#1
|
||||
|
||||
สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันเสาร์ที่ 20 กรกฎาคม 2567
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป ร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือตอนบน และประเทศลาวตอนบน ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยมีกำลังปานกลาง ทำให้บริเวณประเทศไทยยังคงมีฝนตกหนักบางพื้นที่ และมีฝนตกหนักมากบางแห่งในบริเวณภาคตะวันออก ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่มในระยะนี้ไว้ด้วย สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยมีกำลังปานกลาง โดยทะเลอันดามันตอนบนมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนทะเลอันดามันตอนล่างและอ่าวไทย มีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือในบริเวณดังกล่าวเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง อนึ่ง พายุดีเปรสชันปกคลุมบริเวณทะเลจีนใต้ตอนกลาง อยู่ห่างประมาณ 680 กิโลเมตร ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะไหหลำ มีทิศทางการเคลื่อนที่ไปทางเกาะไหหลำและประเทศจีนตอนใต้ โดยพายุนี้ไม่มีผลกระทบโดยตรงต่อประเทศไทย กรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีฝนหรือฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 70 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 26-27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-25 กม./ชม. คาดหมาย ในช่วงวันที่ 20 ? 21 ก.ค. 67 ร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือตอนบน ประเทศลาวตอนบน และประเทศเวียดนามตอนบน ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังค่อนข้างแรงที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยจะมีกำลังอ่อนลง ในขณะที่มีลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมภาคตะวันออก และอ่าวไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยยังคงมีฝนตกหนักบางแห่ง โดยมีฝนตกหนักมากบางพื้นที่ในภาคตะวันออก สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยมีกำลังอ่อนลง โดยทะเลอันดามันตอนบนมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ส่วนทะเลอันดามันตอนล่างและอ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูง 1 - 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนในช่วงวันที่ 22 ? 25 ก.ค. 67 ร่องมรสุมจะเลื่อนขึ้นไปพาดผ่านประเทศลาวและประเทศเวียดนามตอนบน เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณตอนใต้ของประเทศจีน ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ลักษณะเช่นนี้จะทำให้ประเทศไทยมีฝนลดลง แต่ยังคงมีฝนตกหนักบางแห่งบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ โดยมีฝนตกหนักมากบางพื้นที่ในภาคตะวันออก และด้านตะวันตกของภาคเหนือและภาคกลาง สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยมีกำลังปานกลาง โดยทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ส่วนทะเลอันดามันตอนล่างและอ่าวไทยตอนล่าง มีคลื่นสูง 1 - 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร อนึ่ง ในช่วงวันที่ 21 ? 25 ก.ค. 67 หย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงบริเวณมหาสมุทรแปซิฟิก มีแนวโน้มจะทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุหมุนเขตร้อน คาดว่าจะเคลื่อนไปทางด้านตะวันออกของประเทศจีนในช่วงวันที่ 24 ? 