![]() |
|
|
|
#1
|
||||
|
||||
|
'หลุมยุบ' ภัยใต้ดินใกล้ตัว คาดการณ์ได้หากรู้จักสังเกต จากเหตุการณ์ธรณีพิบัติภัย “หลุมยุบ” หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า “ธรณีสูบ” ซึ่งเกิดขึ้นทั่วไปในพื้นที่ของประเทศไทยโดยเฉพาะภาคใต้และภาคอีสาน ล่าสุดเกิดที่ จังหวัดร้อยเอ็ด สร้างความหวาดกลัวให้กับชาวบ้านทั้งหมู่บ้าน เนื่องจากเกรงว่าจะถูกธรณีสูบลงไปใต้ดินสร้างความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางผลกระทบรุนแรงจากภัยพิบัตินี้ หากเรารู้จักศึกษาและสังเกตก็จะสามารถใช้ชีวิตอยู่อย่างปลอดภัยได้ ดร.ปริญญา พุทธาภิบาล สาขาธรณีศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขตกาญจนบุรี ให้ความรู้เกี่ยวกับหลุมยุบและแผ่นดินยุบในประเทศไทยว่า สามารถจำแนกได้ 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ 1. หลุมยุบ (Sinkholes) ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ที่รองรับด้วยชั้นหินปูน ซึ่งกระจายตัวอยู่ใน พื้นที่ต่างๆของประเทศไทย แต่พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบมากกว่าพื้นที่อื่นๆ ได้แก่ พื้นที่ภาคใต้ตอนล่าง เช่น สตูล ตรัง กระบี่ โดยปัจจัยที่ทำให้เกิดหลุมยุบในภาคใต้เนื่องจากภาคใต้ตอนล่างส่วนนั้นมีชั้นหินปูนรองรับอยู่ใต้พื้นดินมาก มีปริมาณฝนตกโดยเฉลี่ยสูงกว่าพื้นที่อื่นมาก และเป็นพื้นที่ต่ำ อิทธิพลของน้ำใต้ดินสูง นอกจากนั้นเหตุแผ่นดินไหวรุนแรงหรือค่อนข้างรุนแรงที่เกิดขึ้นไกลออกไปใน ทะเลอันดามัน เกาะสุมาตราและพื้นที่ข้างเคียงมักส่งผลกระทบต่อการเกิดหลุมยุบโดยตรงและโดยอ้อม กลุ่มที่ 2 หลุมยุบ (Sinkholes) ที่เกิดในที่ราบสูงภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่น อำเภอโนนไทย จังหวัดนครราชสีมา อำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด และเกือบทุกพื้นที่ในภูมิภาคนี้ที่มีชั้นเกลือหินหนามากรองรับอยู่ใต้พื้นดิน ในกรณีนี้หลุมยุบเกิดจากชั้นเกลือหินใต้ดินถูกน้ำบาดาลละลายออกไป โดยเฉพาะบริเวณส่วนยอดโดมเกลือที่โผล่สูงถึงชั้นน้ำบาดาล หนองน้ำขนาดต่างๆ เช่น หนองหาน จ.สกลนคร หนองหาน อ.กุมภวาปี จ.อุดรธานี แอ่งน้ำ อ.บรบือ จ.มหาสารคาม ล้วนเป็นหลุมยุบที่เกิดโดยธรรมชาติ การที่มนุษย์ละลายชั้นเกลือและสูบน้ำเกลือขึ้นมาใช้ประโยชน์มากเกินสมดุลธรรมชาติโดยขาดการวางแผนตามหลักวิชาการ เป็นตัวเร่งให้เกิดหลุมยุบในพื้นที่ส่วนกลางของที่ราบสูงที่สำคัญและน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง ความรุนแรงของการเกิดหลุมยุบในแต่ละพื้นที่แต่ละภูมิภาคของโลกอาจแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับหลายๆปัจจัย เช่น ในประเทศกัวเตมาลา โดยเฉพาะบริเวณเมืองหลวงกัวเตมาลาซิตี้ และประเทศเอลซัลวาดอร์ ซึ่งมีชั้นหินปูนที่มีโพรงถ้ำยุคครีเทเชียสหนากว่า 2,000 เมตร วางตัวอยู่ข้างใต้ มีภูเขาไฟมีพลังเป็นแนวสันโค้งและแนวตะเข็บระหว่างแผ่นธรณีแปซิฟิกกับแผ่นคาริเบียนอยู่ทิศตะวันตกโดยลำดับ ดินแดนแถบนั้นของอเมริกากลางรวมถึงทางใต้ของประเทศเม็กซิโกและรัฐฟลอริดาซึ่งเป็นมลรัฐที่ เกิดหลุมยุบมากที่สุด ในประเทศสหรัฐอเมริกาจึงเป็นดินแดนเสี่ยงภัยหลุมยุบลำดับต้นๆของโลก ส่วนระดับความรุนแรงของพิบัติภัยหลุมยุบในประเทศไทยถือว่าอยู่ในขอบเขตจำกัด พื้นที่เสี่ยงมีน้อยกว่าต่างประเทศ ที่ประเทศไทยอยู่นอกโซนแผ่นดินไหวรุนแรงสำคัญภาพรวม การยุบลงของแผ่นดินถือเป็นการปรับสมดุลตามธรรมชาติของพื้นที่ผ่านกระบวนการทางธรณีวิทยา มีเหตุปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อระดับความเสี่ยงที่จะเกิดปรากฏการณ์ข้างต้นในพื้นที่ คือ สภาพธรณีวิทยา ลักษณะธรณีสัณฐาน ภูมิอากาศ ภูมิประเทศ ระบบน้ำธรรมชาติ และปัจจัยรองลงมาคือกิจกรรมของมนุษย์ ด้วยเหตุที่น้ำใต้ดินที่เป็นกรดอ่อนๆสามารถละลายหินปูน หินปูนโดโลไมต์และหินอ่อนได้ ส่วนน้ำธรรมชาติสามารถละลายชั้นเกลือหินและแร่ยิปซัมได้รวดเร็ว รอยแยก รอยแตกและช่องว่างระหว่างผลึกแร่และเม็ดตะกอนในเนื้อหิน ทำหน้าที่เป็นช่องเปิดให้น้ำไหลหรือซึมผ่าน เกิดเป็นโพรงถ้ำใต้ดิน เกิดหินงอก หินย้อยบริเวณพื้นถ้ำ การเปลี่ยนระดับน้ำใต้ดินอย่างรวดเร็วอาจทำให้ความสมดุลถ้ำเปลี่ยนไป อาจเกิดมีการพังทลายของถ้ำและกลายเป็นหลุมยุบได้ ลักษณะภูมิประเทศและลักษณะภูมิลักษณ์เฉพาะตัวของหินปูน ที่เกิดจากการละลายของน้ำใต้ดินมีข้อสังเกต ได้หลายประการ ซึ่งที่เด่นชัดคือ พื้นผิวดินขรุขระและมักมียอดเขาแหลมจำนวนมากมาย เช่น เทือกเขาสามร้อยยอด เทือกเขาหินปูนในเขตจังหวัดกาญจนบุรี กระบี่ พังงา ตรัง สตูล บางครั้งอาจเห็นร่องรอยของหลุมยุบในอดีต เช่น ทะเลบัน ในจังหวัดสตูล เป็นต้น สำหรับกรณีเหตุแผ่นดินไหวเกี่ยวข้องกับหลุมยุบได้อย่างไรนั้น ดร.ปริญญา ให้เหตุผลว่า ในเชิงกลศาสตร์ แรงสั่นสะเทือนจากคลื่นแผ่นดินไหวที่รุนแรงมากพอจะเกิดผลโดยตรงต่อความเสถียรของโครงสร้างของโพรงถ้ำใต้ดิน และผลทางอ้อมคือระดับน้ำใต้ดินของพื้นที่ที่ได้รับ ผลกระทบอาจมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วฉับพลัน จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับขนาดความรุนแรงและระยะห่างจากจุดศูนย์กลางการเกิดแผ่นดินไหว โดยปกติ พื้นที่ที่เสี่ยงต่อการเกิดแผ่นดินไหวขนาดรุนแรงคือ บริเวณใกล้รอยตะเข็บระหว่างแผ่นธรณี พื้นที่ตลอดแนวสันโค้งภูเขาไฟ และรอยเลื่อนมีพลังที่สัมพันธ์ใกล้ชิดกับรอยตะเข็บข้างต้น บ่อยครั้งหลังเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงมักสังเกตเห็นการเกิดหลุมยุบหรือแผ่นดินยุบตัวจำนวนมากได้ในวงกว้าง ผลเสียของการเกิดหลุมยุบ ถ้าเกิดตามที่อยู่อาศัยอาจทำให้ต้องเสียทรัพย์เนื่องจากบ้านอาจมีรอยร้าวหรือยุบลงไปทำให้ต้องสร้างบ้านใหม่และหากเกิดในพื้นที่ที่ต้องใช้ประโยชน์ เช่น การเพาะปลูกทำให้สูญเสียพื้นที่ไป อย่างไรก็ตาม การเกิดหลุมยุบเป็นภัยที่เราสามารถคาดการณ์หรือศึกษาล่วงหน้าได้ ในการก่อสร้างโครงสร้าง ขนาดใหญ่ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อหลุมยุบควรมีการสำรวจธรณีฟิสิกส์ใต้ พิภพเพื่อศึกษาธรรมชาติของโพรงถ้ำหรือช่องว่างใต้ดิน ซึ่งใช้งบประมาณน้อยมาก เมื่อเทียบกับมูลค่าโครงการ สำหรับชาวบ้านที่ต้องอยู่อาศัยบริเวณที่เกิดหลุมยุบให้รู้จักสังเกตบริเวณรอบๆบ้านว่ามีการแตกร้าวของบ้านหรือไม่ ถ้ามีควรรีบแจ้งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องมาตรวจสอบเพื่อความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สิน หลุมยุบในภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ไม่น่ากลัวเท่ากับภัยหลุมยุบที่มนุษย์เป็นผู้ก่อ ในอนาคตข้างหน้าหากยังไม่มีการวางแผนการใช้ทรัพยากรสินแร่เกลือหินอย่างเป็นระบบและเหมาะสมแล้ว อาจทำให้พื้นผิวดินบ้านเรากลายเป็นหลุมเป็นบ่อเหมือนผิวดวงจันทร์คงเดือดร้อนกันทั่วหน้า. สัญญาณเตือนก่อนเกิดหลุมยุบ ดร.