|
#1
|
||||
|
||||
สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันพุธที่ 21 สิงหาคม 2567
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป ภาคเหนือตอนบนมีฝนตกหนักมากบางแห่ง ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก มีฝนตกหนักบางพื้นที่ ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่มไว้ด้วย ทั้งนี้เนื่องจากร่องมรสุมพาดผ่านประเทศเมียนมาและประเทศลาวตอนบน เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณประเทศเวียดนามตอนบน ประกอบกับมีแนวพัดสอบของลมตะวันออกเฉียงใต้และลมตะวันตกเฉียงใต้ในระดับบนปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ในขณะที่มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ยังคงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย สำหรับบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทย ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 1 เมตร ขอให้ชาวเรือหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย กรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 25-27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-35 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-20 กม./ชม. คาดหมาย ร่องมรสุมพาดผ่านตอนบนภาคเหนือ และประเทศลาว ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ตลอดช่วง ลักษณะเช่นนี้ทำให้มีฝนตกหนักบางแห่งในภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตลอดช่วง ประกอบกับในช่วงวันที่ 21 - 24 ส.ค. 67 จะมีแนวพัดสอบของลมตะวันออกเฉียงใต้และลมตะวันตกเฉียงใต้ในระดับบน ปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ลักษณะเช่นนี้ ทำให้ประเทศไทยมีฝนตกหนักบางแห่ง และมีฝนตกหนักถึงหนักมากในภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนในช่วงวันที่ 24 - 26 ส.ค. 67 มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน และอ่าวไทย จะเริ่มมีกำลังแรงขึ้น ทำให้คลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันตอนบนมีกำลังแรงขึ้น โดยบริเวณทะเลอันดามันตอนบนมีคลื่นสูง 1 - 2 เมตร ห่างฝั่งและบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ข้อควรระวัง ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยโดยเฉพาะภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสมซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม ส่วนชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยควรเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย ตลอดช่วง
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#2
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก เดลินิวส์
