเงิน เพื่อมหาสมุทรที่เย็นลง ......... Earth Calling โดย ดร.เพชร มโนปวิตร "ปัญหาที่เราเผชิญอยู่ตอนนี้ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ พวกเราจะเป็นรุ่นสุดท้ายที่มีโอกาสเปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส ในการสร้างอนาคตที่เท่าเทียม ยั่งยืน และสร้างสรรค์ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมทศวรรษนี้จึงเป็นช่วงเวลาสำคัญที่เราต้องปกป้องมหาสมุทร ซึ่งเป็นตัวช่วยที่สำคัญที่สุดในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ" ? Peter Thomson ผู้แทนพิเศษของเลขาธิการสหประชาชาติว่าด้วยมหาสมุทร ภาวะโลกเดือดส่งผลกระทบอย่างหนักต่อโลกและมหาสมุทร น้ำทะเลที่อุ่นขึ้น มีความเป็นกรดมากขึ้น ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น และความถี่ของพายุที่เพิ่มขึ้นและรุนแรงมากขึ้น กำลังคุกคามระบบนิเวศทางทะเลโดยเฉพาะแนวปะการัง และหญ้าทะเล และนำไปสู่ความเสื่อมโทรมของธรรมชาติชายฝั่งอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทางรอดของมหาสมุทรในยุคโลกเดือดคืออะไร และการปกป้องมหาสมุทรจะช่วยให้เรารอดพ้นจากภัยพิบัติอันเนื่องมาจากสภาวะโลกร้อนได้อย่างไร ปี ค.ศ. 2024 กลายเป็นเหมือนหนังตัวอย่างที่แสดงถึงผลกระทบรุนแรงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศตั้งแต่สภาพอากาศร้อนนรกที่ทุกคนสัมผัสได้ด้วยตัวเอง ลงไปถึงน้ำทะเลที่อุ่นจนร้อนราวกับออนเซ็น แนวปะการังในประเทศไทยกำลังเผชิญกับปรากฏการณ์ฟอกขาวอันเป็นผลโดยตรงจากอุณหภูมิน้ำทะเลที่สูงขึ้นอย่างผิดปกติ องค์การบริหารมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติ (NOAA) ของสหรัฐอเมริกาซึ่งมีการติดตามข้อมูลสมุทรศาสตร์และปะการังอย่างใกล้ชิด ยืนยันแล้วว่าเรากำลังเผชิญกับปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวระดับโลกครั้งที่ 4 ตั้งแต่เคยมีการบันทึกมา แม้ปะการังทั่วโลกจะครอบคลุมพื้นที่เพียง 284,300 ตารางกิโลเมตร หรือแค่ 0.1% ของพื้นที่มหาสมุทรทั้งหมด แต่กลับเป็นแหล่งชีวิตใต้ท้องทะเลที่มีความหลากหลายทางชีวภาพมากที่สุด ปะการังเป็นที่อยู่อาศัยของปลาและสัตว์ทะเลกว่า 1 ล้านชนิด เป็นปราการธรรมชาติใต้น้ำ ช่วยบรรเทาอันตรายจากคลื่นลมและพายุ ที่สำคัญคือเป็นแหล่งสร้างรายได้สำคัญผ่านการท่องเที่ยวและการประมงให้กับชุมชนชายฝั่งราว 500 ล้านคน ในช่วง 70 ปีที่ผ่านมาโลกได้สูญเสียแนวปะการังไปแล้วราว ๆ ครึ่งหนึ่งจากกิจกรรมการพัฒนาต่าง ๆ ของมนุษย์ ปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวระดับโลกครั้งที่ 3 เมื่อปีค.ศ. 2010 ส่งผลให้ปะการังทั่วโลกราว 14% ตายลง โดยพื้นที่ที่เสียหายหนักคือในทะเลแคริบเบียน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันออก สอดคล้องกับข้อมูลจากกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งของไทยที่พบว่า เกิดปะการังฟอกขาวรุนแรงกว่า 50-90% ในหลายพื้นที่ของทะเลอันดามัน โดยมีอัตราการตายเฉลี่ย 25-40% และบางพื้นที่เสียหายเกือบทั้งหมด เรายังไม่รู้ว่าสภาวะโลกเดือดที่กำลังเกิดขึ้นในปีนี้ จะทำให้ปะการังเสียหายและเสื่อมโทรมลงอีกเท่าไหร่ ในขณะที่ช่วงต้นปีผลการสำรวจหญ้าทะเลในหลายพื้นที่ของประเทศไทยสะท้อนภัยคุกคามสำคัญที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนจากอุณหภูมิน้ำทะเลที่สูงเป็นประวัติการณ์ ประกอบกับภาวะระดับน้ำลงต่ำสุดผิดปกติ ทำให้หญ้าทะเลบริเวณกว้างต้องผึ่งแดดเป็นเวลานานกว่าปกติ จนนักวิจัยพบว่าหญ้าทะเลมีอาการตายนึ่ง แม้จะยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนว่าการเสื่อมโทรมของหญ้าทะเลเป็นบริเวณกว้างมีสาเหตุมาจากปัจจัยใดกันแน่ ไม่ว่าจะเป็นปริมาณดินตะกอนที่เพิ่มขึ้นจากการขุดลอกร่องน้ำ หรือการใช้สารเคมีในภาคการเกษตร? แต่เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นอีกปัจจัยที่ยิ่งซ้ำเติมระบบนิเวศที่มีความเปราะบางจากภัยคุกคามของกิจกรรมมนุษย์อยู่แล้ว ทุกวันนี้ผืนน้ำทะเลกว้างใหญ่ที่ปกคลุม 70% ของพื้นผิวโลกยังคงทำหน้าที่ดูดซับความร้อน ดูดซับคาร์บอน และบรรเทาผลกระทบจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศ ข้อมูลจากองค์การสหประชาชาติระบุว่ามหาสมุทรของเราผลิตออกซิเจนที่เราใช้หายใจกว่า 50% ดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ราว 30% ของก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดที่ปล่อยออกสู่ชั้นบรรยากาศจากกิจกรรมของมนุษย์ และกักเก็บความร้อนส่วนเกินกว่า 90% มหาสมุทร จึงไม่เพียงแค่เป็นปอดของโลก แต่ยังเป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอนที่ไม่อาจทดแทนได้ เป็นตัวช่วยสำคัญในการบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รายงานฉบับล่าสุดจากคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) ระบุว่า ระบบนิเวศชายฝั่งมีประสิทธิภาพในการกักเก็บคาร์บอนสูงกว่าระบบนิเวศบนบกถึง 10 เท่า ที่เรียกว่า คาร์บอนสีน้ำเงิน (blue carbon) โดยเฉพาะป่าชายเลนและหญ้าทะเล พืชเหล่านี้ดูดซับคาร์บอนได้ดีเยี่ยมและเก็บสะสมในดินตะกอนและชั้นใต้ทะเลเป็นเวลานานหลายร้อยปี มีการศึกษาว่าป่าชายเลนสามารถกักเก็บคาร์บอนได้มากถึง 1,000 ตันต่อเฮกตาร์ (6.25 ไร่) หรือราว 5 เท่าของป่าดิบชื้นในอเมซอน ในขณะที่มีงานวิจัยรายงานว่าหญ้าทะเลสามารถดูดซับคาร์บอนได้เร็วกว่าป่าฝนเขตร้อนถึง 35 เท่าและแม้จะครอบคลุมพื้นที่เพียง 0.1% ของมหาสมุทรแต่สามารถกักเก็บคาร์บอนได้ถึง 10-18% ของปริมาณคาร์บอนในมหาสมุทรทั้งหมด "เคยมีการคำนวณว่า ถ้าเราปล่อยให้มหาสมุทรได้ทำหน้าที่ตามธรรมชาติ มันจะช่วยกำจัดคาร์บอนออกจากชั้นบรรยากาศและช่วยควบคุมอุณหภูมิโลกได้ถึง 20-35% เลยทีเดียว" Callum Roberts ศาสตราจารย์ด้านชีววิทยาทางทะเล มหาวิทยาลัย Exeter สหราชอาณาจักร อธิบาย Leticia Carvalho หัวหน้าหน่วยงานทางทะเลของโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) กล่าวว่า "วิทยาศาสตร์บอกเราว่าเราต้องลดการปล่อยคาร์บอนลงอย่างน้อย 45% ภายในปีค.ศ. 2030 หรือในอีกแค่ 6 ปีข้างหน้า ทั้งยังต้องเร่งเพิ่มพื้นที่คุ้มครองทางทะเลให้ได้ 30% ภายในช่วงเวลาเดียวกัน เพื่อสร้างความยืดหยุ่นให้กับระบบนิเวศและชุมชนชายฝั่ง แต่เวลาเหลือน้อยเต็มที" Carvalho ตอกย้ำ รายงานวิจัยจากคณะผู้ทรงคุณวุฒิระดับสูงว่าด้วยเศรษฐกิจยั่งยืนทางทะเล (High Level Panel for a Sustainable Ocean Economy ? Ocean Panel) ชี้ว่า แนวทางการใช้มหาสมุทรเป็นตัวช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 35% ของปริมาณการลดลงที่จำเป็นในแต่ละปีจนถึงปี ค.