|
#1
|
||||
|
||||
สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันอังคารที่ 14 มกราคม 2563
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป ประเทศไทยตอนบนมีหมอกในตอนเช้าและมีหมอกหนาในบางพื้นที่ ในตอนกลางวันมีแสงแดดจัด บริเวณพื้นราบของภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือยังคงมีอากาศหนาวเย็นในตอนเช้า ส่วนยอดดอยและยอดภูมีอากาศหนาวถึงหนาวจัด ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนระวังการสัญจรผ่านบริเวณที่มีหมอกหนาไว้ด้วย สำหรับภาคตะวันออก ภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑลมีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นในระยะนี้ ส่วนภาคใต้มีฝนน้อย กรุงเทพมหานครและปริมณฑล เมฆเป็นส่วนมาก กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 20 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 25-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-35 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-20 กม./ชม. คาดหมาย ในช่วงวันที่ 13 ? 14 ม.ค. 63 ภาคเหนือยังคงมีอากาศเย็นถึงหนาว และภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอากาศเย็น สำหรับบริเวณยอดดอยและยอดภูมีอากาศหนาวถึงหนาวจัด ส่วนภาคตะวันออก ภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีฝนฟ้าคะนองบางแห่งทางตอนล่าง ส่วนในช่วงวันที่ 15 - 16 ม.ค. 63 บริเวณประเทศไทยตอนบนมีอุณหภูมิเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยกับมีหมอกในตอนเช้า สำหรับภาคใต้ยังคงมีฝนน้อย และ ในช่วงวันที่ 17 - 19 ม.ค. 63 ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือยังคงมีอากาศเย็นถึงหนาว อุณหภูมิจะลดลง 1-2 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณยอดดอยและยอดภูมีอากาศหนาวถึงหนาวจัดและมีน้ำค้างแข็งบางพื้นที่ ในตอนกลางวันมีแสงแดดจัด สำหรับภาคใต้ตอนล่างมีฝนเพิ่มมากขึ้น ข้อควรระวัง ในวันที่ 14 - 16 ม.ค. 63 ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนระมัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีหมอกไว้ด้วย
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#2
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์
เฮ! นักดำที่กระบี่น้ำพบฉลามวาฬยาว 5 เมตร หนัก 2 ตัน ชี้ทะเลสมบูรณ์ขึ้น กระบี่ - เฮ! นักดำน้ำพบฉลามวาฬยาว 5 เมตร หนัก 2 ตัน ที่เกาะบิดานอก ติดอ่าวมาหยา ชี้ท้องทะเลกระบี่สมบูรณ์ เป็นผลมาจากมาตรการปิดอ่าวมาหยา เพื่อฟื้นฟูสภาพสิ่งแวดล้อมใต้ทะเลและบนบก นายวรพจน์ ล้อมลิ้ม หัวหน้าอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธาราและหมู่เกาะพีพี จังหวัดกระบี่ กล่าวว่า วันนี้ (13 ม.