|
#1
|
||||
|
||||
สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันพฤหัสบดีที่ 16 พฤษภาคม 2567
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป ลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมประเทศไทย ประกอบกับมีคลื่นกระแสลมฝ่ายตะวันออกเคลื่อนเข้าปกคลุมอ่าวไทย และภาคใต้ ในขณะที่ประเทศไทยมีอากาศร้อน และมีอากาศร้อนจัดบางพื้นที่ในภาคเหนือ ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณประเทศไทยตอนบนมีฝนฟ้าคะนองกับมีลมกระโชกแรงบางพื้นที่ โดยมีฝนตกหนักบางแห่งในภาคตะวันออก และภาคใต้ ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยระวังอันตรายจากฝนฟ้าคะนองกับลมกระโชกแรง และฝนตกหนักในระยะนี้ไว้ด้วย ส่วนบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันมีคลื่นต่ำกว่า 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ชาวเรือบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามัน ควรเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย ฝุ่นละอองในระยะนี้: ประเทศไทยมีการสะสมของฝุ่นละออง/หมอกควันอยู่ในเกณฑ์น้อย เนื่องจากมีฝนตกหลายพื้นที่ และการระบายอากาศอยู่ในเกณฑ์ที่ดี กรุงเทพมหานครและปริมณฑล อากาศร้อนในตอนกลางวัน โดยมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 40 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 27-28 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 35-37 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-20 กม./ชม. คาดหมาย ในช่วงวันที่ 16 ? 17 พ.ค. 67 ลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมประเทศไทยตอนบน ประกอบกับมีคลื่นกระแสลมฝ่ายตะวันออกเคลื่อนเข้าปกคลุมอ่าวไทย ภาคใต้ และทะเลอันดามัน ในขณะที่ประเทศไทยมีอากาศร้อน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีฝนฟ้าคะนอง กับมีลมกระโชกแรงบางแห่ง โดยมีฝนตกหนักบางพื้นที่ในภาคตะวันออก และภาคใต้ สำหรับบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทย ทะเลมีคลื่นต่ำกว่า 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 1 เมตร ส่วนในช่วงวันที่ 18 ? 19 พ.ค. 67 ลมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางจะพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยยังคงมีฝนฟ้าคะนอง และมีฝนตกหนักบางแห่ง สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยมีกำลังปานกลาง โดยทะเลอันดามันมีคลื่นสูง 1 ? 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนอ่าวไทยมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 1 เมตร หลังจากนั้นในวันที่ 20 - 21 พ.ค. 67 ลมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยจะเริ่มมีกำลังแรงขึ้น ประกอบกับจะมีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมบริเวณอ่าวมะตะบัน ประเทศเมียนมา ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักบางแห่ง โดยมีฝนตกหนักมากบางพื้นที่ในด้านตะวันตกของภาคเหนือและภาคกลาง และภาคใต้ฝั่งตะวันตก สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยจะมีกำลังแรงขึ้น โดยบริเวณทะเลอันดามันมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนอ่าวไทยทะเลมีคลื่นสูง 1 ? 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง คลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ข้อควรระวัง ในช่วงวันที่ 16 ? 17 พ.ค. 67 ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนระวังอันตรายจากฝนฟ้าคะนอง และลมกระโชกแรง โดยหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ สิ่งปลูกสร้างและป้ายโฆษณาที่ไม่แข็งแรง สำหรับเกษตรกรควรเตรียมการป้องกันและระวังความเสียหายที่จะเกิดต่อผลผลิตทางการเกษตรและอันตรายต่อสัตว์เลี้ยงไว้ด้วย ส่วนในช่วงวันที่ 18 ? 21 พ.ค. 67 ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสมซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม ส่วนชาวเรือควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#2
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก เดลินิวส์
ประเทศใดร้อนและหายใจยากสุดในภูมิภาค แล้วประเทศไทยติดอันดับ 1 ใน 10 ไหม? ความร้อนระอุในยุคโลกเดือดที่ประเทศต่าง ๆ ทั่วเอเชียต่างทำลายสถิติกันอย่างถล่มทลาย โดยในเดือนที่ผ่านมา ฟิลิปปินส์ มีอุณหภูมิสูงจนรู้สึกได้ว่าร้อนถึง 45 องศาเซลเซียส จนต้องปิดโรงเรียนไป 47,000 แห่ง กัมพูชา ก็มีอุณหภูมิสูงแตะ 43 องศาเซลเซียส ซึ่งสูงสุดในรอบ 170 ปี เมียนมา ก็มีการวัดในบางพื้นที่พบว่าอุณหภูมิบางพื้นที่เกือบแตะ 50 องศาเซลเซียส เวียดนาม มีอุณหภูมิสูงขึ้นจนเกิดไฟไหม้ป่ากินบริเวณกว้าง และยิ่งทำให้เพิ่มความร้อนขึ้นไปอีก ส่วน ประเทศไทย ก็ไม่แพ้ใคร เพราะบางพื้นที่ทางภาคเหนือวัดได้ว่ามีอุณหภูมิแตะ 44 องศาเซลเซียส ซึ่งร้อนมากกว่าปีที่แล้ว 1-3 องศาเซลเซียส ทำให้ดูเหมือนเราจะก้าวข้าม 1.5 C หรือ 1.5 องศาเซลเซียส ที่เราตั้งเป้าหมายไว้เรียบร้อยแล้ว ซึ่งท่านเลขาธิการ UN คงจะกล่าวผิดไปที่ว่า "มวลมนุษยชาติได้แง้มประตูสู่ขุมนรกอเวจีแล้ว" เพราะที่จริงน่าจะบอกว่า "มวลมนุษยชาติได้ทลายประตูสู่ขุมนรกอเวจี และก้าวลงไปขาหนึ่งแล้ว" น่าจะสะท้อนสถานการณ์จริงมากกว่า นอกจากอากาศที่ร้อนจัด มาดูเรื่อง "มลพิษในอากาศ" ว่า ประเทศใดติดอันดับเมืองที่หายใจไม่ออกมากที่สุด จากการรายงานของ IQAir องค์กรที่จับตามองสภาพอากาศในเมืองต่าง ๆ ทั่วโลกแบบ Realtime โดยมีอุปกรณ์วัดสภาพอากาศใน 120 เมืองใหญ่ทั่วโลก รายงานล่าสุดเมื่อเดือนพฤษภาคม 2024 เอาไว้ว่า 10 อันดับเมืองที่อากาศมีมลพิษสูงสุด จนแทบหายใจไม่ได้ ได้แก่ อันดับ 1 เดลี ประเทศอินเดีย มีความเข้มข้นของ PM 2.5 อยู่ที่ 70.5 หน่วย สูงกว่ามาตรฐาน WHO 14.1 เท่า อันดับ 2 หางโจว ประเทศจีน มีความเข้มข้นของ PM 2.5 อยู่ที่ 47 หน่วย ซึ่งสูงกว่ามาตรฐาน WHO 9.4 เท่า อันดับ 3 ฮานอย ประเทศเวียดนาม มีความเข้มข้นของ PM 2.5 อยู่ที่ 46.9 หน่วย ใกล้เคียงเมืองหางโจว อันดับ 4 กาฐมาณฑุ ประเทศเนปาล มีความเข้มข้นของ PM 2.5 อยู่ที่ 42.1 หน่วย สูงกว่ามาตรฐาน WHO 8.4 เท่า อันดับ 5 ย่างกุ้ง ประเทศเมียนมา มีความเข้มข้นของ PM 2.5 อยู่ที่ 38 หน่วย สูงกว่ามาตรฐาน WHO 7.6 เท่า และตามมาด้วย อันดับ 6 ธากา ประเทศบังกลาเทศ อันดับ 7 นานามา ประเทศบาห์เรน อันดับ 8 ดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อันดับ 9 โดฮา ประเทศกาตาร์ และอันดับ 10 คือ เซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน โชคดีที่กรุงเทพฯ ไม่ติดอันดับ 1 ใน 10 และเราน่าจะมีความเข้มข้นของ PM 2.5 อยู่ที่ราว 18 หน่วย แม้ว่าจะดีกว่าสุดยอดเมืองหายใจไม่ออกทั้ง 10 อยู่มาก แต่ก็ยังสูงกว่ามาตรฐานความปลอดภัยของ WHO อยู่ 3-4 เท่า ดังนั้นถึงเวลาหรือยัง ที่เราจะร่วมมือกันช่วยให้การมีชีวิต Outdoor เย็นขึ้น ปลอดภัยขึ้น มีคุณภาพที่ดีขึ้น ไม่อย่างนั้นปีหน้าเราอาจจะใช้ชีวิตอยู่นอกอาคารไม่ได้ หรือ ทุก ๆ บ้านอาจจะต้องมีชุดอวกาศขององค์การนาซา ที่สามารถกันความร้อน และต้องอุ้มเครื่องปรับอากาศ กับมีถังออกซิเจนไว้หายใจ แบบนักบินอวกาศอีกด้วย https://www.dailynews.co.th/news/3434577/
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#3
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการ
ยังไม่ปิดจุดดำน้ำเกาะยูง หมู่เกาะพีพี สำรวจแล้วฟอกขาวเล็กน้อย กระบี่ - ยังไม่ปิดแหล่งดำน้ำหมู่เกาะพีพี อุทยานยังเปิดให้เที่ยวดำน้ำ ชมปะการังได้ตามปกติ หลังสำรวจพบการฟอกขาวปะการังมีเพียงเล็กน้อย นายยุทธพงค์ ดำศรีสุข หัวหน้าอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี จ.กระบี่ เปิดเผยว่า ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี จ.กระบี่ ดำน้ำสำรวจปะการังบริเวณเกาะยูง หมู่เกาะพีพี ต.อ่าวนาง อ.เมืองกระบี่ ซึ่งเป็นแหล่งปะการังแหล่งใหญ่ เป็นแปลงปะการังพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ที่ปิดห้ามทำกิจกรรมด้านการท่องเที่ยวมากว่า 10 ปี เพื่อให้ปะการังฟื้นตัว และเพิ่งกลับมาเปิดให้เข้าไปทำกิจกรรมเมื่อไม่นานมานี้ จากการสำรวจที่ระดับน้ำ 2-5 เมตร อุณหภูมิน้ำทะเล 29-30 องศา พบปะการังสีซีด ประมาณร้อยละ 10 ประเภท ปะการังโขด ปะการังวงแหวน ปะการังรังผึ้ง พบการฟอกขาวเล็กน้อย ปะการังส่วนใหญ่มีความสมบูรณ์สวยงาม มีสัตว์ ปลาอาศัยเป็นจำนวนมาก นายยุทธพงค์ เปิดเผยอีกว่า สถานการณ์ปะการังฟอกขาวที่ระดับน้ำลึก บริเวณเกาะยูง หมู่เกาะพีพี ตำบลอ่าวนาง อำเภอเมืองกระบี่ สถานการณ์ไม่รุนแรง ไม่พบการฟอกขาว พบเพียงมีสีซีดไม่มาก ยังคงเปิดให้นักท่องเที่ยวดำน้ำเที่ยวชมตามปกติ อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ยังคงเฝ้าระวัง