น้องมาแล้ว! พะยูนโตเต็มวัยโผล่ทะเลใกล้สะพานราไวย์ แห่ห่วงจะเกิดอันตราย พบ "พะยูน" โตเต็มวัยโผล่ในทะเลใกล้สะพานราไวย์ ภูเก็ต ชาวเน็ตแห่ห่วงกลัวเกิดอันตราย ติดเครื่องมือประมง และถูกใบพัดเรือ เจ้าหน้าที่กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งตรวจสอบดูแลเฝ้าระวังแล้ว เมื่อวันนี้ 20 ส.ค. เพจเฟซบุ๊ก ศูนย์ข้อมูล ภูเก็ต Phuket Info Center ได้แชร์คลิปวิดีโอความยาว 41 วินาที พร้อมระบุข้อความว่า เมื่อช่วงเช้าวันนี้ พบ?#พะยูน?ที่สะพานหาดราไวย์ ฝั่งตะวันตกของภูเก็ต #แจ้งเตือนเดินเรือ #ด้วยความระมัดระวัง #ฝากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้วยครับ พบกับพะยูน บริเวณสะพานราไวย์ ตำบลราไวย์ อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต หลังคลิปดังกล่าวได้เผยแพร่ลงสู่โซเชียลมีชาวเน็ตเข้ามาแสดงความคิดเห็นจำนวนมาก อาทิ มายังไงครับ มากี่ตัว ช่วยกันดูด้วยแลน้องด้วยครับ, ระวังมีคนไปจับครับ, กลัวน้องจะโดนใบพัดเรือ ขับกันเร็วเกิน, จนท.จากศูนย์ช่วยชีวิตสัตว์ทะเลหายากทช. ได้รับแจ้งแล้วครับ กำลังเดินทางไปที่ราไวย์ ผู้สื่อข่าวได้สอบถามไปยัง นายก้องเกียรติ กิตติวัฒนาวงศ์ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านวิจัยทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมในระบบนิเวศทางทะเลและชายฝั่ง กล่าวว่า สะพานราไวย์ ต.ราไวย์ อยู่ทางตอนใต้ของจ.ภูเก็ต ภาพถ่ายเมื่อ 4 ปีที่แล้วพบมีหญ้าชะเงาใบมนขึ้นเป็นหย่อม พื้นที่นี้ไม่เคยพบพะยูนมาก่อน แต่วันนี้เราพบน้องมาแล้ว เป็นภาพวิดีโอพะยูนเต็มวัยที่ถ่ายจากบริเวณสะพานราไวย์ พะยูนที่พบน่าจะเกี่ยวข้องกับสถานการณ์หญ้าทะเลตรังที่เสื่อมโทรม พะยูนจำนวนมากที่นั่นหายไป โดยคาดว่าเป็นการย้ายถิ่นไปหาแหล่งหญ้าอื่น ที่น่าเป็นห่วงคือ พะยูนจะยังไม่คุ้นเคยกับภัยคุกคามในที่ใหม่ เป็นผลให้ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมามีพะยูนเสียชีวิตจากการติดเครื่องมือประมงโดยบังเอิญและการโดนใบจักรเรือจำนวนหลายตัว จึงจำเป็นต้องขอความร่วมมือในการป้องกันและเฝ้าระวังจากชุมชนและผู้ประกอบการในพื้นที่ในการดูแลร่วมกับเจ้าหน้าที่ภาครัฐ ขณะนี้เจ้าหน้าที่กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ประกอบด้วย ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอันดามันตอนบนได้ส่งทีมเจ้าหน้าที่ตรวจสอบสุขภาพและสำนักบริหารทรัพยากรทางทะเลชายฝั่งที่หก ทีมเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังลงพื้นที่บริเวณสะพานราไวย์ ซึ่งมีพะยูนโผล่ขึ้นมาแล้ว ต่อมานายนิกร ปภากิจยศพัฒน์ รองนายกเทศมนตรีตำบลราไวย์ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่เทศบาลตำบลไวย์ ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบตามที่ชาวประมงได้พบพะยูน เข้ามายังสะพานตำบลราไวย์ พบว่าพะยูนตัวเต็มวัยกำลังว่ายน้ำวนเวียนอยู่ในทะเลและโผล่ขึ้นมาหายใจเหนือน้ำเป็นบางครั้งคราว นายนิกร กล่าวว่า วันนี้ตามที่ชาวบ้านแจ้งมาว่าเจอปลาพะยูนบริเวณสะพานหาดราไวย์ ต.ราไวย์ อ.เมืองภูเก็ต ซึ่งวันนี้ได้ลงมาพื้นที่และเดินดูพบว่าเป็นปลาพะยูนจริงๆ ได้โผล่ขึ้นมาให้เห็น ขณะที่ตนให้สัมภาษณ์อยู่ก็มีปลาพะยูนโผล่ขึ้นมา ซึ่งถือว่าในต.ราไวย์บ้านเราก็ยังสมบูรณ์ยังมีพืชที่ปลาพะยูนเข้ามากิน ไม่อย่างนั้นปลาพะยูนจะไม่เข้ามาเพราะปลาพะยูนกินพืชเป็นอาหาร เพราะฉะนั้นสะพานราไวย์ก็ยังอุดมสมบูรณ์ถ้ามีอะไรจะแจ้งข่าวให้ทราบต่อไป https://www.dailynews.co.th/news/3774105/