อดิชาติ สุรินทร์คำ ผู้อำนวยการสำนักธรณีวิทยาสิ่งแวดล้อมและธรณีพิบัติภัย กรมทรัพยากรธรณี ให้ความรู้ว่า ก่อนเกิดหลุมยุบเราจะได้ยินเสียงดังคล้ายฟ้าร้องจากใต้ดินเป็นผลมาจากการถล่มของเพดานโพรงหินปูนใต้ดินหล่นลงมากระแทกพื้นถ้ำใต้ดินก่อนที่จะยุบตัวเป็นหลุมใช้เวลานานหลายนาทีหรือหลายชั่วโมงหรือบางทีเป็นวัน ถ้าหากได้ยินเสียงแบบนี้ให้รีบออกห่างจากจุดนั้นประมาณ 100 เมตร เพราะอาจเกิดหลุมยุบได้ และก่อนเกิดหลุมยุบพื้นดินรอบข้างจะมีรอยร้าวเป็นวงกลมหรือวงรีแตกคล้ายแห หรือใยแมงมุม หรือกำแพงรั้ว เสาบ้าน หรือต้นไม้ทรุดตัวหรือเอียง ประตูบ้านและหน้าต่างบิดเบี้ยวทำให้เปิด-ปิดยาก มีรอยปริแตกที่ผนัง นอกจากนี้หากพบเห็นต้นไม้ ใบไม้ ดอกไม้ พืชผักของเราเหี่ยวเฉาเป็นบริเวณแคบๆ ให้ระวังไว้เนื่องจากมีการสูญเสียน้ำของชั้นใต้ดินลงไปในโพรงใต้ดินทำให้ดินมีความชื้นน้อย หากพบเห็นเหตุการณ์ลักษณะที่กล่าวมาทั้งหมดรีบแจ้งเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบ แต่หากเกิดหลุมยุบแล้วรีบแจ้งผู้ใหญ่บ้านหรือกรมทรัพยากรฯ โดยด่วนและทำรั้วกั้นตั้งป้ายเตือน ซึ่งเราจะตรวจสอบว่าหากหลุมใหญ่ไม่มากจะให้หน่วยงานในท้องที่กลบและห้ามทิ้งขยะลงไปเพราะจะทำให้ดินและน้ำใต้ดินเสียได้ หากหลุมใหญ่อาจต้องสำรวจและศึกษาฟื้นฟูพื้นที่ ถ้าพบว่าไม่ขยายวงกว้างแล้วอาจใช้เป็นแหล่งน้ำของหมู่บ้านก็ได้ นอกจากนี้แล้วเรายังทำแผนที่แสดงพื้นที่ที่มีโอกาสเกิดหลุมยุบแจกให้ชาวบ้าน เพื่อทราบจุดและปฏิบัติตัวถูกต้องตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ที่เข้าไปให้ความรู้รวมทั้งใช้ชีวิตอย่างเป็นปกติสุข. จาก : เดลินิวส์ วันที่ 7 กรกฎาคม 2553
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#2
|
||||
|
||||
|
ประชุมลุ่มน้ำโขง : ผลกระทบยาวไกลถึงหลานเหลน
โดย ประสาร มฤคพิทักษ์ pmarukpitak@yahoo.com ผู้เขียนในฐานะ ประธานอนุกรรมาธิการศึกษาคุณค่า การพัฒนา และผลกระทบในลุ่มน้ำโขง และคุณสุรจิต ชิรเวทย์ ประธานอนุกรรมาธิการทรัพยากรน้ำ ของวุฒิสภา ได้รับเชิญจากคณะกรรมการลุ่มน้ำโขง (Mekong River Commission) ไปร่วมประชุมเชิงปฏิบัติการ การประเมินยุทธศาสตร์ด้านสิ่งแวดล้อมจากการเกิดขึ้นของเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำบน แม่น้ำโขงสายหลักตอนล่าง (Strategic Environment Assessment of Proposed Mainstream Hydropower Dams in the Lower Mekong) ณ โรงแรมโซฟิเทล โฮจิมินห์ซิตี้ ประเทศเวียดนาม เมื่อ 28 – 29 มิถุนายน 2553 มีผู้เข้าร่วมประชุมกว่า 100 คน เป็นผู้แทนของ 4 ชาติ คือ ไทย ลาว กัมพูชา และเวียดนาม โดยมีผู้แทนจีนเข้าร่วมสังเกตการณ์ ดร. เลอ ดุ๊ก ตรุง ผู้อำนวยการ MRC ของเวียดนาม ชี้ว่า แม่น้ำโขงมีศักยภาพในการผลิตกระแสไฟฟ้าพลังน้ำในลุ่มแม่น้ำโขงตอนล่างถึง 30,900 เมกะวัตต์ แต่การก่อสร้างเขื่อนจะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศน์ลุ่มน้ำ วิถีชีวิตและคุณภาพชีวิตของผู้คนหลายล้านคน ตลอดลุ่มน้ำโขง ในขณะนี้ภาคธุรกิจเอกชนทั้งของจีน เวียดนาม ไทย มาเลย์เซีย และฝรั่งเศส เตรียมลงทุนสร้างเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำจำนวน 12 แห่งในลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ซึ่งคาบเกี่ยวเขตแดนไทย ลาว กัมพูชา ด้วยการยินยอมของรัฐบาลโดยผ่านบันทึกความเข้าใจ (MOU) จากการศึกษาวิจัยผลกระทบที่ผู้แทน MRC รายงานต่อที่ประชุมได้พบว่า เขื่อน 12 แห่ง หากสร้างขึ้นจะเกิดผลกระทบหลายประการ เช่น ความผิดปกติของการไหลของน้ำและตะกอนดิน รายได้จากการประมงลุ่มน้ำ ระบบนิเวศน์ทางบกและทางน้ำ วิถีชีวิตวัฒนธรรม พันธุ์ปลาที่สูญหายไป เกษตรริมฝั่ง รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ฟังจากรายงานแล้ว เห็นได้ชัดว่า 12 เขื่อนนั้น ผลได้ไม่คุ้มเสีย ในที่นี้มี 2 เขื่อนที่หัวเขื่อนค้ำ 2 ฝั่งไทย-ลาว คือเขื่อนบ้านกุ่ม จ.อุบลราชธานี และเขื่อนปากชม จ.