ดำน้ำสำรวจแหล่งปะการังในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง หากพบมีการฟอกขาวเกินร้อยละ 50 จะต้องประกาศปิดชั่วคราว ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนนี้อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี ประกาศปิดแหล่งท่องเที่ยวสำหรับประกอบกิจกรรมดำน้ำตื้นบริเวณเกาะไก่ด้านทิศเหนือ เกาะไก่ด้านทิศตะวันออก เกาะไก่ด้านทิศตะวันตก เกาะปอดะทิศเหนือ เกาะแดง อ่าวไร่เลย์ เกาะยาวาซัม และแนวปะการังโดยรอบเป็นการชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคมเป็นต้นไป จนกว่าสถานการณ์การฟอกขาวของปะการังจะคลี่คลายลง เพื่อลดผลกระทบจากการท่องเที่ยวหรือกิจกรรมต่างๆ จากมนุษย์ที่อาจเป็นการเร่งให้ปะการังเกิดการฟอกขาวในพื้นที่ไปมากกว่าเดิม ทั้งยังป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายต่อแนวปะการังในขณะเกิดการฟอกขาว และเป็นการให้ปะการังได้พักฟื้นตัว จนกว่าสถานการณ์การฟอกขาวของปะการังจะคลี่คลายลง https://mgronline.com/south/detail/9670000041933
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#4
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ไทยโพสต์
ทร.แจงปมเสี่ยงเสียดินแดนทางทะเล หลังกัมพูชาสร้างเขื่อนกันคลื่น 14 พ.ค.2567 - ?พลเรือตรี วีรุดม ม่วงจีน โฆษกกองทัพเรือ เปิดเผยว่า ภารกิจหน้าที่ของกองทัพเรือ ที่สำคัญคือ การรักษาสิทธิและอธิปไตยตามแนวเขตแดน ตามการกำหนดเขตแดนโดยกระทรวงการต่างประเทศ ทั้งนี้ ในกรณีที่ได้มีการเผยแพร่ข้อมูลว่า ฝ่ายกัมพูชาได้มีการสร้างเขื่อนกันคลื่น ซึ่งอาจส่งผลให้กัมพูชาอ้างสิทธิ์ในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลกับอาณาเขตทางทะเลของไทยนั้น การสร้างเขื่อนกันคลื่นของฝ่ายกัมพูชา ได้มีการเริ่มก่อสร้างจากพื้นที่ฝั่งด้านกัมพูชา ในช่วงปี พ.ศ.2540 - 2541 โดยหน่วยงานของกองทัพเรือในพื้นที่ ได้มีการตรวจพบและรายงานขึ้นมา กองทัพเรือ จึงได้ให้หน่วยเทคนิค คือ กรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือ ตรวจสอบพบว่ามีการสร้างเขื่อนกันคลื่นจริง จึงได้แจ้งให้กระทรวงการต่างประเทศทราบ และกระทรวงการต่างประเทศ ได้มีการยื่นบันทึกช่วยจำ และหนังสือประท้วงฝ่ายกัมพูชา และขอให้รื้อถอนเขื่อนกันคลื่นดังกล่าวออกไป โดยได้มีหนังสืออย่างเป็นทางการออกไปแล้วจำนวน 3 ครั้ง เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2541 วันที่ 30 พฤศจิกายน 2541 และล่าสุดเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2564 ทั้งนี้นับตั้งแต่ปี พ.ศ.2541 ที่ กระทรวงการต่างประเทศ ได้มีหนังสือทักท้วงกรณีดังกล่าวไป ทางกัมพูชาได้หยุดการก่อสร้าง และไม่มีการสร้างเพิ่มเติมแต่อย่างใด โฆษกกองทัพเรือ ยืนยันว่า กองทัพเรือ ยังคงดำรงภารกิจในการรักษาสิทธิ อำนาจอธิปไตย และผลประโยชน์ของชาติ อย่างต่อเนื่อง โดยได้จัดเรือและอากาศยาน ลาดตระเวน เฝ้าตรวจ และแสดงกำลังเหนือพื้นที่ทางทะเลที่อ้างสิทธิ์ มีแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจน โดยคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของชาติ และความสัมพันธ์อันดีของทั้งสองประเทศ https://www.thaipost.net/hi-light/586773/
