|
#1
|
||||
|
||||
สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันอังคารที่ 6 สิงหาคม 2567
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ยังคงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณประเทศลาวและเวียดนามตอนบน ส่งผลให้ประเทศไทยยังคงมีฝนฟ้าคะนอง และมีฝนตกหนักบางแห่งในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่มไว้ด้วย สำหรับบริเวณทะเลอันดามันตอนบนตั้งแต่จังหวัดระนองขึ้นมา ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือในบริเวณดังกล่าวเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองในระยะนี้ไว้ด้วย กรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 24-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-35 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-20 กม./ชม. คาดหมาย ในช่วงวันที่ 6 ? 7 ส.ค. 67 ร่องมรสุมพาดผ่านตอนบนของภาคเหนือ ประเทศลาวตอนบน เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำประเทศเวียดนามตอนบนประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางพัดปกคลุมทะเลอันดามันตอนบน ประเทศไทย และอ่าวไทย ลักษณะเช่นนี้จะทำให้ประเทศไทยมีฝนฟ้าคะนองและมีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนในช่วงวันที่ 8 ? 11 ส.ค. 67 มรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางยังคงพัดปกคลุมทะเลอันดามันตอนบน ประเทศไทย และอ่าวไทย ลักษณะเช่นนี้จะทำให้ประเทศไทยมีฝนลดลง แต่ยังคงฟ้าคะนองบางแห่ง สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันมีกำลังปานกลาง โดยทะเลอันดามันตอนบนมีคลื่นสูง 1 - 2 เมตร บริเวณฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนบริเวณทะเลอันดามันตอนล่างและอ่าวไทยมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร และบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 1 เมตร ข้อควรระวัง ในช่วงวันที่ 6 - 7 ส.ค. 67 ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสมซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม และเพิ่มความระมัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง ตลอดช่วง สำหรับชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง ตลอดช่วง
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#2
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการ
อยากผิวพรรณดีต้องรู้จัก 'สาหร่ายสีแดง' สรรพคุณดูแลผิวไม่ธรรมดา! ภาพจาก commons.wikimedia.org หลายคนคงรู้จัก "สาหร่ายสีแดง" ซึ่งเป็นสาหร่ายที่เกิดในน้ำทะเลมากกว่าน้ำจืด และที่ผ่านมา มีการค้นคว้าวิจัยระบุว่า ในสาหร่ายสีแดง มีสารอาหารที่เรียกว่า "แอสตาแซนทิน" ซึ่งมีสรรพคุณมากมาย โดยเฉพาะในด้านการช่วยดูแลผิวพรรณ โดย "แอสตาแซนทิน" นับเป็นสารอาหารยืนหนึ่งเรื่องลดเลือนริ้วรอย พบได้ในปลาแซลมอน ปลาเทราต์ ไข่ปลาคาเวียร์ กุ้ง ปู ล็อบสเตอร์ เคย ฯ และพบได้มากเป็นพิเศษในสาหร่ายสีแดงอย่างที่บอก ดังนั้น ในปัจจุบัน จึงมีการสกัดสารแอสตาแซนทินจากสาหร่ายสีแดงมาเป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ช่วยดูแลผิวพรรณกันอย่างแพร่หลาย และนี่ก็คือสรรพคุณ 5 อย่างที่ดีต่อผิวพรรณของแอสตาแซนทินที่สกัดจากสาหร่ายสีแดง 1. เป็นสารต้านอนุมูลอิสระชั้นเลิศ 2. ช่วยปกป้องเซลล์ผิวอย่างล้ำลึก 3. ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ผิว 4. ป้องกันไม่ให้เกิดริ้วรอยก่อนเวลาอันควร 5. ปกป้องผิวจากการถูกทำลายโดยแสงแดด และรังสี UV เห็นสรรพคุณแล้ว ก็ต้องบอกว่า ได้ใจสายรักผิวไปแบบเต็ม ๆ แทบจะวิ่งไปหาโปรดักต์สกัดจากสาหร่ายสีแดงมาใช้กันเลยทีเดียว แต่ยังไงก็ตรวจสอบให้แน่ใจด้วยนะว่าผลิตภัณฑ์นั้น ๆ ได้รับการยืนยันรับรองจาก อย. หรือเปล่า https://mgronline.com/goodhealth/detail/9670000071367
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#3
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก SpringNews
"ลานีญา" มาแล้ว! โอกาส?เสี่ยงกระทบภาคเกษตร ทำเงินเฟ้อ ข้าวของแพง SHORT CUT - ขณะนี้ทุกภูมิภาคของประเทศไทยฝนตกชุกแบบชุ่มช่ำกันทุกวัน จะเดินทางไปไหนมาไหนก็สุดแสนจะลำบาก หรืออาจเรียกได้ว่าปรากฏการณ์ลานีญาได้อย่างเต็มปากก็ว่าได้ - กรมอุตุนิยมวิทยา ออกมาคาดการณ์ปริมาณฝนประเทศไทยหลังจากนี้จะลดลงแต่ภาคเหนือและอีสานจะยังคงมีฝนตกหนัก โดยเป็นผลจาก "ลานีญา" ที่จะเริ่มจะมีผลกระทบจากนี้ไปจนถึงปลายปี - รู้หรือไม่? ลานีญา มาแล้ว! โอกาส?เสี่ยงกระทบภาคเกษตร ทำเงินเฟ้อ ข้าวของแพง "ลานีญา" เริ่มเข้ามาให้ประเทศไทยได้เห็นแล้ว เพราะ...ฝนตก ในหลายพื้นที่เกือบทุกวัน ทำให้ปริมาณน้ำสูงขึ้น บางพื้นที่เริ่มน้ำท่วมแล้ว แน่นอนว่าผลกระทบลานีญาเสี่ยงต่อการเกษตร และอาจทำให้เงินเฟ้อ ข้าวของแพงได้ ต้องยอมรับว่าขณะนี้ทุกภูมิภาคของประเทศไทยฝนตกชุกแบบชุ่มช่ำกันทุกวัน จะเดินทางไปไหนมาไหนก็สุดแสนจะลำบาก หรืออาจเรียกได้ว่าปรากฏการณ์ลานีญาได้อย่างเต็มปากก็ว่าได้ โดยล่าสุด กรมอุตุนิยมวิทยา ออกมาคาดการณ์ปริมาณฝนประเทศไทยหลังจากนี้จะลดลงแต่ภาคเหนือและอีสานจะยังคงมีฝนตกหนัก โดยเป็นผลจาก "ลานีญา" ที่จะเริ่มจะมีผลกระทบจากนี้ไปจนถึงปลายปี จากปรากฏการณ์ลานีญา ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยในตอนนี้จึงทำให้ ในวันที่ 5 สิงหาคม2567 นายกรัฐมนตรีมีกำหนดการ "ประชุมหารือบริหารจัดการน้ำ" ที่ศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะ กรมชลประทาน โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ อธิบดีกรมชลประทาน เตรียมรับมือ "ลานีญา" เต็มสูบ และสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) เข้าร่วมประชุม โดยนายกรัฐมนตรีจะกล่าวมอบนโยบายและข้อสั่งการ พร้อมด้วยการแถลงแนวทางการบริหารจัดการน้ำของรัฐบาลหลังจากที่สถานการณ์น้ำทั่วประเทศขณะนี้มีบางพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากปริมาณน้ำสูง โดยเฉพาะพื้นที่การเกษตรที่ได้รับความเสียหาย ทั้งนี้ กรมอุตุนิยมวิทยา เผยว่า ประเทศไทยเข้าสู่สภาวะ "ลานีญา" แล้ว ในช่วง เดือน ก.ค.- ก.ย.67 ต่อเนื่องไปจนถึง ธ.ค. 67 ถึง ก.พ. 68 ทำให้ครึ่งปีหลังมีฝนตกหนักเพิ่มขึ้นเล็กน้อย สำหรับฤดูหนาวปีนี้อุณหภูมิจะลดต่ำลงกว่าปีที่แล้ว สำหรับปรากฏการณ์ที่กลับกันกับเอลนีโญ กล่าวคือ อุณหภูมิผิวน้ำทะเลบริเวณตอนกลางและตะวันออกของแปซิฟิกเขตศูนย์สูตรมีค่าต่ำกว่าปกติ เนื่องจากลมค้าตะวันออกเฉียงใต้มีกำลังแรงมากกว่าปกติ จึงพัดพาผิวน้ำทะเลที่อุ่นจากตะวันออกไปสะสมอยู่ทางตะวันตกมากยิ่งขึ้น จากปรากฎการณ์ดังกล่าวจึงทำให้บริเวณดังกล่าวซึ่งเดิมมีอุณหภูมิผิวน้ำทะเลและระดับน้ำทะเลสูงกว่าทางตะวันออกอยู่แล้วยิ่งมีอุณหภูมิและระดับน้ำทะเลสูงขึ้นไปอีก ปรากฏการณ์ลานีญาเกิดขึ้นได้ทุก 2 ? 3 ปี และปกติจะเกิดขึ้นนานประมาณ 9 ? 12 เดือน แต่บางครั้งอาจปรากฏอยู่ได้นานถึง 2 ปี เช็กผลกระทบของลานีญาต่อปริมาณฝน-อุณหภูมิในไทย อย่างไรก็ตามจากการศึกษาสภาวะฝนและอุณหภูมิของประเทศไทยในปีเอลนีโญ โดยใช้วิธีวิเคราะห์ค่า composite percentile ของปริมาณฝน และ composite standardized ของอุณหภูมิในปีเอลนีโญ จากข้อมูลปริมาณฝนและอุณหภูมิรายเดือน ในช่วงเวลา 50 ปี ตั้งแต่ พ.ศ. 2494 ถึง 2543 พบว่า ในปีลานีญาปริมาณฝนของประเทศไทยส่วนใหญ่สูงกว่าปกติ โดยเฉพาะช่วงฤดูร้อนและต้นฤดูฝนเป็นระยะที่ลานีญามีผลกระทบต่อสภาวะฝนของประเทศไทยชัดเจนกว่าช่วงอื่น และพบว่าในช่วงกลางและปลายฤดูฝนลานีญามีผลกระทบต่อสภาวะฝนของประเทศไทยไม่ชัดเจน "สำหรับอุณหภูมิปรากฏว่าลานีญามีผลกระทบต่ออุณหภูมิในประเทศไทยชัดเจนกว่าฝน โดยทุกภาคของประเทศไทยมีอุณหภูมิต่ำกว่าปกติทุกฤดู และพบว่าลานีญาที่มีขนาดปานกลางถึงรุนแรงส่งผลให้ปริมาณฝนของประเทศไทยสูงกว่าปกติมากขึ้น ขณะที่อุณหภูมิต่ำกว่าปกติมากขึ้น" เปิดผลกระทบ "ลานีญา" ต่อภาคการเกษตรไทย ลานีญา ยังเสี่ยงต่อกระทบกับอุตสาหกรรมยางพาราไทย ถ้าฝนตกในปริมาณมาก อย่างเช่นบทเรียนเมื่อปี 2565 ภาคใต้ได้เกิดภาวะลานีญา ทำน้ำฝนมากกว่าปกติประมาณ 25 % โดยตั้งแต่เดือนกันยายน ตุลาคม พฤศจิกายน จากฝนตกในพื้นที่ต่อเนื่องแทบทุกวัน ทำให้ชาวสวนไม่สามารถออกไปกรีดยางได้มาประมาณ 2 เดือนเต็มแถมน้ำยางยังเสี่ยงต่อการถูกน้ำฝนผสมลงไปอีกด้วยทำให้ไม่ได้คุณภาพ สำหรับความเสี่ยงอื่นๆต่อภาคเกษตร คือ หากฝนตกนาน หรือน้ำขัง จะทำให้เกิดโรคพืชได้ง่าย เช่น รากเน่า พืชเศรษฐกิจล้มตาย ผลผลิตเสี่ยงหาย โดยเฉพาะหากน้ำท่วมจะทำให้ผลผลิตทางการเกษตรได้รับความเสียหายจำนวนมาก ส่งผลทำให้ราคาสินค้าเกษตรพุ่งสูงขึ้นตามมา นอกจากนี้ยังก่อให้เกิดความเสียหายให้กับบ้านเรือนของประชาชน เตือนรับมือ "ลานีญา" ให้ดี International Research