|
#1
|
||||
|
||||
สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันจันทร์ที่ 28 สิงหาคม 2566
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป ร่องมรสุมพาดผ่านประเทศเมียนมาตอนบนและประเทศลาวตอนบน เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณประเทศเวียดนามตอนบนและอ่าวตังเกี๋ย ในขณะที่มรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีฝนฟ้าคะนองและมีฝนตกหนักบางแห่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากในระยะนี้ไว้ด้วย สำหรับทะเลอันดามันและอ่าวไทย มีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูง 1-2 เมตร ขอให้ชาวเรือในบริเวณดังกล่าวเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง อนึ่ง พายุไต้ฝุ่น "เซาลา" (SAOLA) บริเวณมหาสมุทรแปซิฟิกหรือด้านตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศฟิลิปปินส์ คาดว่าจะเคลื่อนผ่านสาธารณรัฐจีน(ไต้หวัน) ในช่วงวันที่ 30 ส.ค. - 1 ก.ย.นี้ โดยพายุนี้ไม่ส่งผลกระทบต่อลักษณะอากาศของประเทศไทยโดยตรง ขอให้ผู้ที่จะเดินทางไปยังบริเวณดังกล่าวตรวจสอบสภาพอากาศก่อนออกเดินทางในช่วงวันและเวลาดังกล่าวไว้ด้วย กรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 20 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 27-28 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 34-36 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-25 กม./ชม. คาดหมาย ในช่วงวันที่ 27 ? 28 ส.ค. 66 มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยมีกำลังอ่อน ในขณะที่หย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมบริเวณประเทศเวียดนามตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีฝนลดลง แต่ยังคงมีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นได้ และมีฝนตกหนักบางแห่งในภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทย สูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูง 1 ? 2 เมตร ส่วนในช่วงวันที่ 29 ส.ค. ? 2 ก.ย. 66 ร่องมรสุมกำลังแรงจะเลื่อนลงมาพาดผ่านภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลางของประเทศไทย ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย จะมีกำลังแรงขึ้น ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยจะมีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักหลายพื้นที่ โดยมีฝนตกหนักมากบางแห่งในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลางรวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยจะมีกำลังแรงขึ้น โดยบริเวณทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยตอนบน ทะเลมีคลื่นสูง 2 - 3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ส่วนทะเลอันดามันตอนล่างและอ่าวไทยตอนล่างมีคลื่นสูง 1 ? 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร อนึ่ง พายุไต้ฝุ่น "เซาลา?" (SAOLA) บริเวณมหาสมุทรแปซิฟิกหรือด้านตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศฟิลิปปินส์ คาดว่าจะเคลื่อนผ่านสาธารณรัฐจีน(ไต้หวัน) ในช่วงวันที่ 30 ส.ค. ? 1 ก.ย. นี้ โดยพายุนี้ไม่ส่งผลกระทบต่อลักษณะอากาศของประเทศไทยโดยตรง ขอให้ผู้ที่จะเดินทางไปยังบริเวณดังกล่าวตรวจสอบสภาพอากาศก่อนออกเดินทางในช่วงวันและเวลาดังกล่าวไว้ด้วย ข้อควรระวัง ในช่วงวันที่ 29 ส.ค. ? 2 ก.ย. 66 ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่มไว้ด้วย ส่วนชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองตลอดช่วง ****************************************************************************************************** ฝนตกหนักถึงหนักมากบริเวณประเทศไทย และคลื่นลมแรงบริเวณทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยตอนบน ฉบับที่ 3 (228/2566) (มีผลกระทบตั้งแต่วันที่ 29 สิงหาคม - 3 กันยายน 2566) ร่องมรสุมกำลังแรงจะเลื่อนลงมาพาดผ่านภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลางของประเทศไทย ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยจะมีกำลังแรงขึ้น ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักหลายพื้นที่ โดยมีฝนตกหนักมากบางแห่ง ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม รวมทั้งเพิ่มความระมัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย จังหวัดที่คาดว่าจะมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง มีดังนี้ วันที่ 29 สิงหาคม 2566 ภาคเหนือ: จังหวัดเชียงราย ลำปาง พะเยา น่าน แพร่ อุตรดิตถ์ พิษณุโลก และเพชรบูรณ์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: จังหวัดเลย หนองคาย บึงกาฬ หนองบัวลำภู อุดรธานี สกลนคร นครพนม ขอนแก่น กาฬสินธุ์ มุกดาหาร มหาสารคาม ร้อยเอ็ด ยโสธร อำนาจเจริญ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี ภาคตะวันออก: จังหวัดจันทบุรี และตราด ภาคใต้: จังหวัดระนอง พังงา และภูเก็ต วันที่ 30 สิงหาคม 2566 ภาคเหนือ: จังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง พะเยา น่าน แพร่ อุตรดิตถ์ ตาก สุโขทัย กำแพงเพชร พิษณุโลก พิจิตร และเพชรบูรณ์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: จังหวัดเลย หนองคาย หนองบัวลำภู อุดรธานี สกลนคร ชัยภูมิ ขอนแก่น กาฬสินธุ์ มุกดาหาร มหาสารคาม ร้อยเอ็ด ยโสธร อำนาจเจริญ นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี ภาคกลาง: จังหวัดนครสวรรค์ อุทัยธานี ชัยนาท ลพบุรี สระบุรี สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา สุพรรณบุรี กาญจนบุรี รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออก: จังหวัดนครนายก ปราจีนบุรี สระแก้ว ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด ภาคใต้: จังหวัดระนอง พังงา และภูเก็ต วันที่ 31 สิงหาคม 2566 ภาคเหนือ: จังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง น่าน แพร่ อุตรดิตถ์ ตาก สุโขทัย กำแพงเพชร พิษณุโลก พิจิตร และเพชรบูรณ์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: จังหวัดเลย ชัยภูมิ ขอนแก่น มหาสารคาม ร้อยเอ็ด ยโสธร อำนาจเจริญ นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี ภาคกลาง: จังหวัดนครสวรรค์ อุทัยธานี ชัยนาท ลพบุรี สระบุรี สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา กาญจนบุรี สุพรรณบุรี นครปฐม สมุทรสงคราม สมุทรสาคร รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออก: จังหวัดนครนายก ปราจีนบุรี สระแก้ว ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด ภาคใต้: จังหวัดชุมพร สุราษฎร์ธานี ระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ และตรัง วันที่ 1 - 3 กันยายน 2566 ภาคเหนือ: จังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แพร่ อุตรดิตถ์ ตาก สุโขทัย กำแพงเพชร พิษณุโลก พิจิตร และเพชรบูรณ์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: จังหวัดนครราชสีมา บุรีรัมย์ และสุรินทร์ ภาคกลาง: จังหวัดนครสวรรค์ อุทัยธานี ชัยนาท ลพบุรี สระบุรี สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา สุพรรณบุรี กาญจนบุรี ราชบุรี สมุทรสงคราม สมุทรสาคร และนครปฐม รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออก: จังหวัดนครนายก ปราจีนบุรี สระแก้ว ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด ภาคใต้: จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ระนอง พังงา ภูเก็ต และกระบี่ สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยตอนบนจะมีกำลังค่อนข้างแรง โดยมีคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ส่วนทะเลอันดามันตอนล่างและอ่าวไทยตอนล่าง ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือในบริเวณดังกล่าวเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง สำหรับเรือเล็กบริเวณทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยตอนบนควรงดออกจากฝั่งไว้ด้วย
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#2
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ
ญี่ปุ่นปล่อยน้ำกัมมันตภาพรังสีสู่ทะเล แม้บำบัดแล้ว จะปลอดภัยแค่ไหน? .......... Thairath Plus Nature Matter Summary - ญี่ปุ่นเริ่มปล่อยน้ำกัมมันตภาพรังสีที่ผ่านการบำบัดแล้วจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะที่ประสบภัยสึนามิลงสู่มหาสมุทรแปซิฟิกในวันที่ 24 สิงหาคมที่ผ่านมาแม้ว่าประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะจีนและเกาหลีจะต่อต้านก็ตาม เพราะอาจกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและอาหารทะเล - สำนักงานพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) ให้ข้อมูลว่า น้ำที่ปนเปื้อนจะได้รับการบำบัดผ่านระบบการบำบัดน้ำเสียขั้นสูง (Advanced Liquid Processing System: ALPS) ที่ตรวจสอบแล้วปลอดภัยตามมาตรฐานของ IAEA - แผนปล่อยน้ำนี้ดำเนินมาหลายปีแล้ว โดยเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้ออกมาเตือนในปี 2019 ว่า พื้นที่สำหรับเก็บวัสดุกำลังจะหมด ทำให้ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากปล่อยน้ำในรูปแบบที่ผ่านการบำบัดและเจือจางสูง - สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ มีการศึกษาและแนะให้ญี่ปุ่นเสนอข้อมูลอย่างตรงไปตรงมา ให้มีคนกลางตรวจสอบ และทำงานร่วมกับประเทศผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เป็นกระแสไปทั่วโลกกับประเด็นที่ญี่ปุ่นเริ่มปล่อยน้ำกัมมันตภาพรังสีที่ผ่านการบำบัดแล้วจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะสู่มหาสมุทรแปซิฟิก ในวันที่ 24 สิงหาคมที่ผ่านมา แม้ว่าประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะจีนและเกาหลีจะต่อต้านก็ตาม เพราะอาจกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและอาหารทะเล โดยจีนได้ห้ามการนำเข้าอาหารทะเลจากญี่ปุ่นทั้งหมด เพื่อตอบโต้กับที่ญี่ปุ่นปล่อยน้ำกัมมันตภาพรังสีที่ผ่านการบำบัดแล้ว ทำให้เกิดความบาดหมางและตึงเครียดระหว่าง 2 ประเทศที่ทวีความรุนแรงขึ้น ซึ่งก่อนหน้านี้รัฐบาลจีนเคยวิพากษ์วิจารณ์แผนดังกล่าวว่าไม่ปลอดภัยมาแล้ว ส่วนเกาหลีใต้แม้รัฐบาลจะไม่มีปัญหากับเรื่องนี้ แต่ยังคงมีกระแสต่อต้านจากภาคประชาชน โดยมีกลุ่มคนนำเข้าไปถือป้ายที่สถานทูตญี่ปุ่นในประเทศเกาหลีใต้ เพื่อต่อต้านการปล่อยน้ำกัมมันตภาพรังสีที่ผ่านการบำบัดแล้ว และถูกจับกุมไป 16 คน อีกทั้งฝ่ายนิติบัญญัติที่เป็นฝ่ายค้านมองว่า การปล่อยน้ำกัมมันตภาพรังสีอาจเป็นภัยคุกคามต่อมนุษย์ ส่วนในญี่ปุ่น สหภาพแรงงานชาวประมง มองว่าอาจกระทบต่อความเชื่อมั่นเกี่ยวกับความปลอดภัยของน้ำ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของชาวประมง แม้ญี่ปุ่นจะประกาศแผนการปล่อยน้ำกัมมันตภาพรังสีที่ผ่านการบำบัดแล้วนี้ออกมาตั้งแต่ 2 ปีที่แล้ว และทำให้เกิดความตึงเครียดทางการเมืองอย่างรุนแรงกับจีนและเกาหลีใต้ แต่กัมมันตภาพรังสีในน้ำยังคงเป็นเรื่องที่ส่วนใหญ่มองว่าเป็นสิ่งที่อันตรายมาก แม้จะมีการบำบัดแล้วก็ตาม น้ำกัมมันตภาพรังสีที่ผ่านการบำบัดแล้วปลอดภัยจริงไหม? สำนักงานพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) ให้ข้อมูลว่า น้ำที่ปนเปื้อนจะได้รับการบำบัดผ่านกระบวนการกรองที่เรียกว่า ระบบการบำบัดน้ำเสียขั้นสูง (Advanced Liquid Processing System: ALPS) เพื่อกำจัดกัมมันตภาพรังสีส่วนใหญ่ก่อนนำไปจัดเก็บ โดย ALPS คือระบบสูบน้ำและกรอง ซึ่งใช้ชุดปฏิกิริยาเคมีเพื่อกำจัดนิวไคลด์กัมมันตรังสี 62 ชนิดออกจากน้ำที่ปนเปื้อน อย่างไรก็ตาม ALPS ไม่สามารถกำจัดทริเทียมออกจากน้ำที่ปนเปื้อนได้ ซึ่งทริเทียมเป็นไอโซโทปกัมมันตรังสีบีต้า มีความเสี่ยงต่ำแต่เป็นอันตรายเมื่อเข้าสู่ร่างกายผ่านทางปากหรือแผลเมื่อรับปริมาณมาก ซึ่งจากการตรวจสอบความปลอดภัยของ IAEA ได้ข้อสรุปว่า แผนการของญี่ปุ่นในการปล่อยน้ำบำบัดที่เก็บไว้ที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะไดอิจิลงสู่ทะเลนั้นสอดคล้องกับมาตรฐานความปลอดภัยของ IAEA ราฟาเอล มาเรียโน กรอสซี (Rafael Mariano Grossi) อธิบดี IAEA ได้ส่งรายงานอย่างเป็นทางการต่อ ฟูมิโอะ คิชิดะ นายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่น โดยระบุว่าการปล่อยน้ำที่ผ่านการบำบัดจะมีผลกระทบทางรังสีวิทยาต่อผู้คนและสิ่งแวดล้อมเล็กน้อย ทั้งนี้ รายงานนี้เป็นผลงานจากการทำงานเกือบ 2 ปีโดยคณะทำงานเฉพาะกิจของ IAEA ซึ่งประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญชั้นนำจากภายในหน่วยงาน ซึ่งได้รับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทางนิวเคลียร์ที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลจาก 11 ประเทศ โดยทบทวนแผนของญี่ปุ่นต่อมาตรฐานความปลอดภัยของ IAEA ซึ่งทำหน้าที่เป็นข้อมูลอ้างอิงระดับโลกในการปกป้องผู้คนและสิ่งแวดล้อม และมีส่วนทำให้ความปลอดภัยระดับสูงทั่วโลก "IAEA จะยังคงให้ความโปร่งใสแก่ประชาคมระหว่างประเทศ ทำให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมดสามารถพึ่งพาข้อเท็จจริงและวิทยาศาสตร์ที่ได้รับการตรวจสอบแล้ว เพื่อแจ้งความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ตลอดกระบวนการ" มาเรียโน กรอสซี กล่าว มาเรียโน กรอสซี กล่าวว่า IAEA จะดำเนินการตรวจสอบความปลอดภัยต่อไปในระหว่างขั้นตอนการปล่อยน้ำและลงพื้นที่อย่างต่อเนื่อง และจัดให้มีการตรวจสอบออนไลน์แบบสดบนเว็บไซต์ "สิ่งนี้จะช่วยให้มั่นใจได้ว่า มาตรฐานความปลอดภัยระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องจะยังคงถูกนำมาใช้ตลอดกระบวนการที่ยาวนานหลายทศวรรษที่กำหนดโดยรัฐบาลญี่ปุ่นและ Tokyo Electric Power Company (TEPCO)" มาเรียโน กรอสซี กล่าว ทำไมญี่ปุ่นจำเป็นต้องปล่อยน้ำเสียออกมา หลังจากแผ่นดินไหวและสึนามิที่ทำลายล้างของญี่ปุ่นในปี 2011 ส่งผลให้น้ำภายในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะปนเปื้อนด้วยสารกัมมันตภาพรังสีสูง ตั้งแต่นั้นมาน้ำใหม่จะถูกสูบเข้าไปเพื่อทำให้เศษเชื้อเพลิงในเครื่องปฏิกรณ์เย็นลง ในขณะที่น้ำใต้ดินและน้ำฝนรั่วไหลเข้าไป ทำให้เกิดน้ำเสียที่มีกัมมันตรังสีมากขึ้น ทั้งนี้ แผนปล่อยน้ำนี้ดำเนินมาหลายปีแล้ว โดยมีเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องออกมาเตือนในปี 2019 ว่า พื้นที่สำหรับเก็บวัสดุกำลังจะหมด ทำให้ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากปล่อยน้ำในรูปแบบที่ผ่านการบำบัดและเจือจางสูง อย่างไรก็ตาม บริษัท TEPCO คาดว่า จะปล่อยน้ำเสียที่ผ่านการบำบัดแล้วประมาณ 200 หรือ 210 ลูกบาศก์เมตรเท่านั้น ตั้งแต่วันที่ 25 สิงหาคมเป็นต้นไป และมีแผนที่จะปล่อยน้ำเสียที่ผ่านการบำบัดอย่างต่อเนื่องจำนวน 456 ลูกบาศก์เมตรในระยะเวลา 24 ชั่วโมง และรวมทั้งหมด 7,800 ลูกบาศก์เมตรในระยะเวลา 17 วัน ซึ่งการดำเนินการจะถูกระงับทันที และจะดำเนินการตรวจสอบหากตรวจพบความผิดปกติใดๆ ในอุปกรณ์ระบายหรือระดับการเจือจางของน้ำเสียที่ผ่านการบำบัด ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจะเป็นอย่างไรบ้าง