ศ. 2050 เพื่อจำกัดอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกไม่ให้เพิ่มขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส ซึ่งสูงกว่าการคาดการณ์เดิมที่คาดว่ามหาสมุทรจะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกราว 21% รายงานฉบับดังกล่าวได้ให้แนวทางการใช้มหาสมุทรเพื่อแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Ocean ? based Climate Solutions) ไว้ทั้งสิ้น 7 แนวทาง ดังนี้ 1. สงวนรักษา และฟื้นฟูระบบนิเวศชายฝั่งและทางทะเล ไม่ว่าจะเป็น ป่าชายเลน หญ้าทะเล หรือ ป่าพรุชายฝั่ง อันเป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอนธรรมชาติที่มีประสิทธิภาพ 5 เท่าของป่าเขตร้อน ดูดซับคาร์บอนได้เร็วกว่า 3 เท่า นอกจากการดูดซับคาร์บอนแล้ว ระบบนิเวศเหล่านี้ยังมีประโยชน์มากมายต่อความมั่นคงทางอาหาร การท่องเที่ยว ความหลากหลายทางชีวภาพ และป้องกันชุมชนชายฝั่งจากภัยพิบัติ การปกป้องและฟื้นฟูระบบนิเวศเหล่านี้ สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้เทียบเท่ากับการปิดโรงไฟฟ้าถ่านหิน 76 แห่งในปี 2050 2. ขยายการผลิตอาหารทะเลที่ยั่งยืน ปัจจุบันความต้องการอาหารโปรตีนเพิ่มสูงขึ้นตามการเติบโตของประชากรโลก อาหารทะเลอย่าง สาหร่าย ปลา และหอยเป็นทางเลือกโปรตีนที่ใช้ทรัพยากรน้อยกว่าและยั่งยืนกว่า เมื่อเทียบกับเนื้อวัวและเนื้อแกะ การส่งเสริมการบริโภคอาหารจากท้องทะเล นอกจากจะช่วยกระจายทางเลือกให้กับผู้บริโภคแล้ว ยังสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกถึง 1.47 พันล้านตันต่อปีภายในปี 2050 เท่ากับการปิดโรงไฟฟ้าถ่านหินถึง 393 แห่ง ทั้งนี้ต้องเป็นการประมงและการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่ยั่งยืนอีกด้วย 3.ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการท่องเที่ยวทางทะเล อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวทางทะเลโดยเฉพาะการท่องเที่ยวโดยเรือ สร้างรายได้มหาศาลให้กับประเทศที่เป็นเกาะเล็ก ๆ และหลายประเทศที่มีชายฝั่งมากมาย แต่การล่องเรือก็นับว่าเป็นตัวการสำคัญในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยการศึกษาชิ้นหนึ่งระบุว่า เรือสำราญขนาดใหญ่ลำหนึ่ง ปล่อยคาร์บอนมากเท่ากับรถยนต์ 12,000 คัน และมลพิษอื่น ๆ เช่น กำมะถัน หรือฝุ่นละอองคาร์บอน ทั้งยังทำลายระบบนิเวศและส่งผลเสียต่อสุขภาพของมนุษย์ด้วย การลดมลพิษจากเรือท่องเที่ยว อาทิ การใช้เชื้อเพลิงที่สะอาดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพการเดินเรือ จะสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 0.1 พันล้านตันในปี 2050 หรือเทียบเท่าการปิดโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ 251 แห่ง 4. ลดการขุดเจาะน้ำมันและก๊าซนอกชายฝั่ง การลดการขุดเจาะน้ำมันและก๊าซนอกฝั่งเป็นหนึ่งในโอกาสสำคัญที่สุดในการใช้มหาสมุทรเพื่อรับมือกับภาวะโลกร้อน โดยมีศักยภาพในการลดก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 5.3 พันล้านตันต่อปี ในปี 2050 หรือเทียบเท่ากับการเอารถยนต์ 1,100 ล้านคันออกจากท้องถนน อย่างไรก็ตาม ต้องมีการเพิ่มแหล่งพลังงานปลอดมลพิษ เช่นพลังงานหมุนเวียนจากทะเล ขึ้นมาทดแทนด้วย เพื่อตอบสนองความต้องการเดิมที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล และเพื่อเร่งให้เกิดการปรับเปลี่ยน รัฐบาลควรยุติการอุดหนุนเชื้อเพลิงฟอสซิล ออกกฎหมายยุติการเผาแก๊สที่เกิดขึ้นในแหล่งน้ำมันหรือก๊าซ ยุติการอนุญาตสัมปทานขุดเจาะน้ำมันและก๊าซใหม่ และหันไปลงทุนในความมั่นคงด้านพลังงานสะอาดเพื่อชุมชนที่มีความเปราะบางทางเศรษฐกิจ 5.เร่งการใช้พลังงานหมุนเวียนจากทะเล อาทิ พลังงานลมนอกชายฝั่ง พลังงานแสงอาทิตย์แบบลอยน้ำ พลังงานจากน้ำขึ้นน้ำลง และพลังงานกระแสน้ำ ซึ่งสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 3.6 พันล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์ในปี 2050 หรือมากกว่าก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยรวมกันจากประเทศในสหภาพยุโรป 27 ประเทศในปี 2021 เลยทีเดียว ปัจจุบันการลงทุนพลังงานหมุนเวียนจากทะเลกำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด อาทิ เป้าหมายการใช้พลังงานลมนอกชายฝั่งทั่วโลก เพิ่มเป็นสองเท่าในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา 6. ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการขนส่งทางทะเล ปัจจุบันการขนส่งระหว่างประเทศกว่า 80% เป็นการขนส่งทางทะเล หากนับอุตสาหกรรมการเดินเรือเหมือนประเทศหนึ่ง จะติดอันดับ 10 ประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดในโลก ดังนั้นการลดการปล่อยมลพิษจากการเดินเรือ ทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพ การใช้เชื้อเพลิงแบบใหม่ ๆ รวมถึงการลดความเร็วของเรือและวางแผนเส้นทางเดินเรือ สามารถลดก๊าซเรือนกระจกจากการเดินเรือได้ถึง 2 พันล้านตัน ภายในปี 2593 เทียบเท่ากับการเอารถยนต์ 400 ล้านคันออกจากท้องถนนทุกปี 7. ใช้ประโยชน์จากศักยภาพของมหาสมุทรในการกักเก็บและกำจัดคาร์บอน เทคโนโลยีการกักเก็บและกำจัดคาร์บอนโดยอาศัยท้องทะเล ประกอบด้วยเทคโนโลยีที่ใช้แล้วอย่าง การรับซื้อคาร์บอนไดออกไซด์จากโรงไฟฟ้าหรือโรงงานอุตสาหกรรม และส่งผ่านท่อลงไปเก็บใต้พื้นทะเล ซึ่งสามารถกักเก็บคาร์บอนไว้ได้อย่างถาวร ปัจจุบันเริ่มสามารถลดก๊าซเรือนกระจกได้ราว 1 พันล้านตันใน 2050 รวมถึงมีเทคโนโลยีที่อยู่ในระหว่างการศึกษา อย่างการเพิ่มความเป็นด่างในน้ำทะเล เพื่อช่วยเพิ่มการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือการทำให้เกิดการเจริญเติบโตของสาหร่ายขนาดใหญ่ เพื่อดูดซับคาร์บอน แม้ว่าเทคโนโลยีเหล่านี้ยังต้องการการวิจัยด้านผลกระทบเชิงนิเวศวิทยาและเศรษฐกิจสังคมเพิ่มเติม แต่ก็ถือเป็นหนึ่งความหวังในอนาคต (มีต่อ)
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#6
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ThaiPBS
เศรษฐกิจสีน้ำเงิน เพื่อมหาสมุทรที่เย็นลง ........ ต่อ ท่ามกลางปัญหาโลกเดือด การอนุรักษ์และฟื้นฟูระบบนิเวศทางทะเล โดยเฉพาะแหล่งกักเก็บคาร์บอนสีน้ำเงิน การส่งเสริมพลังงานหมนุเวียนจากท้องทะเล และเสริมความยืดหยุ่นให้กับชุมชนชายฝั่งที่เปราะบาง จึงเป็นสิ่งที่วงการพัฒนาให้ความสนใจมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่แน่นอนที่สุด ภาระหนักหนานั้นจะตกไปอยู่กับประเทศกำลังพัฒนา ที่พึ่งพาทรัพยากรจากทะเลเป็นหัวใจของการพัฒนา ไม่ว่าจะเป็นการประมง การท่องเที่ยว หรือกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากมาย ซึ่งเป็นรากฐานความเป็นอยู่ของผู้คนอีกจำนวนมาก หากเราสามารถปลดล็อกศักยภาพของมหาสมุทรในการต่อสู้กับโลกร้อนได้จริง ผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นย่อมมากกว่าแค่การบรรเทาวิกฤตสภาพภูมิอากาศเพียงด้านเดียว แต่ยังหมายถึงโอกาสในการฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ของท้องทะเล สร้างความมั่นคงด้านอาหารและพลังงาน การจ้างงานที่ยั่งยืน ไปจนถึงการส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชนชายฝั่ง ซึ่งถือเป็นรากฐานสำคัญของเศรษฐกิจสีน้ำเงินหรือ Blue Economy นั่นเอง โดยหลักการ เศรษฐกิจสีน้ำเงิน จึงหมายถึง การสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจจากการใช้ประโยชน์ทรัพยากรจากท้องทะเลอย่างยั่งยืน ควบคู่ไปกับการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมและความเป็นอยู่ที่ดีของผู้คน ไม่ว่าจะเป็นภาคประมง การขนส่ง การท่องเที่ยว พลังงานหมุนเวียน ฯลฯ ซึ่งล้วนพึ่งพาความสมบูรณ์ของระบบนิเวศในมหาสมุทร การสร้างสมดุลระหว่างการใช้ประโยชน์และการอนุรักษ์จึงเป็นหัวใจสำคัญ ช่วงเวลาที่ผ่านมาเราให้น้ำหนักไปกับการพัฒนาจนหลงลืมไปว่า เราจำเป็นต้องอนุรักษ์ต้นทุนธรรมชาติเหล่านี้เอาไว้ด้วย เวทีสหประชาชาติได้ประกาศให้ช่วงปีค.ศ. 2021-2030 เป็นทศวรรษแห่งมหาสมุทรเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (UN Decade of Ocean Science for Sustainable Development) เพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศในการสร้างความรู้และโอกาสจากมหาสมุทร ขณะเดียวกันก็ต้องลดแรงกดดันจากกิจกรรมของมนุษย์และปกป้องระบบนิเวศทางทะเลที่เสื่อมโทรมอย่างรวดเร็ว แม้วิกฤตโลกร้อน ภาวะโลกเดือดจะเป็นความท้าทายที่หนักหน่วง แต่ก็เป็นโอกาสดีที่มวลมนุษยชาติจะได้ทบทวนความสัมพันธ์กับธรรมชาติและมหาสมุทรใหม่ ความพยายามในการปกป้องและฟื้นฟูมหาสมุทรเพื่อบรรเทาวิกฤตสภาพภูมิอากาศ จะไม่เพียงแค่ช่วยกอบกู้อนาคตของท้องทะเล แต่ยังเปิดโอกาสสู่การพัฒนาเศรษฐกิจสีน้ำเงินที่เติบโตอย่างเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อการอยู่รอดร่วมกันอย่างยั่งยืนของมนุษย์และธรรมชาติ การฟื้นฟูสมดุลความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับชุมชน และสร้างรูปแบบเศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมหรือเศรษฐกิจสีน้ำเงิน จึงเป็นโจทย์ท้าทายสำหรับมนุษยชาติในการรักษาอนาคตของมหาสมุทร และมวลมนุษย์ให้อยู่รอดได้ท่ามกลางวิกฤตโลกเดือดในครั้งนี้ https://decode.plus/20240503-ocean-s...climate-crisis
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
|