![]() |
|
|
|
#1
|
||||
|
||||
|
แฉแก้ปัญหาคลื่นเซาะชายฝั่งล่มสูญงบฟรี เวลา 10.00 น. วันที่ 11 มกราคม คณะกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมวุฒิสภาลงพื้นที่ จ.สงขลา ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลและรับฟังข้อมูลจากชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบ โดยตัวแทนชาวบ้านปากบาง หมู่ 4 ต.สะกอม ยืนยันว่า หลังจากมีการสร้างเขื่อนทรายแล้วก็แก้ปัญหาไม่ได้ กรมขนส่งทางน้ำยังต้องดูดทรายบริเวณร่องน้ำปากคลองทุกปี สูญเสียงบประมาณซ้ำซ้อน ส่วนตัวแทนชาวบ้านบ้านโคกสัด หมู่ 6 ต.สะกอม กล่าวว่า ชายหาดสะกอมในอดีตเป็นลักษณะหาด 2 ชั้น แต่หลังจากสร้างเขื่อนทรายกันคลื่นบริเวณปากน้ำสะกอม ทำให้เกิดปัญหาการกัดเซาะ จากเดิมบ้านโคกสักห่างจากทะเล 100 เมตร ปัจจุบันเหลือไม่ถึง 50 เมตร และมีลักษณะเป็นโคลนตม ปัจจุบันการแก้ปัญหาการกัดเซาะไม่คุ้มค่ากับงบประมาณที่ลงไปครั้งละ 200-300 ล้านบาท เป็นการลงทุนแก้ปัญหาแล้วไม่เกิดผล มูลค่าชายหาดที่ถูกกัดเซาะไปในแต่ละปีไม่น้อยกว่า 100 ล้านบาท วิธีที่ดีที่สุดคือหยุดการก่อสร้างอย่าทำเพิ่ม ขณะที่ตัวแทนชาวบ้านบ่อโซน หมู่ 7 ต.สะกอม กล่าวว่า หลังสร้างเขื่อนแล้วทำให้วิถีชีวิตของชาวประมงเปลี่ยนแปลงไป เพราะน้ำลึกขึ้น ทำให้ปลาหลายชนิดวางไข่บริเวณชายหาดไม่ได้ โดยเฉพาะเต่าทะเล จึงควรยกเลิก เพราะปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งเป็นปกติช่วงมรสุม พอช่วงฤดูแล้งคลื่นจะแต่งชายหาดให้เหมือนเดิม แต่หลังสร้างเขื่อนอีกด้านงอก แต่อีกด้านหายไป มินำซ้ำงบประมาณยังสูญเปล่า จาก : ไทยโพสต์ วันที่ 12 มกราคม 2553
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#2
|
||||
|
||||
|
ทช.ชูสมุทรสาคร พท.ตัวอย่าง นำร่องแก้ปัญหากัดเซาะชายฝั่ง นายสุวิทย์ คุณกิตติ รมว.ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เผยว่า จากการสำรวจของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) พบว่าชายฝั่งทะเลอ่าวไทยทั้งด้านตะวันออกและตะวันตกประสบปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งเป็นอย่างมาก โดยชายฝั่งทะเลบริเวณอ่าวไทยตอนบนตั้งแต่ปากแม่น้ำบางปะกงหวัดฉะเชิงเทราจนถึงปากแม่น้ำท่าจีน จ.สมุทรสาคร เป็นพื้นที่ที่มีการกัดเซาะขั้นรุนแรง บางพื้นที่มีอัตราการกัดเซาะชายฝั่งมากถึง 25 เมตรต่อปี โดยเฉพาะในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา ที่ ต.โคกขาม และ ต.พันท้ายนรสิงห์ จ.สมุทรสาคร เป็นพื้นที่ที่โดนกัดเซาะมากที่สุด มีอัตราการกัดเซาะปีละ 2.48 เมตรและ 1.88 เมตรตามลำดับ ทช.จึงร่วมกับชุมชนในพื้นที่ดำเนินการโครงการแก้ไข อาทิ ปักไม้ไผ่ป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งทะเล ปักไม้ไผ่ชะลอคลื่น การเพาะชำกล้าไม้ป่าชายเลน การปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำ เป็นต้น ด้านนายนิทัศน์ ภู่วัฒนกุล รองอธิบดี ทช. กล่าวว่า ทช.