|
#1
|
||||
|
||||
สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันพฤหัสบดีที่ 25 มกราคม 2567
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป บริเวณความกดอากาศสูงกำลังค่อนข้างแรงยังคงปกคลุมประเทศไทยและทะเลจีนใต้ ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีอากาศเย็นถึงหนาวกับมีลมแรง และอุณหภูมิจะลดลงอีก 1-2 องศาเซลเซียสในภาคเหนือ ภาคกลางรวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออก และภาคใต้ตอนบน ในขณะที่คลื่นกระแสลมฝ่ายตะวันตกจากประเทศเมียนมาจะเคลื่อนผ่านภาคเหนือ และภาคกลางตอนบน ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีฝนบางแห่งเกิดขึ้นได้ ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง รวมถึงให้ระวังอันตรายจากอัคคีภัยที่อาจเกิดขึ้นเนื่องจากอากาศแห้งและลมแรง สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้มีกำลังแรงขึ้น ทำให้ภาคใต้ตอนล่างมีฝนตกหนักบางแห่ง ขอให้ประชาชนบริเวณภาคใต้ตอนล่างระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสมซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม ส่วนประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณชายฝั่งภาคใต้ฝั่งตะวันออกให้ระวังอันตรายจากคลื่นที่ซัดเข้าหาฝั่ง สำหรับคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยตอนล่างมีกำลังค่อนข้างแรง โดยมีคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร อ่าวไทยตอนบนและทะเลอันดามันมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองและห่างฝั่งคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง สำหรับเรือเล็กบริเวณอ่าวไทยตอนล่างควรงดออกจากฝั่งจนถึง วันที่ 27 ม.ค. 67 นี้ไว้ด้วย ฝุ่นละอองในระยะนี้: ประเทศไทยตอนบนมีการสะสมของฝุ่นละออง/หมอกควันลดลง เนื่องจากลมที่พัดปกคลุมมีกำลังแรงขึ้น กรุงเทพมหานครและปริมณฑล อากาศเย็นกับมีลมแรง และอุณหภูมิจะลดลงอีก 1-2 องศาเซลเซียส โดยมีฝนเล็กน้อยบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 20-23 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 28-30 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-30 กม./ชม. คาดหมาย ในช่วงวันที่ 25 - 27 ม.ค. 67 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังค่อนข้างแรงจากประเทศจีนแผ่ปกคลุมประเทศไทยตอนบน และทะเลจีนใต้ ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีอากาศเย็นถึงหนาวกับมีลมแรง และอุณหภูมิจะลดลงอีก 1-3 องศาเซลเซียสในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออก และภาคใต้ตอนบน ในขณะที่ในช่วงวันที่ 25 ? 28 ม.ค. 67 คลื่นกระแสลมฝ่ายตะวันตกจากประเทศเมียนมาจะเคลื่อนผ่านภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน และภาคกลางตอนบน ทำให้ประเทศไทยตอนบนจะมีฝนฟ้าคะนองบางแห่งเกิดขึ้นได้ หลังจากนั้นในช่วงวันที่ 28 ? 30 ม.ค. 67 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังค่อนข้างแรงที่ปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้จะมีกำลังอ่อนลง ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีอุณหภูมิสูงขึ้น 1 - 3 องศาเซลเซียส แต่ยังคงมีอากาศเย็นถึงหนาวกับมีหมอกในตอนเช้า สำหรับอ่าวไทย ภาคใต้ และทะเลอันดามันตอนบน ในช่วงวันที่ 25 - 27 ม.ค. 67 มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือกำลังค่อนข้างแรงพัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้ ทำให้ภาคใต้มีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันจะมีกำลังแรงขึ้น โดยอ่าวไทยตอนล่างมีคลื่นสูง 2 - 3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร อ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร และทะเลอันดามันมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนในช่วงวันที่ 28 - 30 ม.ค. 67 มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือกำลังค่อนข้างแรงที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้มีกำลังอ่อนลง ทำให้ภาคใต้มีฝนลดลง แต่ยังคงมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันมีกำลังอ่อนลง โดยอ่าวไทยตอนล่างมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร อ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูง 1?2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร และทะเลอันดามันมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 1 เมตร ข้อควรระวัง ในช่วงวันที่ 25 ? 28 ม.ค. 67 ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่หนาวเย็นลง รวมถึงให้ระวังอันตรายจากอัคคีภัยที่อาจเกิดขึ้นเนื่องจากอากาศแห้งและลมแรง ส่วนเกษตรกรควรเตรียมการป้องกันและระวังความเสียหายที่จะเกิดต่อผลผลิตทางการเกษตรไว้ด้วย ส่วนช่วงวันที่ 28 ? 30 ม.ค. 67 ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนระมัดระวังการสัญจรผ่านบริเวณที่มีหมอกไว้ด้วย สำหรับชาวเรือบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วยตลอดช่วง สำหรับเรือเล็กบริเวณอ่าวไทยตอนล่างควรงดออกจากฝั่งในช่วงวันที่ 25 - 27 ม.ค. 67 นี้ไว้ด้วย ****************************************************************************************************** ประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา เรื่อง คลื่นลมแรงบริเวณอ่าวไทยตอนล่างและทะเลอันดามัน ฉบับที่ 6 (17/2567) (มีผลกระทบในช่วงวันที่ 25 - 27 มกราคม 2567) มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้มีกำลังแรงขึ้น ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคใต้มีฝนตกหนักบางแห่ง ขอให้ประชาชนบริเวณภาคใต้ระวังอันตรายจากฝนตกหนักที่อาจจะเกิดขึ้นในระยะนี้ไว้ด้วย สำหรับคลื่นลมบริเวณอ่าวไทย และทะเลอันดามันมีกำลังแรงขึ้น โดยอ่าวไทยตอนล่างตั้งแต่จังหวัดนครศรีธรรมราชลงไป ทะเลมีคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ส่วนอ่าวไทยตอนบนตั้งแต่จังหวัดสุราษฎร์ธานีขึ้นมาและบริเวณทะเลอันดามัน ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองและห่างฝั่งคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณชายฝั่งภาคใต้ฝั่งตะวันออกระวังอันตรายจากคลื่นที่ซัดเข้าหาฝั่ง ส่วนชาวเรือบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง สำหรับเรือเล็กบริเวณอ่าวไทยตอนล่างควรงดออกจากฝั่งจนถึงวันที่ 27 มกราคม 2567 นี้ไว้ด้วย
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#2
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก เดลินิวส์
พบซากฉลามอายุเกินร้อยที่กรีนแลนด์ ผู้เชี่ยวชาญชี้ เป็นพันธุ์หาดูยาก ชาวบ้านท้องถิ่นในกรีนแลนด์พบซากปลาขนาดใหญ่ถูกซัดเข้าหาฝั่ง ทีมนักวิทยาศาสตร์ตรวจสอบพบว่าเป็นฉลามที่มีอายุมากกว่า 100 ปี อีกทั้งเป็นสายพันธุ์ที่ไม่ค่อยมีคนพบเห็นบ่อยนัก เครดิตภาพ : Greenland Institute of Natural Resources สถาบันแหล่งทรัพยากรธรรมชาติแห่งกรีนแลนด์ออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 14 ม.ค. ที่ผ่านมาว่ามีชาวบ้านริมฝั่งทะเลเมืองนุก พบเห็นซากปลาฉลามขนาดใหญ่ในระหว่างที่กำลังมีพายุ? แอนนี บัสค์ เลนเนิร์ต หนึ่งในกลุ่มคนที่พบซากฉลามดังกล่าว? ให้ข้อมูลว่าเธอเคยเห็นฉลามตัวนี้ในทะเลแถบนั้นมาก่อนหลายครั้ง จนกระทั่งมันหายหน้าไป หลังจากนั้นไม่นาน เจ้าหน้าที่รักษาพันธุ์สัตว์ป่าของท้องที่ก็ได้รับรายงานหลายครั้งว่าพบซากฉลามตัวหนึ่งบนชายหาดของหมู่บ้านอะวานนาร์ลีตในเมืองนุก ดาเนียล เอสเตเวซ-บาร์เซีย นักชีววิทยาจากสถาบันระบุว่า ซากฉลามที่มีผู้พบตัวนั้นคือฉลามพันธุ์กรีนแลนด์ ซึ่งไม่ค่อยมีใครได้เห็นมันบ่อยนัก เขาระบุว่า ฉลามตายตัวนี้เป็นเพศเมีย มีความยาวลำตัวประมาณ 13 ฟุต (ราว 3.9 เมตร) น่าจะมีอายุมากกว่า 100 ปี ดูจากร่องรอยส่วนหางของมันที่ขาดหายไป สันนิษฐานว่ามันตายเพราะโดนชาวประมงตามล่า องค์การบริหารมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติสหรัฐระบุว่า ฉลามกรีนแลนด์เป็นสัตว์ที่มีกระดูกสันหลังที่อายุยืนที่สุดในโลก อายุขัยขั้นต่ำของพวกมันคือ 250 ปี และอาจอยู่ได้จนถึงอายุ 500 ปี แหล่งอาศัยและหากินของมันคือทะเลที่หนาวเย็นแถบขั้วโลกเหนือและมหาสมุทรแอตแลนติก และมีมนุษย์พบเห็นมันน้อยมาก สถาบันแหล่งทรัพยากรธรรมชาติฯ ชี้ว่า ซากของฉลามกรีนแลนด์ที่โดนคลื่นซัดเข้าหาฝั่งนั้นมีน้อยครั้งมาก แต่ไม่มีการเก็บสถิติไว้ ต่อมาในวันที่ 22 ม.