เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #1  
เก่า 20-08-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default รุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันอังคารที่ 20 สิงหาคม 2567

ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

ร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือตอนบน และประเทศลาวตอนบน เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณประเทศเวียดนามตอนบน ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ยังคงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคเหนือตอนบน และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนมีฝนตกหนักมากบางแห่ง ส่วนภาคตะวันออก และภาคใต้มีฝนตกหนักบางพื้นที่ ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่มไว้ด้วย

สำหรับบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทย ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 1 เมตร ขอให้ชาวเรือหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60 ของพื้นที่
อุณหภูมิต่ำสุด 26-29 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิสูงสุด 34-36 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-20 กม./ชม.


คาดหมาย

ร่องมรสุมพาดผ่านตอนบนภาคเหนือ และประเทศลาว ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ตลอดช่วง ลักษณะเช่นนี้ทำให้มีฝนตกหนักบางแห่งในภาคเหนือ ตลอดช่วง ส่วนในช่วงวันที่ 21 - 24 ส.ค. 67 จะมีแนวพัดสอบของลมตะวันออกเฉียงใต้และลมตะวันตกเฉียงใต้ในระดับบน ปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบกับในช่วงวันที่ 23 - 25 ส.ค. 67 มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย จะเริ่มมีกำลังแรงขึ้น ทำให้ประเทศไทยมีฝนเพิ่มขึ้น และมีฝนตกหนักบางแห่ง


ข้อควรระวัง

ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยโดยเฉพาะภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสมซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม ส่วนชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยควรหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย ตลอดช่วง









__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #2  
เก่า 20-08-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ


นักท่องเที่ยวฮือฮา พบ "วาฬบรูด้า" โผล่ว่ายน้ำหากินในทะเลบางแสน

นักท่องเที่ยวตื่นเต้น พบ "วาฬบรูด้า" โผล่ว่ายน้ำหากินในทะเลบางแสน ชี้มีให้เห็น 3-4 ตัว ด้าน "ชาวประมงพื้นบ้าน" เผย เป็นช่วงฤดูปิดอ่าว วาฬจึงว่ายมาหากิน



จากกรณีที่ผู้ใช้เฟซบุ๊ก Bangsaen Paddling Club และผู้ใช้บัญชี TikTok @anusornchadee ได้โพตส์ภาพคลิปวิดีโอขณะนักท่องเที่ยวพายเรือคายัคออกมาในทะเล แล้วมีกลุ่มนกนางนวลบินวนอยู่บนผิวน้ำ จากนั้นก็มีช่วงหัววาฬบรูด้าโผล่ออกมาเหนือน้ำทะเล ท่ามกลางเสียงตื่นเต้นของผู้พบเห็น โดยบริเวณที่พบห่างออกจากหาดบางแสน มาหาดแหลมแท่น ไปทางเขาสามมุข ประมาณ 3 กม.


ล่าสุด วันที่ 19 สิงหาคม 2567 ผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่ บางแสนแพดเดอริ่งคลับ ซึ่งเป็นร้านกาแฟ ที่มีสอนพายเรือ Surfski และมีแคมป์ที่พัก สอบถาม นายอนุสรณ์ ชาดี (ครูโอ๋) อายุ 44 ปี เจ้าของบางแสนแพดเดอริ่งคลับ ผู้โพสต์ เปิดเผยว่า ตนออกไปพายเรือกันสามคน ส่วนคนที่ถ่ายคลิปเป็นลูกศิษย์

ตนพายเรือออกจากคลับไปประมาณ 3 กม. พบที่บริเวณแหลมแท่น ก่อนหน้านี้ตนเคยพบโลมา มา 4 ครั้งแล้ว ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่พบวาฬ รู้สึกหัวใจฟู ตื่นเต้น คุ้มค่ารู้สึกพายเรือแล้วกับการที่ได้พบ รู้สึกเหมือนถูกรางวัลที่หนึ่ง พายเรือไปแล้วไปเจอวาฬ เห็นแล้วเลยพยายามพายเรือเข้าไปใกล้ ตอนแรกคิดว่ามีตัวเดียว ปรากฏว่ามี 3-4 ตัว