ได้รับความร่วมมือจากชุมชนอย่างดี โดย 2 ปีที่ผ่านมา มีตะกอนดินหลังแนวไม้ไผ่เพิ่มสูงขึ้น 1.5 เมตร ซึ่งปัจจุบันนี้ได้มีการปักแนวไม้ไผ่ไปแล้วทั้งสิ้นเป็นระยะทาง 3,000 เมตร และได้ทดลองปลูกป่าโกงกางขึ้นเพื่อเป็นแรงซับน้ำและลมอีกทอดหนึ่ง ซึ่งในระยะแรกที่ทำประสบปัญหาต้นไม้ล้ม เนื่องจากปลูกไปในแนวเดียวกัน ต่อมาจึงได้เปลี่ยนเป็นการปลูกแบบไม่มีระเบียบ สลับไปมา เลียนแบบธรรมชาติ เรียกว่าป่าชายเลนเทียมขึ้น โดยได้เริ่มดำเนินการที่ ต.โคกขาม และ ต.พันท้ายนรสิงห์ พบว่าได้ผลดีขึ้น ซึ่งจะดำเนินการเพื่อเพิ่มพื้นที่ปลูกป่าชายเลนต่อไป จาก : แนวหน้า วันที่ 29 มกราคม 2553
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#3
|
||||
|
||||
|
ชาวบ้านห่วงไม้ไผ่แนวกันคลื่นเซาะบางขุนเทียนเกรดต่ำ ผู้รับเหมาเริ่มลงพื้นที่สร้างแนวไม้ ไผ่กันคลื่นกัดเซาะชายทะเลบางขุนเทียน ขณะที่ชาวบ้านเป็นห่วงใช้ไม้ไผ่คนละเกรดทำอยู่ไม่ทน หวั่นไม่ทันช่วงมรสุมเข้ามีนาคมนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาน้ำทะเลกัดเซาะชายฝั่ง บางขุนเทียน ของกรุงเทพมหานคร(กทม.) ระยะทาง 4.7 กม. หลังจากที่ผู้บริหารกทม.ชุดปัจจุบันได้อนุมัติงบประมาณเร่งด่วนแก่สำนักการระบายน้ำ(สนน.) เพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าด้วยการสร้างเขื่อนไม้ไผ่สลายกำลังคลื่นและช่วยดักตะกอนดินเลน มูลค่า 5.8 ล้านบาท ซึ่งได้ผู้รับเหมาโครงการเป็นที่เรียบร้อยแล้วตั้งแต่ช่วงปลายปีพ.ศ.2552 ซึ่งล่าสุดทางผู้รับเหมาได้เริ่มดำเนินการก่อสร้างแนวเขื่อนไม้ไผ่ แล้วตั้งแต่กลางเดือนมกราคมที่ผ่านมาโดยจะดำเนินการต่ออีก 3.7 กิโลเมตรต่อจากแนวไม้ไผ่เดิมที่ชาวบ้านทำไว้ก่อนหน้านี้ 1 กิโลเมตร ภายใน 6 เดือนนี้ อย่างไรก็ตาม มีข้อเป็นกังวลจากชาวบ้านในพื้นที่เนื่องจากใกล้เข้าสู่ฤดูมรสุมซึ่งจะเริ่มตั้งแต่ช่วงเดือนมีนาคมเป็นต้นไป ทำให้ชาวบ้านต่างวิตกว่าโครงการดังกล่าวอาจสร้างเสร็จไม่ทันกำหนด เนื่องจากมีคลื่นลมแรงจึงอาจเป็นอุปสรรคในการดำเนินการ ขณะที่หากรอให้น้ำลดก็จะไม่สามารถลำเลียงวัสดุได้ ซึ่งส่งผลต่อการสูญเสียที่ดินทำกินและระบบนิเวศชายฝั่งแหล่งเพาะพันธุ์สัตว์ทะเลอันเป็นอาชีพหลักของชาวบ้านในพื้นที่ รายงานข่าวแจ้งด้วยว่า ชาวบ้านบางส่วนยังคงมีข้อกังขาถึงโครงการเขื่อนไม้ไผ่ของกทม.ว่าจะสามารถช่วยแก้ปัญหาได้ผลหรือไม่หลังพบว่าไม้ไผ่ที่กทม.กำหนดสเป็กให้ผู้รับเหมาจัด หามาใช้นั้นค่อนข้างต่ำกว่ามาตรฐานเดิมที่ชาวบ้านได้ทำมาก่อนหน้านี้ที่ใช้ไม้ไผ่ตงซึ่งมีเนื้อไม้หนาและทนทาน ความยาว 6 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง 5 นิ้วที่กลางลำ ปักลึกจากพื้นเลนซ้อนกันตารางเมตรละ 26 ต้น สามารถอยู่ได้อย่างต่ำ 5 ปี ขณะที่ไม้ไผ่ที่ผู้รับเหมานำมาใช้นั้นไม่ใช่ไม้ไผ่ตง และมีเส้นผ่าศูนย์กลางเพียง 3 นิ้วเท่านั้น อีกทั้งเนื้อไม้มีความบางกว่าอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งอาจไม่มีความทนทานและหลุดลอยง่ายโดยเฉพาะเมื่อปักซ้อนตารางเมตรละ 26 ต้นเท่ากันแต่กลับมีระยะห่างช่องไฟมากกว่า ขณะที่งบประมาณที่ใช้ของชาวบ้านก็ใช้งบมากกว่าเพราะจากที่ทำไป 1 กิโลเมตรใช้งบถึง 3.66 ล้านบาทโดยไม่มีค่าแรงเพราะชาวบ้านช่วยกันทำหลังได้รับงบฯอุดหนุนจากองค์กรการกุศล แต่ของกทม.ทำเกือบ 4 กม.กลับใช้เงินแค่ 5.8 ล้านบาทเท่านั้น ชาวบ้านจึงเป็นห่วงว่าเขื่อนไม้ไผ่ที่กทม.ทำให้จะอยู่ได้นานแค่ไหน จาก : ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2553
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#4
|
||||
|
||||
|
สถานการณ์การกัดเซาะชายฝั่งทะเลไทยเข้าขั้นวิกฤติ ![]() กระทรวงทรัพย์ฯ 4 ก.พ.-สถานการณ์การกัดเซาะชายฝั่งทะเลของไทยเข้าขั้นวิกฤติ และไทยอาจได้รับผลกระทบจากระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น 50 ซม.ในอีก 40 ปีข้างหน้า จากภาวะโลกร้อน นายประวิม วุฒิสินธุ์ รองอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เปิดเผยถึงสถานการณ์การกัดเซาะชายฝั่งทะเลของไทยในขณะนี้ ว่ามีอัตราการกัดเซาะรุนแรงใน 23 จังหวัด อัตราการกัดเซาะเฉลี่ย 5-20 เมตร/ปี โดยพื้นที่วิกฤติฝั่งอ่าวไทยมี 13 จังหวัด เช่น ระยอง สมุทรปราการ กรุงเทพมหานคร และนราธิวาส ส่วนปากแม่น้ำบางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา และแม่น้ำแม่กลอง จ.สมุทรสงคราม ถูกกัดเซาะรุนแรงที่สุดในรอบ 55 ปีที่ผ่านมา โดยมีพื้นที่ถูกกัดเซาะไปแล้ว 16,700 ไร่ นอกจากนี้ ชายฝั่งทะเลของไทยยังจะเผชิญวิกฤติจากการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล อันเนื่องมาจากภาวะโลกร้อน ตามที่นักวิชาการทั่วโลกทำการศึกษา ซึ่งได้ผลตรงกันว่าในอีก 40 ปีข้างหน้า หรือปี ค.ศ.2050 ระดับน้ำทะเลเฉลี่ยทั่วโลกอาจจะเพิ่มขึ้นถึง 50 เซนติเมตร โดยไทยมีความเสี่ยงจะได้รับผลกระทบมากเป็นอันดับ 6 ของโลก ขณะที่กรุงเทพมากเป็นอันดับ 9 ของโลก โดยเฉพาะพื้นที่ที่อยู่ติดชายทะเลทั้งหมด ขณะนี้ทางการได้เตรียมพร้อมรับมือแล้ว โดยในวันที่ 11 ก.พ.ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะร่วมประชุมวิชาการระดับชาติ เพื่อร่วมรับทราบสถานการณ์และหาแนวทางแก้ปัญหา โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน จาก : ข่าว อสมท. MCOT News วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2553
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#5
|
||||
|
||||
|
กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เตรียมจัดประชุมเชิงปฏิบัติการ “สู้วิกฤติการกัดเซาะชายฝั่งทะเล และเตรียมพร้อมรับมือภัยคุกคามจากภาวะโลกร้อน” กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เตรียมจัดประชุมเชิงปฏิบัติการ “สู้วิกฤติการกัดเซาะชายฝั่งทะเล และเตรียมพร้อมรับมือภัยคุกคามจากภาวะโลกร้อน” นายประวิม วุฒิสิทธุ์ รักษาการอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ดำเนินการจัดประชุมวิชาการระดับชาติ เกี่ยวกับการกัดเซาะชายฝั่งและการเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำทะเล เพื่อเป็นเวทีระดมสมองและนำข้อมูลทางวิชาการที่เกี่ยวข้องทั้งในประเทศและต่างประเทศมาใช้ในการพัฒนาเทคโนโลยี มาตรการ และวิธีการที่เหมาะสมใหม่ๆในการป้องกันและแก้ไขปัญหา โดยกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งจึงได้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี ซึ่งจะจัดการประชุมเชิงปฎิบัติการ เรื่อง “สู้วิกฤติการกัดเซาะชายฝั่งทะเล และเตรียมพร้อมรับมือภัยคุกคามจากภาวะโลกร้อน” ในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2553 ณ ตึก สันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล โดยมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน รักษาการอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กล่าวด้วยว่า ปัจจุบันพื้นที่วิกฤติหรือพื้นทีเร่งด่วนของชายฝั่งทะเลด้านอ่าวไทยมีทั้งสิ้น 13 จังหวัด อาทิ จันทบุรี ระยอง สมุทรปราการ และกรุงเทพมหานคร รวมระยะทางประมาณ 207.3 กิโลเมตร นอกจากนี้ วิกฤติระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้น 1 เมตร มีเนื้อที่ประมาณ 2.5 ล้านไร่ คิดเป็นมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจประมาณ 3 ล้านล้านบาท จาก : สำนักข่าวแห่งชาติ กรมประชาสัมพันธ์ วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2553
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#6
|
||||
|
||||
|
ประชุมวิกฤตกัดเซาะชายฝั่งเตรียมรับมือภัยโลกร้อน กรุงเทพฯ 11 ก.พ. - จากข้อมูลปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลพบว่า ในจุดที่รุนแรงชายฝั่งถูกกัดเซาะเฉลี่ยถึง 5 เมตรต่อปี เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการเรื่อง สู้วิกฤติกัดเซาะชายฝั่งทะเลและเตรียมพร้อมรับมือภัยคุกคามจากภาวะโลกร้อน โดยยืนยันว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับปัญหานี้ซึ่งถือเป็นปัญหาระดับชาติ และเห็นว่าปัญหาที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติในปัจจุบันรุนแรงกว่าในอดีตมาก เนื่องจากการพัฒนาชายฝั่งทะเลมีมากขึ้น แต่ขาดการควบคุมที่มีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม การใช้ยุทธศาสตร์ป้องกันและแก้ปัญหากัดเซาะชายฝั่ง 20 ปี ของรัฐบาล ดำเนินการสำเร็จไปแล้วกว่าครึ่ง แต่สิ่งสำคัญคือการบูรณาการให้สอดคล้องกับสภาพพื้นที่ และความต้องการของชุมชนเป็นหลัก ไม่ใช่ต่างคนต่างทำเหมือนในอดีต พร้อมย้ำว่า ขณะนี้ได้เตรียมความพร้อมทั้งองค์กร ข้อมูล บุคลากรผู้เชี่ยวชาญสาขาต่างๆเพื่อรับมือกับสถานการณ์การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลที่เกิดจากภาวะโลกร้อนไว้แล้ว ด้าน นายสุวิทย์ คุณกิตติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รายงานว่า ขณะนี้ พื้นที่ชายฝั่งที่มีปัญหาถูกกัดเซาะ มีพื้นที่กว่า 113,000 ไร่ สำหรับพื้นที่รุนแรงถูกกัดเซาะเฉลี่ยถึง 5 เมตรต่อปี ซึ่งวิกฤติใน 13 จังหวัดชายฝั่งทะเลอ่าวไทย. จาก : ข่าว อสมท. MCOT News วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2553
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#7
|
||||
|
||||
|
ทส.ปลุกร่วมมือแก้ปัญหาชายฝั่ง ไทยสูญเสียพื้นที่ไปแล้วแสนไร่ นายสุวิทย์ คุณกิตติ รมว.ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เปิดเผยว่า ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งในประเทศไทยเป็นปัญหาที่ต่อเนื่องมายาวนานและมีแนวโน้มจะทวีความรุนแรง ซึ่งขณะนี้อัตราการกัดเซาะชายฝั่งอยู่ที่ระดับ 5-30 เมตร และมีแนวโน้มจะสูงขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้พื้นที่ชายฝั่งทะเลของไทยยังเป็นพื้นที่เสี่ยงอันเนื่องมาจากระดับน้ำทะเลที่อาจเพิ่มขึ้น ซึ่งจากรายงานของคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ ipcc เมื่อปี 2007 พบว่าระดับน้ำทะเลของโลกจะมีอัตราการเพิ่มอยู่ที่ 9 เซนติเมตร - 88 เมตร ในช่วง 100 ปี คือ ในปี 2097 ซึ่งหากระดับน้ำทะเลในประเทศไทยสูงขึ้นอีก 1 เมตร ประเทศไทยจะเป็นประเทศที่มีมูลค่าความเสียหายของสินทรัพย์จากผลกระทบดังกล่าวเป็นอันดับ 6 ของโลก คิดเป็นมูลค่าความเสียหาย 1 แสนล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 3.3 ล้านล้านบาท และกรุงเทพมหานครจะเป็นเมืองใหญ่ที่มีมูลค่าความเสียหายสูงเป็นอันดับ 9 ของโลก ดังนั้น ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงต้องเตรียมความพร้อม เพื่อให้เกิดการบูรณาการในการดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาวิกฤติที่จะเกิดขึ้น นายประวิม วุฒิสินธุ์ รักษาการแทนอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) กล่าวว่า ขณะนี้ร้อยละ 23 ของแนวชายฝั่งทะเลของไทยหรือราว 600 กิโลเมตรกำลังประสบปัญหาการกัดเซาะ ซึ่งประเทศไทยสูญเสียพื้นที่จากปัญหานี้ไปแล้วกว่า 113,000 ไร่ โดยเฉพาะในช่วง 55 ปีที่ผ่านมานี้มีการกัดเซาะผืนดินไป 16,760 ไร่ "จังหวัดที่จัดว่าเป็นพื้นที่วิกฤติมี 13 จังหวัด ได้แก่ จันทบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา สมุทรปราการ กรุงเทพมหานคร เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช สงขลา ปัตตานี และนราธิวาส ระยะทางรวม 207 กิโลเมตร หรือประมาณร้อยละ 12 ของแนวชายฝั่งทะเลอ่าวไทย โดยพื้นที่รูปตัว ก มีอัตราการกัดเซาะมากกว่า 10 - 20 เมตรต่อปี ในส่วนพื้นที่ชายฝั่งทะเลด้านอันดามันมีอัตราการกัดเซาะเฉลี่ยมากกว่า 5 เมตรต่อปีใน 5 จังหวัด คือ ระนอง ภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสตูล และหากระดับน้ำทะเลสูงเพิ่มขึ้นอีก 1 เมตร จ.พัทลุงจะโดนผลกระทบด้วยเช่นกัน" นายประวิมกล่าว จาก : สำนักข่าว inn วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2553
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
![]() |
| คำสั่งเพิ่มเติม | |
| เรียบเรียงคำตอบ | |
|
|