ค. 2567 ทีมนักวิทยาศาสตร์แถลงเรื่องการผ่าซากของฉลามดังกล่าวเพื่อตรวจสอบว่ามันมีไข่หรือตัวอ่อนอยู่ในร่างกายหรือไม่? เนื่องจากไม่เคยมีฉลามเพศเมียที่ตั้งท้องเข้ามาในเขตชายฝั่งมาก่อน ผลปรากฏว่าฉลามตัวนี้ไม่ได้ตั้งท้อง อย่างไรก็ตาม ตับของมันมีขนาดใหญ่มาก ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่ามันกำลังเข้าสู่ภาวะเตรียมตัวเพื่อมีลูก นอกจากนี้ สถาบันฯ ยังเก็บตัวอย่างเนื้อเยื่อจากซากฉลามและเก็บซากส่วนหัวของมันไว้เพื่อการศึกษาต่อไป ปัจจุบันยังมีข้อมูลเรื่องการขยายพันธุ์ของฉลามกรีนแลนด์อยู่น้อยมาก นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า ฉลามกรีนแลนด์ตัวเมียจะสามารถวางไข่หรือมีลูกได้เมื่อเติบโตจนมีขนาดลำตัวยาวราว 13 ฟุตหรือเกือบ 4 เมตร ซึ่งต้องใช้เวลาประมาณ 150 ปี ที่มา : miamiherald.com https://www.dailynews.co.th/news/3112018/
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#3
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการ
พบแล้วนักท่องเที่ยวพร้อมลูกเรือตกปลา15 คนลอยคอกลางทะเลเกาะกูดสภาพจับมือกันแน่น จนท.ช่วยได้ทุกคน ตราด ? พบแล้วนักท่องเที่ยวพร้อมลูกเรือตกปลา 15 คนหลังเกิดเหตุเรือล่มปลายแหลมเทียนเกาะกูด จ.ตราด สภาพจับมือกันแน่นลอยคอกลางทะเล เจ้าหน้าที่เร่งนำตัวขึ้นฝั่งที่ท่าเรือบ้านคลองมาศ ให้แพทย์ตรวจดูอาการ พบถูกคลื่นซัดไกลจากจุดเกิดเหตุ จากกรณีที่เกิดเหตุเรือไม้ตกปลาล่มบริเวณปลายแหลมเทียนเกาะกูด จ.ตราด เมื่อเวลา 14.30 น.ที่ผ่านมาหลังพุ่งชนโขดหินจนทำให้ท้องเรือแตกทำนักท่องเที่ยวพร้อมลูกเรือรวม 15 คนต้องลอยคออยู่กลางทะเล และเจ้าหน้าที่หลายหน่วยต้องเร่งระดมกำลังค้นหานั้น ล่าสุดเมื่อเวลา 18.00 น.ที่ผ่านมาผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจาก นายเดชาธร จันทร์อบ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลเกาะกูด ว่าหลังจากได้นำเรือสปีดโบ๊ท 3 ลำ และเรือประมงพาณิชย์ ออกเดินทางค้นหานักท่องเที่ยวและลูกเรือบริเวณพิกัด 3532 ตามที่ได้รับแจ้งในครั้งแรกแต่ไม่พบ จนต้องตระเวนหาไปตามจุดที่คาดว่าจะถูกคลื่นซัดไปตามกระแสน้ำ "กระทั่งเมื่อเวลา 17.15 น.ก็ได้พบนักท่องเที่ยวและลูกเรือทั้ง 15 คนพากันลอยคออยู่กลางทะเลในลักษณะรวมตัวจับมืออยู่กับชูชีพ จึงเข้าให้การช่วยเหลือขึ้นฝั่งได้ครบทุกคน" และจากการตรวจสอบร่างกายเบื้องต้นพบว่ามีผู้หญิง 1 คน ที่มีอาการที่อิดโรยเนื่องจากหิวข้าว จึงต้องนำตัวส่งโรงพยาบาลเกาะกูดเพื่อตรวจดูอาการ ขณะที่ในส่วนของ ศรชล.ตราด ได้เตรียม เรือต.ไว้สำรองกรณีที่มีนักท่องเที่ยวมีอาการไม่ปกติเพื่อนำส่งต่อไปยังโรงพยาบาลคลองใหญ่ อ.คลองใหญ่ต่อไป https://mgronline.com/local/detail/9670000007144
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#4
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ข่าวสด
แห่ดำน้ำ 'โค้งแห่งความลับ' ตื่นตาตื่นใจ "ดอกซากุระใต้ทะเล" หาชมได้ง่ายๆ ใต้ทะเลไทย ตรัง นักท่องเที่ยว แห่ดำน้ำ "โค้งแห่งความลับ" เกาะแหวน สถานที่จัดวิวาห์ใต้สมุทรครั้งแรกของโลก ลุ้นตื่นตาตื่นใจ "ดอกซากุระใต้ทะเล" หาชมได้ง่ายๆ ใต้ทะเลเมืองไทย 24 ม.