โดยวาฬว่ายมาอยู่รอบๆ เรือ ไม่ได้ทำร้ายพวกตน ไม่รู้ว่าวาฬคิดว่าเป็นพวกเดียวกันรึเปล่า เพราะเรือค่อนข้างยาว ตนไม่แน่ใจข้อมูลที่ว่าวาฬมาบางแสนทุกๆ ปี เท่าที่ฟังจากชาวประมงทราบว่าไม่มีมาเป็น 10 ปีแล้ว ที่วาฬไม่ได้เข้ามาที่หาดบางแสน ตอนแรกตนไม่เชื่อ แต่พอมาเห็นกับตา ตนคิดว่าน่าจะมีจริง ตนคิดว่าทะเลที่บางแสนน่าจะสมบูรณ์ มีพี่ๆ ที่มีข้อมูลบางส่วนได้บอกว่าวาฬที่พบนั้นเป็นวาฬบรูด้า

ด้าน นายเอกศักดิ์ เสริมศรี อายุ 47 ปี พ่อค้าขายอาหารทะเล ชาวประมงพื้นบ้าน และเป็นเจ้าหน้าที่กู้ชีพทางทะเลฉลามขาว เปิดเผยว่า เวลาที่จะพบวาฬได้ช่วงเช้าและเย็น จะอาศัยดูฝูงนกนางนวลที่รวมกลุ่มกันเป็นก้อน เพื่อจะแย่งปลาจากวาฬบรูด้าที่ล้อมกินปลา

ตนขอฝากถึงชาวประมงว่า ช่วงนี้เป็นฤดูปิดอ่าว แต่ประมงพื้นบ้านสามารถออกหาของทะเลได้ ที่พบวาฬได้เพราะวาฬตามแหล่งอาหารมา ตนอยากให้ภาครัฐช่วยขยายเวลาในการปิดอ่าวเพิ่มออกไปอีกสัก 1 เดือน ถึง 1 เดือนกว่า เพื่อให้ลูกปลาที่เข้ามาอาศัยได้มีการเจริญเติบโตมากขึ้น

เพราะแค่ระยะ 3 เดือน พวกปลา หรืออาหารของวาฬลดน้อยลง หากอาหารหมด พวกวาฬบรูด้าก็จะย้ายที่ไป ตนคิดว่าช่วงนี้วาฬจะยังอยู่ที่บางแสนอีกเกือบ 1 เดือน แต่ถ้าแหล่งอาหารหมด วาฬก็จะย้ายที่ไปที่อื่น จะเป็นแบบนี้ทุกปีอยู่แล้ว

ในการที่จะพบวาฬบรูด้านั้นจะกะเวลาไม่ได้ เรือที่มีเสียงเครื่องยนต์จะเข้าใกล้วาฬได้ยาก ส่วนที่เมื่อวานที่พบวาฬนั้นเป็นเรือพาย ไม่มีเสียงเครื่องยนต์ จึงสามารถเข้าใกล้วาฬได้ ส่วนนักท่องเที่ยวจะมาดูวาฬได้ไหมนั้นต้องมาเสี่ยงดวงเอา เพราะวาฬจะว่ายน้ำหากินไปทั่ว แต่ก็จะอยู่ในบริเวณนี้ จากนักท่องเที่ยวจะมาดูวาฬให้สังเกตดูนกนางนวลที่บินวนกันเป็นกลุ่มๆ เพราะนกจะมาอาศัยกินปลากับวาฬ.

ขอบคุณข้อมูลจาก เฟซบุ๊ก Bangsaen Paddling Club และ TikTok @anusornchadee


https://www.thairath.co.th/news/society/2809003

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #3  
เก่า 20-08-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการ


ประมงพื้นบ้านเชื่อผลดีปิดอ่าว ทำวาฬบรูด้าเยือนทะเลบางแสน : เรื่องเด่นทั่วไทย





__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #4  
เก่า 20-08-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก ข่าวสด


สามีไม่ยอมแพ้ ดำน้ำ ค้นหาร่างภรรยา ถูกสึนามิพัดหาย 13 ปีก่อน คร่าชีวิตนับหมื่นราย

ไม่เคยหมดหวัง สามีไม่ยอมแพ้ ดำน้ำกว่า 600 ครั้ง ค้นหาร่างภรรยา หลังถูกสึนามิพัดหายเมื่อ 13 ปีก่อน เผยทำเพราะรู้สึกใกล้ชิดกับภรรยาที่จากไป



เว็บไซต์ต่างประเทศ รายงานว่า จากโศกนาฏกรรม ?สึนามิ? ภัยพิบัติทางธรรมชาติครั้งใหญ่ของประเทศญี่ปุ่นเมื่อ 11 มีนาคม พ.ศ. 2554 ที่คร่าชีวิตผู้คนกว่า 20,000 ราย สูญหายอีกเกือบ 3,000 คน