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#5
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ไทยโพสต์
อุทยานแห่งชาติฯพีพี เร่งปิดจุดดำน้ำตื้น-ดำน้ำลึกบางจุด หลังพบปะการังฟอกขาว 14 พ.ค.2567- นายยุทธพงค์ ดำศรีสุข หน.อช.หาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี เปิดเผยว่า ตามข้อสั่งการ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธ์พืช กำชับให้หน่วยงาน อุทยานแห่งชาติทางทะเล ติดตามสถานการณ์ปะการังฟอกขาวอย่างใกล้ชิด พร้อมให้นโยบายดูแลรักษาระบบนิเวศทางทะเลอย่างเข้มข้น สำหรับสาเหตุสำคัญของการเกิดปะการังฟอกขาวนั้น เกิดจากสภาพแวดล้อมน้ำทะเลผิดปกติ อุณหภูมิน้ำทะเลสูงขึ้น เป็นผลกระทบมาจากปรากฏการณ์เอลนีโญ โดยปรากฏการณ์เอลนีโญ เกิดจากสภาวะโลกร้อน ซึ่งส่งผลให้อุณหภูมิน้ำทะเลสูงขึ้น อีกทั้งยังมีปัจจัยจากการกระทำของมนุษย์เข้ามาส่งผลกระทบเพิ่มมากขึ้น เช่น คราบน้ำมันจากเรือโดยสาร สารบางชนิดในครีมกันแดดที่ส่งผลกระทบต่อปะการัง โดยอุณหูมิเฉพาะในช่วงเดือนเมษายนและพฤษภาคม 2567 ที่ผ่านมา น้ำทะเลมีอุณหภูมิสูงขึ้น อุณหภูมิ 30-32 องศา ทำให้ปะการังเริ่มมีสีซีดและเกิดการฟอกขาว ภาวะที่ปะการังมีสีซีดจางลง จนเห็นเป็นสีขาว เป็นผลมาจากการสูญเสียสาหร่ายที่ชื่อว่า ซูแซนเทลลี (Zooxanthellae) ที่อาศัยอยู่ในเนื้อเยื่อของปะการัง ซึ่งเมื่อใดที่สภาพแวดล้อมในทะเลมีการเปลี่ยนแปลง หรือเกิดสภาวะไม่เหมาะสม สาหร่ายดังกล่าวจะออกจากเนื้อเยื่อของปะการังเพื่อความอยู่รอด ส่งผลให้ปะการังเหลือเพียงเนื้อเยื่อใส เห็นสีขาวของโครงสร้างหินปูนที่อยู่ภายใน และทำให้ปะการังตายในที่สุด โดยในวันที่ 12 พฤษภาคม เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี ได้ดำเนินการลงพื้นที่สำรวจบริเวณที่ได้รับรายงานว่าพบเจอปะการังฟอกขาว ผลปรากฏ ดังนี้ 1.บริเวณเกาะแดง อุณหภูมิน้ำทะเล 32 องศาเซลเซียส ที่ระดับความลึก 4 เมตร พบปะการังฟอกขาว 60% มีสีซีด 20 % ชนิดปะการังที่พบการฟอกขาว ได้แก่ 1.ปะการังโขด (Porites sp.) 2. ปะการังวงแหวน (Favia sp.) 3.ปะการังรังผึ้ง (Goniastrea sp.) 4.ปะการังเขากวาง (Acropora sp.) 2.บริเวณเกาะไก่ (อ่าวค้างคาว) อุณหภูมิน้ำทะเล 32 องศาเซลเซียส ที่ระดับความลึก 2 เมตร พบปะการังฟอกขาว 60 % ชนิดปะการังที่พบการฟอกขาว ได้แก่ 1. ปะการังเขากวาง (Acropora sp.) 3.บริเวณเกาะไก่ด้านทิศเหนือ อุณหภูมิน้ำทะเล 32 องศาเซลเซียส ที่ระดับความลึก 2 ? 3 เมตร พบปะการังฟอกขาว 70 % ปะการังมีสีซีด 5 % ชนิดปะการังที่พบการฟอกขาว ได้แก่ 1. ปะการังโขด (Porites sp.) 2. ปะการังเขากวาง (Acropora sp.) 4.