ค. 67 ? ทีมผู้ประกอบการท่องเที่ยวทะเลตรัง นำโดย นายพฤกษ์ เกิดอุบล ผู้จัดการมดตะนอย รีสอร์ท ได้พานักดำน้ำลงไปสำรวจยังบริเวณเกาะแหวน หนึ่งในแหล่งท่องเที่ยววันเดย์ทัวร์ที่ขึ้นชื่อ จุดดำน้ำลึกที่สำคัญที่สุดของจังหวัดตรัง รวมทั้งยังเป็นสถานที่จัดงานวิวาห์ใต้สมุทร หรือจดทะเบียนสมรสใต้น้ำเป็นครั้งแรกของโลก เนื่องจากบริเวณรอบเกาะเป็นแนวหินน้ำตื้นใต้ทะเลที่สวยงามและน่าตื่นตาตื่นใจ จนทำให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเดินทางมาดำน้ำชมความงดงามของแหล่งปะการัง หรือฝูงปลาน้อยใหญ่กันเป็นจำนวนมากในแต่ละปี โดยเฉพาะจุดดำน้ำที่อันซีนที่สุดของเกาะแหวนนั้น จะเป็นช่วงโค้งสันผาที่มีกระแสน้ำเชี่ยว หรือที่นักดำน้ำเรียกจุดนี้ว่า "โค้งแห่งความลับ" เนื่องจากโลกใต้ทะเลบริเวณนี้ จะมีปะการังอ่อนแสนสวยซ่อนตัวอยู่เป็นดงใหญ่และหลากหลายสี เช่น แดง ขาว เหลือง ฟ้า ชมพู และขาวอมชมพู ซึ่งถือเป็นกลุ่มสีดาวเด่นที่มีอยู่มากมาย ยิ่งเมื่อยามที่พวกมันพร้อมใจกันเบ่งบานรับกระแสน้ำที่พัดพา ก็จะแลดูคล้ายกับดอกซากุระเบ่งบานไปทั่วบริเวณ จนทำให้หลายคนยกให้โค้งแห่งความลับว่า เป็นจุดชมซากุระใต้ทะเลอันน่าตื่นตาตื่นใจที่หาชมไม่ได้ง่ายๆ ในเมืองไทย นอกจากนี้ใต้ทะเลบริเวณเกาะแหวน ยังเต็มไปด้วยฝูงปลาน้อยใหญ่ และกัลปังหาที่ขึ้นกระจายอยู่ทั่วไปด้วย จึงยิ่งช่วยสร้างบรรยากาศใต้ทะเลให้สวยงามมากขึ้นไปอีก อย่างไรก็ตาม ก็ใช่ว่านักท่องเที่ยวทุกคนจะสามารถดำน้ำไปเจอซากุระใต้ทะเลได้ตลอดเวลา เพราะปะการังอ่อนพวกนี้จะบานตามความแรงของกระแสน้ำ ซึ่งหากกระแสน้ำยิ่งแรง ปะการังก็จะยิ่งบานเยอะ แต่ก็จะทำให้เป็นอุปสรรคต่อการดำน้ำลงไปชมความงดงาม แต่ถ้าหากกระแสน้ำนิ่งเกินไป ปะการังก็หุบดูเป็นก้อนๆ ไม่เหมือนดอกซากุระใต้ทะเลแต่อย่างใด สราวุฒิ สวัสดิ์กลาง หนึ่งในนักดำน้ำที่ร่วมลงไปสำรวจยังบริเวณเกาะแหวนล่าสุด ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวเล่าถึงการลงไปยังโค้งแห่งความลับนั้นว่า ขึ้นอยู่กับจังหวะผสมกับโชค จุดที่ลงตัวคือ วันที่กระแสน้ำแรงพอสมควร และแสงแดดดี ส่องถึงใต้น้ำ ซึ่งจะทำให้ปะการังอ่อนบานประมาณ 60-70 % จึงเหมาะต่อการดำน้ำลงไปชมความน่ามหัศจรรย์ ไม่ว่าจะเป็นปะการังอ่อนสีซากุระ หรือสีอื่นๆ ที่มีอยู่อย่างมากมาย โดยบางจุดจะมียอดหินตื้นแค่เมตรกว่าๆ จนทำให้มองเห็นดอกซากุระใต้ทะเลได้จากผิวน้ำเลยทีเดียว https://www.khaosod.co.th/lifestyle/travel/news_8065618
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#5
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก กรุงเทพธุรกิจ
โลกร้อนไม่ใช่เรื่องไกลตัว! อุณหภูมิโลกเพิ่ม 1 องศา ทำอายุสั้นลง 'ครึ่งปี' "การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ" ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป ล่าสุดงานวิจัยเปิดเผยว่า เมื่ออุณหภูมิโลกเพิ่มสูงขึ้นเพียง 1 องศา จะทำให้อายุโดยเฉลี่ยของมนุษย์สั้นลงครึ่งปี โลกร้อนไม่ใช่เรื่องไกลตัว! จากการวิจัยล่าสุดที่ตีพิมพ์ในวารสาร PLOS Climate "การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ" อุณหภูมิเพิ่มขึ้น 1 องศา ทำให้คนอายุสั้นลงถึงครึ่งปี ถือเป็นอีกหนึ่งผลกระทบร้ายแรงของภาวะโลกร้อนที่เกิดขึ้นจากน้ำมือมนุษย์ อุณหภูมิ และปริมาณน้ำฝน สัมพันธ์กับอายุขัย อามิท รอย นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีชาห์จาลาล ในบังกลาเทศ ทำการศึกษาหาความเชื่อมโยงที่มีความซับซ้อนระหว่างอุณหภูมิ ปริมาณน้ำฝน และอายุขัยของสิ่งมีชีวิตใน 191 ประเทศในตลอด 80 ปีที่ผ่านมา ระหว่างปี 1940-2020 โดยใช้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศต่อหัว เพื่อควบคุมความแตกต่างทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศต่างๆ ทำให้ได้ข้อสรุปใหม่เกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างวิกฤติสภาพภูมิอากาศ และชีวิตมนุษย์ นอกจากนี้ ทีมวิจัยยังได้พัฒนา "ดัชนีการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเชิงประกอบ" ที่รวบรวมข้อมูลอุณหภูมิและปริมาณน้ำฝน เพื่อให้เห็นภาพของปัญหาได้ละเอียดยิ่งขึ้น เนื่องจากทั้ง 2 ปัจจัย มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับส่งผลต่อสุขภาพ และปัจจัยด้านสาธารณสุขหลายประกาศ อีกทั้งยังเป็นตัวบ่งชี้สำคัญของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นตั้งแต่ภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน รับมือยาก เช่น ภัยพิบัติทางธรรมชาติ น้ำท่วม คลื่นความร้อน