ในขณะที่บางประเทศสนับสนุนญี่ปุ่น เช่น สหรัฐอเมริกา และไต้หวันที่เห็นพ้องกันว่า ปริมาณทริเทียมควรมีผลกระทบน้อยที่สุด แม้จีนและหมู่เกาะแปซิฟิกต่างคัดค้าน โดยการปล่อยก๊าซดังกล่าวอาจส่งผลกระทบในวงกว้างทั้งในระดับภูมิภาคและระดับนานาชาติ และอาจคุกคามสุขภาพของมนุษย์และสิ่งแวดล้อมทางทะเล กรมศุลกากรของจีนจึงประกาศว่า จะหยุดนำเข้าผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำทั้งหมดที่มาจากญี่ปุ่น เพื่อป้องกันความเสี่ยงของการปนเปื้อนกัมมันตภาพรังสีในความปลอดภัยของอาหารที่เกิดจากการปล่อยน้ำที่ปนเปื้อนนิวเคลียร์ฟูกูชิมะของญี่ปุ่น และเพื่อปกป้องสุขภาพของผู้บริโภคชาวจีน ซึ่งหมายความว่าการห้ามดังกล่าวอาจจำกัดผลิตภัณฑ์จากมหาสมุทรอื่นๆ นอกเหนือจากอาหารทะเล เช่น เกลือทะเลและสาหร่ายทะเล นอกจากนี้ ยังเกิดการวิจารณ์อย่างหนักจากประเทศจีนว่าเป็น ?การกระทำที่เห็นแก่ตัวและขาดความรับผิดชอบ? เช่นเดียวกับในฮ่องกงที่ต่อต้านเช่นกัน "การกระทำของญี่ปุ่นในการปล่อยน้ำที่ปนเปื้อนนั้นขาดความรับผิดชอบ ผิดกฎหมาย และผิดศีลธรรม ไม่มีใครสามารถพิสูจน์ได้ว่า เศษนิวเคลียร์และวัสดุต่างๆ ปลอดภัย พวกมันไม่ปลอดภัยโดยสิ้นเชิง" จาเคย์ ชุม (Jacay Shum) นักเคลื่อนไหววัย 73 ปี กล่าว ด้านกระทรวงการต่างประเทศของเกาหลีเหนือก็เรียกร้องให้ระงับการปล่อยน้ำทันที โดยเรียกว่าเป็น 'อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ' ส่วนในญี่ปุ่น มีผู้ประท้วงรวมตัวหน้าสำนักงานใหญ่ของ TEPCO ในโตเกียว โดยถือป้ายที่มีข้อความว่า ?อย่าโยนน้ำที่ปนเปื้อนลงทะเล!? "ภัยพิบัตินิวเคลียร์ฟุกุชิมะยังไม่สิ้นสุด คราวนี้น้ำจะถูกปล่อยออกมาเพียงประมาณ 1 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้น จากนี้ไปเราจะต่อสู้ต่อไปอีกนานเพื่อหยุดการปล่อยน้ำที่ปนเปื้อนในระยะยาว" จุน อิซึกะ วัย 71 ปี ผู้ประท้วงกล่าว ทางออกเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติของประเทศไทย มีการศึกษาและมีข้อเสนอแนะทางออกของกรณีนี้เพื่อลดความกังวลและผลกระทบของรังสีต่อสิ่งแวดล้อมทางทะเลว่า 1. ให้ญี่ปุ่นเปิดเผยข้อมูลที่ถูกต้อง ตรงไปตรงมา รายงานผลการวัดกัมมันตภาพรังสีอย่างสม่ำเสมอและทันเวลา (ก่อนและหลังการระบายน้ำ) รวมถึงระดับทริเทียม (H-3 มีค่าครึ่งชีวิต 12.32 ปี) และสารกัมมันตภาพรังสีอื่นๆ 2. เปิดโอกาสให้ประเทศที่สาม เข้าร่วมในคณะทำงานด้านเทคนิคเพื่อประเมินขั้นตอนการดำเนินการ เพื่อความโปร่งใสของญี่ปุ่น และเพื่อสร้างความเชื่อมั่นในประเทศเหล่านั้นและองค์กรระหว่างประเทศ 3. คณะทำงานด้านเทคนิคจะเป็นการดำเนินการร่วมกันภายใต้กรอบพหุภาคี ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญจากประเทศจีน เกาหลีใต้ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากประเทศที่สามและ IAEA เป็นผู้ประสานงาน เพื่อดำเนินการประเมินความปลอดภัยอย่างเป็นธรรมในการปฏิบัติการดังกล่าว และเพื่อให้มั่นใจว่า การดำเนินการเป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยสากล ซึ่งการดำเนินการตามข้อเสนอข้างต้นจำเป็นต้องได้รับงบประมาณสนับสนุนการร่วมภารกิจจากรัฐบาลของประเทศสมาชิกและจาก IAEA อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวของญี่ปุ่นในตอนนี้ยังเป็นที่จับตาว่าจะแก้ปัญหานี้ได้อย่างไร และอาจต้องใช้สิ่งที่มากกว่าผลทางวิทยาศาสตร์ในสร้างความเชื่อมั่นกับประเทศเพื่อนบ้านที่ต้องได้รับผลกระทบ https://plus.thairath.co.th/topic/naturematter/103644
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#3
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการ
กลไกระดับนโยบายเดิมๆ ไล่ไม่ทันวิกฤตโลกร้อน-ทะเลเดือด ................ โดย ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ปะการังที่ฟอกขาวซ้ำซ้อนจนตายเกือบหมดเมื่อ 3 เดือนก่อน ใกล้มีรัฐบาลใหม่แล้ว จึงถือโอกาสนำประเด็นเร่งด่วน "โลกร้อน/ทะเลเดือด" มาเล่าให้เพื่อนธรณ์ฟัง เผื่อจะมีประโยชน์ต่อการทำงานครับ เอลนีโญกำลังเร่งความแรง เริ่มเห็นอุณหภูมิน้ำสูงผิดปรกติ และจะแรงขึ้นอีก การทำงานนับแต่นี้ต่อไปอีก 6-12 เดือนจึงสำคัญมาก กรมโลกร้อน เพิ่งตั้งใหม่ คงต้องเร่งมือเป็นหน่วยประสานงานเพื่อระดมข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง วิเคราะห์และอัปเดตต่อเนื่อง กรมทะเล กรมอุทยาน คงต้องติดตามอุณหภูมิน้ำทะเลพื้นที่ต่างๆ และสำรวจตรวจเช็คระบบนิเวศ โดยเฉพาะปะการัง/หญ้าทะเล ยังรวมถึงปรากฏการณ์ผิดปรกติ เช่น น้ำเปลี่ยนสี (น้ำเขียว) อีกเรื่องที่ควรทำควบคู่กันคือติดตามและประเมินการทำมาหากินของพี่น้องประชาชนที่เกี่ยวข้องกับทะเล วิเคราะห์ประเมินผลกระทบ ทั้งหมดนั้นคือกรอบทำงานคร่าวๆ จุดอ่อนของเราคือ เก็บข้อมูลแต่ไม่ค่อยได้วิเคราะห์ เรามีข้อมูลเป็นจุดๆ แต่มองภาพรวมไม่ออก หรืออัปเดทไม่ทัน สื่อสารกับผู้คนลำบาก/ไม่เข้าใจ ในอดีตเราเคยเจอปัญหาแบบนี้ เช่น ปะการังฟอกขาวครั้งใหญ่ หนนั้นเราใช้กลไกการทำงานแบบคณะผู้เชี่ยวชาญเฉพาะกิจ พิสูจน์แล้วว่ามีประโยชน์ การประชุมผู้เชี่ยวชาญเพื่อจัดตั้งคณะเฉพาะกิจเพื่อเป็นที่ปรึกษากระทรวง/กรมต่างๆ ในเรื่องโลกร้อน/เอลนีโญ/ทะเล จะทำให้เราวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ ในภาพรวมและเสนอแนวทางที่ทันต่อเหตุการณ์ นั่นเป็นข้อเสนอของผมที่คิดว่าทำได้ง่ายและเร็วที่สุด เพราะกลไกเดิมที่มีเป็นระดับนโยบาย ใช้เพื่อออกกฏหมาย/ระเบียบ/ประกาศพื้นที่ ฯลฯ ซึ่งอาจไม่สอดคล้องต่อสถานการณ์เร่งด่วนที่กำลังเกิดขึ้น นอกจากแก้ไขเยียวยาหนนี้ เรายังจำเป็นต้องเรียนรู้ผลกระทบจากเอลนีโญ+โลกร้อนให้มากที่สุด เพราะหนหน้าจะแรงกว่านี้ โลกยังไม่มีวี่แววว่าจะหยุดร้อน (เอลนีโญเกิดทุก 5-7 ปี) ยังรวมถึงการวิเคราะห์ผลกระทบเพื่อนำไปใช้ระดับนโยบาย นำไปพูดคุยในการประชุมระหว่างประเทศ COP ฯลฯ เพราะเทรนด์ตอนนี้กำลังคุยเรื่อง loss & damage ตามแนวทางของ UN การไปพูดเพียงว่าไทยจะช่วยลดโลกร้อน เรากำลังใช้แนวทางโลว์คาร์บอน อาจไม่เพียงพอสำหรับสถานการณ์ตอนนี้ เรื่องผลกระทบ L&D ต้องการข้อมูลเยอะ วิเคราะห์เยอะ การระดมผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ จะทำให้เรามีฐานข้อมูลที่ดี นำไปคุยกับประเทศอื่นๆ ได้ ต่อรองได้ ผมพูดเรื่องทะเลอย่างเดียว แต่ยังมีระบบนิเวศป่า/ไฟป่า/ฝุ่นควัน ฯลฯ ที่เกี่ยวข้องกับเอลนีโญ+โลกร้อนในครั้งนี้ และส่งผลกระทบต่อสุขภาพ/การทำมาหากิน เศรษฐกิจจะกระตุ้นแค่ไหน หากธรรมชาติไม่เป็นใจ หากน้ำเขียวทุกสัปดาห์ ไฟป่าดินถล่มเกิดได้ตลอด มันก็ใช้ชีวิตลำบาก เหตุการณ์ในต่างประเทศคงพอบอกเราได้ ตอนนี้เราอาศัยคำว่าโชคดีเท่านั้น และไม่เชื่อว่าโชคดีจะอยู่ได้ตลอดไป แต่การลุกขึ้นมาเรียนรู้ รับมือ และปรับตัว จะอยู่ได้ตลอดไป ฝากความหวังไว้กับท่านรัฐมนตรีที่เป็นใครหนอ ? ไม่ว่าเป็นท่านใด จุดพลิกผันธรรมชาติสิ่งแวดล้อมไทย อยู่ในจังหวะนี้ครับ https://mgronline.com/greeninnovatio.../9660000077107
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#4
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ไทยโพสต์
เรือตรวจการณ์ไล่ล่าจับกุมเรือเวียดนามแอบลักลอบทำประมงในน่านน้ำไทย เรือตรวจการณ์ใกล้ฝั่ง ต. 114 ของทัพเรือภาค2 ออกไล่ล่าติดตามจับกุมเรือประมงเวียดนาม ที่ลักลอบเข้ามาทำการประมงในน่านน้ำไทย 1 ลำพร้อมลูกเรือ 5 คน ขณะรวมกลุ่มกันลักลอบเข้ามาทำการประมง15ลำ และแยกย้ายกันหลบหนีไปคนละทาง 27 ส.ค. 2566 ? เมื่อวานนี้ (26ส.ค.66) ทัพเรือภาคที่ 2 และศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลภาค2หรือ ศรชล.ภาค 2 โดยพลเรือโท จรัสเกียรติ ไชยพันธุ์ ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 2 / ผู้อำนวยการศรชล.ภาค 2 ส่งเรือตรวจการใกล้ฝั่ง ต.114 ออกไล่ล่าจับกุมเรือประมงเวียดนามที่ลักลอบเข้ามาทำการประมงในน่านน้ำไทย ในระยะ 51 ไมล์ จากปากร่องน้ำสงขลา โดยขณะเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบพบกลุ่มเรือประมงเวียดนาม รุกล้ำเข้ามาทำการประมงบริเวณทางตอนใต้ของเกาะกระ ประมาณ 15 ลำ เมื่อเรือทั้งหมดเห็นเรือของเจ้าหน้าที่ทหารเรือก็พยายามขับเรือหลบหนี หนีไปคนละทิศคนละทางเพื่อกลับเข้าน่านน้ำของเวียดนาม แต่เรือต.114 ก็สามารถไล่ล่าติดตามจับกุมได้ 1 ลำ เป็นเรือประมงคราดปลิงทะเล มีผู้ควบคุมพร้อมลูกเรือ รวมจำนวน 5 คน และควบคุมเรือและลูกเรือกลับเข้าฝั่ง เพื่อที่ ท่าเทียบเรือฐานทัพเรือสงขลา ทัพเรือภาคที่ 2 เมื่อเวลา 21.00 น.ที่ผ่านมา โดยมี พลเรือตรี พิจิตต ศรีรุ่งเรือง รองผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 2 เดินทางไปติดตามการจับกุม และหลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการสอบสวนได้นำลูกเรือทั้ง 5 คน ส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองสงขลา ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป สำหรับการจับกุมเรือประมงเวียดนามในพื้นที่รับผิดชอบของ ทัพเรือภาคที่ 2 ในปีงบประมาณ 2566 สามารถจับกุมครั้งนี้ เป็นครั้งที่ 3 https://www.thaipost.net/criminality-news/437932/
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
|