ค.) ได้รับแจ้งจากผู้ประกอบกิจการท่องเที่ยวด้านการดำน้ำ และได้รับคลิปวิดีโอที่นักดำน้ำบันทึกภาพฉลามวาฬมาได้ บริเวณเกาะบิดานอก ซึ่งอยู่ติดกับอ่าวมาหยา หมู่เกาะพีพี เขตอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธาราและหมู่เกาะพีพี หมู่ที่ 7 บ้านเกาะพีพี ตำบลอ่าวนาง อำเภอเมืองกระบี่ จังหวัดกระบี่ ซึ่งฉลามวาฬตัวนี้มีความยาวประมาณ 5 เมตร น้ำหนักประมาณไม่ต่ำกว่า 2 พันกิโลกรัม หรือ 2 ตัน กำลังแหวกว่ายเล่นน้ำและหากินแพลงก์ตอน ในระดับความลึกของผิวน้ำที่ระยะ 5 เมตร โดยไม่เกรงกลัวผู้คนที่ดำน้ำชมปะการังน้ำลึกแต่อย่างใด ทั้งสามารถเข้าใกล้ได้อีกด้วย แต่นักดำน้ำที่พบฉลามวาฬจะบันทึกภาพห่างจากตัวฉลามวาฬในระยะเพียง 5 เมตรเท่านั้น ซึ่งฉลามวาฬไม่ได้แตกตื่นแม้แต่นิดเดียว ยังคงแหวกว่ายน้ำในบริเวณเกาะบิดานอก เป็นเวลานานถึง 1 ชั่วโมง จึงดำน้ำลึกลงไป นายวรพจน์ กล่าวต่อไปว่า การที่ฉลามวาฬเข้ามาหากินบริเวณเกาะบิดานอกซึ่งอยู่ติดกับอ่าวมาหยา เป็นการแสดงและบ่งบอกให้เห็นว่าปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นหลายครั้งในท้องทะเลกระบี่ หมู่เกาะพีพีในรอบปีนี้ เป็นผลมาจากมาตรการปิดอ่าวมาหยา ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2561 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน เพื่อฟื้นฟูสภาพสิ่งแวดล้อมใต้ทะเลและบนบก ให้กลับมามีความอุดมสมบูรณ์อย่างเห็นได้ชัด จนทำให้สัตว์น้ำหายากและใกล้จะสูญพันธุ์หวนกลับคืนสู่ถิ่นเดิม สร้างความตื่นเต้นให้แก่เจ้าหน้าที่และนักท่องเที่ยวที่ได้พบเห็นในแต่ละครั้ง ฉลามวาฬเป็นสัตว์ทะเลที่หาดูได้ยาก ทั้งเป็นสัตว์สงวนหวงห้าม มาแหวกว่ายที่เกาะบิดานอก เป็นตัวบ่งชี้ถึงความอุดมสมบูรณ์ทางระบบนิเวศวิทยาใต้ทะเลบริเวณดังกล่าว เนื่องจากที่ผ่านมา อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธาราและหมู่เกาะพีพี จังหวัดกระบี่ มีมาตรการเข้มงวดในการปิดอ่าว ทั้งการปราบปรามการลักลอบทำการประมงจับสัตว์น้ำในเขตอุทยาน รวมทั้งกลุ่มอนุรักษ์เกาะพีพีได้มีการจัดเก็บขยะใต้ทะเลในหมู่เกาะพีพีอย่างต่อเนื่อง รวมถึงผู้ประกอบการธุรกิจการท่องเที่ยวเกาะพีพี ให้ความร่วมมือมาด้วยดีโดยตลอด จึงทำให้สัตว์น้ำที่ใกล้จะสูญพันธุ์หรือหาดูได้ยากหวนกลับมายังถิ่นที่อยู่อาศัยเดิมเข้ามาหากิน เพราะถือว่าแหล่งที่มาหากินนั้นมีความปลอดภัยสูง สามารถขยายพันธุ์และเลี้ยงลูกได้อย่างปลอดภัย https://mgronline.com/south/detail/9630000003709 ********************************************************************************************************************************************************* พบพะยูนตายอีกแล้ว เบื้องต้นยังไม่ทราบสาเหตุเร่งผ่าหาสาเหตุ กระบี่ - สลด! ตายอีก ซากพะยูนเพศเมียยาวประมาณ 1.5 เมตร เกยตื้นที่เกาะปู เบื้องต้นยังไม่ทราบสาเหตุ พบสภาพยังสมบูรณ์ไม่มีบาดแผล ส่งให้ ม.ราชมงคลศรีวิชัย วิทยเขต ตรัง ผ่าหาสาเหตุการตาย เมื่อเวลา 14.30 น.วันนี้ ( 13 ม.ค.) นายอาหลี ชาญน้ำ นายกสมาคมคนรักเลกระบี่ ได้รับแจ้งจากชาวประมง บ้านเกาะปู ม.2 ต.เกาะศรีบอยา อ.เหนือคลอง จ.กระบี่ ว่า พบซากพะยูน ลอยเกยตื้น ชาวบ้านช่วยกันลากมาขึ้นฝั่งที่ท่าเรือบ้านเกาะปู จึงเดินทางไปตรวจสอบ เบื้องต้นพบว่าเป็นพะยูนเพศเมีย ความยาวประมาณ 1.5 เมตร หนักประมาณ 200 กก.สภาพสมบูรณ์ไม่มีบาดแผลตามตัว มีเขี้ยวอยู่ครบ นายอาหลี เปิดเผยว่า ชาวประมงพื้นบ้าน พบซากพะยูน ดังกล่าว ขณะที่ทำประมงที่บริเวณแหลมเกาะกา ต.เกาะศรีบอยา ห่างจากท่าเรือเกาะปู ประมาณ 1 กิโลเมตร จึงได้ช่วยกันลากกลับเข้าฝั่ง เบื้องต้นคาดว่าเกิดจากโรคบางอย่าง หรือกินสิ่งที่เป็นอันตรายต่อร่างกายเข้าไป อาจะทำให้ท้องอืดและตายในที่สุด อย่างไรก็ตามเตรียมนำซากไปมอบให้กับ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยี ราชมงคลศรีวิชัย วิทยาเขต ตรัง ผ่าพิสูจน์ซาก เพื่อหาสาเหตุการตายที่แน่ชัดต่อไป สำหรับจังหวัดกระบี่ ในปีที่ผ่านมา 2562 มีพะยูนตายในทะเลกระบี่ ไม่ต่ำกว่า 5 ตัว โดยที่เป็นข่าวสลดมากที่สุด ได้แก่พะยูนมาเรียม และยามีน ตายในวัยเยาว์ สาเหตุมาจากการกินอาหารที่เป็นพลาสติกเข้าไป จนเป็นกระแสให้มีการลดละเลิกขยะพลาสติก อยู่ในขณะนี้ สำหรับพะยูนเพศเมียที่พบตายในวันนี้ เป็นตัวแรก ของปี 63 https://mgronline.com/south/detail/9630000003890
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#3
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์
ฉลามกัดนักท่องเที่ยวเป็นแผลเหวอะหวะ ขณะลงเล่นน้ำหาดนางทอง จ.พังงา พังงา - นักท่องเที่ยวชายเยอรมัน ถูกปลาฉลามกัดขาแผลเหวอะหวะ ขณะลงเล่นน้ำพร้อมภรรยาที่หาดนางทอง จ.พังงา ส่งรักษาตัวโรงพยาบาลเอกชนในภูเก็ต ปลอดภัยแล้ว ด้านนักวิชาการระบุเป็นฉลามหัวบาตร วันนี้ ( 13 ม.ค.) ว่าที่ร้อยเอกพงศ์ศักดิ์ เวทยาวงศ์ นายอำเภอตะกั่วป่า จ.พังงา เปิดเผยว่า จากกรณีที่มีการแชร์ภาพนักท่องเที่ยวโดนปลาขนาดใหญ่กัดบริเวณขาจนเกิดแผลเหวะหวะ ก่อนจะนำตัวส่งโรงพยาบาลนั้น พบว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเช้าของวันที่ 12 มกราคม 2562 ซึ่งนางสาวจิตติมา คงพันธ์ ผู้ใหญ่บ้าน ม.7 ต.คึกคัก อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา ได้รายงานเหตุการณ์ว่า มีนักท่องเที่ยวชายชาวเยอรมันลงเล่นน้ำในทะเล บริเวณหาดนางทอง ก่อนจะโดนปลาขนาดใหญ่ไม่ทราบชนิดกัดบริเวณขาขวา มีแผลฉีกขาด และรอยฟันขนาดใหญ่ ก่อนนำตัวส่งทำความสะอาดแผลที่ศูนย์การแพทย์เขาหลัก และส่งต่อไปรักษาตัวในโรงพยาบาลเอกชนที่ จ.ภูเก็ต ตนเองจึงประสานให้ ประมงอำเภอ ร่วมกับ ศูนย์ช่วยเหลือนักท่องเที่ยวจังหวัดพังงา(TAC : Tourist Assistance Center) เข้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เบื้องต้นพบว่า ผู้ประสบเหตุเป็น ชายชาวเยอรมัน ชื่อ Mr.Malten Hans-Peter อายุ 75 ปี โดยขณะลงเล่นน้ำกับภรรยา ซึ่งห่างจากฝั่งประมาณ 6 -7 เมตร ได้มีปลาขนาดใหญ่ ไม่ทราบชนิด พุ่งเข้ากัดบริเวณขาขวาจนฉีกขาด เป็นแผลยาวประมาณ 20 ซม. ซึ่งขณะนี้ นักท่องเที่ยวคนดังกล่าวอยู่ระหว่างพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลเอกชนของจังหวัดภูเก็ต โดยมีพยาบาลคอยดูแลอย่างใกล้ชิด ทีมแพทย์ระบุผลว่า เส้นเอ็นบริเวณขาขวาฉีกขาด ได้ประสานและเย็บแผลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขณะนี้นักท่องเที่ยวอาการดีขึ้นมาก หากแผลไม่อักเสบ แพทย์จะอนุญาตให้กลับได้ ส่วนบรรยากาศการท่องเที่ยวยังเป็นไปโดยเหมือนทุกวัน นักท่องเที่ยวยังลงเล่นน้ำที่ชายหาดกันอย่างปกติ ขณะที่ ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ รองคณบดีฝ่ายกิจการพิเศษและประชาสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความโดยระบุว่า เหตุการณ์ฉลามกัดในไทยเกิดนานๆ ครั้ง เช่น ที่ภูเก็ต (ปี 60) ที่เกาะเต่า (ปี 61) เกือบทุกครั้งถูกกัดที่ขาแต่ไม่สาหัส ฉลามที่กัดอาจเป็นฉลามหัวบาตร เพราะฉลามหูดำน่าจะเป็นรอยเล็กกว่านี้ และไม่ค่อยโจมตีสัตว์ใหญ่กว่า ฉลามจู่โจมอาจด้วยความเข้าใจผิด เพราะชายฝั่งน้ำขุ่น พอเห็นวูบก็นึกว่าเป็นเหยื่อ แต่เมื่อกัดแล้วรู้ว่าไม่ใช่ก็เลยหนีไป สำหรับฉลามหัวบาตรอาจพบได้ตามชายฝั่งทั้งอ่าวไทยและอันดามัน แต่ไม่บ่อยนัก ไม่มีผู้ถูกฉลามจู่โจมจนเสียชีวิตอย่างเป็นทางการในทะเลไทยมากกว่า 50 ปีแล้ว ที่ผ่านมาในประเทศไทย ฉลามไม่เคยโจมตีรายอื่นซ้ำที่เดิม ส่วนคำแนะนำคือไม่ต้องกังวลมาก ไม่ต้องทำข่ายกั้น ฯลฯ แต่ให้ระวังไว้หากต้องลงน้ำตอนเช้าตรู่ ตอนค่ำ และ กลางคืน https://mgronline.com/south/detail/9630000003892 ********************************************************************************************************************************************************* "ดร.ธรณ์" คาด "ฉลามหัวบาตร" ทำร้ายนักท่องเที่ยวหาดนางทอง จ.พังงา เผยไม่ต้องกังวล แค่ระวังเวลาเล่นน้ำ "ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์" ผู้เชี่ยวชาญด้านนิเวศน์ทางทะเล เผยข้อความพบปลาทำร้ายนักท่องเที่ยวต่างชาติ บริเวณชายหาดนางทอง จ.พังงา เป็นรอยแผลขนาดใหญ่คาดเป็น ?ฉลามหัวบาตร? ระบุไม่ต้องกังวลมนุษย์ทำร้ายฉลามมากกว่าฉลามทำร้ายมนุษย์ แค่ระวังเวลาเล่นน้ำตอนเช้าตรู่หรือตอนค่ำ วันนี้ (13 ม.ค.) "ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์" ผู้เชี่ยวชาญด้านนิเวศทางทะเล และรองคณบดีคณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความและรูปภาพที่เผยให้เห็นรอยแผลที่มีลักษณะรอยเขี้ยวบนขาของทักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่ถูกปลาไม่ทราบชนิดกัดระหว่างเล่นน้ำบริเวณริมหาดนางทอง ในจังหวัดพังงา และมีการคาดการณ์ว่าเป็น ?ปลาฉลามหัวบาตร? ก่อนจะส่งตัวไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ต ผ่านเฟซบุ๊ก "Thon Thamrongnawasawat" อย่างไรก็ตาม ดร.