ไปจนถึงภัยทางอ้อมแต่ก็สร้างความเสียหายไม่แพ้กัน ทั้งโรคระบบทางเดินหายใจ และปัญหาสุขภาพจิต แม้ว่าผลกระทบเช่นนี้สามารถสังเกตได้ และบันทึกไว้อย่างดี แต่ก่อนหน้านี้ไม่มีการวิจัยที่สร้างความเชื่อมโยงโดยตรงระหว่างการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกับอายุขัยมาก่อน อุณหภูมิเพิ่ม 1 องศา ทำอายุสั้นลง 'ครึ่งปี' ผลการศึกษาพบว่า อุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้นเพียง 1 องศาเซลเซียล มีความเชื่อมโยงกับอายุขัยโดยเฉลี่ยของมนุษย์ที่ลดลงประมาณ 0.44 ปี หรือเทียบเท่ากับ 6 เดือน 1 สัปดาห์ สอดคล้องกับดัชนีการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเชิงประกอบเพิ่มขึ้นถึง 10 จุด ทั้งอุณหภูมิ และปริมาณน้ำฝน ส่งผลให้อายุขัยลดลง 6 เดือนเช่นเดียวกัน เมื่อพิจารณาเฉพาะปริมาณน้ำฝน โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ ปริมาณน้ำฝนที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงอาจสร้างประโยชน์หรือส่งผลเสียได้ทั้งคู่ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ตัวอย่างเช่น ในพื้นที่ ที่มีฝนตกหนักอยู่แล้วหรือพื้นที่ ที่ประสบภัยแล้ง ทั้งนี้ อายุคาดเฉลี่ยหมายถึง ระยะเวลาที่มนุษย์อาจมีชีวิตอยู่ได้ โดยพิจารณาจากปัจจัยทางประชากร และส่วนบุคคล ขณะที่อายุขัยคือ อายุเฉลี่ยสูงสุดของประชากรกลุ่มหนึ่งๆ ที่ถูกสังเกตว่ามีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้ การศึกษานี้ยังแสดงให้เห็นว่ากลุ่มเปราะบางต่างๆ เช่น ผู้หญิง และประชากรในประเทศกำลังพัฒนาที่มีระบบการรักษาพยาบาลที่ไม่ดี และมีบุคลากรทางการแพทย์ไม่เพียงพอ จะได้รับผลกระทบโดยตรง สิ่งนี้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการแก้ปัญหาให้ตรงเป้าหมาย และเท่าเทียม โดยให้ความสำคัญกับประชากรที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ทั้งนี้ นักวิจัยยังต้องทำการศึกษาที่เจาะลึกถึงผลกระทบของเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วที่เฉพาะเจาะจง ซึ่งรวมถึงเหตุการณ์ต่างๆ เช่น ไฟป่า สึนามิ ที่มีปัจจัยอื่นๆ ประกอบไม่ได้มีเพียงแค่อุณหภูมิ และปริมาณฝนเพียงเท่านั้น คนทั้งโลกต้องช่วยกันลดโลกร้อน ดร. รอย ยังหวังว่าดัชนีการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเชิงประกอบจะสร้างมาตรฐานการสนทนาระดับโลกเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และกลายเป็นตัวชี้วัดที่ใช้งานได้สำหรับประชาชนทั่วไปที่ไม่มีความรู้เรื่องวิทยาศาสตร์ พร้อมส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อต่อสู้กับผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกยังเป็นวิธีที่สำคัญลดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ดีที่สุด ควบคู่ไปกับการทำกิจกรรมเชิงรุกเพื่อช่วยให้ชุมชนปรับตัวเข้ากับรูปแบบสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป และรับมือกับสถานการณ์ที่คาดการณ์ได้ยากขึ้นให้ครอบคลุมได้มากที่สุด "ภัยคุกคามระดับโลกที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ส่งผลต่อความเป็นอยู่ที่ดีของผู้คนหลายพันล้านคน ตอกย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยเฉพาะในวิกฤติด้านสาธารณสุข" "เราต้องร่วมกันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และสร้างปฏิบัติการเชิงรุก ถือเป็นสิ่งสำคัญในการปกป้องอายุขัยและปกป้องสุขภาพของประชากรทั่วโลก" ดร.รอย กล่าวสรุป https://www.bangkokbiznews.com/environment/1109991 ****************************************************************************************************** หน้าร้อนปีนี้จะมี "น้ำ"เพียงพอหรือไม่ "เอลนีโญ" ถล่มทำฝนน้อย - แล้งหนัก หน้าร้อนปีนี้จะมี "น้ำ"เพียงพอหรือไม่ "แอลนีโญ" ถล่มทำฝนน้อย - แล้งหนัก จากการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.เมื่อ 16 ม.ค.67) ในหัวข้อเรื่อง รายงานสถานการณ์น้ำภาพรวมประเทศ ระบุว่า สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ(สทนช.)