เหตุการณ์ดังกล่าวได้คร่าชีวิตภรรยาของนายทาคามัตสึ ที่ถูกน้ำพัดหายจากหลังคาห้องทำงาน โดยปัจจุบันสามียังไม่ยอมแพ้ที่จะดำน้ำค้นหาร่างของภรรยา

ตามรายงานของสื่อญี่ปุ่น เผยว่า นางยูโกะ ทาคามัตสึวัย 47 ปี เธอเป็นหนึ่งในผู้สูญหายจากเหตุสึนามิถล่มญี่ปุ่น โดยนายยาสุโอะ ทาคามัตสึ สามีของยูโกะ ได้เริ่มค้นหาร่างของภรรยา ตั้งแต่ถูกน้ำพัดหายจมทะเลมาตลอดกว่า 13 ปีอย่างไม่เคยยอมแพ้

โดยนายทาคามัตสึ เล่าว่า เพื่อที่จะค้นหาร่างของภรรยาของเขา เขาได้ใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงต่อวันอ่านหนังสือเกี่ยวกับการเรียนดำน้ำในปี 2556

นอกจากนี้ เขายังได้เรียนรู้จากนายมาซาโยชิ ทากาฮาชิ ผู้เชี่ยวชาญในการกู้ซาก และมีประสบการณ์ในการค้นหาร่างสูญหายในมหาสมุทร

ต่อมาในปี 2557 หลังจากผ่านการสอบรับรองการดำน้ำระดับชาติ เขาได้เริ่มดำน้ำหลายร้อยครั้งตามบริเวณนอกชายฝั่งญี่ปุ่น และให้คำมั่นว่า จะฝังศพภรรยาของเขาอย่างสมเกียรติ

อย่างไรก็ตาม จนถึงปัจจุบันนายทาคามัตสึดำน้ำ เพื่อค้นหาร่างภรรยาสุดที่รักไปแล้วอย่างน้อย 600 ครั้ง แต่ตลอดช่วง 13 ปีที่ผ่านมา ไม่เคยพบศพของภรรยาของเขาเลย ซึ่งเขาพบเพียงโบราณวัตถุบางส่วนเท่านั้น

ภายหลังนายทาคามัตสึ ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า แม้ว่าการค้นหาจะเผชิญกับความยากลำบากมากมาย แต่เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องค้นหาต่อไป โดยเขาให้เหตุผลว่า เขารู้สึกใกล้ชิดกับภรรยาของเขามากที่สุดตอนที่เขาลงทะเลเท่านั้น

ทั้งนี้ เหตุแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2554 ถือเป็นแผ่นดินไหวที่รุนแรงเป็นอันดับ 4 ของโลก นับตั้งแต่มีการบันทึกข้อมูลแผ่นดินไหวสมัยใหม่ตั้งแต่ปี 1900

โดยแผ่นดินไหวดังกล่าวก่อให้เกิดสึนามิ สูงถึง 40.5 เมตร ซัดเข้าชายฝั่งเมืองมิยาโกะในจังหวัดอิวาเตะ และในพื้นที่เมืองเซนไดสร้างความเสียหายไปไกลถึง 10 กิโลเมตร

ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตเกือบ 20,000 ราย และบาดเจ็บเกือบ 7,000 คน รวมถึงมีผู้สูญหายมากถึงเกือบ 2,600 คน

อีกทั้ง ภัยพิบัติครั้งนี้ส่งผลให้สารกัมมันตภาพรังสีรั่วไหลจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะไดอิชิ ซึ่งส่งผลกระทบต่อชาวเมืองหลายแสนคน และต้องมีการอพยพประชาชนในรัศมี 20 กิโลเมตรรอบโรงไฟฟ้าอีกเช่นกัน


https://www.khaosod.co.th/around-the...s/news_9369092

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #5  
เก่า 20-08-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก กรุงเทพธุรกิจ


'สวิตเซอร์แลนด์' แข่งหาไอเดียกู้ 'อาวุธใต้ทะเลสาบ' แบบปลอดภัย ชิงเงิน 2 ล้านบาท
........... โดย กฤตพล สุธีภัทรกุล


