|
#1
|
||||
|
||||
สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันอังคารที่ 25 กรกฎาคม 2566
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป ประเทศไทยยังคงมีฝนตกต่อเนื่องและมีฝนตกหนักบางแห่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่มไว้ด้วย ทั้งนี้เนื่องจากร่องมรสุมกำลังปานกลางพาดผ่านเมียนมาตอนบน ภาคเหนือตอนบน และประเทศลาว ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังค่อนข้างแรงพัดปกคลุมทะเลอันดามันตอนบน ภาคใต้ และอ่าวไทยตอนบน สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยตอนบนมีกำลังค่อนข้างแรง โดยมีคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ส่วนทะเลอันดามันตอนล่างและอ่าวไทยตอนล่างทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณมีฝนฟ้าคะนอง ส่วนเรือเล็กบริเวณทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยตอนบนควรงดออกจากฝั่งในระยะนี้ไว้ด้วย อนึ่ง พายุไต้ฝุ่น "ทกซูรี" บริเวณด้านตะวันออกของประเทศฟิลิปปินส์ จะเคลื่อนลงสู่ทะเลจีนใต้ตอนบนในช่วงวันที่ 26 ? 27 ก.ค. 66 หลังจากนั้นจะเคลื่อนขึ้นฝั่งบริเวณด้านตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศจีนในช่วงวันที่ 28 - 29 ก.ค. 66 ขอให้ผู้ที่จะเดินทางไปพื้นที่ดังกล่าว โปรดตรวจสอบสภาพอากาศก่อนออกเดินทางไว้ด้วย กรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 70 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 25-27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-35 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม. คาดหมาย ในช่วงวันที่ 24 - 25 ก.ค. 66 ร่องมรสุมกำลังปานกลางพาดผ่านภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีฝนตกชุกหนาแน่นและมีฝนตกหนักบางแห่ง โดยมีฝนตกหนักมากบางพื้นที่ในภาคตะวันออก ส่วนในช่วงวันที่ 26 ? 28 ก.ค. 66 ร่องมรสุมจะเลื่อนขึ้นไปพาดผ่านประเทศเมียนมา ประเทศลาวตอนบน และประเทศเวียดนามตอนบน ในขณะที่มีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมบริเวณชายฝั่งประเทศเวียดนามตอนบนและอ่าวตังเกี๋ย ทำให้ประเทศไทยมีฝนลดลง แต่ยังคงมีฝนตกหนักบางแห่ง โดยมีฝนตกหนักมากบางพื้นที่ในภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก หลังจากนั้นในช่วงวันที่ 29 ? 30 ก.ค. 66 ร่องมรสุมจะเลื่อนลงมาพาดผ่านภาคเหนือตอนบนและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนเพิ่มขึ้น สำหรับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามันตอนบน ภาคใต้ และอ่าวไทยตอนบน มีกำลังค่อนข้างแรง ตลอดช่วง ทำให้บริเวณทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยตอนบนทะเลมีคลื่นสูง 2 ? 3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ส่วนบริเวณทะเลอันดามันตอนล่างและอ่าวไทยตอนล่างทะเลมีคลื่นสูง 1 - 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร อนึ่ง พายุไต้ฝุ่น "ทกซูรี" บริเวณด้านตะวันออกของประเทศฟิลิปปินส์ จะเคลื่อนลงสู่ทะเลจีนใต้ตอนบน ในช่วงวันที่ 26 ? 