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#3
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการ
ฮือฮา! ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลฯ ลงสำรวจหลังพบ "พะยูน" ครั้งแรกแถวหาดราไวย์ จ.ภูเก็ต ศูนย์ข่าวภูเก็ต - ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลฯ นำเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่สำรวจหลังมีคนพบ ?พะยูน? ที่สะพานราไวย์ จ.ภูเก็ต ซึ่งเป็นครั้งแรกที่มีการบันทึกภาพได้ เบื้องต้น มีข้อมูลพบพะยูนถึง 9 ตัว แต่ต้องรอการยืนยัน วันนี้ (20 ส.ค.) เพจเฟซบุ๊กศูนย์ข้อมูลภูเก็ต ได้โพสต์คลิปการพบพะยูนที่ท่าเทียบเรือราไวย์ ต.ราไวย์ อ.เมือง จ.ภูเก็ต โดยในคลิปเป็นภาพสัตว์ทะเลคล้ายพะยูนกำลังดำผุดดำว่ายอยู่ในทะเล โดยเห็นตั้งแต่ช่วงหัวเรื่อยไปถึงหลังและลำตัว ความยาวของคลิปราว 40 วินาที เบื้องต้นคาดว่าพะยูนมีความยาวราว 1.5-1.8 เมตร และได้มีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นกันอย่างหลากหลาย เช่น เป็นครั้งแรกที่เคยเห็นตัวเป็นๆ ใน จ.ภูเก็ต หรือต้องช่วยกันดูแล หรือมายังไงครับ มากี่ตัว ช่วยกันดูแลน้องด้วยครับ หรือมาหากินหญ้าอ่าวฉลองแน่เลย เป็นต้น ขณะที่ นายก้องเกียรติ กิตติวัฒนาวงศ์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลอันดามันตอนบน จ.ภูเก็ต ได้โพสต์ภาพถ่ายดาวเทียมบริเวณสะพานราไวย์ ต.ราไวย์ อ.เมือง จ.ภูเก็ต พร้อมกับเขียนข้อความว่า "สะพานราไวย์อยู่ทางตอนใต้ของจังหวัดภูเก็ต ภาพถ่ายเมื่อ 4 ปีที่แล้ว พบมีหญ้าชะเงาใบมนขึ้นเป็นหย่อม พื้นที่นี้ไม่เคยพบพะยูนมาก่อน แต่วันนี้เราพบน้องมาแล้ว เป็นภาพวิดิโอพะยูนเต็มวัยที่ถ่ายจากสะพานราไวย์ พะยูนที่พบน่าจะเกี่ยวข้องกับสถานการณ์หญ้าทะเลตรังที่เสื่อมโทรม พะยูนจำนวนมากที่นั่นหายไป โดยคาดว่าเป็นการย้ายถิ่นไปหาแหล่งหญ้าอื่น" โดยมีผู้รู้เข้ามาแสดงความคิดเห็น "สมัยก่อนราไวย์สมบูรณ์ มีหญ้าทะเลและสาหร่ายทะเลหลายแบบ ตั้งแต่ท่าเรืออ่าวฉลอง หาดมิตรภาพ แหลมกาน้อย แหลมกาใหญ่ หาดราไวย์ มุมปากบาง มีกลุ่มปะการังอีกเป็นดง ถ้ามีเรือและคนเดินเก็บมากเกินไปก็ทำลายไปมาก เรือที่จอดริมชายหาดควรสร้างท่าเรือให้จอดเรือไว้ทั้งหมด เพื่อชายหาดได้เล่นน้ำและกำหนดเขตน้ำลึกที่อันตราย แต่เป็นแหล่งเพาะพันธุ์สัตว์น้ำ" ทั้งนี้การพบพะยูนตัวเป็นๆ ที่สะพานราไวย์ ต.ราไวย์ อ.เมือง จ.ภูเก็ต นับว่าเป็นครั้งแรกที่มีการบันทึกคลิปพะยูนไว้ได้ ที่ผ่านมามีแต่คำบอกเล่าว่าพบ แต่ไม่มีหลักฐานหรือข้อมูลที่แท้จริง ทำให้หน่วยงานด้านการอนุรักษ์สัตว์ทะเล เช่น กลุ่มสัตว์ทะเลหายาก ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลอันดามันตอนบน จ.ภูเก็ต ต่างตื่นเต้นและให้ความสนใจกับการพบพะยูนในครั้งนี้เป็นอย่างมาก ล่าสุด นายก้องเกียรติ กิตติวัฒนาวงศ์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลอันดามันตอนบน จ.