ธรณ์ได้โพสต์ข้อความเพิ่มเติมเกี่ยวกับเหตุการณ์ในครั้งนี้ว่า "เหตุการณ์ฉลามกัดในไทยเกิดนานๆ ครั้ง เช่น ที่ภูเก็ต (ปี 60) ที่เขาเต่า (ปี 61) เกือบทุกครั้งถูกกัดที่ขาแต่ไม่สาหัส ฉลามที่กัดอาจเป็นฉลามหัวบาตร เพราะฉลามหูดำน่าจะเป็นรอยเล็กกว่านี้ และไม่ค่อยโจมตีสัตว์ใหญ่กว่า ฉลามจู่โจมอาจด้วยความเข้าใจผิด เพราะชายฝั่งน้ำขุ่น พอเห็นวูบก็นึกว่าเป็นเหยื่อ แต่เมื่อกัดแล้วรู้ว่าไม่ใช่ก็เลยหนีไป ฉลามหัวบาตรอาจพบได้ตามชายฝั่งทั้งอ่าวไทยและอันดามัน แต่ไม่บ่อยนัก ไม่มีผู้ถูกฉลามจู่โจมจนเสียชีวิตอย่างเป็นทางการในทะเลไทยมากกว่า 50 ปีแล้ว ที่ผ่านมาในประเทศไทย ฉลามไม่เคยโจมตีรายอื่นซ้ำที่เดิม ยกเว้นเหตุการณ์นายแฉล้ม/ฝรั่ง เมื่อ 55+ ปีก่อน คำแนะนำคือไม่ต้องกังวลมาก ไม่ต้องทำข่ายกั้น ฯลฯ แต่ระวังไว้นิดหากลงน้ำตอนเช้าตรู่หรือตอนค่ำ/กลางคืน แต่ละปีทั่วโลกมีรายงานคนถูกฉลามจู่โจมเสียชีวิต 5-10 ราย แต่ฉลามถูกคนล่า 70+ ล้านตัว/ปี รู้จักฉลาม เข้าใจฉลาม และเลิกกินหูฉลามครับ" https://mgronline.com/onlinesection/.../9630000003706
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#4
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก แนวหน้า
คึกคัก! นทท. เที่ยวชมเทศกาล 'ยอนหอยหลอด' ที่ 'ละงู' สตูล 13 มกราคม 63 ที่ชายหาดบางศิลา บริเวณบ้านหัวหิน บ้านปากละงู และบ้านบากันโต๊ะทิด ต.ละงู อ.ละงู จ.สตูล ชาวบ้านกว่า 100 คนพร้อมอุปกรณ์ยอนหอย (ซึ่งเป็นภาษาถิ่น) เดินเท้าลุยโคลนกระจายเต็มพื้นที่ท้องทะเลหลังน้ำลด เพื่อร่วมแข่งขันยอนหอยหลอด เทศกาลยอนหอยหลอดมีขึ้น ช่วงลมตะวันออกระดับน้ำทะเลจะลดกว่า 1 กิโลเมตร ทำให้หอยหลอดตัวใหญ่โผล่ขึ้นเหนือผิวน้ำซึ่งเหมาะกับการยอนหอยหลอด ทางท้องถิ่นโดยอบต.ละงู ได้จัดเทศกาลยอนหอยหลอดและวัฒนธรรมพื้นบ้านละงู ขึ้นเป็นปีที่12 เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว เปิดหมู่บ้านชุมชนอนุรักษ์หอย และเทศกาลหอยหลอด นางสุกัญญา วรรณา อายุ 37 ปี ชาวบ้านบ้านเลขที่212 ม.1 บ้านหัวหิน หนึ่งในผู้ร่วมแข่งขันนอนหอยหลอด. บอกว่า วิธีหาหอยสังเกตที่ขี้หอยขึ้นที่ปากรูจากนั้นใช้ไม้ทางมะพร้าวจิ้มปูนขาว หรือปูนแดงยอนลงหอยหลอดจากนั้นหอยจะเด้งขึ้นมา ให้เราจับได้ง่ายขึ้น การหาหอยต้องดูน้ำข้างขึ้นข้างแรมให้ดีก่อนออกหาหอย นายจำรัส ฮ่องสาย นายกอบต.ละงู กล่าวว่า. พื้นที่กว่า 7 กิโลเมตรของชายหาดบางศิลา เป็นโคลนทราย เหมาะกับการเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำที่อุดมสมบูรณ์ ทำให้ที่นี่มีหอยหลอดตัวโต. หอยหลักไก่. หอยวงเดือน หอยกะพง และอีกหลากหลายมากถึง 30 ชนิด ชาวบ้านที่นี่ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพประมงพื้นบ้าน หอยหลอดที่เลือกหากันชาวบ้านจะหาเฉพาะตัวใหญ่เท่านั้น ทำให้หอยที่นี่ตัวโต แม้จะมีหอยหลอดตลอดทั้งปีแต่ด้วยธรรมชาติเป็นตัวกำหนดว่าจะหาได้ช่วงไหน เนื่องจากหอยหลอดตัวใหญ่ ๆ จะอยู่ในทะเลลึกที่น้ำลดแห้งมาก ๆ ถึงจะหาหอยได้ในหนึ่งปีสามารถหาได้ 5 เดือน สำหรับราคาหอยหลอดมีตั้งแต่ราคากิโลกรัมละ 150 บาทไปจนถึง 350 บาท ซึ่งเมนูหอยหลอดลวก หอยลอยผัดฉ่า แกงส้มหอยหลอด และหลากหลายเมนูสามารถหาซื้อทานได้ที่ชุมชนต.