เลย ที่บริษัทเอกชนของไทย 2 แห่งพร้อมที่จะเข้าไปดำเนินการ โดยเฉพาะเขื่อนบ้านกุ่มนั้น นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ช่วงเดือนมีนาคม 2511 ได้ประกาศอย่างขึงขังว่าจะเดินหน้าสร้างแน่นอน และนายนพดล ปัทมะ รมว.กระทรวงการต่างประเทศในยุคนั้น ได้ไปเซ็น MOU กับทางการลาวมาแล้วด้วย มีมติคณะรัฐมนตรีรองรับ ทั้งๆ ที่เป็นโครงการที่งอกขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย และไม่อยู่ในแผนพัฒนาพลังงานของประเทศ ส่วนเขื่อนปากชมนั้น มีแต่การศึกษาเบื้องต้น แต่ทราบว่าทางกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กำลังดำเนินการในการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาศึกษาว่าจะเดินหน้าหรือถอยหลัง อย่างไร โชคดีที่ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญรองรับสิทธิชุมชนตามมาตรา 67 ไว้อย่างมีนัยยะสำคัญ ทำให้โครงการขนาดใหญ่ไม่อาจจะเกิดขึ้นได้ตามอำเภอใจของใครๆ ดังในอดีตอีกต่อไป ในประเด็น “การหลีกเลี่ยง การบรรเทา และการทำให้ดีขึ้น” (Avoidance, Mitigation and Enhancement) มีการระดมสมองของผู้แทนแต่ละประเทศ ต่อ 4 ทางเลือก คือ 1. ยุติการสร้าง เขื่อนทั้งหมด 12 แห่ง 2. ชะลอการสร้างเขื่อนออกไป เพื่อให้เกิดการศึกษาอย่างรอบด้าน 3. เลือกสรรบางโครงการเพื่อทำโครงการ นำร่อง 4. เดินหน้าสร้างเขื่อน 12 แห่งต่อไป คณะผู้แทนไทย ปฏิเสธทางเลือกที่ 4 อย่างแข็งขัน และเสนอว่าทางเลือกที่ 1 เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด โดยมีทางเลือกที่ 2 ให้ชะลอโครงการไปเป็นเวลา 10 ปี เป็นทางเลือกรองลงไป โดยผู้แทนไทยชี้ว่า ในระยะยาวเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำมีผลทางทำลายมหาศาล โดยผลได้มีเพียงการตอบสนองด้านพลังงานเท่านั้น ในขณะที่ปัจจุบันมีพลังงานทางเลือกมากมาย ความเห็นของคณะผู้แทนไทยใกล้เคียงกับความเห็นของผู้แทนเวียดนาม ซึ่งเป็นประเทศปลายน้ำโขงที่จะรับเคราะห์ทางนิเวศน์หนักที่สุด ในขณะที่ผู้แทนลาวเลือกทางเลือกที่สาม คือให้เลือกทำโครงการนำร่อง โดยกัมพูชามีท่าทีขอศึกษารายละเอียดดูก่อน ผู้เขียนมีความเห็นว่า “ลาวมุ่งมั่นที่จะเป็นแบตเตอรี่แห่งเอเซีย เพื่อผลิตไฟขายให้ต่างประเทศ โดยให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมเพียงเล็กน้อย อีกด้านหนึ่งนั้น ทั้งลาวและกัมพูชาต้องพึ่งพิงการลงทุนจากจีนมูลค่ามหาศาล รวมทั้งการลงทุนของจีนสร้างเขื่อนในลาว 3 แห่ง ในกัมพูชา 1 แห่งด้วย” ผู้เขียนได้ใช้โอกาสนี้ชี้ที่ให้ประชุมได้ตระหนักด้วยว่า เขื่อนจีน 3 แห่ง คือ เขื่อนม่านหว่าน เขื่อนต้าเฉาชาน เขื่อนจิ่งหง ซึ่งอยู่ในลุ่มน้ำโขงตอนบนในเขตมณฑลยูนนานของจีน มีการปิดเปิดเขื่อนเพื่อเก็บกักและปล่อยน้ำตามอัธยาศัยของจีนเอง กล่าวคือ เมื่อมีน้ำมาก จะปล่อยน้ำลงมา พอจีนแห้งแล้งก็จะเก็บกักน้ำเอาไว้ หรือเมื่อต้องการให้เรือสินค้าจีนขึ้นล่องได้ ก็จะปล่อยน้ำลงมาให้เพียงพอต่อการเดินเรือ ทำให้ระดับน้ำโขงลงเร็วผิดปกติในเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม 2553 และระดับน้ำขึ้นเร็วผิดปกติถึงวันละเมตรกว่าเมื่อกลางเดือนสิงหาคม 2551 ทำให้เกิดภาวะตลิ่งพัง ระบบนิเวศน์และพันธุ์ปลาวิปริต เป็นข่าวครึกโครมโดยทั่วไป เท่ากับว่าประเทศเล็กท้ายน้ำจะมีวิถีชีวิตคนลุ่มน้ำที่ปกติหรือไม่ ขึ้นอยู่กับเมตตาธรรมของเขื่อนจีน ที่จะปรับสภาพการปิดเปิดน้ำให้สอดคล้องกับวิถีธรรมชาติมากน้อยแค่ไหน และเมื่อไร ในเมื่อเขื่อนจีนสร้างไปแล้วเช่นนี้ ตราบใดที่จีนเป็นผู้เฝ้าดูอยู่ห่างๆ ทั้งยังถือตนเป็นประเทศใหญ่ที่ไม่ไยดีกับประเทศเล็ก แทนที่จะเข้ามาร่วมเป็นสมาชิกของคณะกรรมการลุ่มน้ำโขงเหมือน 4 ประเทศท้ายน้ำ ตราบนั้น แม่น้ำโขงยังคงไม่สามารถบริหารจัดการได้อย่างเป็นธรรม มีความเข้าใจผิดกันมากว่า ธรรมชาติต้องให้คนเข้าไปบริหารจัดการ “ความจริงแม่น้ำโขงมีระบบนิเวศน์ที่จัดการตนเองได้อยู่แล้ว โดยคนไม่จำเป็นต้องไปยุ่งเกี่ยวกับแม่น้ำเลย การตัดแม่น้ำโขงออกเป็นท่อนๆ ด้วยแท่งปูนขนาดมหึมา กลับเป็นอนันตริยกรรมต่อความอุดมสมบูรณ์ของลุ่มน้ำโขง การชดเชยใดๆ ไม่ว่าด้วยบันไดปลาโจน การจ่ายค่าเวนคืน การเลี้ยงปลากระชัง หรือด้วยวิธีอื่นใด ก็ไม่อาจทดแทนได้ เขื่อนจีน 3 แห่งในลุ่มน้ำโขงตอนบนทำความพินาศให้กับมหานทีแห่งนี้มากพอแล้ว จีนยังจะสร้างเขื่อนเพิ่มอีก 5 แห่ง บวก 12 เขื่อนในตอนล่าง ยิ่งก่อหายนะภัยสั่งสมกับแม่น้ำโขงต่อไปไม่สิ้นสุด โดยไม่รู้เลยว่าวันหนึ่งข้างหน้าแม่น้ำโขงจะทวงคืนสภาพความอุดมสมบูรณ์ด้วย ค่าใช้จ่ายมหาศาลของมนุษย์” ************************************* หมายเหตุ : ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ ‘กรุงเทพธุรกิจ’ ฉบับที่ 7959 วันพฤหัสบดีที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 หน้า ‘ทัศนะวิจารณ์’ (หน้า 11) ขอบคุณข้อมูลจาก....http://www.matichon.co.th/news_detai...rpid=&catid=19
__________________
Saaychol |
|
#4
|
||||
|
||||
|
จับตาประเทศไทย...กับวิกฤติการณ์ภัยน้ำทะเลสูงขึ้น อุณหภูมิของโลกที่สูงขึ้นเป็นตัวเร่งเร้าให้ธารน้ำแข็งจากขั้วโลกละลายอย่างรวดเร็ว ทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น ส่งผลให้เกิดปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง แผ่นดินที่อยู่ริมทะเลหายไปในทะเล ประชาชนที่อยู่ริมทะเลนานาประเทศประสบปัญหาเดียวกัน ประเทศไทยปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งปรากฏภาพให้เห็นชัดในพื้นที่บ้านขุนสมุทร จีน จ.สมุทรปราการ ชายฝั่งทะเลเขตบางขุนเทียน ที่ปรากฏภาพของหลักเขตกรุงเทพจมอยู่กลางทะเล นอกจากนี้ยังมีปัญหากัดเซาะบริเวณ อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช จากผลการศึกษา 30 ปีที่ผ่านมาประเทศไทยสูญเสียแผ่นดินไปกว่า 1 แสนไร่ จุดวิกฤติคือในบริเวณชายฝั่งทะเลสมุทรปราการ และชายทะเลเขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร ซึ่งทั้งสองแห่งมีอัตรากัดเซาะ เฉลี่ย 20-25 เมตรต่อปี ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งพื้นที่ต้องเร่งแก้ปัญหาเร่งด่วนคือบริเวณอ่าวไทยตอน บน ที่มีแนวชายทะเลและอยู่ในเขตที่ไม่ไกลจากกรุงเทพมหานคร ได้แก่ จ.สมุทรปราการ สมุทรสงคราม สมุทรสาคร ฉะเชิงเทรา รวมทั้ง กรุงเทพมหานคร ดร.ธนวัฒน์ จารุพงษ์สกุล อาจารย์ประจำภาควิชาธรณีวิทยา และหัวหน้าหน่วยศึกษาพิบัติภัยและข้อสนเทศเชิงพื้นที่ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ในเวทีเสวนา “จับตาประเทศไทยกับวิกฤติการณ์ ภัยน้ำทะเลสูงขึ้น” ที่จัดโดยคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ว่า จากระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น ทำให้ส่งผลกระทบต่อพื้นทั่วทั้งชายฝั่งทะเลอ่าวไทย โดยเฉพาะปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง ซึ่งเป็นต้นเหตุสำคัญแห่งการทำลายพื้นที่ สร้างปัญหาและความเดือดร้อนให้คนชายฝั่งซ้ำแล้วซ้ำเล่า และยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกขณะ โดยพื้นที่อ่าวไทยตอนบนตั้งแต่ปากแม่น้ำบางปะกงถึงจังหวัดเพชรบุรี มีชายฝั่งยาวกว่า 120 กม. กำลังเผชิญปัญหาการกัดเซาะอย่างรุนแรง 30 ปีที่ผ่านมา ที่ดินชายฝั่งทะเลหายไปกว่า 18,000 ไร่ ยิ่งไปกว่านั้น การกัดเซาะไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะชายฝั่งเท่านั้น แต่กัดเซาะลึกลงไปในพื้นที่ท้องทะเลด้วย ทำให้สูญเสียหาดโคลนทุกวินาที จากการศึกษาวิจัยพบว่าแผ่นดินใต้ทะเลที่เป็นหาดโคลนหายไปประมาณ 180,000 ไร่ นอกจากนั้น ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งของไทยตลอด 2,600 กิโลเมตร ถูกกัดเซาะไปแล้วถึง 600 กิโลเมตรถือว่าเป็นเรื่องผิดปกติ และจากการสำรวจติดตามผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงระดับน้ำทะเลและผลกระทบที่เกิดขึ้น พบว่าพื้นที่บางปู จ.สมุทรปราการ ในอดีต 40 ปีที่แล้วเมื่อระดับน้ำทะเลลงต่ำสุดมีหาดโคลน ซึ่งเป็นแหล่งอนุบาลทรัพยากรสัตว์น้ำชายฝั่งทะเลได้โผล่พ้นน้ำกว้างกว่า 5 กิโลเมตรจากแผ่นดิน แต่ในปัจจุบันเหลือเพียง 1 กม. ขณะที่พื้นที่ในเขตมหาชัย จ.สมุทรสาคร เคยมีหาดโคลน 1.5 กม. แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 250 เมตรเท่านั้น เหล่านี้คือปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง ซึ่งไม่เพียงแต่กัดเซาะชายฝั่งแต่ยังกัดเซาะไปถึงท้องทะเลด้วย ล่าสุดงานวิจัยด้านการกัดเซาะชายฝั่งของอาจารย์ธนวัฒน์ ที่เก็บข้อมูลมายาวนาน 20 ปี ฉายภาพของปัญหากัดเซาะให้ชัดขึ้นอีกว่า ภาวะโลกร้อนไม่เพียงทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีปัจจัยเรื่องการสร้างเขื่อนที่ทำให้ตะกอนดินหายไปไม่ก่อให้เกิดการงอกของแผ่นดิน สาเหตุเกิดจากการสร้างเขื่อนสำคัญ ได้แก่ เขื่อนเจ้าพระยา เขื่อนสิริกิติ์ และเขื่อนภูมิพล หลัง 40 ปีที่ผ่านมาพบการงอกของแผ่นดินปลายแม่น้ำเหลือ 4.5 เมตรต่อปี จากเดิมที่มีการงอก 60 เมตรต่อปี (สภาพพื้นที่อ่าวไทยตอนบนมีแม่น้ำสำคัญ 4 สาย ลงสู่ทะเล ได้แก่ แม่น้ำแม่กลอง บางปะกง เจ้าพระยา และท่าจีน) นอกจากนี้ยังมีปัญหาแผ่นดินทรุด มีสาเหตุมาจากการใช้น้ำบาดาล เป็นผลให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นกว่าแผ่นดิน ที่เรียกว่าระดับน้ำทะเลสัมพัทธ์ เป็นตัวเร่งให้เกิดปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง ดร.ธนวัฒน์ กล่าวว่า ในส่วนของความรุนแรงของปัญหาการเปลี่ยนแปลง ระดับน้ำทะเลสัมพัทธ์ อาจยังไม่เคยเกิดขึ้นในเมืองชายฝั่งในประเทศไทย แต่ที่ประเทศอินโดนีเซีย ในกรุงจาการ์ตา ที่อยู่ติดริมทะเล มีระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นจากแผ่นดินทรุดและภาวะโลกร้อน ส่งผลให้เมืองใหญ่แห่งนี้ เกิดปรากฏการณ์น้ำหนุนสูง มีน้ำทะเลเข้าท่วมถึงระดับหน้าอก ชาวบ้านในพื้นที่ก็พยายามปรับตัวไม่ทิ้งพื้นที่ “ระดับน้ำทะเลทั่วโลกสูงขึ้น 3 มิลลิเมตรต่อปี แต่จาการ์ตา 8 มิลลิเมตรต่อปี ขณะที่ประเทศไทยระดับน้ำทะเลสัมพัทธ์เพิ่มขึ้น 40 มิลลิเมตรต่อปี นับได้ว่าเป็นอัตราที่มากที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง ปรากฏน้ำทะเลหนุนสูงแบบนี้จะเห็นบ่อยขึ้นในบ้านเรา ขณะนี้แถบสมุทรปราการเจอปัญหาเดียวกัน แต่ยังไม่รุนแรงเท่าจาการ์ตา ซึ่งชุมชนริมชายฝั่งอย่าง สมุทรสงคราม สมุทรสาคร ที่จะเผชิญปัญหาสภาพนี้ จะเตรียมรับมืออย่างไร” ดร.ธนวัฒน์ กล่าวต่อว่า สำหรับวิธีการป้องกันน้ำทะเลท่วมนั้นควรมีการสร้างเขื่อนแต่ไม่ใช่เขื่อนป้องกันน้ำทะเล แบบเดียวกับในประเทศเนเธอร์แลนด์แต่เป็นเขื่อนป้องกันน้ำท่วม และต้องสร้างป่าชายเลนเทียมในทะเลป้องกันอีกชั้นหนึ่ง สร้างหาดเทียมขนาด 500 เมตร ถึง 1 กิโลเมตร ซึ่งขณะนี้ได้สร้างหาดเทียม ทดลองในพื้นที่บ้านขุนสมุทรจีน จ.สมุทรปราการ ได้เห็นปรากฏการณ์การกัดเซาะลดลงจากเดิมเกิดการกัดเซาะ 30 ซม.ใน 1 ปีแต่หลังจากสร้างเขื่อนการกัดเซาะไม่มี นอกจากนี้ยังมีตะกอนเพิ่มขึ้น 20-30 เซนติ เมตร ซึ่งกำลังติดตามงานวิจัยต่อไปว่าตะกอนที่เพิ่มขึ้นหากปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ตะกอนจะเพิ่มขึ้นในปริมาณเท่าใด ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จ จากงานวิจัยไทยจะเป็นประเทศแรกๆในโลกที่จะสร้างป่าชายเลนเทียมขึ้นมาเพื่อป้องกันระดับน้ำทะเลขึ้นมาบนชายฝั่ง อีกข้อเสนอแนะของการป้องกันปัญหา นักวิชาการแนะด้วยว่า 4 จังหวัด รวมทั้งกรุงเทพมหานครควรหยุดใช้น้ำบาดาลตั้งแต่บัดนี้ ภาครัฐต้องหันมาหาแหล่งน้ำสำหรับอุปโภคของคนในพื้นที่ดังกล่าวใหม่ ไม่เช่นนั้นจะเร่งให้แผ่นดินทรุดกระทบต่อเนื่องก่อให้เกิดปรากฏการณ์แผ่นดินหายและน้ำท่วมกรุงเทพฯ และจังหวัดปริมณฑลดังกล่าวในอนาคต... ประเทศไทยจะเสียผืนแผ่นดินที่ไม่ได้เกิดจากการสู้รบอย่างจริงๆ. จาก : เดลินิวส์ วันที่ 25 กรกฎาคม 2553
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#5
|
||||
|
||||
|
นักวิชาการย้ำปัญหาแผ่นน้ำทะเลสูง หวั่นอีก 10 ปี แผ่นดินหายกว่า 1 กม. บรรยากาศแถววัดขุนสมุทรจีนในอดีต วัดขุนสมุทรจีนปัจจุบัน น้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้นเป็น หนึ่งในผลพวงจากภัยคุกคามของภาวะโลกร้อน จากข้อมูลวิชาการบ่งชี้ชัดเจนว่า เรากำลังเผชิญอยู่กับปัญหาสำคัญนี้ ที่จะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศแผ่กระจายไปในพื้นที่ชายฝั่งเกือบทั่วประเทศ โดยเฉพาะความเดือดร้อนของชาวบ้านในพื้นที่อ่าวไทยตอนบนต่อปัญหาวิกฤติด้านการกัดเซาะชายฝั่ง ความเสียหายของบ้านเรือนริมชายฝั่งที่เพิ่มขึ้น คือกรณีตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า เกิดผลกระทบอย่างไรต่อระบบนิเวศและวิถีชีวิต ขณะที่ข่าวคราวของนักวิชาการที่ออกมาเตือนน้ำจะท่วมกรุงเทพฯจากภาวะโลกร้อน หรือกรุงเทพฯในอนาคตจะจมใต้บาดาล ก็สร้างความตื่นตระหนกให้กับคนที่อยู่อาศัยในเมืองกรุงมาโดยตลอด ด้วยเหตุนี้คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จึงได้จัดงานเสวนา “จับตาประเทศไทยกับวิกฤตการณ์ภัยน้ำทะเลเพิ่มสูง” ขึ้นเมื่อวันที่ 21 ก.ค.ที่ผ่านมา โดยมี รศ.ดร.ธนวัฒน์ จารุพงษ์สกุล อาจารย์ประจำภาควิชาธรณีวิทยา และหัวหน้าหน่วยศึกษาพิบัติภัยและข้อสนเทศเชิงพื้นที่ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ และ ผู้ใหญ่สมร เข่งสมุทร ผู้ใหญ่บ้านหมู่บ้านขุนสมุทรจีน จ.สมุทรปราการตัวแทนชาวบ้านในพื้นที่ผู้ได้รับผลกระทบเข้าร่วมเสวนา รศ.ดร.ธนวัฒน์ กล่าวว่า สภาพพื้นที่อ่าวไทยตอนบนมีแม่น้ำสำคัญ 4 สายไหลลงสู่ทะเล ได้แก่ แม่น้ำแม่กลอง บางปะกง เจ้าพระยา และท่าจีน มีการศึกษาการเปลี่ยนแปลงระดับน้ำทะเลสัมพัทธ์ของอ่าวไทยตอนบนในปัจจุบันจากการตรวจวัดระดับน้ำเฉลี่ยรายปีอย่างละเอียดนั้น ข้อมูลแสดงให้เห็นว่าเกิดความเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำทะเลสูงขึ้นทุกขณะ เมื่อได้ตรวจวัดระดับน้ำทะเลที่สถานีปากแม่น้ำท่าจีน พบว่า ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น 42 มิลลิเมตรต่อปี สถานีป้อมพระจุลจอมเกล้า 20.5 มิลลิเมตรต่อปี สถานีปากแม่น้ำเจ้าพระยา 15 มิลลิเมตรต่อปี สถานีบางปะกง 4 มิลลิเมตรต่อปี ล้วนแต่เป็นตัวเลขที่สูงกว่าการเปลี่ยนแปลงระดับน้ำทะเลสัมพัทธ์ในอดีตมาก เมื่อ 150 ปีที่ผ่านมา ระดับน้ำทะเลทั่วโลกสูงขึ้น 1.2-1.8 มิลลิเมตรต่อปี แต่จากรายงานของไอพีซีซี ปี 2550 พบว่า ระดับน้ำทะเลของโลกเพิ่มสูงขึ้นเป็น 3 มิลลิเมตรต่อปีแล้ว ขณะที่ในประเทศไทยมีตัวเลขจากรายงานของกรมทรัพยากรธรณี ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นถึง 