27 ก.ค. 2566 หลังจากนั้นจะเคลื่อนขึ้นฝั่งบริเวณด้านตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศจีนในช่วงวันที่ 28 - 29 ก.ค. 2566 ข้อควรระวัง ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่มไว้ด้วย ส่วนชาวเรือบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองสำหรับเรือเล็กบริเวณทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยตอนบนควรงดออกจากฝั่ง ตลอดช่วง
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#2
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก กรุงเทพธุรกิจ
ทำไมพบ 'ปลาพญานาค' บริเวณน้ำตื้นบ่อยขึ้น? ทั้งที่เป็นสัตว์น้ำลึก รู้หรือไม่? "ปลาพญานาค" หรือ "ปลาริบบิ้น" ซึ่งเป็นปลาทะเลน้ำลึกที่ไม่ได้พบเจอได้ง่ายๆ แต่ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมากลับมีคนพบเห็นพวกมันบริเวณน้ำตื้นมากขึ้น จนเกิดการตั้งคำถามว่าเกิดอะไรขึ้นใต้ท้องทะเล Key Points: - Oarfish หรือปลาริบบิ้น หรือปลาพญานาค เป็นปลาที่อาศัยอยู่ในทะเลน้ำลึกประมาณ 1,000 เมตร ทำให้พบเห็นได้ยากบริเวณน้ำตื้น - ในแถบเอเชียมีความเชื่อว่าหากพบเห็นปลาพญานาคบริเวณน้ำตื้น อาจเป็นสัญญาณเตือนว่ากำลังจะเกิดภัยพิบัติ แต่ก็ไม่ได้มีข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ในเรื่องนี้ - เหตุผลสำคัญที่พบเห็นปลาน้ำลึกบริเวณผิวน้ำมากขึ้น ส่วนหนึ่งเกิดจากการที่พวกมันกำลังอพยพย้ายถิ่นที่อยู่ เนื่องจาก ?ภาวะโลกร้อน? ส่งผลให้น้ำทะเลมีอุณหภูมิสูงไปด้วย แม้ในทะเลลึกที่แสงแดดส่องไม่ถึง ได้ชื่อว่าเป็น "ปลาทะเลน้ำลึก" แน่นอนว่าพวกมันต้องมีถิ่นที่อยู่ ใต้ทะเลที่มีความลึกตั้งแต่ประมาณ 600-8,370 เมตร หรือเรียกได้ว่าเป็นส่วนของทะเลที่มีความลึกจนแสงอาทิตย์ส่องลงมาไม่ถึง แม้ว่าปลาน้ำลึกเหล่านี้จะมีหลากหลายสายพันธุ์ แต่นักสำรวจสามารถศึกษาค้นพบได้ เพียงแค่ 2% เท่านั้น เพราะการลงไปสำรวจใต้น้ำลึกขนาดนั้นเป็นเรื่องยากและมีปัจจัยเสี่ยงหลายอย่างมาก แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมีรายงานการพบปลาน้ำลึกบริเวณน้ำตื้นมากขึ้น เนื่องจากน้ำทะเล ณ จุดความลึกระดับนั้นเป็นห้วงน้ำที่ไร้แสง ส่งผลให้น้ำมีอุณหภูมิต่ำมาก อยู่ที่ประมาณ 3 องศาเซลเซียส จนถึงระดับติดลบ 1.8 องศาเซลเซียส รวมถึงมีแรงดันมหาศาลระหว่าง 2-100 เมกะปาสคาล นอกจากนี้ยังมีออกซิเจนต่ำอีกด้วย ส่งผลให้บรรดาปลาน้ำลึกต้องมีวิวัฒนาการเพื่อความอยู่รอดในสภาพแวดล้อมแบบสุดขั้ว จึงเป็นหนึ่งในเหตุผลที่พวกมันมีหน้าตาแปลกประหลาดไม่เหมือนปลาทั่วไป และในบางสายพันธุ์ก็สามารถเรืองแสงได้ด้วย โดยหนึ่งใน "ปลาน้ำลึก" ที่มีลักษณะโดดเด่นคงหนีไม่พ้น "Oarfish" บางคนอาจจะไม่ค่อยคุ้นหูเท่าไรนัก แต่ถ้ากล่าวถึง "ปลาพญานาค" แน่นอนว่าหลายคนคงรู้จักกันเป็นอย่างดี เพราะเป็นปลาที่ถูกนำมาผูกโยงเข้ากับความเชื่อและวัฒนธรรมของผู้คนในหลายประเทศ บางประเทศเชื่อว่าพวกมันคือปลาที่คอยแจ้งเตือนว่าจะเกิด "ภัยพิบัติ" ขึ้น หากมีคนพบเห็นมันขึ้นมาว่ายอยู่บริเวณน้ำตื้น