บริเวณเกาะปอดะด้านทิศเหนือ (หน้ามาตังหมิง) อุณหภูมิน้ำทะเล 32 องศาเซลเซียส ที่ระดับความลึก 2 เมตร พบปะการังฟอกขาว 70 % ปะการังมีสีซีด 10 % ชนิดปะการังที่พบการฟอกขาว ได้แก่ 1. ปะการังโขด (Porites sp.) 2. ปะการังเขากวาง (Acropora sp.) 5.บริเวณเกาะปอดะ (อ่าวปูหยา) อุณหภูมิน้ำทะเล 32 องศาเซลเซียส ที่ระดับความลึก 1 ? 2 เมตร พบปะการังฟอกขาว 50 % ปะการังมีสีซีด 5 % ชนิดปะการังที่พบการฟอกขาว ได้แก่ 1. ปะการังโขด (Porites sp.) 2. ปะการังวงแหวน (Favia sp.) 3. ปะการังรังผึ้ง (Goniastrea sp.) 4. ปะการังเขากวาง (Acropora sp.) ทั้งนี้อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี พิจารณาแล้ว เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายต่อแนวปะการัง รวมถึงลดผลกระทบจากกิจกรรมประเภทต่างๆ ที่อาจเป็นการเร่งให้ปะการังเกิดการฟอกขาว กรณีจึงมีความจำเป็นเร่งด่วนหรือมีเหตุฉุกเฉินที่จะต้องกระทำการหรืองดเว้นการกระทำใดๆ ในอุทยานแห่งชาติเพื่อรักษาสภาพธรรมชาติ ระบบนิเวศ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จึงอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 25 และ 35 (4) แห่งพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 ขอประกาศปิดแหล่งท่องเที่ยวสำหรับประกอบกิจกรรมดำน้ำตื้น (Snorkeling) และกิจกรรมดำน้ำลึก (Scuba diving) ดังนี้ 1. สำหรับประกอบกิจกรรมดำน้ำตื้น(Snorkeling) ได้แก่ บริเวณเกาะไก่ด้านทิศเหนือ เกาะไก่ ด้านทิศตะวันออก เกาะไก่ด้านทิศตะวันตก (อ่าวค้างคาว) เกาะปอดะทิศเหนือ (หน้ามาตังหมิง) เกาะปอดะ (อ่าวปูหยา) เกาะแดง อ่าวไร่เล (เกาะรังนกหรือเกาะแฮปปี้) เกาะยาวาซัม และแนวปะการังโดยรอบเป็นการชั่วคราว 2. สำหรับกิจกรรมดำน้ำลึก (Scuba diving) ได้แก่ บริเวณเกาะยาวาซัม และแนวปะการังโดยรอบเป็นการชั่วคราว ทั้งนี้ตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม เป็นต้นไป ไปจนกว่าสถานการณ์การฟอกขาวของปะการังจะคลี่คลายลง ทั้งนี้ยังเปิดให้บริการแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ รวมถึงปฏิบัติงานตามภารกิจของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 0 7565 6150 และทางเพจ Facebook หรือไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ phiphi_np@hotmail.com รายละเอียดปรากฎตามแผนที่แนบท้ายประกาศนี้ ตามประกาศอุทยานแห่งชาติฯ ฉบับลงวันที่ 13 พฤษภาคม 2567 ทั้งนี้เพื่อลดผลกระทบจากการท่องเที่ยวหรือกิจกรรมต่างๆจากมนุษย์ ที่อาจเป็นการเร่งให้ปะการังเกิดการฟอกขาวในพื้นที่ไปมากกว่าเดิม ทั้งยังป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายต่อแนวปะการังในขณะเกิดการฟอกขาว และเป็นการให้ปะการังได้พักฟื้นตัว จนกว่าสถานการณ์การฟอกขาวของปะการังจะคลี่คลายลง. https://www.thaipost.net/environment-news/586387/
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#6