KEY POINTS

- สวิตเซอร์แลนด์ประกวดหาไอเดียกู้ "อาวุธยุทโธปกรณ์" ที่อยู่ใต้ทะเลสาบกลับขึ้นมาอย่างปลอดภัย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ชิงเงินรางวัล 50,000 ฟรังก์สเกือบ 2 ล้านบาท

- ระหว่างปี 2461-2507 กองทัพได้ทิ้งอาวุธยุทโธปกรณ์หลายชนิดที่มีปัญหา ผลิตมาเกิน หรือล้าสมัยไปแล้ว รวมน้ำหนักกว่า 12,000 ตัน ลงในทะเลสาบหลายแห่งของสวิส

- ขณะนี้มีตะกอนละเอียดหนาถึง 2 เมตรปกคลุมอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ถูกทิ้งใต้บาดาลและการจะกู้พวกมันขึ้นมา อาจทำให้เกิดโคลนจำนวนมาก ที่จะทำให้ออกซิเจนในน้ำหายไป จนกระทบต่อระบบนิเวศในน้ำ




นักท่องเที่ยวที่เพลิดเพลินกับทัศนียภาพอันสวยงามของ ?ทะเลสาบ? ในสวิตเซอร์แลนด์ แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าภายใต้ผืนน้ำที่สวยงามนี้ จะมีอาวุธยุทโธปกรณ์ ทั้งกระสุน ชนวนระเบิด ระเบิด TNT และอื่น ๆ น้ำหนักรวมกันหลายพันตัน เพราะในอดีตกองทัพสวิสใช้ทะเลสาบเป็นแหล่งทิ้งพวกมัน โดยเชื่อว่าสามารถกำจัดทิ้งได้อย่างปลอดภัย แต่ตอนนี้พวกเขากำลังจะหาวิธีจัดการกับอาวุธเหล่านี้อย่างปลอดภัยและไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม

สำนักงานกลางด้านอาวุธยุทโธปกรณ์แห่งสวิตเซอร์แลนด์ หรือ Armasuisse ประกวดหาไอเดียกู้ ?อาวุธยุทโธปกรณ์? ที่อยู่ใต้ทะเลสาบกลับขึ้นมาอย่างปลอดภัย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดย 3 แนวคิดที่ดีที่สุด จะได้รับรางวัล 50,000 ฟรังก์สวิส หรือเกือบ 2 ล้านบาท

แม้ว่าแนวคิดเหล่านี้จะไม่ถูกนำไปใช้โดยตรงในปฏิบัติการกอบกู้ แต่จะทำหน้าที่เป็นจุดเริ่มต้น โดยการนำกระสุนขึ้นมาจากทะเลสาบก็ต่อเมื่อพวกมันเริ่มส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

ระหว่างปี 2461-2507 กองทัพได้ทิ้งอาวุธยุทโธปกรณ์หลายชนิดที่มีปัญหา ผลิตมาเกิน หรือล้าสมัยไปแล้ว รวมน้ำหนักกว่า 12,000 ตัน ลงในทะเลสาบหลายแห่งของสวิส ไม่ว่าจะเป็น ทะเลสาบทูน ทะเลสาบเบรียนซ์ และทะเลสาบลูเซิร์น ที่ระดับความลึก 150-220 เมตร แต่อาวุธในทะเลสาบเนอชาแตลนั้นอยู่ต่ำกว่าผิวน้ำเพียง 6-7 เมตรเท่านั้น

ขณะที่ทะเลสาบเนอชาแตลยังมีอาวุธยุทโธปกรณ์ประมาณ 4,500 ตันอยู่ใต้น้ำ เพราะเป็นสถานที่ฝึกซ้อมทิ้งระเบิดของกองทัพอากาศสวิสเป็นเวลาหลายปี

ด้วยปริมาณกระสุนจำนวนมาก และถูกทิ้งมานานแล้วอาจทำให้การกอบกู้อาวุธเหล่านี้ขึ้นมาอาจจะทำให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมได้ ทำให้ Armasuisse ต้องการวิธีแก้ปัญหานี้ จึงได้จัดการระดมความคิดจากประชาชนขึ้นมา โดยเปิดกว้างให้ทุกความคิดและไม่จำเป็นต้องระบุตัวตนผู้สมัคร ซึ่งสามารถดาวน์โหลดใบสมัครได้จากเว็บไซต์ และสามารถเสนอไอเดียได้ถึง 6 กุมภาพันธ์ 2568

แนวคิดที่ส่งเข้ามา จะถูกประเมินและพิจารณาโดยคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญจากหลายหน่วยงาน ทั้งสถาบันการศึกษา มหาวิทยาลัย และบุคลากรจากอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง ประกาศผลในเดือนเมษายน 2568 ซึ่งแนวคิดที่ได้รับคัดเลือก Armasuisse จะนำไปศึกษาวิจัยเพิ่มเติม


อาวุธอยู่ใต้ทะเลสาบนานเกินไป

จากการประเมินในปี 2548 เผยให้เห็นว่า ขณะนี้มีตะกอนละเอียดหนาถึง 2 เมตรปกคลุมอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ถูกทิ้งใต้บาดาลอยู่ และการจะกู้พวกมันขึ้นมา อาจทำให้เกิดโคลนจำนวนมาก นับว่าเป็นอันตรายต่อระบบนิเวศที่ละเอียดอ่อนของทะเลสาบ

ตะกอนและโคลนเหล่านี้อาจทำให้ออกซิเจนที่ไม่ค่อยมีอยู่แล้วในระดับน้ำลึกขนาดนี้หมดไป ซึ่งจะเป็นการทำลายระบบนิเวศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็น ความเสี่ยงที่อาวุธจะระเบิด ทัศนวิสัยใต้น้ำที่ไม่ดี ความลึกและกระแสน้ำ

อีกทั้งอาวุธยังมีขนาดที่แตกต่างกันออกไป ตั้งแต่ 4 มิลลิเมตร ไปจนถึง 20 เซนติเมตร และหนักได้ถึง 50 กิโลกรัม เนื่องจากกระสุนส่วนใหญ่ทำจากเหล็กและมีคุณสมบัติเป็นแม่เหล็ก ขณะที่ตัวจุดชนวนบางตัว ทำจากทองแดง ทองเหลือง หรืออะลูมิเนียมที่ไม่ใช่แม่เหล็ก

มาร์กอส บูเซอร์ นักธรณีวิทยาชาวสวิส ได้เขียนรายงานการวิจัยเมื่อสิบปีที่แล้ว เพื่อเตือนรัฐบาลถึงอันตรายของการทิ้งอาวุธในทะเลสาบ โดยบูเซอร์ระบุว่ามันจะทำให้เกิดความเสี่ยง 2 ประการ เขากล่าว ประการแรก แม้ว่าพวกมันจะอยู่ใต้น้ำ แต่ก็ยังมีความเสี่ยงที่จะเกิดการระเบิด เพราะในหลายกรณีกองทัพไม่ได้ถอดฟิวส์ออกก่อนทิ้งอาวุธ

นอกจากนี้ยังมีการปนเปื้อนของน้ำและดิน มีโอกาสที่ TNT จะสร้างมลพิษให้กับน้ำในทะเลสาบและตะกอนได้

ปัจจัยเหล่านี้ล้วนทำให้การกอบกู้ที่ไม่กระทบต่อสิ่งแวดล้อมเป็นไปได้ยาก และคาดว่าจะต้องใช้เงินในการกู้อาวุธยุทโธปกรณ์เหล่านี้หลายพันล้านฟรังก์สวิส โดยบูเซอร์แนะนำให้รัฐบาลขอคำแนะนำจากสหราชอาณาจักร นอร์เวย์ หรือเดนมาร์ก ที่เคยจัดการกับซากเรือในช่วงสงคราม ที่มีอาวุธและระเบิดอยู่ภายใน ซึ่งอาจจะช่วยลดค่าใช้จ่าย และปลอดภัยกว่าได้

อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่กองทัพสวิสประมาทเลินเล่อกับอาวุธยุทโธปกรณ์ โดยกองทัพเปิดเผยว่า ในปี 2566 พลเรือนพบอาวุธที่ยังไม่ถูกใช้งานและระเบิดในเขตชนบทเพิ่มขึ้นถึง 12% เมื่อเทียบกับปี 2565 หรือแม้แต่บนธารน้ำแข็ง ที่กำลังละลายอย่างรวดเร็วจากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ก็ยังเผยให้เห็นกระสุนจริงและกระสุนจริงที่เหลือจากการฝึกบนภูเขาสูงซึ่งเกิดขึ้นเมื่อหลายสิบปีก่อน