ได้บูรณาการข้อมูลที่เกี่ยวข้อง และสรุปสถานการณ์น้ำระหว่างวันที่ 9 -15 ม.ค.2567 มีดังนี้ 1. สภาพอากาศ และการคาดการณ์ฝนปัจจุบันพบว่าปรากฏการณ์เอลนีโญกำลังแรง จะอ่อนลงเป็นเอลนีโญกำลังปานกลาง และอ่อนกำลังลงอย่างต่อเนื่องในช่วงเดือนพ.ค.2567 ซึ่งช่วงดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อประเทศไทยมีผลทำให้ฝนตกน้อยกว่าค่าปกติ (ม.ค. - พ.ค.2567) สภาพอากาศ บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังปานกลางจากประเทศจีน จะแผ่ลงมาปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ทำให้มีลมตะวันออก และลมตะวันออกเฉียงใต้ พัดนำความชื้นจากทะเลเข้ามาปกคลุมประเทศไทยตอนบน ในขณะที่คลื่นกระแสลมฝ่ายตะวันตกจากประเทศเมียนมา จะเคลื่อนผ่านประเทศไทยตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีพายุฝนฟ้าคะนอง กับมีลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกบางแห่งเกิดขึ้นได้ในภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนภาคกลาง และภาคตะวันออก อุณหภูมิจะลดลงเล็กน้อย สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยตอนล่าง และภาคใต้มีกำลังแรงขึ้นทำให้ภาคใต้ตอนล่างมีฝนเพิ่มขึ้น และมีฝนตกหนักบางแห่งในช่วงวันที่ 15-18 ม.ค.2567 จากนั้นในช่วงวันที่ 18-20 ม.ค.2567 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นจะมีกำลังอ่อนลง สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทย และภาคใต้จะมีกำลังอ่อนลง ทำให้ภาคใต้มีฝนลดลง 2. สถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำต่างๆ และการคาดการณ์ โดย สถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำภาพรวมประเทศ ปัจจุบัน (ข้อมูลวันที่ 11 ม.ค.2567) มีปริมาณน้ำ 60,337 ล้านลูกบาศก์เมตร (73%) น้อยกว่าปี 2566 จำนวน 4,025 ล้านลูกบาศก์เมตร ส่วนมีปริมาณน้ำใช้การ 36,124 ล้านลูกบาศก์เมตร (62%) มีอ่างเก็บน้ำที่ต้องเฝ้าระวังน้ำน้อย (ปริมาณน้ำต่ำกว่าเกณฑ์เก็บกักต่ำสุด (Lower Rule Curve) 3 แห่ง ได้แก่ อ่างเก็บน้ำสิริกิติ์ อ่างเก็บน้ำกระเสียว และอ่างเก็บน้ำคลองสียัด ส่วนการคาดการณ์ปริมาณน้ำใช้การอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ 35 แห่ง ต้นฤดูฝน ปี 2567 (วันที่ 1 พ.ค.2567) จะมีปริมาณน้ำ 19,661 ล้านลูกบาศก์เมตร (47%) เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2566 ที่มีปริมาณน้ำใช้การ 17,787 ล้านลูกบาศก์เมตร มากกว่า 1,874 ล้านลูกบาศก์เมตร ต้นฤดูแล้ง ปี 2567/68 (วันที่ 1 พ.ย.2567) จะมีปริมาณน้ำ 32,835 ล้านลูกบาศก์เมตร(69%) เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2566 ที่มีปริมาณน้ำใช้การ 32,849 ล้านลูกบาศก์เมตร น้อยกว่า 14 ล้านลูกบาศก์เมตร 3. พื้นที่ประสบอุทกภัย ได้แก่ พื้นที่เสี่ยงน้ำหลากดินถล่ม ในช่วงวันที่ 9-15 ม.ค.2567 ไม่พบพื้นที่แจ้งอพยพน้ำหลากดินถล่ม ด้านพื้นที่เกิดอุทกภัย ปัจจุบันสถานการณ์คลี่คลายกลับเข้าสู่สภาวะปกติแล้ว 4. การลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำในพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำ ตามมาตรการรองรับฤดูแล้ง ปี 2566/67 ในช่วงวันที่ 8-12 ม.ค.2567 สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ได้ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำในพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำ ในพื้นที่จังหวัดอำนาจเจริญ มุกดาหาร อุบลราชธานี และประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งเป็นพื้นที่ประสบปัญหาน้ำต้นทุนไม่เพียงพอต่อความต้องการ ศักยภาพการผลิตน้ำประปาต่ำกว่ามาตรฐาน และขาดการบริหารจัดการน้ำที่เป็นระบบ จึงได้เสนอแนวทางในการแก้ไขปัญหาในระยะสั้นโดยการขอรับการสนับสนุนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการให้ความช่วยเหลือ เช่น การจัดหาน้ำอุปโภคบริโภค การสูบน้ำระยะไกลเพื่อนำน้ำมาเก็บในแหล่งน้ำชุมชน การสำรวจศักยภาพน้ำบาดาลในพื้นที่ การอบรม และให้ความรู้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการบำรุงรักษาระบบผลิตประปาหมู่บ้าน เป็นต้น สำหรับการแก้ไขปัญหาระยะยาวโดยการเสนอแผนงานโครงการผ่านระบบ Thai Water Plan เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณ จากข้อมูลที่มีอยู่สถานการณ์ "น้ำ" ในประเทศไทย ยังพอจัดการได้หากไม่มีปัจจัยอื่นมากระทบ ซึ่งคาถาสำคัญของทุกคนคือ การประหยัด และรู้จักคุณค่าน้ำทุกหยด จึงจะทำให้หน้าร้อนปีนี้น่าจะมี "น้ำ" เพียงพอแม้ "เอลนีโญ" จะทำฝนน้อย-แล้งหนักมากก็ตาม https://www.bangkokbiznews.com/environment/1109623