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก กรุงเทพธุรกิจ
ปิดท่องเที่ยว 'ตะรุเตา' 4 เดือน ฟื้นฟูธรรมชาติ อากาศเปลี่ยน เข้าสู่ฤดูมรสุม ปิดท่องเที่ยว อุทยานแห่งชาติตะรุเตา จังหวัดสตูล 4 เดือน ระหว่าง 16 พฤษภาคม ถึง 30 กันยายน เพื่อฟื้นฟูธรรมชาติ หลังสภาพอากาศเปลี่ยน "เข้าสู่ฤดูมรสุม" หวั่นความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว นักท่องเที่ยววางแผนท่องเที่ยวไทยช่วงนี้หลายอุทยานฯ ทั่วไทย เริ่มประกาศปิดการท่องเที่ยวแล้ว ล่าสุดอุทยานแห่งชาติตะรุเตา จังหวัดสตูล ประกาศปิดท่องเที่ยว 4 เดือน ระหว่าง 16 พฤษภาคม ถึง 30 กันยายน เพื่อฟื้นฟูธรรมชาติ หลังสภาพอากาศเปลี่ยน "เข้าสู่ฤดูมรสุม" หวั่นความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว โดยวันนี้ 14 พฤษภาคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายมงคล แดงกัน หัวหน้าอุทยานแห่งชาติตะรุเตา ลงประกาศเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2567 โดยประกาศกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ฉบับลงวันที่ 18 ธันวาคม 2566 เรื่องปิดการท่องเที่ยวและพักแรมในอุทยานแห่งชาติ และวนอุทยานประจำปี 2567 เพื่อให้การบริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสอดคล้องกับสภาพอากาศในแต่ละฤดู และความสามารถในการรองรับของทรัพยากร เปิดโอกาสให้ทรัพยากรธรรมชาติได้ฟื้นตัว รวมทั้งมีความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวนั้น อุทยานแห่งชาติตะรุเตา พิจารณาแล้วเพื่อประโยชน์ในการคุ้มครองผู้ดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติ และความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 20 แห่ง พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติพุทธศักราช 2562 ประกอบระเบียบ อุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช จึงประกาศปิดการท่องเที่ยวและพักแรมในอุทยานแห่งชาติตะรุเตา ระหว่าง 16 พฤษภาคม ถึง 30 กันยายน บ้านพัก และลานกางเต็นท์ ZONE 1 อ่าวพันเตมะละกา เกาะตะรุเตา ZONE 2 อ่าวเมาะและ เกาะตะรุเตา ZONE 3 แหลมสน เกาะอาดัง ระหว่าง วันที่ 1 มิถุนายน ถึง 31 กรกฎาคม บริเวณ เกาะเหล็ก เกาะบิสสี เกาะตาลัง เกาะอาดังทิศเหนือ และเกาะอาดังทิศตะวันออก ระหว่างวันที่ 1 สิงหาคม ถึง 30 กันยายน ประกอบด้วย เกาะยาง ร่องน้ำจาบัง เกาะราวี เกาะดง เกาะหินซ้อน เกาะรอ-กลอย เกาะอาดังทิศตะวันตก เกาะซาวัง และเกาะไผ่ ทั้งนี้ อุทยานแห่งชาติตะรุเตา ยังคงปฏิบัติงานตามภารกิจของกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืชได้ตามปกติ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 074-783 485 จึงประกาศให้ทราบโดยทั่วกันประกาศวันที่ 9 พฤษภาคม 2567 https://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/travel/1126687
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
|