และล่าสุดมีรายงานจาก USA today ว่า มีกลุ่มนักดำน้ำบังเอิญเจอปลาพญานาคที่ยังมีชีวิตว่ายอยู่บริเวณน้ำตื้นนอกชายฝั่งไต้หวันเมื่อไม่นานมานี้ ปลาพญานาค และคำทำนายภัยพิบัติ? เมื่อพูดถึงความเชื่อเกี่ยวกับปลาริบบิ้นหรือปลาพญานาค พบว่าส่วนมากจะได้รับการพูดถึงในแถบภูมิภาคเอเชีย เช่น จีน ไต้หวัน ญี่ปุ่น และไทย เป็นต้น ว่ากันว่าถ้าหากใครได้พบเจอกับปลาชนิดนี้อาจเป็นสัญญาณเตือนว่าจะมีภัยพิบัติทางธรรมชาติเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นแผ่นดินไหวหรือภูเขาไฟระเบิด เพราะมีความเชื่อว่าปลาน้ำลึกเหล่านี้เมื่อพบเจอกับแรงสั่นสะเทือนหรือรอยแยกใต้ทะเลจะทำให้พวกมันตกใจและหนีขึ้นมา แต่ก็ไม่ได้มีข้อพิสูจน์หรือหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ในประเด็นดังกล่าว สำหรับเรื่องเล่าเกี่ยวกับ "ปลาพญานาค" นั้น มีความแตกต่างกันออกไปตามประเทศที่พบเจอ เช่น ในญี่ปุ่นมีความเชื่อว่าพวกมันคือ ผู้ส่งสารจากวังแห่งท้องทะเล โดยมีชื่อเรียกว่า Ryuuguu no Tsukai ซึ่งชาวญี่ปุ่นเชื่อว่าพวกมันได้รับคำสั่งให้มาเตือนมนุษย์นั่นเอง และสำหรับชาวจีนเรียกปลาชนิดนี้ว่า "ปลามังกร" เนื่องจากมีรูปร่างที่คล้ายกับมังกรตามความเชื่อเกี่ยวกับเทพเจ้าจีน สำหรับลักษณะทั่วไปของปลาพญานาค เป็นปลากระดูกแข็ง ลำตัวยาวมากเป็นพิเศษ มีถิ่นที่อยู่อาศัยที่ความลึกประมาณ 1,000 เมตรใต้ท้องทะเล ทำให้พบเห็นได้ยาก (นอกจากพวกมันจะตายแล้วถูกซัดขึ้นมาเกยตื้นตามชายหาด) พวกมันมีความยาวสูงสุดถึง 9 เมตร และมีน้ำหนักมากที่สุดได้ถึง 300 กิโลกรัม เป็นปลาที่มีส่วนหัวขนาดใหญ่ ลำตัวแบนสีเงิน มีจุดสีฟ้าและดำเล็กน้อย มีครีบหลังสีชมพูแดง และมีอวัยวะคล้ายหงอนบนส่วนหัว จึงเป็นที่มาของชื่อไทยๆ ว่า "ปลาพญานาค" ตามความเชื่อของคนไทย ขณะที่เหตุการณ์ที่ทำให้ผู้คนจำนวนไม่น้อยมีความเชื่อว่าปลาพญานาคเป็นผู้ทำนายภัยพิบัตินั้น มีหลายเหตุการณ์ด้วยกัน เช่น จากรายงานของ Reconstruction พบว่า เมื่อปี 2011 เคยเกิดเหตุแผ่นดินไหวรุนแรงในจังหวัดฟุกุชิมะ ประเทศญี่ปุ่น มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 20,000 คน และก็มีคนเชื่อมโยงไปถึงเหตุการณ์ที่มีผู้พบเห็นปลาพญานาคขึ้นมาว่ายน้ำอยู่บริเวณชายฝั่งญี่ปุ่นเมื่อช่วงปี 2010 ต่อมาในไต้หวันมีรายงานจาก Taiwan News ว่า ในปี 2020 ชาวประมงจับปลาพญานาคได้ที่นอกชายฝั่งอ่าวตงอ่าว เขตอี๋หลาน ที่อยู่ทางตะวันออกของไต้หวัน หลังเกิดเหตุแผ่นดินไหวถึงสองครั้งในบริเวณดังกล่าว แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ในทางวิทยาศาสตร์ หลายคนก็ยังเชื่อว่าการพบเจอปลาพญานาคบริเวณน้ำตื้นนั้น นอกจากจะทำให้เตรียมรับมือกับภัยพิบัติได้ในเบื้องต้นแล้ว บางคนยังมองว่าอาจเป็นเพราะพื้นที่น้ำลึกใต้ทะเลกำลังมีปัญหาจึงทำให้พวกมันไม่สามารถอยู่อาศัยได้ ภาวะโลกร้อนทำให้พบ "ปลาน้ำลึก" บริเวณน้ำตื้นบ่อยขึ้น? ในอดีตการพบซาก "ปลาน้ำลึก" หายากที่ตายแล้วมาเกยตื้นอยู่บริเวณชายหาดอาจไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นได้บ่อยๆ แต่ในช่วงไม่กี่ปีมานี้นอกจากจะพบซากปลาน้ำลึกเพิ่มมากขึ้นแล้ว ยังพบปลาน้ำลึกบางชนิดว่ายน้ำอยู่ "บริเวณน้ำตื้น" อีกด้วย แน่นอนว่าการที่ปลาน้ำลึกขึ้นมาใช้ชีวิตอยู่บริเวณน้ำตื้นนั้นไม่ใช่เรื่องปกติ เนื่องจากสภาพร่างกายของพวกมันเหมาะกับกระแสน้ำลึกที่มีแรงดันมากกว่ากระแสน้ำตื้น ดังนั้นหากขึ้นมาอยู่ที่น้ำตื้นพวกมันจึงมักจะตายอย่างรวดเร็ว เนื่องจากอวัยวะภายในเกิดความเสียหาย (คล้ายๆ ตัวของมันระเบิดจากข้างใน) แต่ในปัจจุบันกลับมีการพบเจอปลาน้ำลึกในน้ำตื้นได้บ่อยขึ้น ข้อสันนิษฐานจากนักวิจัยนานาประเทศ เช่น ฟิลิปปินส์ ออสเตรเลีย และ ญี่ปุ่น จากวารสาร Nature Climate Change ระบุว่า มีการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิในถิ่นที่อยู่อาศัยของปลาน้ำลึกเหล่านั้น ซึ่งตอนนี้พวกเขามีข้อมูลจากสัตว์ทะเล 20,000 ชนิด และพบว่าสัตว์ที่อาศัยอยู่ในน้ำลึกมากกว่า 1,000 เมตร เริ่มรวมตัวกันอพยพมาอยู่ใกล้ผิวน้ำมากขึ้นในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 20 นอกจากนี้ยังมีปัญหาที่น่าเป็นห่วงมากกว่านั้น เพราะสิ่งมีชีวิตที่อยู่อาศัยในความลึกตั้งแต่ 200-1,000 เมตร จะย้ายที่อยู่เยอะกว่าสัตว์น้ำตื้นประมาณ 4-11 เท่า นอกจากนี้ยังมีข้อสันนิฐานจากวารสาร Nature Ecology & Evolution อีกว่า จากการศึกษาการอพยพของแบคทีเรีย พืช รา และสัตว์มากกว่า 12,000 ชนิด พบว่าสัตว์ทะเลสามารถย้ายถิ่นฐานไปยังขั้วโลกเหนือได้เร็วกว่าสัตว์บกถึง 6 เท่า โดยเหตุผลสำคัญที่ทำให้พวกมันต้องรีบอพยพนั้นมาจากปัญหา ?ภาวะโลกร้อน? ที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น โดย Anthony Richardson จาก University of Queensland ประเทศออสเตรเลีย หนึ่งในผู้เขียนงานวิจัยดังกล่าว ระบุว่า "การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนมีความสำคัญต่อการควบคุมภาวะโลกร้อนอย่างมาก ซึ่งจะช่วยควบคุมการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิไม่ให้แปรปรวน แต่ปัจจุบันมนุษย์ยังคงปล่อยก๊าซคาร์บอนปริมาณมหาศาลอย่างต่อเนื่อง อีกปัญหาหนึ่งก็คือ ความร้อนจากบริเวณผิวน้ำจะผสมลงไปในห้วงทะเลน้ำลึกมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ "สัตว์น้ำลึก" เผชิญภัยคุกคามที่เพิ่มมากขึ้นจากภาวะโลกร้อน ซึ่งทางออกของเรื่องนี้อาจไม่สามารถแก้ไขได้ทันที แต่สิ่งที่ควรจะต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วนก็คือ ลดภัยคุกคามที่เกิดจากฝีมือมนุษย์ รวมถึงการทำเหมืองใต้ทะเลและการทำประมงน้ำลึก ท้ายที่สุดแล้วไม่ว่า "ปลาพญานาค" จะเป็นนักพยากรณ์ภัยธรรมชาติจริงหรือไม่นั้น อาจจะไม่ใช่เรื่องสำคัญเท่ากับว่า พวกมันและปลาน้ำลึกชนิดอื่นกำลังพบเจอกับปัญหาถิ่นที่อยู่ถูกทำลาย จนต้องพยายามย้ายไปอยู่ที่อื่น ซึ่งหากมองอีกมุมหนึ่งภัยพิบัติที่ปลาพญานาคกำลังพยายามบอกพวกเราอยู่นั้นอาจหมายถึง "ภาวะโลกร้อน" ที่เกิดขึ้นจากฝีมือมนุษย์ก็เป็นได้ https://www.bangkokbiznews.com/environment/1079997
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
|