ในปี 2490 เกิดเหตุระเบิดครั้งใหญ่ที่หมู่บ้านมิธอลซ์ บนเทือกเขาแอลป์ เมื่ออาวุธกว่า 3,000 ตันที่กองทัพเก็บไว้บนภูเขาใกล้หมู่บ้านเกิดระเบิดขึ้น แรงระเบิดทำให้บ้านทั้งหมดราบเป็นหน้ากลอง และมีผู้เสียชีวิต 9 ราย ผู้คนในเมืองซูริก ที่อยู่ห่างออกไป 160 กิโลเมตร สามารถได้ยินเสียงระเบิด

ต่อมาในปี 2563 กองทัพเปิดเผยว่ามีระเบิดราว 3,500 ตัน ถูกฝังไว้ในภูเขา และจำเป็นต้องกู้ออกมาให้หมด ประชาชนที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านจะต้องอพยพออกจากพื้นที่ภายในปี 2573 เพื่อให้กองทัพสามารถเคลื่อนย้ายหรือฝังอาวุธยุทโธปกรณ์ที่เหลืออยู่อย่างปลอดภัย โดยคาดว่าจะต้องใช้เวลาดำเนินการประมาณ 10 ปีถึงจะแล้วเสร็จ ซึ่งชาวบ้านจะได้รับเงินชดเชยและการจัดหาที่อยู่ใหม่

ที่มา: BBC, Business Insider, Swiss Info


https://www.bangkokbiznews.com/environment/1140802

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #6  
เก่า 20-08-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก SpringNews


ชุมชนบ้านขุนสมุทรจีน กับแผ่นดินไทยที่หายไป ด่านหน้าวิกฤตกรุงเทพฯจมน้ำ
......... โดย Sutheemon Kumkoom



SHORT CUT

- วัดขุนสมุทรจีน วัดกลางน้ำทะเล จ.สมุทรปราการ อดีตไม่ได้ตั้งอยู่กลางน้ำ

- ปัญหาน้ำทะเลกัดเซาะชายฝั่ง ทำให้แผ่นดินไทยกำลังถูกกลืนหายไป

- ด่านหน้าของวลี "กรุงเทพฯกำลังจมน้ำ" คือชุมชนขุนสมุทรจีน

- ชาวบ้านในพื้นที่พ้อ ย้ายบ้านมาแล้วอย่างน้อย 3 ครั้ง

- กรุงเทพฯยังเสี่ยงจมน้ำ ถ้าไม่แก้ไขปัญหานี้โดยเร็ว




วัดขุนสมุทรจีน จ.สมุทรปราการ กลายเป็นวัดหนึ่งเดียวที่ยืนหยัดท่ามกลางน้ำทะเลที่รายล้อม ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งและภาวะโลกร้อน กำลังทำให้ชุมชนแห่งนี้เหลือแต่ชื่อ

ในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา แผ่นดินไทยค่อย ๆ กลืนหายไปในทะเลอย่างเงียบ ๆ มีแต่ปากที่ไร้เสียง พยายามเพรียกหาความช่วยเหลือมาตลอด สปริงนิวส์ในคอลัมน์ Keep The World กับซีรีส์พิเศษ Sinking Bangkok ขอพาผู้อ่านเดินทางไปยังชุมชนแห่งหนึ่งในประเทศไทย ที่คนในหมู่บ้าน ย้ายบ้านมาแล้วไม่ต่ำกว่า 3 ครั้ง จากปัญหาน้ำทะเลกัดเซาะ และภาวะโลกร้อน


ชุมชนบ้านขุนสมุทรจีน แผ่นดินหายไปเพราะภาวะโลกร้อน?

ชุมชนบ้านขุนสมุทรจีน หมู่ที่ 9 ต.แหลมฟ้าผ่า อ.พระสมุทรเจดีย์ จ.สมุทรปราการ คืออีกหนึ่งด่านหน้าของกรุงเทพมหานครที่มีพื้นที่ติดกับอ่าวตัว ก. หรืออ่าวไทย เป็นชุมชนเก่าแก่หลายร้อยปี เดิมทีเป็นท่าเทียบสำเภาจีนที่เดินทางมาค้าขายกับสยาม

เพจเรารักพระสมุทรเจดีย์เล่าว่า เนื่องด้วยแผ่นดินไทยในช่วงนั้นดูอุดมสมบูรณ์ พืชพันธุ์หลากหลาย สัตว์น้ำมากมาย ชาวจีนบางส่วนจึงตั้งรกรากและสร้างครอบครัวร่วมกับคนท้องถิ่นซึ่งในปัจจุบัน ยังคงมีลูกหลานชาวจีนอาศัยอยู่ และมีศาลเจ้าพ่อลอยชาย (ศาลไหว้เจ้า) และพิพิธภัณฑ์บ้านขุนสมุทรจีนที่ยืนยันได้ว่า ในอดีตเมืองท่าแห่งนี้เคยมีชีวิตชีวามากเพียงใด