ภูเก็ต นำทีมสัตวแพทย์และเจ้าหน้าที่กลุ่มสัตว์ทะเลหายากตรวจสอบพะยูนที่สะพานราไวย์ ต.ราไวย์ อ.เมือง จ.ภูเก็ต กล่าวว่า หาดราไวย์ตอนใต้ของ จ.ภูเก็ต ที่ผ่านมาเราไม่เคยพบพะยูนเข้ามาอาศัยอยู่เลย ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกที่เราพบ โดยตรงนี้เมื่อ 4 ปีที่แล้วจะมีหญ้าทะเลขึ้นอยู่บริเวณด้านซ้ายมือของสะพานราไวย์และด้านขวามือไกลออกไปอีกนิดหน่อย แต่ขนาดของหญ้าไม่ใหญ่มาก เป็นใบมน ขนาดของแหล่งหญ้าบริเวณนี้ไม่ใหญ่มากนัก ฉะนั้นจำนวนพะยูนจะมาอาศัยได้อยู่นาน และได้ข้อมูลว่ามีการพบพะยูนถึง 9 ตัว รอข้อมูลการยืนยัน แต่ขนาดของแหล่งหญ้าไม่สามารถรองรับพะยูนได้มาก จึงเชื่อว่าพะยูนจะเข้ามาอยู่เป็นการชั่วคราว "สำคัญมาก พะยูนตอนนี้เรามีสถานการณ์ของหญ้าทะเลที่เสื่อมโทรมที่ จ.ตรัง พะยูนจำนวนมากกว่า 50 ตัวหายไปจากพื้นที่ จ.ตรัง ซึ่งเราพบแล้วว่าไปอาศัยอยู่ที่อ่าวพังงาตอนใน และรวมถึงที่ราไวย์เช่นเดียวกัน ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ พะยูนจะไม่คุ้นกับสภาพพื้นที่ตรงนี้ โดยเฉพาะการถูกคุกคาม ที่ผ่านมาช่วงหลายเดือนเรามีพะยูนเสียชีวิตจากการติดเครื่องมือประมงโดยบังเอิญ จากเรือชนโดนใบจักรหลายตัว จึงต้องเป็นความร่วมมือจากผู้ประกอบการในการสัญจรทางน้ำ ส่วนการทำประมงขอให้ชาวประมงอยู่กับเครื่องมือตลอด เพราะถ้าพะยูนติดจะได้ช่วยทันและรอดชีวิตได้ โดยขณะนี้เจ้าหน้าที่จากกรมทรัพย์ฯ จะนำเจ้าหน้าที่มาเฝ้าระวังพะยูนบริเวณนี้" https://mgronline.com/south/detail/9670000076654
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#4
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการ
โครตเฮง!! ซื้อหอยโข่งทะเลมาจากตลาด ตะลึงแกะออกมาเจอ "มุกเมโล" กระบี่ - โคตรเฮง!! ซื้อหอยโข่งทะเลมาจากตลาดเพื่อทำกับข้าว ตะลึงเกะออกมาเจอมุกเมโลใหญ่เท่านิ้วก้อย หนัก 3.4 กรัม ฝังอยู่ในเปลือกหอย ยังไม่ตัดสินใจขาย วันนี้ (19 ส.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่บ้านเลขที่ 193 ม.8 ต.ทับปริก อ.เมือง จ.กระบี่ ของนายอำพัน คงชนะ อายุ 43 ปี ได้มีชาวบ้าน ต่างล้อมวงดูก้อนสีส้มปนเหลือง ผิวแววใส รูปทรงคล้ายก้อนปะการังขนาดเท่านิ้วก้อย น้ำหนัก 3.4 กรัม จากการสอบถามทราบว่า ร.ต.ท.ดร.เชิงฐิภัทร เดชครุฑธานนท์ รอง สว.กก1 บก.สอท. ซื้อหอยโข่งทะเล หนัก 600 กรัม มาจากตลาดแยกควนสะตอ ต.กระบี่ใหญ่ อ.เมือง จ.กระบี่ เพื่อมาทำอาหารกินกัน หลังต้มสุกแกะเนื้อหอยออกมาพบก้อนสีส้ม ผิวแวววาวหลุดออกมาจากเปลือกหอย ร.ต.ท.ดร.เชิงฐิภัทร กล่าวว่า ตอนแรกเข้าใจว่า ถูกยัดใส่หินในตัวหอยเพื่อให้ได้น้ำหนักเพิ่ม จึงกลับมาซื้อเพิ่มอีก 2 ตัว ที่ร้านเดิม เพื่อจะพิสูจน์ แต่ไม่เจอก้อนลักษณะที่พบ ด้วยความสงสัยจึงค้นข้อมูลในโซเชียลพบว่าเป็นมุกเมโล ซึ่งของแท้ต้องได้มาจากหอยโข่งทะเลเท่านั้น ถือเป็นความโชคดีเป็นอย่างมาก เบื้องต้นยังไม่คิดจะประกาศขายแต่อย่างใด ร.ต.ท.ดร.เชิงฐิภัทร เล่าอีกว่า เมื่อวานนี้ (18 ส.ค.) ตนเข้าพื้นที่ จ.กระบี่ เพื่อติดตามภารกิจ และได้เข้าพักที่บ้านพักของเพื่อนในพื้นที่ตำบลทับปริก ตอนเย็นจึงซื้อหอยโข่งทะเล จากตลาดสดแยกควนสะตอ มาทำอาหารกินกัน ได้พบกับก้อนดังกล่าว ตอนหลังตรวจสอบพบเป็นมุกเมโล รู้สึกดีใจมาก จะเก็บไว้เพื่อความสิริมงคลก่อนยังไม่คิดจะขายแต่อย่างใด https://mgronline.com/south/detail/9670000076383