25 ก.ค. 67 โดยไม่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อลักษณะอากาศของประเทศไทย ข้อควรระวัง ในช่วงวันที่ 20 ? 23 ก.ค. 67 ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสมซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม สำหรับชาวเรือบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันในช่วงวันที่ 20 ? 25 ก.ค. 67 ขอให้เดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย ****************************************************************************************************** พยากรณ์อากาศวันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษา ระหว่างวันที่ 20 - 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2567 ในช่วงวันที่ 20 ? 21 ก.ค. 67 ร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือตอนบน ประเทศลาวตอนบน และประเทศเวียดนามตอนบน ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังค่อนข้างแรงที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยจะมีกำลังอ่อนลง ในขณะที่มีลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมภาคตะวันออก และอ่าวไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยยังคงมีฝนตกหนักบางแห่ง โดยมีฝนตกหนักมากบางพื้นที่ในภาคตะวันออก สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยมีกำลังอ่อนลง โดยทะเลอันดามันตอนบนมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ส่วนทะเลอันดามันตอนล่างและอ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูง 1 - 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนในวันที่ 22 ก.ค. 67 ร่องมรสุมจะเลื่อนขึ้นไปพาดผ่านประเทศลาวและประเทศเวียดนามตอนบน เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณตอนใต้ของประเทศจีน ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ลักษณะเช่นนี้จะทำให้ประเทศไทยมีฝนลดลง แต่ยังคงมีฝนตกหนักบางแห่งบริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยมีกำลังปานกลาง โดยทะเลอันดามันตอนบนมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ส่วนทะเลอันดามันตอนล่างและอ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูง 1 - 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#2
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก กรุงเทพธุรกิจ
วิกฤติสภาพภูมิอากาศ-น้ำแข็งละลาย ทำโลกหมุนช้าลง แต่ละวันยาวนานขึ้น ........โดย กฤตพล สุธีภัทรกุล KEY POINTS - น้ำที่ละลายจากน้ำแข็งขั้วโลกจะไหลไปยังเส้นศูนย์สูตร ซึ่งจะเปลี่ยนรูปร่างของโลกไปจากเดิม บริเวณขั้วโลกจะแบนลง ขณะที่ตรงกลางจะนูนมากขึ้น ทำให้โลกหมุนได้ช้าลง - ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์คำนวณการเพิ่มขึ้นของความยาววันเป็น 1.33 มิลลิวินาทีต่อศตวรรษ ซึ่งสูงกว่าครั้งใด ๆ ในศตวรรษที่ 20 อย่างมีนัยสำคัญ - วิกฤติสภาพภูมิอากาศทำให้โลกเปลี่ยนไปภายในเวลาเพียง 100 หรือ 200 ปีเท่านั้น ในขณะที่กระบวนการตามธรรมชาติต้องใช้เวลาหลายพันล้านปี "วิกฤติสภาพภูมิอากาศ" กำลังทำให้ความยาวของแต่ละวันนานขึ้น งานวิจัยชิ้นใหม่แสดงให้เห็นว่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของมนุษย์ไม่กี่ร้อยปี ได้ทำให้โลกเปลี่ยนแปลงไปหลายล้านปีตามธรรมชาติ ตามการศึกษาที่ตีพิมพ์ในรายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการของสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติของสหรัฐ พบว่า น้ำแข็งขั้วโลกละลายจากภาวะโลกร้อนกำลังเปลี่ยนความเร็วการหมุนของโลก และเพิ่มความยาวในแต่ละวัน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นภายในศตวรรษนี้ หากมนุษย์ยังคงปล่อย "ก๊าซเรือนกระจก" ในอัตราเท่าเดิม แม้ความเร็วในการหมุนของโลกจะทำให้ในแต่ละวันโลกมีเวลาเพิ่มขึ้นเพียงแค่ระดับ "มิลลิวินาที" แต่ก็สามารถสร้างผลกระทบสำคัญต่อระบบคอมพิวเตอร์ เครื่องซูเปอร์คอมพิวเตอร์ และระบบ GPS นับเป็นอีกผลกระทบที่เกิดขึ้นกับโลกด้วยน้ำมือของมนุษย์ "นี่เป็นข้อพิสูจน์ว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่กำลังเกิดขึ้นมีความรุนแรงมากเพียงใด" สุเรนทรา อธิการี นักธรณีฟิสิกส์จากห้องปฏิบัติการแรงขับเคลื่อนไอพ่น ผู้เขียนรายงานกล่าว จำนวนชั่วโมง นาที และวินาทีที่เกิดขึ้นในแต่ละวันบนโลกถูกกำหนดโดยความเร็วของการหมุนของโลก ซึ่งได้รับอิทธิพลจากปัจจัยที่ซับซ้อน ไม่ว่าจะเป็นอิทธิพลจากการแกนโลก ผลกระทบจากการละลายของธารน้ำแข็งขนาดใหญ่หลังยุคน้ำแข็งครั้งสุดท้ายที่ยังคงส่งผลมาถึงปัจจุบัน รวมถึงการละลายของน้ำแข็งขั้วโลกเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นอกจากนี้ ดวงจันทร์ยังทำให้ในแต่ละวันยาวขึ้นมานับพันปี อิทธิพลความโน้มถ่วงของดวงจันทร์ทำให้เกิดน้ำขึ้นลงมหาสมุทร และทำให้หนึ่งวันยาวขึ้นเล็กน้อย โดยในทุก 100 ปี โลกของเราจะมีเวลาเพิ่มขึ้นราว 2-3 มิลลิวินาที "เนื่องจากการปล่อยก๊าซคาร์บอนของเรา ทำให้โลกเปลี่ยนไปภายในเวลาเพียง 100 หรือ 200 ปีเท่านั้น ในขณะที่กระบวนการตามธรรมชาติต้องใช้เวลาหลายพันล้านปี และนั่นก็น่าทึ่งมาก" ในอดีต นักวิทยาศาสตร์เข้าใจว่าผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อเวลา "ไม่ได้รุนแรงมากนัก" และเข้าใจว่าการละลายของน้ำแข็งขั้วโลกเป็นตัวการที่ทำให้เวลานานขึ้น แต่งานวิจัยใหม่ชี้ให้เห็นว่าภาวะโลกร้อนมีอิทธิพลต่อเวลามากกว่าที่เข้าใจ เบเนดิกต์ โซจา ผู้เขียนการศึกษาและผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านภูมิสารสนเทศอวกาศ จากสถาบันเทคโนโลยีแห่งสหพันธ์สวิส ซูริค ในสวิตเซอร์แลนด์ กล่าวกับ CNN ว่า "หากมนุษย์ยังไม่หยุดปล่อยก๊าซเรือนกระจก การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เวลาเปลี่ยนไป" ในขณะที่มนุษย์ทำให้โลกร้อนขึ้น ธารน้ำแข็งและแผ่นน้ำแข็งกำลังละลายเร็วขึ้น และน้ำที่ละลายนั้นก็ไหลจากขั้วโลกไปยังเส้นศูนย์สูตร ซึ่งจะเปลี่ยนรูปร่างของโลกไปจากเดิม บริเวณขั้วโลกจะแบนลง ขณะที่ตรงกลางจะนูนมากขึ้น ทำให้โลกหมุนได้ช้าลง กระบวนการนี้มักถูกเปรียบเทียบกับเวลาที่นักสเกตลีลาทำท่าหมุนแขนโดยยกแขนไว้เหนือศีรษะ แล้วตอนที่เขากำลังวาดแขนลงไปที่ไหล่ ความเร็วในการหมุนตัวของพวกเขาจะลดลง ทีมนักวิทยาศาสตร์นานาชาติศึกษาช่วงเวลา 200 ปีระหว่างปี 1900-2100 โดยใช้ข้อมูลเชิงสังเกตและแบบจำลองสภาพภูมิอากาศ เพื่อทำความเข้าใจว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลต่อความยาววันในอดีตอย่างไร และเพื่อคาดการณ์บทบาทของการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวในอนาคต พวกเขาพบว่าผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อความยาวของวันเพิ่มขึ้นอย่างมาก ระดับน้ำทะเลที่เพิ่มขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้ความยาวของวันแตกต่างกันระหว่าง 0.3-1 มิลลิวินาทีในศตวรรษที่ 20 แต่ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์คำนวณการเพิ่มขึ้นของความยาววันเป็น 1.33 มิลลิวินาทีต่อศตวรรษ ซึ่งสูงกว่าครั้งใด ๆ ในศตวรรษที่ 20 อย่างมีนัยสำคัญ รายงานระบุว่า หากโลกไม่สามารถควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ มหาสมุทรจะร้อนขึ้น และเร่งการละลายของน้ำแข็งในกรีนแลนด์และแอนตาร์กติกาให้เร็วขึ้นตามไปด้วย และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอาจทำให้ความยาวของวันเพิ่มขึ้น 2.62 มิลลิวินาทีภายในสิ้นศตวรรษนี้ ซึ่งจะแซงหน้าผลกระทบที่เกิดจากดวงจันทร์ "ในอีกเกือบ 200 ปีข้างหน้า เราจะเปลี่ยนแปลงระบบภูมิอากาศของโลกไปจากเดิมมากจน ส่งผลกระทบต่อการหมุนของโลก" อธิการีกล่าว การบอกเวลาที่แม่นยำเป็นสิ่งสำคัญสำหรับระบบ GPS ที่อยู่ในสมาร์ทโฟนของทุกคน เช่นเดียวกับระบบการสื่อสารและระบบนำทางอื่น ๆ สิ่งเหล่านี้ใช้เวลาอะตอมที่มีความแม่นยำสูง โดยพิจารณาจากความถี่ของอะตอมบางตัว ตั้งแต่ปลายทศวรรษ 1960 โลกเริ่มใช้เวลาสากลเชิงพิกัด (UTC) เพื่อกำหนดโซนเวลา UTC อาศัยนาฬิกาอะตอม แต่ยังคงก้าวตามการหมุนของโลก นั่นหมายความว่าในบางจุดจะต้องเพิ่มหรือลบ "วินาทีอธิกสุรทิน" เพื่อให้สอดคล้องกับการหมุนของโลก โซจากล่าวว่า "ศูนย์ข้อมูลทั้งหมดที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต การสื่อสาร และธุรกรรมทางการเงิน ล้วนขึ้นอยู่กับความแตกต่างของเวลาแค่เสี้ยวนาทีนี้ เรายังต้องใช้เวลาที่แม่นยำในการรนำทาง โดยเฉพาะดาวเทียมและยานอวกาศ" เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมามีการศึกษาของดันแคน แอกนิว ศาสตราจารย์ด้านธรณีฟิสิกส์จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานดิเอโก พบว่า "น้ำแข็งขั้วโลกละลาย" ทำให้การหมุนของโลกเปลี่ยนแปลงไป จนส่งผลต่อ "เวลา" ลดลงไป โดยในการศึกษาของแอกนิวให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงของ "แกนโลก" มากกว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อย่างไรก็ตามแอกนิกกล่าวว่า การศึกษาใหม่นี้ยังคงสอดคล้องกับงานวิจัยของเขา และยังช่วยขยายผลไปสู่อนาคตได้ไกลยิ่งขึ้น อีกทั้งยังเป็นพิจารณาสถานการณ์สภาพภูมิอากาศมากกว่าหนึ่งสถานการณ์ ที่มา: CNN, Newsweek, The Guardian https://www.bangkokbiznews.com/environment/1136493
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#3
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก SpringNews
ถอดบทเรียนต่างชาติจัดการเอเลียนสปีชีส์ บาฮามาสใช้หุ่นยนต์จับปลาสิงโต SHORT CUT - ปลาสิงโต นับเป็นเอเลี่ยนสปีชีส์ที่กำลังสร้างปัญหาต่อระบบนิเวศในหลายประเทศ บริเวณแคริบเบียน, ชายฝั่งฟลอริดา, หมู่เกาะในมหาสมุทรแอตแลนติก รวมถึงประเทศบาฮามาส - บาฮามาสต้องออกมาตรการจัดการปลาสิงโตอย่างจริงจัง เช่น ส่งเสริมให้มีการจับและจำหน่ายเพื่อบริโภค สั่งห้ามการเลี้ยง และจำกัดการเคลื่อนย้ายปลาที่ยังมีชีวิต - หนึ่งในวิธีที่น่าทึ่ง คือการพัฒนาหุ่นยนต์ดำน้ำลึก ที่สามารถไล่ล่า, วางยาสลบ และจับปลาสิงโตด้วยการดูดเข้าไปเก็บไว้ในท่อแก้วอย่างมีประสิทธิภาพ ผลกระทบจากการเข้ามาของ เอเลียนสปีชีส์ หรือสัตว์ต่างถิ่น คือปัญหาที่หลายประเทศต้องเร่งแก้ไข หนึ่งในนั้นคือประเทศบาฮามาสที่เผชิญการรุกรานจากปลาสิงโตมานานหลายปี จนต้องใช้หุ่นยนต์เข้ามาช่วยจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ เอเลียนสปีชีส์ คือชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่ไม่ได้มีถิ่นกำเนิดอยู่ในพื้นที่นั้นๆ แต่เมื่อมันเข้ามา ก็อาจจะมีทั้งส่งผลกระทบต่อชนิดพันธุ์ท้องถิ่นหรือไม่ก็ได้ แต่บางสายพันธุ์ที่ส่งผลกระทบต่อนิเวศน์ท้องถิ่น จำเป็นต้องได้รับการจัดการที่ดี วันนี้เราถอดบทเรียนวิธีการจัดการปลาสิงโตของประเทศบาฮามาส ซึ่งมีการจัดตั้งแผนกำจัดปลาสิงโตอย่างจริงจัง เริ่มตั้งแต่อนุญาตให้จับปลาสิงโตได้ พยายามส่งเสริมให้ประชาชนนำมันมาบริโภค ไปจนถึงการใช้หุ่นยนต์มาช่วยจับปลาสิงโต ปลาสิงโตเป็นปลาสวยงามที่เต็มไปด้วยพิษร้าย มีถิ่นกำเนิดในอินโด-แปซิฟิก แต่มันกลายเป็นสัตว์ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นในฝั่งทะเลด้านตะวันออกของสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะชนิดปลาสิงโตปีกจุด (P. volitans) บริเวณแคริบเบียน, ชายฝั่งฟลอริดา และหมู่เกาะต่าง ๆ ในมหาสมุทรแอตแลนติกไปจนถึงตอนเหนือของบราซิล ปลาสิงโตสามารถที่จะขยายพันธุ์ได้เองในธรรมชาติ โดยวางไข่ในป่าชายเลน ปลาหนึ่งตัวภายในเวลาไม่ถึง 30 นาที สามารถกินลูกปลาหรือปลาขนาดเล็กไปได้ถึง 20 กว่าตัวเลยทีเดียว คิดเป็นร้อยละ 60 ของน้ำหนักตัว กระเพาะอาหารของปลาสิงโตสามารถขยายออกได้ถึง 30 เท่าของขนาดกระเพาะปกติ นอกจากนี้แล้วปลาสิงโตยังเป็นปลาที่มีความสามารถในการสืบพันธุ์สูง ปลาสิงโตตัวเมียสามารถวางไข่ได้ถึงปีละ 2 ล้านฟอง การแพร่ระบาดของปลาสิงโตที่มหาสมุทรแอตแลนติกพบมีปลาสิงโตแทบทุกพื้นที่ จนบาฮามาสต้องประกาศจัดการอย่างจริงจังเพื่อควบคุมปริมาณในแนวปะการัง โดยเมื่อปี 2009 กรมทรัพยากรทางทะเล ร่วมมือกับวิทยาลัยทางทะเลบาฮามาสและสถาบันการศึกษาสิ่งแวดล้อม จัดตั้งแผนรับมือปลาสิงโตแห่งชาติระยะยาวขึ้นมา ในแผนดังกล่าวอนุญาตให้มีการกำจัดปลาสิงโตได้ โดยเริ่มตั้งแต่อนุญาตให้ใช้ฉมวกจับปลาสิงโตได้ภายในรัศมีที่กำหนด ส่งเสริมให้มีการจับและจำหน่ายปลาสิงโตเพื่อการบริโภค สั่งแบนปลาสิงโตไม่ให้เป็นปลาเลี้ยงในตู้ปลา และจำกัดการครอบครองและเคลื่อนย้ายปลาสิงโตที่มีชีวิตอยู่ ความน่าสนใจอีกหนึ่งอย่างคืออการใช้โรบอท หรือหุ่นยนต์ช่วยจับปลาสิงโต โดยการจัดตั้งศูนย์บริการหุ่นยนต์เพื่อสิ่งแวดล้อม หรือ RSE ขึ้นมา ก่อตั้งโดยโคลิน แองเจิล ซึ่งเป็นผู้บริหารของบริษัท iRobot ทาง RSE ได้พัฒนาหุ่นยนต์ที่สามารถดำน้ำได้ขึ้นมา มันมีความสามารถในการไล่ล่า ทำให้สลบและจับปลาสิงโตได้ ภายในท้องทะเลที่มีความลึกถึง 120 เมตร และลงน้ำไปครั้งหนึ่งหุ่นยนต์ตัวนี้จะสามารถจับปลาสิงโตได้นานถึง 1 ชั่วโมง RSE ได้พัฒนาหุ่นยนต์ต้นแบบมาอย่างต่อเนื่อง โดยเป้าหมายหลักคือ เพื่อให้สามารถจับปลาสิงโตได้ดียิ่งขึ้น เมื่อมันเจอปลาสิงโตว่ายน้ำมาใกล้ๆ มันก็จะทำให้ปลาสลบ ก่อนจะมีตัวดูดที่ดูดปลาเหล่านั้นเข้าไปในหุ่นยนต์ ที่มา CARIBBEANINV https://www.springnews.co.th/keep-th...ronment/851608
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
|