แต่ในปัจจุบัน ชุมชนนี้กำลังเหลือเพียงแค่ชื่อ เพราะปัญหาน้ำทะเลกัดเซาะยังคงคืบคลานเข้าหาเสมอ โดยในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2516 - พ.ศ. 2567 ภาพถ่ายจากดาวเทียมเผยให้เห็นว่า พื้นที่ของชุมชนบ้านขุนสมุทรจีนได้หายไปหลายกิโลเมตรแล้ว สิ่งที่ยังยืนอยู่ได้ และเป็นหลักฐานที่เด่นชัด คือวัดขุนสมุทรจีน ที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางน้ำ


เสียงจากคนท้องถิ่นขุนสมุทรจีน

ทีมงาน Keep The World ลงพื้นที่สอบถามคนในพื้นที่ นางเอ (นามสมมุติ) หนึ่งในคนท้องที่เล่าว่า ตนเกิดในชุมชนบ้านขุนสมุทรจีนปีพ.ศ. 2517 อยู่ที่นี่มาตั้งแต่เกิด ในอดีต มีชุมชนและบ้านเรือนหลายหลังตั้งอยู่หน้าวัดขุนสมุทรจีน ซึ่งครอบครัวของตนได้ย้ายบ้านมาแล้ว 3 ครั้ง ถอยร่นออกมาจากพื้นที่ชายฝั่งเข้ามาเรื่อย ๆ จากหน้าวัด ตอนนี้ไปอยู่หลังวัดกันหมดแล้ว เหตุเกิดจากน้ำทะเลกัดเซาะ โดยเฉพาะในช่วงที่ลมพายุรุนแรง จะยิ่งทำให้หน้าดินหายไปมากกว่าเดิม

ซึ่งชาวบ้านได้เคยร้องขอแนวทางแก้ไขปัญหาไปยังหน่วยงานรัฐหลายครั้งแล้ว โดยหน่วยงานรัฐได้ลงมาช่วยบ้าง เช่น ให้งบประมาณค่าไม้ไผ่ สำหรับมาปักลดความแรงของคลื่น แต่ชาวบ้านมองว่า ไม้ไผ่แก้ไขปัญหาได้ชั่วคราวเท่านั้น อยู่นานไปก็หักก็หลุดลอยไป แก้ไขได้ไม่ยั่งยืนถาวร

ทีมงานได้เดินเข้าไปสัมภาษณ์อีกครอบครัวหนึ่ง ซึ่งเป็นครอบครัวคนจีนและอาศัยอยู่ที่ชุมชนบ้านขุนสมุทรจีนมาตั้งแต่เกิด นายวิลภ เข่งสมุทร มีบ้านอยู่หลังศาลเจ้าพ่อลอยชาย เล่าว่า แผ่นดินบริเวณวัดขุนสมุทรจีนในช่วง 50 ปีนี้ หายไปแล้วหลายกิโลเมตร ตั้งแต่แยกย้ายออกจากครอบครัวมา บ้านหลังนี้ก็คือย้ายมา 3 ครั้งแล้ว โดยการย้ายบ้านหนึ่งครั้งจะเว้นช่วงห่างจากชายฝั่งประมาณ 1 กิโลเมตร


ปัญหาแก้ได้ แต่ไม่ถูกจุด?

และหากถามว่าในปัจจุบัน ปัญหานี้ทุเลาลงหรือยัง คุณวิลภก็เล่าว่า ทุกวันนี้น้ำยังคงกัดเซาะเรื่อย ๆ อาจจะไม่รุนแรงเท่าอดีต เพราะชาวบ้านและบางหน่วยงานก็ช่วยนำเสาไฟเก่าที่เป็นปูน เป็นซีเมนต์มาวางเป็นแนวกันคลื่นให้ แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าไม่แก้ปัญหาให้ถูกจุด ปัญหาก็ยังคงมีอยู่และอาจจะท่วมลึกเข้าไปอีกจนถึงกรุงเทพฯก็ได้ ซึ่งตนคงอยู่ไม่ทันได้เห็น คงต้องปล่อยให้ลูกหลานมาแก้ปัญหาต่อเอง