ละงู หรือ่ติดต่อนายจำรัส ฮ่องสาย นายกอบต.ละงู https://www.naewna.com/likesara/465913
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#5
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก สำนักข่าวไทย
ฉลามวาฬยักษ์ อวดโฉมเกาะบิดานอกติดกับอ่าวมาหยา ผู้ประกอบการดำน้ำ พบฉลามวาฬยักษ์ กำลังแหวกว่ายบริเวณเกาะบิดานอก ติดกับอ่าวมาหยา หมู่เกาะพีพี ตำบลอ่าวนาง จังหวัดกระบี่ เมื่อช่วงเย็นวานนี้ (12 ม.ค.) โดยผู้ประกอบการดำน้ำสามารถถ่ายภาพในระยะใกล้ 5 เมตร ได้อย่างชัดเจน นายวรพจน์ ล้อมลิ้ม หัวหน้าอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธาราและหมู่เกาะพีพี เผยฉลามวาฬมีความยาวประมาณ 5 เมตร น้ำหนักกว่า 2,000 กิโลกรัม หรือราว 2 ตัน แหวกว่ายหากินแพลงก์ตอนในระดับความลึก 5 เมตร โดยไม่ตื่นกลัวนักดำน้ำ และว่ายอยู่ถึง 1 ชั่วโมง ก่อนดำน้ำลงไปในทะเลลึก บ่งบอกได้ว่าหลังมาตรการปิดอ่าวมาหยาตั้งแต่กลางปี 2561 ท้องทะเลกระบี่ หมู่เกาะพีพี ได้กลับมาอุดมสมบูรณ์อย่างเห็นได้ชัด จนทำให้สัตว์น้ำหายากและใกล้จะสูญพันธุ์อย่างฉลามวาฬหวนกลับคืนสู่ถิ่นเดิม https://www.mcot.net/viewtna/5e1c1af1e3f8e40af5412a87
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#6
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์
ทช.1 ระยอง และกลุ่มอนุรักษ์แม่น้ำระยอง ร่วมกันเก็บขยะในทุ่นกักขยะกว่า 478 กก. วันนี้ 13 มกราคม 2563 สำนักงานทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 1 (ระยอง) ร่วมกับเทศบาลนครระยอง กลุ่มอนุรักษ์แม่น้ำระยองและป่าชายเลน ได้ร่วมกันเก็บขยะจากทุ่นกักขยะ (BOOM) บริเวณพระเจดีย์กลางน้ำ ตำบลปากน้ำ อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง พบขยะเป็นจำนวนมากติดที่ทุ่นกักขยะ น้ำหนักขยะรวม 478 กิโลกรัม ส่วนใหญ่เป็นขยะขวดแก้ว ถุงหูหิ้ว แก้วพลาสติก และโฟม โดยขยะที่เก็บได้ดังกล่าวไปรีไซเคิล และขายสร้างรายได้ให้แก่ชุมชน ต่อไป สำหรับทุ่นกักขยะหรือ BOOM นั้น กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งได้ร่วมกับธุรกิจเคมิคอลส์ เอสซีจี ได้ร่วมกันพัฒนาและติดตั้งทุ่นกักขยะดังกล่าวในบริเวณแม่น้ำระยอง และคลองสำคัญต่าง ๆ ที่เชื่อมต่อกับทะเล เพื่อกักไม่ให้ขยะมูลฝอยที่ลอยน้ำได้จากแผ่นดินไหลลงสู่ทะเล ซึ่งสามารถลดผลกระทบที่จะเกิดต่อระบบนิเวศทางทะเลและสัตว์ทะเลหายากได้อย่างมีประสิทธิภาพ http://thainews.prd.go.th/th/news/de...00113223426512
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
|