Institute for Climate and Society (IRI) คาดการณ์ว่า มีความน่าจะเป็น 2% ที่จะเกิดปรากฏการณ์ลานีญาในช่วงเดือนเมษายน-มิถุนายน และความน่าจะเป็นที่จะเกิดปรากฏการณ์ลานีญา จะเพิ่มสูงขึ้นเป็น 58% ในช่วงเดือนกรกฎาคม-กันยายน "แน่นอนว่า "ลานีญา" เป็นปรากฏการณ์ที่ตรงข้ามกับ "เอลนีโญ" กล่าวคือ จะมีปริมาณฝนที่มากกว่าปีปกติ ส่งผลให้มีความเสี่ยงที่จะเกิดอุทกภัย ซึ่งสามารถสร้างความเสียหายได้หลากหลายประเภทมากกว่าภัยแล้ง ขณะที่ผลผลิตทางการเกษตร จะได้รับผลกระทบตามปริมาณน้ำและความรุนแรงในการไหลผ่านพื้นที่ รวมถึงส่งผลต่อระดับราคาสินค้าเกษตรให้สูงขึ้นจากปัญหาภาวะอุปทานขาดแคลน อาทิ ข้าวนาปี ที่จะเก็บเกี่ยวผลผลิตในช่วงเดือนพฤศจิกายนบางส่วนจะได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมขัง ทำให้ผลผลิตเสียหาย และออกสู่ตลาดล่าช้าไปอย่างน้อย 1 เดือน" โดยแนวทางการรับมือต่ออุปสรรคของภาคเกษตรในปี 67 ของแต่ละภาคส่วนมีดังนี้ 1. เกษตรกร ควรประยุกต์ใช้ความรู้ด้านการเพาะปลูกสมัยใหม่ที่พึ่งพาการใช้ทรัพยากรน้ำน้อยกว่าเดิม เช่น การทำนาเปียกสลับแห้ง และปรับปรุงประสิทธิภาพในการผลิตเพื่อลดต้นทุน เช่น การวิเคราะห์ดิน เพื่อวางแผนการใช้ปุ๋ยได้ตรงกับลักษณะดิน รวมทั้งช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในกระบวนการเพาะปลูก ควรเสริมสร้างขีดความสามารถให้มีความรู้และทักษะใหม่ๆ ในการปรับตัวให้เข้ากับแนวโน้มของตลาดที่เปลี่ยนแปลง รวมถึงทำความเข้าใจพลวัตของตลาดโลก เทคนิคการเกษตรใหม่ๆ มาตรฐานด้านคุณภาพสินค้าเกษตร และกฎระเบียบและมาตรการทางการค้าระหว่างประเทศ 2. ธุรกิจเกษตรแปรรูป ควรให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการวัตถุดิบ เพื่อรับมือกับความผันผวนของต้นทุนสินค้าเกษตร เช่น การทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้ากับเกษตรกร จะช่วยลดแรงกดดันด้านต้นทุนในช่วงที่ราคาวัตถุดิบปรับเพิ่มขึ้นได้ ควรร่วมมือกับเกษตรกรในการประยุกต์ใช้ Climate Tech เพื่อช่วยบริหารจัดการฟาร์ม ติดตามข้อมูลสภาพอากาศและภัยธรรมชาติ และสร้างเครือข่ายการตลาดสินค้าเกษตรออนไลน์ "ควรศึกษาและติดตามกฎระเบียบการค้าระหว่างประเทศ เนื่องจากกฎระเบียบการค้า โดยเฉพาะด้านสิ่งแวดล้อมมีการยกระดับอยู่เสมอ และมีแนวโน้มเข้มงวดขึ้น รวมถึงมีโอกาสขยายขอบเขตไปยังสินค้ากลุ่มอื่นๆ เพิ่มเติม โดยเฉพาะตลาดสหภาพยุโรป และสหรัฐอเมริกา ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคทางการค้าสำหรับผู้ส่งออกไทยที่ไม่สามารถปรับตัวได้" 3. ภาครัฐ วางแผนการจัดสรรน้ำเพื่อการเพาะปลูกพืชให้สอดคล้องกับปริมาณน้ำต้นทุนที่มีอยู่ และควรให้ความสำคัญกับการลงทุนบริหารจัดการน้ำ โดยเฉพาะการลงทุนเพิ่มแหล่งกักเก็บน้ำในพื้นที่นอกเขตชลประทาน พัฒนาเทคโนโลยีการพยากรณ์อากาศ และระบบเตือนภัยล่วงหน้าที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลขนาดใหญ่ เพื่ออำนวยความสะดวกให้เกษตรกรสามารถวางแผนการเพาะปลูก และเตรียมพร้อมรับมือกับสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงได้ "นอกจากนี้ยังต้องส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษา ในการเผยแพร่ และพัฒนาองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับบริบทการเกษตรของประเทศไทยสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาพันธุ์พืช และปศุสัตว์ที่ทนแล้ง รวมทั้งสภาพภูมิอากาศที่มีแนวโน้มแปรปรวนมากขึ้น" ซึ่งเป็นแนวทางหนึ่งที่สามารถช่วยลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศได้ อีกทั้งยังช่วยลดการใช้น้ำในการเพาะปลูก ส่งผลให้การใช้น้ำในภาคเกษตรมีประสิทธิภาพมากขึ้นพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น เช่น การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตและระบบขนส่งสินค้าเกษตร เพื่อรองรับการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในพื้นที่เกษตรกรรมห่างไกลและในชนบทจังหวัดควรมีแนวทางด้าน BCG เพื่อแก้ไขปัญหาในพื้นที่ที่แตกต่างกัน หวั่น ลานีญา' สะเทือนไทย ดันเงินเฟ้อสูง ขณะที่ สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ช่วงครึ่งปีหลังของปี 2567 คาดการณ์ว่าไทยจะเผชิญกับ "ปรากฏการณ์ลานีญา" ซึ่งมีแนวโน้มสูงที่จะเกิดภาวะฝนตกหนักรุนแรง และเกิดความเสียหายต่อผลผลิต ทางการเกษตร ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางอาหาร รวมถึงการขาดแคลนวัตถุดิบในอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่อง โดย "พูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผอ.สนค. กล่าวว่า ปรากฏการณ์ลานีญาที่เกิดขึ้นไม่เพียงแต่จะกระทบต่อสินค้าเกษตรแต่อาจกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อของไทย โดยสินค้าในตระกร้าเงินเฟ้อของไทยที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากลานีญา เป็นสินค้าในกลุ่มอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์เป็นสำคัญ โดยเฉพาะสินค้าเกษตร เช่น ผักสด และผลไม้สด เนื่องจากเป็นสินค้าที่อ่อนไหวต่อสถานการณ์น้ำค่อนข้างมาก ซึ่งปริมาณน้ำฝนที่มากเกินไปจะกระทบต่อพื้นที่เพาะปลูก เป็นอุปสรรคต่อการเก็บเกี่ยว และเกิดความเสียหายต่อผลผลิต นำไปสู่การสูงขึ้นของระดับราคาสินค้าจากปัญหาภาวะอุปทานขาดแคลน เนื่องจากผลผลิตออกสู่ตลาดลดลง สำหรับผักและผลไม้สดมีสัดส่วนในตะกร้าเงินเฟ้อของไทยประมาณ 5.83 % "ปรากฏการณ์ลานีญา และผลกระทบต่อราคาสินค้าเกษตรสภาพภูมิอากาศที่แปรปรวนและความเสี่ยงที่จะเกิดปรากฏการณ์ลานีญาเป็นวัฏจักรตามธรรมชาติที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และอาจส่งผลกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อในหมวดสินค้าที่เกี่ยวข้อง" นายพูนพงษ์ กล่าว https://www.springnews.co.th/keep-th...-change/851909
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#4
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก SpringNews
สัญญาณวิกฤติ เมื่อ "แอนตาร์กติก" ร้อนขึ้นอีก SHORT CUT - อุณหภูมิของทวีปแอนตาร์กติกาได้เพิ่มสูงขึ้น ท่ามกลางคลื่นความร้อนที่ร้อนเกือบเป็นประวัติการณ์ - เกิดจากกระแสน้ำวนขั้วโลกที่อ่อนแรงลงซึ่งทำให้เกิดคลื่นความร้อนมหาศาล ปัจจัยหลักเกี่ยวข้องกับโลกร้อน - หวั่นผลกระทบซ้ำรอยคลื่นความร้อนปี 2565 ที่ทำให้แผ่นน้ำแข็งขนาดเท่ากรุงโรมต้องพังทลายลง แอนตาร์กติกที่เต็มไปด้วยผืนน้ำแข็ง มีอุณหภูมิสูงขึ้นถึง 10 องศาเซลเซียสในช่วงเดือนที่ผ่านมา ท่ามกลางคลื่นความร้อนที่ร้อนเป็นประวัติการณ์ นี่อาจเป็นสัญญาณว่าวิกฤติโลกร้อนกำลังก้าวเข้าสู่ระดับหายนะ อุณหภูมิทั่วแนวแผ่นน้ำแข็งของทวีปแอนตาร์กติกาได้เพิ่มสูงขึ้นโดยเฉลี่ย 10 องศาเซลเซียสในช่วงเดือนที่ผ่านมา ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นคลื่นความร้อนที่มีอุณหภูมิสูงเกือบเป็นประวัติการณ์ โดยมีรายงานว่าอุณหภูมิอาจสูงเหนือความคาดหมายได้ถึง 28 องศาเซลเซียสในบางวัน ทั้งที่ยังอยู่ในช่วงฤดูหนาวของขั้วโลกใต้ นับเป็นคลื่นความร้อนครั้งที่ 2 ในรอบ 2 ปี หลังครั้งก่อนหน้าคือเมื่อเดือนมีนาคม 2565 ที่มีอุณหภูมิพุ่งสูงถึง 39 องศาเซลเซียส และทำให้แผ่นน้ำแข็งส่วนหนึ่งที่มีขนาดเท่ากรุงโรมต้องพังทลายลง ขณะที่ทั่วโลกก็เผชิญกับอุณหภูมิที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอด 12 เดือนที่ผ่านมา สูงขึ้น 1.5 องศาเซลเซียส เหนือระดับยุคก่อนอุตสาหกรรม ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นขีดจำกัดในการหลีกเลี่ยงปัญหาสภาพภูมิอากาศที่เลวร้ายที่สุด ซีค เฮาส์ฟาเธอร์ นักวิทยาศาตร์การวิจัยที่เบิร์คลีย์ เอิร์ธ กล่าวว่า คลื่นความร้อนของทวีปแอนตาร์กติกา เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้อุณหภูมิโลกพุ่งสูงขึ้นในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาอย่างแน่นอน อ้างอิงจากการที่อุณหภูมิโดยรวมของแอนตาร์กติกาจะอบอุ่นขึ้นพร้อมกับโลกมาตลอด 50 ปี ขณะที่จามิน กรีนบาม นักธรณีฟิสิกส์จากภาคสมุทรศาสตร์ของสถาบันวิจัยสคริปส์ ยอมรับว่ารู้สึกตื่นตระหนกเมื่อเห็นรายงานเกี่ยวกับกระแสน้ำวนขั้วโลกที่อ่อนแรงลงซึ่งทำให้เกิดคลื่นความร้อนมหาศาล อย่างไรก็ตามเขากล่าวว่านี่ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเมื่อ พิจารณาว่ามันเป็นผลลัพธ์ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และสิ่งที่ต้องเป็นกังวลคือผลกระทบจากการละลายของน้ำแข็งตลอดหลายปีที่ผ่านมา รวมถึงความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในแอนตาร์กติกหลังจากนี้ด้วย ที่มา: The Guardian https://www.springnews.co.th/keep-th...-change/851936
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
|