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#5
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการ
"เกาะแลหนัง" หรอยแรง "หอยนางรม 3 สายน้ำ" อร่อยเบอร์ต้นของเมืองไทย พาไปล่องเรือเก็บ "หอยนางรม 3 สายน้ำ" กินกันสด ๆ แบบจุใจไม่อั้น ที่ "บ้านเกาะแลหนัง" ซึ่งถือเป็นแหล่งหอยนางรมตามธรรมชาติที่ได้ชื่อว่าอร่อยเบอร์ต้น ๆ ของเมืองไทย "บ้านเกาะแลหนัง" ตั้งอยู่ที่ ตำบลปากบาง อำเภอเทพา ที่เป็นหมู่บ้านริมชายฝั่งอ่าวไทยที่อยู่ใต้สุดของจังหวัดสงขลา ติดกับอำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี บ้านเกาะแลหนัง มีที่มาจากภาษามลายูถิ่นที่หมายถึงต้นน้อยโหน่ง ก่อนคำเรียกขานจะเพี้ยนเป็น "บ้านเกาะแลหนัง" ดังในปัจจุบัน บ้านเกาะแลหนังเป็นชุมชนมุสลิมริมทะเลที่มีทรัพยากรธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ เป็นแหล่งอาหารทะเลสดใหม่ ทั้ง กุ้ง หอย ปู ปลา โดยเฉพาะ "หอยนางรม" สดใหม่ตามธรรมชาติ ซึ่งที่นี่ถูกยกให้เป็นหนึ่งในแหล่งหอยนางรมที่อร่อยที่สุดของเมืองไทย หอยนางรมบ้านเกาะแลหนังได้ชื่อว่าเป็น "หอยนางรม 3 สายน้ำ" เนื่องจากมีแหล่งอยู่อาศัยบริเวณจุดบรรจบของแม่น้ำ 3 สาย คือ สายน้ำยะลา สายน้ำปัตตานี และสายน้ำสงขลา หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า "สามเหลี่ยมทองคำ" ปัจจุบันบ้านเกาะแลหนังเป็นหนึ่งในชุมชนท่องเที่ยวอันโดดเด่นของจังหวัดสงขลา ซึ่งหนึ่งในกิจกรรมยอดนิยมก็คือ การล่องเรือไปเก็บและกินหอยนางรมสด ๆ กันบนสายน้ำบริเวณสามเหลี่ยมทองคำ สำหรับจุดล่องเรือนั้นอยู่ที่หลังร้าน "Sunshine Caf? & Restaurant" จากนั้น "เรือกอและ" นำเที่ยวจะพาล่องสายคลองเกาะแลหนังไปยังบริเวณสามเหลี่ยมทองคำซึ่งเป็นลำคลอง 3 สายน้ำบนพื้นที่รอยต่อของจังหวัดสงขลาและปัตตานี ที่สามเหลี่ยมทองคำเรือจะจอดลอยลำกลางสายน้ำ ให้นักท่องเที่ยวชมวิถีการงมหอยนางรมของชาวบ้าน พร้อมเปิดให้นักท่องเที่ยวร่วมงมหอยกับชาวบ้านด้วย จากนั้นทางเจ้าหน้าที่เรือจะนำหอยที่ชาวบ้านเก็บสด ๆ จากในน้ำขึ้นมาแกะให้นักท่องเที่ยวกินกันสด ๆ บนเรือ การกินหอยนางรมที่นี่เจ้าหน้าที่ชุมชนจะแนะนำให้ลองกินหอยสด ๆ แบบไม่ต้องมีน้ำจิ้มและเครื่องเคียง เพื่อสัมผัสกับรสแท้ ๆ ของหอยนางรมบ้านเกาะแลหนัง ที่เราขอบอกว่า เนื้อหอยสด ๆ นั้น หวาน เด้ง อร่อยสมคำร่ำลือ จากนั้นก็ลองกินหอยสด ๆ กับน้ำจิ้มและเครื่องเคียงซึ่งก็ให้รสชาติความอร่อยแตกต่างไปอีกแบบ โดยหอยนางรมที่นี่จะมี 4 ขนาด คือ S อายุ 3 ปี M 6 ปี L 9 ปี และ XL 12 ปี ซึ่งไซส์ที่กินอร่อยที่สุดจะเป็น M และ L สำหรับกิจกรรมล่องเรือไปเก็บและกินหอยนางรมสด ๆ ของบ้านเกาะแลหนังจะใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมง ซึ่งจะมีหอยนางรมสด ๆ พร้อมน้ำจิ้มรสเด็ดให้กินกันไม่อั้นบนเรือ แต่ยังก็ระวังเรื่องคอเลสเตอรอลพุ่งกันหน่อยก็ดี นอกจากหอยนางรมที่เป็นของกินขึ้นชื่อแล้ว บ้านเกาะแลหนังยังมีอีกหนึ่งไฮไลต์คือ "น้ำผึ้งชันโรง" จากเกสรดอกโกงกาง ที่ให้ความหอม รสชาติอร่อยแปลกแตกต่างจากที่อื่น และ "น้ำช่อดอกมะพร้าว" ที่ถือเป็นอีกหนึ่งของดีของบ้านเกาะแลหนังที่ไม่ควรพลาด รวมถึงมีอุโมงค์โกงกางเป็นอีกหนึ่งเส้นทางท่องเที่ยวน่าสนใจของหมู่บ้านแห่งนี้ บ้านเกาะแลหนังจะงดการทำกิจกรรมล่องเรือเก็บ-กิน หอยนางรมในช่วงปลายเดือน พ.ย.-มี.ค. เนื่องจากเป็นช่วงฤดูจำศีลของหอยนางรม ผู้สนใจสอบถามกิจกรรมท่องเที่ยวบ้านเกาะแลหนังได้ที่ โทร.093-713-6145 ผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูลที่พัก ร้านอาหาร การเดินทาง และสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดสงขลา ได้ที่ ททท. สำนักงานหาดใหญ่ โทร. 0 7423 1055, 0 7423 8518, 0 7424 3747 หรือที่เฟซบุ๊กแฟนเพจ TAT Hatyai - ททท. สำนักงานหาดใหญ่ https://mgronline.com/travel/detail/9670000076685
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#6
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก มติชน
สาวโพสต์ถาม น้องฉลามกัดกันเพราะอะไร ชาวเน็ตเฉลย รู้ความจริงแล้วอึ้ง! เมื่อวันที่ 20สิงหาคม ผู้สื่อข่าวรายรายงานว่า มีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง โพสต์ภาพและข้อความลงในเพจ "นี่ตัวอะไร" ที่มีสมาชิกมากกว่า 1 ล้านคน โดยเธอระบุว่า "น้องสวบ (กัด) กันเพราะหิวหรอคะ เห็นกัดครีบกันอยู่ครึ่งชม.พอปล่อยแล้วก็ไปอยู่ด้วยกัน" หลังจากโพสต์ไปไม่นานมีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นจำนวนมาก พร้อมกับเฉลยสาเหตุว่าทำไมน้องถึงกัดกัน "เป็นพฤติกรรมผสมพันธุ์ของปลาฉลามเสือดาวหรือปลาฉลามม้าลาย (Zebra shark ? Stegostoma tigrinum) ครับผม เจ้าตัวที่งับน่าจะเป็นตัวผู้พยายามเกาะติดตัวเมียครับ ถ้าตัวเมียนิ่งก็จะยอมให้ตัวผู้ผสมพันธุ์ครับ Fun Facts ? ชื่อปลาฉลามม้าลาย ได้มาจากลักษณะวัยอ่อนมีลวดลายขาวดำเหมือนม้าลายนั่นเอง" ผสมพันธุ์กันครับ ปลาฉลามเพศผู้จะงับครีบของปลาฉลามเพศเมียเพื่อยึดเกาะตอนผสมพันธุ์ ปลาฉลามเพศผู้จะสอดอวัยวะเพศที่เรียกว่า คลาสเปอร์ (Clasper) ลักษณะเป็นแท่ง 2 อันที่อยู่ตรงครีบท้องเข้าไปผสมพันธุ์ในตัวปลาฉลามเพศเมีย ในโพสต์คือ ปลาฉลามเสือดาว เป็นปลาฉลามที่ออกลูกเป็นไข่ ลูกปลาวัยเด็กจะมีสีขาวสลับกับลำตัวสีดำคล้ายกับม้าลายอันเป็นที่มาของชื่อสามัญว่า Zebra shark ครับ" "การผสมพันธุ์ครับ ที่เห็นคือตัวผู้จะกัดตัวเมียคล้ายการคลอเคลียเพื่อจีบกันก่อนเริ่มผสมครับ ใช่ที่ ม. บูรพาไหมครับ เพราะจำได้ว่าที่นี่เขาเพาะฉลามพวกนี้เพื่อปล่อยคืนสู่ธรรมชาติด้วย" "ถ้าเราไปกัดแขนผู้ชายแบบนี้ ผู้ชายจะรู้ตัวว่าเราจีบเขาไหม" https://www.matichon.co.th/social/news_4746579
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
|