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#6
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก กรุงเทพธุรกิจ
อุทาหรณ์ 'โลกรวน' เมื่อพยากรณ์อุตุฯ ทั่วโลกพลาด ไฟป่าแสนรู้ยังเงิบ ............. โดย บัณรส บัวคลี่ คอลัมน์จุดประกายความคิด การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศจนเกิด "สภาวะโลกรวน" มีผลต่อการพยากรณ์ในทางอุตุนิยมวิทยามากขึ้น มีข่าวสารที่เกี่ยวข้องปรากฏออกมามากมาย รวมถึงมีตัวอย่างของการ "พยากรณ์ผิดพลาด" เพิ่มมากขึ้นในทั่วโลก! "ภาวะโลกรวน" ที่ส่งผลให้เกิดการพยากรณ์ผิดพลาดดังกล่าว เคยเกิดกับประเทศไทยเมื่อปีที่แล้วในเดือนเมษายน 2566 ที่ผ่านมา เมื่อประกาศเตือนของกรมอุตุนิยมวิทยาบอกว่าจะมีฝนตก แต่เมื่อถึงวันจริงกลับไม่ปรากฏ มีแต่เพียงการแก้ไขถ้อยคำในประกาศฉบับถัดไป เหตุการณ์เริ่มจากกรมอุตุนิยมวิทยาได้ออกประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา เรื่องพายุฤดูร้อนบริเวณประเทศไทยตอนบน ฉบับที่ 1 (91/2566) ลงวันที่ 4 เมษายน 2566 แจ้งว่า ในช่วงวันที่ 6-9 เมษายน 2566 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังปานกลางจากประเทศจีนลงมา ฯ ทำให้ประเทศไทยตอนบนจะมีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้น โดยมีลักษณะของพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกบางแห่ง รวมถึงอาจมีฟ้าผ่าเกิดขึ้นได้บางพื้นที่ และเริ่มให้รายละเอียดตามประกาศฉบับที่ 2 (92/2566) ถึงพื้นที่ผลกระทบ โดยบอกว่าจะเริ่มมีผลกระทบในบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างและภาคตะวันออกก่อน ส่วน ภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และภาคเหนือ จะได้รับผลกระทบในระยะต่อไป ในส่วนของชาวภาคเหนือซึ่งขณะนั้นประสบวิกฤติมลพิษฝุ่นควันเมื่อได้ยินประกาศดังกล่าวย่อมดีใจเป็นธรรมดา มีสื่อท้องถิ่นที่หยิบไปนำเสนอพาดหัวต่อทำนองว่า อีกไม่กี่วันจะเกิดมีพายุฝน บรรเทาความทุกข์ยากที่กำลังเผชิญ เพราะในประกาศฉบับที่ 1 ได้ระบุชัดเจนว่า จะเริ่มมีฝนในพื้นที่ภาคเหนือตั้งแต่วันที่ 7 เมษายน ที่จังหวัดตอนล่างและซีกตะวันออกของภาค คือ น่าน อุตรดิตถ์ พิษณุโลก พิจิตร เพชรบูรณ์ ขณะที่ในวันที่ 8 เมษายน 2566 พายุฝนจะเกิดในพื้นที่ตอนบน คือ จังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง พะเยา น่าน แพร่ สุโขทัย อุตรดิตถ์ ตาก กำแพงเพชร พิจิตร พิษณุโลก และเพชรบูรณ์ ต่อเนื่องไปจนถึงวันที่ 9 เมษายนทั้งวัน หากฝนตกต่อเนื่องสองวันตามประกาศจริง จะทำให้ไฟที่เกิดท่วมไปทุกหย่อมหญ้าเวลานั้นดับลง อากาศก็จะดีขึ้นมาก กรมอุตุฯ ยังมีประกาศต่อเนื่องเช้า-เย็นวันละสองรอบ ยืนยันว่าจะมีพายุฝนในภาคเหนือแน่ จนถึงฉบับที่ 6 (96/2566) ลงวันที่ 7 เมษายน 2566 เมื่อเวลา 05.00 น. ซึ่งเป็นวันก่อนหน้าคำพยากรณ์ที่บอกว่า จะมีฝนภาคเหนือในวันรุ่งขึ้นคือวันที่ 8 เมษายน โดยจะมีในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง พะเยา น่าน แพร่ สุโขทัย อุตรดิตถ์ ตาก กำแพงเพชร พิจิตร พิษณุโลก และเพชรบูรณ์ สถานการณ์แปรเปลี่ยนไปตลอดทั้งวันที่ 7 เมษายน โมเดลพยากรณ์ของกรมอุตุฯ ให้ข้อมูลใหม่ เปลี่ยนไปจากเดิม ต้องขยับวันเลื่อนออกไป เมื่อถึงวันที่ 8 เมษายน ในเวลา 05.00 น. กรมอุตุนิยมวิทยาได้มีประกาศฉบับใหม่ เป็นฉบับที่ 8 (98/2566) เปลี่ยนแปลงพื้นที่พยากรณ์ โดยระบุว่าในภาคเหนือจะมีฝนที่โซนล่าง/ตะวันออก คือ จังหวัดน่าน อุตรดิตถ์ ตาก พิจิตร พิษณุโลก และเพชรบูรณ์ เท่านั้น ส่วนโซนบนคือเชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ลำพูน ลำปาง ฝนจะมาในวันที่ 9 เมษายน เอาล่ะ ชาวเหนือจำนวนหนึ่งยังใจชื้นคือ แค่เลื่อนวันจากเดิมคือจากวันที่ 8 เปลี่ยนมาเป็นวันที่ 9 เมษายน..ก็แค่วันเดียว ! และปรากฏว่าจริงตามที่เปลี่ยนนั้นเพราะ ตลอดทั้งวันที่ 8 เมษายน ไม่ปรากฏฝนในจังหวัดภาคเหนือโซนบน เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แพร่ ยังคงแห้งร้อนและท่วมไปด้วยฝุ่นไฟ แต่ก็ยังคงมีความหวังเพราะว่าอุตุฯ บอกว่าฝนจะมาในวันรุ่งขึ้น ในเย็นวันที่ 8 เมษายน เวลา 17.00 น. ประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา ฉบับที่ 9 (99/2566) ก็ยังยืนยันว่ารุ่งขึ้น วันที่ 9 เมษายน เหนือตอนบน คือ จังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง สุโขทัย อุตรดิตถ์ ตาก กำแพงเพชร พิจิตรพิษณุโลก และเพชรบูรณ์ จะยังมีฝนตกลงมา ข่าวสารทำให้คนรอคอยและทำให้ผู้คนทำอะไรต่อมิอะไรรอรับสิ่งที่คาดว่าจะเกิด คนที่รอคอยฝนเพราะทนทุกข์ทรมานกับมลพิษฝุ่นควันมีไม่น้อย แต่ในภาคเหนือก็ยังมีพวกมือเผา ชอบจุดไฟโดยเหตุผลต่างๆ นานา ที่เมื่อทราบข่าวว่า จะมีงบก็จุดดักรอไว้ก่อน สถิติการเกิดไฟไหม้มากขึ้นเกิดขึ้นแทบทุกครั้งเมื่อเริ่มมีข่าวฝนจะตก ในรอบนี้ก็เช่นกัน ไฟเริ่มมากขึ้นตั้งแต่กรมอุตุนิยมวิทยาออกประกาศแล้ว เช้าวันที่ 9 เมษายน 2566 อันเป็นเช้าที่คนภาคเหนือจำนวนมากรอคอย กลับกลายเป็นเช้าที่น่าผิดหวังยิ่ง เพราะกรมอุตุนิยมวิทยา เปลี่ยนแปลงคำประกาศ กลับลำฝนจะไม่มีในเขตภาคเหนือตอนบนเช่นที่บอกไว้เมื่อวาน ประกาศกรมอุตุนิยมวิทยาฉบับที่ 10 (100/2566) ลงวันที่ 9 เมษายน 2566 ณ เวลา 05.00 น. บอกว่า จังหวัดที่คาดว่าจะมีผลกระทบ ได้แก่ ภาคเหนือ: จังหวัดตาก กำแพงเพชร พิจิตร พิษณุโลก และเพชรบูรณ์ ตัดคำประกาศเดิมฉบับที่ 9 เมื่อวานตอนห้าโมงเย็นที่ระบุว่า เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง จะมีฝนออกไปดื้อๆ และวันนั้นก็ไม่มีฝนในพื้นที่ภาคเหนือตอนบนจริงๆ ! อุทาหรณ์ สี่เท้ารู้พลาด คำทำนายในยุคโลกรวน ! คำประกาศเตือนตั้งแต่วันที่ 5 เมษายน ต่อเนื่องมาถึงเย็นวันที่ 8 เมษายน รวมแล้ว 4 วันเต็มที่กรมอุตุนิยมวิทยา ชี้ว่า ภาคเหนือตอนบน คือ เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ลำพูน ลำปาง จะมีพายุฝน แล้วกลับไม่มีฝนตามที่คาดในวันสุดท้าย คือเช้าที่พยากรณ์ว่าจะเกิดมี ไม่ใช่ความผิดพลาดเลินเล่อของผู้พยากรณ์อย่างแน่นอน นั่นเพราะในช่วงดังกล่าวโมเดลพยากรณ์ระดับโลกของค่ายอเมริกา GFS และค่ายยุโรป ECMWF ก็พร้อมใจกันรายงานว่า ภาคเหนือของไทยจะเกิดมีฝนตกเช่นเดียวกัน คำทำนายอากาศก่อนสงกรานต์ผิดพลาดกรณีนี้ ไม่ใช่แค่กรมอุตุฯ แม้กระทั่งโมเดลพยากรณ์ระดับโลกก็พลาดเช่นเดียวกัน ! นี่เป็นอีกกรณีตัวอย่างของความผิดพลาดของการพยากรณ์ในท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศของโลก ที่ผู้เกี่ยวข้องเริ่มสนใจว่า การเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศทำให้ไม่อาจใช้รูปแบบความรู้ พฤติกรรมเดิมๆ มาสรุปผลหรือพยากรณ์ตามแนวทางแบบแผนหรือชุดสถิติเดิมได้ การทำนายพลาดในครั้งนี้ เป็นบทเรียนให้อุตุนิยมวิทยาทั่วโลก ต่างต้องปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงใหม่ ขณะเดียวกันก็เป็นอุทาหรณ์สำหรับภาคประชาชนคนทั่วไปด้วย อย่างน้อยคือผู้ที่ต้องเกี่ยวข้องกับคำทำนายสภาพอากาศ และผู้ที่อยู่ในวงการแก้ปัญหาวิกฤติฝุ่นควันและไฟป่า ไฟป่าในประเทศไทยส่วนใหญ่เกิดจากมนุษย์เผา มีนักเผา มือเผาให้เกิดไฟตรงกับช่วงจะเกิดฝนตกที่มีการตั้งฉายาว่า ?ไฟแสนรู้? มือเผากลุ่มนี้พยายามหาช่องในการเผาป่าโดยคำนวนว่าหากเผาแล้วมีฝนตกลงมาจะช่วยดับให้ไม่ลามไปไกล ต่อไปการเผาป่าเพราะเชื่อคำพยากรณ์ว่าเผาไปเถอะ เดี๋ยวฝนก็ตก อาจไม่เป็นจริงแล้ว คำพยากรณ์ของหน่วยงานรัฐหรือโมเดลต่างประเทศเองก็สามารถผิดพลาดได้ทั้งสิ้น https://www.bangkokbiznews.com/lifes...prakai/1109880
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
|