งานวิจัยแผ่นดินไทยที่หายไป

นอกจากนี้ หากไปดูงานวิจัยในอดีตที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ของบ้านสมุทรจีนกับปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ ปีพ.ศ. 2552 กรณีศึกษานำร่องเพื่อการออกแบบ ณ บ้านขุนสมุทรจีน ต.แหลมฟ้าผ่า อ.พระสมุทรเจดีย์ จ.สมุทรปราการ โดย ศ.ดร.ธนวัฒน์ จารุพงษ์สกุลและคณะ ได้ให้ข้อมูลไว้ว่า

ในปัจจุบัน (พ.ศ.2552) ประเทศไทยพบปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลได้ทั่วไปตลอดแนวชายฝั่งทั้งด้านอ่าวไทยและอันดามัน คิดเป็นระยะทางทั้งสิ้น 300 กิโลเมตร ชายฝั่งอ่าวไทยตอนบนได้รับผลกระทบราว ๆ 150 กิโลเมตร เป็นพื้นที่ติดต่อกัน 5 จังหวัด ได้แก่ ฉะเชิงเทรา สมุทรปราการ กรุงเทพมหานคร สมุทรสาครและสมุทรสงคราม

ลักษณะของแผ่นดินส่วนใหญ่เป็นหาดเลน พบการกัดเซาะรุนแรงมากถึง 35 เมตรต่อปี ในบางแห่งถูกกัดเซาะไปมากกว่า 1 กิโลเมตรแล้ว

นอกจากนี้ บทความหนึ่งจากสมาคมส่งเสริมเทคโนโลยี (ไทย-ญี่ปุ่น) ได้เผยบทความ ภาวะโลกร้อนในมุมของนักวิทยาศาสตร์โดย ศ.ดร.ธนวัฒน์ จารุพงษ์สกุล ภาคธรณีวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ผู้เขียนนามปากกา Meditate 13 ก.พ. 2008) ว่า

ปัจจุบันบริเวณอ่าวไทยตอนบน น้ำทะเลท่วมลึกเข้ามาในผืนดินไทย ปีละ 2-4 เมตรและเพิ่มเข้ามาเรื่อย ๆ บริเวณหมู่บ้านคลองด่านและบ้านขุนสมุทรจีน จ.สมุทรปราการ พื้นดินหายไปในทะเลแล้วมากกว่า 180,000 ไร่ หมู่บ้านค่อย ๆ จมหายไป เสาไฟฟ้าอยู่ในทะเล โรงเรียนอยู่ในทะเล สะพานที่วิ่งลงสู่ทะเล อย่างไรก็ตาม ที่ดินบริเวณ จ.สมุทรปราการ มีการทรุดตัวเร็วมากขึ้นปีละ 3-5 เซนติเมตร เป็นภาวะที่อยู่ในระดับวิกฤตที่คนไทยต้องตื่นตัวได้แล้ว


เชื่อหรือไม่? กรุงเทพฯกำลังจมน้ำ

สุดท้ายนี้ ในปัจจุบัน (พ.ศ.2567) ประเทศไทยยังคงเผชิญหน้ากับปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง จึงเป็นเหตุผลให้หลายครั้ง นักวิชาการต้องสร้างความตระหนักรู้ให้กับสังคม ด้วยการใช้วิทยาศาสตร์มาเป็นเครื่องช่วยบ่งชี้ ถึงวาระและวลีฮิตที่ว่า "กรุงเทพฯจะจมบาดาลในอนาคตอันใกล้" นอกจากนี้ปัญหาภาวะโลกเดือดที่เกิดขึ้นในปัจจุบันก็เป็นตัวเร่งให้คำกล่าวนี้ใกล้ถึงความจริงมากขึ้น เมื่อทวีปแอนตาร์กติกาเริ่มละลาย ทำให้ระดับน้ำทะเลทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้น หลายประเทศก็เริ่มมีการปรับตัวแล้ว ดังนั้น ปัญหานี้จึงขึ้นอยู่กับว่า คุณจะเชื่อหรือไม่? และจะจัดการกับปัญหานี้ได้ทันท่วงทีอย่างไร จะเกิดขึ้นจริง จะปล่อยให้เกิด หรือจะปรับตัว ก็ขึ้นอยู่กับเราทุกคน


https://www.springnews.co.th/keep-th...-change/852188

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ตอบ


กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 14:33


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger