เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

 
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
Prev คำตอบที่แล้วมา   คำตอบถัดไป Next
  #2  
เก่า 18-03-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default

ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ


พื้นที่ทับซ้อนทางทะเลในอ่าวไทย ความหวังใหม่ของการพัฒนาปิโตรเลียมของกัมพูชา ............... โดย สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี


Summary

- การพัฒนาปิโตรเลียมของกัมพูชาเริ่มต้นขึ้นนานแล้ว แต่สะดุดช่วงเขมรแดง แม้จะกลับมาฟื้นตัวในยุคของ ฮุน เซน จะยังไม่ประสบความสำเร็จ แต่กัมพูชาก็ไม่ละความพยายามที่จะพัฒนาแหล่งปิโตรเลียม

- ขณะนี้กัมพูชายังมีแหล่งปิโตรเลียมในทะเลในส่วนของตัวเหลืออีก 5 บล็อกที่ให้สัมปทานบริษัทต่างประเทศทำการสำรวจไปแล้ว แต่ยังไม่มีบริษัทใดแสดงความคืบหน้ามากนัก

- หากประสบความสำเร็จในการเจรจากับไทยในการร่วมพัฒนา และแบ่งปันผลประโยชน์ในพื้นที่ทับซ้อนอีก 16,000 ตารางกิโลเมตร (เฉพาะในส่วนที่ต้องพัฒนาร่วมกัน) น่าจะทำให้กัมพูชาพื้นที่ที่คาดว่าจะมีแหล่งทรัพยากรปิโตรเลียมมากขึ้นกว่าเดิม




ความพยายามครั้งใหม่ในการเปิดเจรจาเรื่องพื้นที่ทับซ้อนในอ่าวไทย และการพัฒนาแหล่งทรัพยากรปิโตรเลียมร่วมกันระหว่างสองประเทศดูเหมือนจะจุดประกายความหวังให้กับการพัฒนาแหล่งพลังงานใต้ท้องทะเลของกัมพูชาอีกครั้งหนึ่ง หลังจากการขุดเจาะน้ำมันในทะเลแห่งแรกในประวัติศาสตร์ประสบกับความล้มเหลวภายในระยะเวลาแค่ 6 เดือนเมื่อปี 2021

กัมพูชาเริ่มมองหาแหล่งพลังงานจากทรัพยากรปิโตรเลียมใต้ทะเลพร้อมๆ กับไทย คือในห้วงทศวรรษ 1970 เมื่อมีการประกาศเขตไหล่ทวีปและให้สัมปทานแก่บริษัทต่างประเทศเข้าทำการสำรวจ โดยในยุคแรกๆ นั้น รัฐบาลกัมพูชาให้สัมปทานกับบริษัทน้ำมันฝรั่งเศส คือ Elf du Cambodge ในพื้นที่ 80,000 ตารางกิโลเมตร ซึ่งอยู่ในเขตที่กัมพูชาอ้างว่าเป็นไหล่ทวีปของตน แล้วหลังจากนั้นก็มีบริษัทจากฮ่องกง สหรัฐฯ และแคนาดาเข้าร่วมกับ Elf เพื่อทำการสำรวจแหล่งปิโตรเลียมในทะเลกัมพูชาอีกหลายบริษัท

แต่บริษัทเหล่านั้นยังไม่สามารถดำเนินการอะไรได้จริงจัง ก็เกิดความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองกัมพูชาเมื่อเขมรแดงทำการปฏิวัติปลดปล่อยประเทศในปี 1975 และทำลายระบบเศรษฐกิจของประเทศทั้งหมด แล้วตามมาด้วยสงครามกลางเมืองเป็นเวลานานกว่าทศวรรษ ส่งผลให้การพัฒนาอุตสาหกรรมปิโตรเลียมหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ของกัมพูชา

จนกระทั่งย่างเข้าสู่ปลายทศวรรษ 1980 เมื่อสงครามเริ่มสงบลง พร้อมๆ กับการเกิดขึ้นของแผนสันติภาพ จึงปรากฏว่ามีนักธรณีวิทยาชาวรัสเซียเริ่มเข้ามาทำการสำรวจและจัดทำแผนผังทางด้านปิโตรเลียมแบ่งพื้นที่ในเขตของกัมพูชา (คือพื้นที่ซึ่งอยู่นอกบริเวณที่ไทยอ้างสิทธิ์ในไหล่ทวีปเมื่อปี 1973) ออกเป็น 5 บล็อก รัฐบาลกัมพูชาในเวลานั้นจึงเริ่มประกาศให้สัมปทานบริษัทต่างประเทศเพื่อทำการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมอีกครั้งหนึ่ง บริษัทเหล่านั้นได้แก่ Enterprise Oil, Premiere Oil, Campex, Idemitsu และ Woodside ได้เข้าสำรวจด้วยเทคนิคคลื่นไหวสะเทือนแบบสะท้อน ซึ่งทำให้รู้ว่าในทะเลกัมพูชานั้นมีศักยภาพทางด้านปิโตรเลียมอยู่พอประมาณ แต่ก็ยังไม่ได้ดำเนินการอะไรไปมากกว่านี้

การพัฒนาอุตสาหกรรมปิโตรเลียมเริ่มจริงจังมากขึ้นในตอนต้นศตวรรษที่ 21 นี่เอง เมื่อการปิโตรเลียมกัมพูชา ได้ประกาศปรับปรุงแผนผังปิโตรเลียมใหม่โดยใช้อักษร A ถึง F เป็นชื่อบล็อกแทนหมายเลข และ ให้บริษัท Chevron และ MOECO เข้าสำรวจบล็อก A

บริษัท เชฟรอน และหุ้นส่วน ได้ยื่นข้อเสนอเพื่อทำการพัฒนาทรัพยากรปิโตรเลียมในปี 2010 แต่ไม่สามารถตกลงเรื่องการแบ่งปันรายได้และการเสียภาษีกับรัฐบาลกัมพูชาได้ เชฟรอนจึงถอนตัวจากโครงการนี้ และขายหุ้นให้กับ บริษัท KrisEnergy จากสิงคโปร์ ซึ่งต่อมาบริษัทนี้ได้เซ็นสัญญาผลิตปิโตรเลียมในพื้นที่ 3,140 ตารางกิโลเมตรของบล็อก A กับทางการกัมพูชาในปี 2014

KrisEnergy ได้เซ็นสัญญาแบ่งปันผลผลิตกับทางการกัมพูชาจากการพัฒนาทรัพยากรปิโตเลียมในแหล่ง อัปสรา ในบล็อก A ในปี 2017 และเตรียมการผลิตน้ำมันจากพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งมาประสบความสำเร็จในเดือนธันวาคม 2020 เมื่อ ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาในเวลานั้น ได้ประกาศให้โลกรู้ว่า น้ำมันหยดแรกของกัมพูชาถูกดูดขึ้นจากใต้ทะเลแล้ว นับเป็นการเริ่มศักราชของอุตสาหกรรมปิโตรเลียมในประเทศได้เสียทีหลังจากรอคอยกันมาอย่างยาวนาน

ราวกับว่าดินแดนแห่งนี้ต้องคำสาป KrisEnergy ไม่สามารถผลิตน้ำมันจากแหล่งดังกล่าวให้ได้ 7,500 บาร์เรลต่อวันตามที่คาดหมายไว้ในตอนต้น แต่สามารถทำได้เพียงประมาณ 1,000 บาร์เรลต่อวันเท่านั้น ทำให้บริษัทมีฐานะทางการเงินย่ำแย่ ขาดทุน 169 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2019 แถมมีหนี้สินอยู่อีกถึง 503 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จึงต้องประสบกับภาวะล้มละลาย ปิดฉากการผลิตน้ำมันในกัมพูชาเมื่อเดือนมิถุนายน 2021 นับเวลาได้เพียง 6 เดือนนับแต่วันเริ่มการผลิต

แถมเรื่องที่สร้างความขมขื่นใจให้อดีตนายกรัฐมนตรี ฮุน เซน ก็เกิดขึ้นอีกหลังจากบริษัทล้มละลายแล้ว น้ำมันดิบจำนวน 300,000 บาร์เรล ที่บรรจุอยู่ในเรือบรรทุกน้ำมัน ก็ถูกเชิดหนีเข้าน่านน้ำไทย ก่อนที่จะออกไปลอยลำอยู่ที่เกาะบาตัมของอินโดนีเซีย รัฐบาลกัมพูชาใช้เวลาอีกนับปีในการไปตามน้ำมันนั้นกลับคืนมา ที่สุดก็ตัดสินใจขายเอาเงินแบ่งกันโดยให้รัฐบาลกัมพูชา 70 เปอร์เซ็นต์ ให้บริษัทเรือบรรทุกน้ำมัน 24 เปอร์เซ็นต์ และอีก 6 เปอร์เซ็นต์ที่เหลือให้เป็นของบริษัทผู้ผลิตที่ล้มละลายไปแล้ว

ความล้มเหลวของ KrisEnergy สะท้อนปัญหาในการพัฒนาอุตสาหกรรมปิโตรเลียมได้หลายประการ กล่าวคือ

ประการแรก ปัญหาการเมือง และสงคราม เป็นตัวฉุดรั้งที่สำคัญทำให้ขาดความต่อเนื่องในการสำรวจและขุดเจาะ

ประการที่สอง ทางการกัมพูชาให้สัมปทานในพื้นที่จำกัด ทำให้บริษัทผู้ผลิตไม่สามารถผลิตน้ำมันได้ในปริมาณที่เพียงพอกับความต้องการ หรือการคาดหมายได้ จนต้องประสบกับภาวะขาดทุน

ประการที่สาม พื้นที่ด้านตะวันออกของ สันเกาะกระ (Ko Kra Ridge) ในอ่าวไทยนั้นประกอบไปด้วยแอ่งที่คาดว่าจะมีทรัพยากรปิโตรเลียมอยู่ 3 แอ่งด้วยกัน คือ แอ่งมาเลย์ ซึ่งเป็นแอ่งที่ใหญ่ที่สุดอยู่ในเขตเศรษฐกิจจำเพาะมาเลเซีย รองลงมา คือ แอ่งปัตตานี อยู่ในเขตเศรษฐกิจจำเพาะของไทย และแอ่งขะแมร์ของกัมพูชานั้นเล็กและตื้นที่สุด ซึ่งทำให้อนุมานได้ว่าน่าจะมีปริมาณสำรองปิโตรเลียมอยู่น้อยที่สุดด้วย แม้ว่าลักษณะทางธรณีวิทยาไม่ว่าจะเป็นโครงสร้าง อายุ และชนิดของชั้นหินจะคล้ายกันก็ตาม

อย่างไรก็ตาม กัมพูชาก็ยังไม่ละความพยายามที่จะพัฒนาแหล่งปิโตรเลียมอีกต่อไป ล่าสุดรัฐบาลกัมพูชาประกาศเมื่อปลายเดือนกรกฎาคม 2022 ว่าได้ให้สัมปทานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมแก่ บริษัท EnerCam Resource จากแคนาดา เพื่อขุดเจาะในบล็อก A ไปแล้ว แต่ผ่านไปปีกว่าแล้วยังไม่มีอะไรเป็นหลักประกันว่าบริษัทใหม่นี้จะดำเนินการให้ได้ผลอย่างที่คาดหวัง

ในขณะที่กัมพูชายังมีแหล่งปิโตรเลียมในทะเลในส่วนของตัวเหลืออีก 5 บล็อกที่ให้สัมปทานบริษัทต่างประเทศทำการสำรวจไปแล้ว แต่ยังไม่มีบริษัทใดแสดงความคืบหน้ามากนัก

ดังนั้น ถ้าหากประสบความสำเร็จในการเจรจากับไทยในการร่วมพัฒนา และแบ่งปันผลประโยชน์ในพื้นที่ทับซ้อนอีก 16,000 ตารางกิโลเมตร (เฉพาะในส่วนที่ต้องพัฒนาร่วมกัน) ซึ่งฝ่ายกัมพูชาเองก็ได้แบ่งเป็น 4 พื้นที่ และได้ให้สัมปทานกับบริษัทต่างชาติรวมทั้ง Conoco, Idemitsu และ Total ทับซ้อนกับไทยเอาไว้แล้วตั้งแต่ปี 1997 นั้นจะทำให้กัมพูชาพื้นที่ที่คาดว่าจะมีแหล่งทรัพยากรปิโตรเลียมมากขึ้นกว่าเดิม

ที่สำคัญจะมีโอกาสได้เรียนรู้และพัฒนาอุตสาหกรรมปิโตรเลียมจากไทยซึ่งมีประสบการณ์ที่ต่อเนื่องยาวมากกว่า ก็น่าจะสามารถช่วยต่อความหวังในการพัฒนาอุตสาหกรรมพลังงานของกัมพูชาไปได้อีกพอสมควร แต่ทั้งหมดนั้นก็ขึ้นอยู่ทัศนคติของคนไทยอีกด้วยว่า อยากจะพัฒนาไปด้วยกันกับประเทศเพื่อนบ้านใกล้ชิดที่ชาตินี้คงหนีกันไปไม่พ้น หรือว่าโลภเอาแต่ได้ฝ่ายเดียว


https://plus.thairath.co.th/topic/po...0xJnJ1bGU9MQ==

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
 


กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 14:36


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2025, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger