|
#1
|
||||
|
||||
สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันอาทิตย์ที่ 25 สิงหาคม 2567
ขอบคุณข่าวจาก เดลินิวส์
เสียชื่อ! นักท่องเที่ยวผวาลงเล่นน้ำหาดพัทยา พบคราบน้ำมันสีดำเกาะตามตัวส่งกลิ่นเหม็น นักท่องเที่ยวลงเล่นนํ้าทะเลชายหาดพัทยาช่วงวันหยุด พบคราบนํ้ามันสีดำลอยอยู่ในทะเลยาวหลายกิโลเมตร เกาะติดเสื้อผ้าตามลำตัวส่งกลิ่นเหม็น เมื่อวันที่ 24 ส.ค. ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ชายหาดยินยอม เมืองพัทยา จ.ชลบุรี หลังมีนักท่องเที่ยวลงเล่นน้ำทะเลแล้วพบว่ามีคราบน้ำมันติดตามเสื้อผ้าล้างไม่ออก ซึ่งพบว่าบริเวณชายหาดยินยอมมีคราบน้ำมันทั่วชายหาด ส่วนในน้ำทะเลก็ยังพบคราบน้ำมันลอยอยู่ นอกจากนั้นยังทราบว่าบริเวณทั้งชายหาดยินยอม ชายหาดดงตาล และช่วงชายหาดจอมเทียนถึงประมาณชอย 7-8 มีคราบน้ำมันความยาวประมาณหลายกิโล ด้าน จ.ส.ต.วิกัลย์ เกตุแก้ว วิทยากร รร.จิตอาสาพระราชทาน 904 ( เขตบางเขน) เปิดเผยว่า เดินทางมาถึงพัทยาบริเวณชายหาดดงตาล เพื่อดูความสวยงามยามเช้า และตนเองได้เดินลงไปในชายหาดพร้อมไลท์สด แต่ไม่ได้ดูบริเวณชายหาดว่าอะไร มารู้อีกทีก็เหยียบไปเต็มๆเท้า พอดูก็พบว่าเป็นคราบน้ำมัน เลยตัดสินใจบอกนักท่องเที่ยวที่จะลงเล่นน้ำ จากนั้นได้โทรศัพท์หาตำรวจท่องเที่ยวพัทยา ให้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรีบดำเนินการ คนที่ทำไม่มีจิตสำนึกและไม่มีความรับผิดชอบในการกระทำเลย เพราะมันส่งผลกระทบให้กับเมืองท่องเที่ยว และวันนี้เป็นวันหยุดเสาร์และอาทิตย์ ซึ่งนักท่องเที่ยวเดินทางมาเล่นน้ำกันจำนวนมาก เบื้องต้นทางเมืองพัทยาส่งเจ้าหน้าที่ พนักงานกว่า 20 คน ลงพื้นที่ดังกล่าวเพื่อกำจัดคราบน้ำมันบริเวณชายหาดแล้ว https://www.dailynews.co.th/news/3788683/
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายน้ำ : 02-09-2024 เมื่อ 01:26 |
#2
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก SpringNews
จับตา 3 ภัยพิบัติใหญ่ ที่อาจหมายถึงจุดจบของโลก SHORT CUT - วิกฤติโลกร้อนได้ก่อให้เกิดภัยพิบัติทั่วโลกที่มีความรุนแรงผิดปกติ - ท่ามกลางภัยพิบัติเหล่านั้น นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกต่างจับตาไปที่ภัยพิบัติ 3 เหตุการณ์ - ซึ่งหากมีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นจริง จะสร้างความเสียหายต่อโลกอย่างรุนแรง และอาจหมายถึงสัญญาณวันสิ้นโลก ในช่วงที่ผ่านมาเราได้เห็นแล้วว่า 'วิกฤติโลกร้อน' ส่งผลให้โลกต้องเผชิญกับภัยพิบัติที่เกิดบ่อยครั้และรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่นั่นก็ไม่สร้างความกังวลให้นักวิทยาศาสตร์ได้เท่ากับ 3 ภัยพิบัติที่อาจหมายถึงจุดจบของโลก แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ Climate Change จะกลายเป็นปัญหาใหญ่ระดับโลกที่นานาชาติต้องเร่งแก้ไข ทั้งยังสร้างความกังวลในหมู่นักวิทยาศาสตร์ต่อผลกระทบที่ทำให้เกิดภัยพิบัติรูปแบบต่าง ๆ ขึ้นในหลายพื้นที่ทั่วโลก แต่ในบรรดาภัยพิบัติที่มีโอกาสเกิดขึ้นทั้งหมด มีเพียงภัยพิบัติใหญ่ 3 เหตุการณ์เท่านั้น ที่นักวิทยาศาสตร์ให้การจับตาเป็นพิเศษ เพราะเมื่อมันเกิดขึ้น นั่นหมายถึงสัญญาณที่บ่งบอกว่าโลกของเราใกล้ถึงคราวอวสานเต็มที 1. ธารน้ำแข็งวันสิ้นโลก ธารน้ำแข็งที่มีขนาดใหญ่พอ ๆ กับประเทศอังกฤษหรือรัฐฟลอริดาของสหรัฐฯ ซึ่งปัจจุบันกำลังละลายอย่างรวดเร็ว โดยนักวิทยาศาสตร์คาดว่าฝันร้ายจะอุบัติขึ้นเมื่อธารน้ำแข็งดังกล่าวเกิดการถล่มหรือละลายไปจนหมด เพพราะจะทำให้ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้นถึง 50 ฟุต หากเป็นแบบนั้นจะมีเมืองชายฝั่งของสหรัฐฯ และอีกหลายประเทศทั่วโลกที่ถูกจมลงใต้น้ำ อย่างไรก็ตาม มีการศึกษาชิ้นใหม่ที่ยืนยันว่าสถานการณ์ดังกล่าวมีความเป็นไปได้น้อยมากที่จะเกิดขึ้นในช่วงนี้ 2. แผ่นน้ำแข็งของกรีนแลนด์ แผ่นน้ำแข็งที่่มีความหนาถึง 3,000 เมตร ครอบคลุมพื้นที่มากกว่า 656,000 ตารางไมล์ ซึ่งหากมันละลายจนหมด จะส่งผลให้ระดับน้ำทะเลทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้นประมาณถึง 20 ฟุต จากผลการศึกษาล่าสุดยังพบว่า แผ่นน้ำแข็งในกรีนแลนด์กำลังละลายอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าที่นักวิจัยคาดการณ์กันไว้ ทำให้มันสูญเสียน้ำแข็งประมาณ 2.70 แสนล้านตันต่อปี 3. กระแสน้ำแอตแลนติกหยุดไหล กระแสน้ำแอตแลนติก หรือ The Atlantic Meridional Overturning Circulation (AMOC) คือส่วนหนึ่งของกระแสน้ำขนาดใหญ่ที่ไหลเวียนไปในทุกมหาสมุทรทั่วโลก นำพาน้ำอุ่นจากเขตร้อนลงสู่มหาสมุทรแอตแลนติกเหนือเพื่อรักษาสมดุลของภูมิอากาศ กระแสน้ำดังกล่าวได้รับความสนใจครั้งแรกเมื่อปี 2004 ด้วยฉากภัยพิบัติที่เป็นต้นตอของเนื้อหาในภาพยนตร์เรื่อง "The Day After Tomorrow" (วิกฤติวันสิ้นโลก) หากกระแสน้ำแอตแลนติกเกิดการหยุดไหลขึ้นมาจริง ๆ คาดว่าจะทำให้เกิดวิกฤติสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในสหรัฐอเมริกา ยุโรป และที่อื่นๆ หลาายพื้นที่อาจเผชชิญยุคน้ำแข็ง และอีกหลายพื้นที่เผชิญน้ำทะเลท่วมสูง และพายุเฮอริเคนที่มีกำลังแรงมากขึ้นตามชายฝั่งตะวันออก มีการศึกษาที่คาดการณ์ว่า กระแสน้ำแอตแลนติก อาจล่มสลายภายในปี 2593 แต่ยังคงเป็นข้อมมูลเบื้องต้นที่รอการยืนยันอีกครั้ง https://www.springnews.co.th/keep-th...-change/852285
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#3
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก SpringNews
เร่งหาทางช่วยเหลือ ความร้อนทำโลมาตาย 300 ตัวในปีเดียว SHORT CUT - เมื่อปีที่แล้วมีโลมาน้ำจืดอะเมซอนกว่า 300 ตัว ที่ต้องตายเพราะขาดออ็อกซิเจนเนื่องจากความร้อน - นักวิทยาศาตร์ยืนยันว่า นี่คือปัญหาที่เกิดจากวิกฤติสภาพภูมิอากาศโดยตรง - พวกเขากำลังเร่งศึกษาวิจัยเพื่อหาทางช่วยเหลือโลมาเหล่านี้ ก่อนที่มันจะสูญพันธุ์ นักวิทย์เร่งจับโลมาอเมซอนมาศึกษาเพื่อหาหนทางอนุรักษ์ไม่ให้พวกมันหายไป หลังความร้อนได้ส่งผลให้มีโลมาตายถึง 300 ตัวภายในปีเดียว สัปดาห์ที่ผ่านมา ทีมนักชีววิทยา สัตวแพทย์ และชาวประมง ได้ช่วยกันจับโลมาน้ำจืดพันธุ์หายากได้จากทะเลสาบในอเมซอน เพื่อทำการศึกษาวิจัย โดยหวังว่าจะหาวิธีหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยเดิม หลังมีโลมาน้ำจืดต้องตายหลายร้อยตัวเนื่องจากภัยแล้งรุนแรงเมื่อปีที่แล้ว โลมาที่ถูกจับได้ จะถูกนำขึ้นฝั่งเพื่อตรวจเลือดและตรวจร่างกาย รวมถึงการใส่ไมโครชิปเพื่อติดตามการเคลื่อนไหวและพฤติกรรมของมันผ่านดาวเทียม ก่อนจะส่งกลับไปยังทะเลสาบทันทีที่นักวิจัยทำงานเสร็จ นักวิจัยเชื่อว่าระดับแม่น้ำที่ลดลงต่ำในช่วงฤดูแล้ง ทำให้น้ำมีอุณหภูมิร้อนเกินกว่าที่โลมาจะทนได้ มีปลาหลายพันตัวตายในแม่น้ำอเมซอนเนื่องจากขาดออกซิเจนในน้ำ และมีโลมากว่า 300 ตัว ที่ตายด้วยสาเหตุเดียวกัน โลมาแม่น้ำอเมซอน ซึ่งมีสีชมพูโดดเด่น เป็นสายพันธุ์น้ำจืดที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ พบได้ในแม่น้ำของอเมริกาใต้เท่านั้น และเป็นหนึ่งในโลมาน้ำจืดเพียงไม่กี่สายพันธุ์ที่เหลืออยู่ในโลก วงจรการสืบพันธุ์ที่ช้าทำให้ประชากรของพวกมันเสี่ยงต่อการถูกคุกคามเป็นพิเศษ บรรดานักวิทย์ต่างยืนยันว่า สภาวะไม่ปกตินี้เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งทำให้ภัยแล้งและคลื่นความร้อนมีแนวโน้มจะเกิดบ่อยรุนแรงยิ่งขึ้นอีกหลังจากนี้ https://www.springnews.co.th/keep-th...-change/852292
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
|