4.1 มิลลิเมตรต่อปี (DMR 2010) ส่วนระดับน้ำทะเลในพื้นที่ชายฝั่งของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่มีการเก็บบันทึกการเปลี่ยนแปลงระดับน้ำทะเลเอาไว้ เช่น มาเลเซีย 2.4 มิลลิเมตรต่อปี เวียดนาม 2.56 มิลลิเมตรต่อปี บังกลาเทศ 7.8 มิลลิเมตรต่อปี มัลดีฟส์ 4.1 มิลลิเมตรต่อปี “จากระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น ทำให้ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ทั่วทั้งชายฝั่งทะเลอ่าวไทย โดยเฉพาะปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง ซึ่งเป็นต้นเหตุสำคัญแห่งการทำลายพื้นที่ ก่อปัญหาและสร้างความเดือดร้อนให้คนในชายฝั่งซ้ำแล้วซ้ำเล่า และยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกขณะ โดยพื้นที่อ่าวไทยตอนบน ตั้งแต่ปากแม่น้ำบางปะกงถึงจังหวัดเพชรบุรี มีชายฝั่งยาวกว่า 120 กิโลเมตร กำลังเผชิญปัญหาการกัดเซาะอย่างรุนแรง โดย 30 ปีที่ผ่านมา ที่ดินชายฝั่งทะเลของอ่าวไทยหายไป 18,000 ไร่ ยิ่งไปกว่านั้น การกัดเซาะไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะชายฝั่งเท่านั้น แต่กัดเซาะลึกลงไปในพื้นที่ท้องทะเลด้วย ทำให้สูญเสียชายหาดโคลนทุกวินาที ทั้งนี้พบว่า 30 ปีที่ผ่านมา แผ่นดินใต้ทะเลที่เป็นหาดโคลนหายไปประมาณ 180,000 ไร่" รศ.ดร.ธนวัฒน์ เผยข้อมูล นอกจากนั้น ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งของไทยตลอด 2,600 กิโลเมตร ถูกกัดเซาะไปแล้วถึง 600 กิโลเมตรหรือคิดเป็นประมาณ 22% ซึ่งถือว่าผิดปกติมาก และจากการสำรวจติดตามผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงระดับน้ำทะเลและผลกระทบที่เกิดขึ้น พบว่าพื้นที่บางปู จ.สมุทรปราการ ในอดีต 40 ปีที่แล้ว เมื่อระดับน้ำทะเลลงต่ำสุดมีหาดโคลน ซึ่งเป็นแหล่งอนุบาลทรัพยากรสัตว์น้ำชายฝั่งทะเลได้โผล่พ้นน้ำกว้างกว่า 5 กิโลเมตรจากแผ่นดิน แต่ในปัจจุบันเหลือเพียง 1 กิโลเมตรเท่านั้น ในกรณีเดียวกันที่บ้านขุนสมุทรจีน มีการเปลี่ยนแปลงจากเดิม 2.5 กิโลเมตร เหลือเพียง 1 กิโลเมตร ขณะที่พื้นที่มหาชัย เคยมีหาดโคลน 1.5 กิโลเมตร ปัจจุบันเหลือเพียง 250 เมตรเท่านั้น การศึกษาผลกระทบการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลสัมพัทธ์ในอนาคตพบว่า พื้นที่ กรุงเทพและปริมณฑลจะมีอัตราการกัดเซาะเพิ่มเป็น 65 เมตรต่อปี ถ้าไม่มีมาตรการป้องกันใดๆ อีก 10 ปีข้างหน้า แผ่นดินจะหายไป 1.3 กิโลเมตร อีก 50 ปีข้างหน้า 2.3 กิโลเมตร และในอีก 100 ปีข้างหน้าประมาณ 6 กิโลเมตร ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ระดับน้ำทะเลสัมพัทธ์เปลี่ยนแปลงและมีแนวโน้มสูงขึ้น คือปัญหาแผ่นดินทรุดของประเทศไทย มีผลกระทบ 70-80% ที่ทำให้ระดับน้ำทะเลสัมพัทธ์ของประเทศไทยสูงขึ้น โดยปัญหาที่เห็นได้ชัดคือบริเวณพื้นที่กรุงเทพฯ ปี 2527 มีอัตราการทรุดของแผ่นดินมากกว่า 10 เซนติเมตรต่อปี แต่เมื่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องออกมาตรการป้องกันต่างๆ ในปัจจุบันนี้อัตราการทรุดเหลือประมาณ 1-4 เซนติเมตรต่อปี ซึ่งถือเป็นข่าวดี ส่วนที่เป็นข่าวร้ายก็คือจุดศูนย์กลางของการทรุดตัวเปลี่ยนอยู่ใกล้พื้นที่ชายฝั่ง มีผลให้ได้รับความเดือดร้อนจากระดับน้ำทะเลสัมพัทธ์ที่สูงขึ้นอยู่แล้ว ทุกวันนี้ผลกระทบปรากฎแล้วที่ป้อมพระจุลจอมเกล้า ตั้งอยู่บริเวณปากอ่าวไทย แผ่นดินทรุดไปแล้วราว 55 เซนติเมตร ปัจจัยที่เหลือคือ อุณหภูมิโลกที่สูงขึ้นทำให้น้ำแข็ง และธารน้ำแข็งทั่วโลกละลายรวดเร็วกว่าในอดีต ส่งผลให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น ซึ่งมีการคำนวณแล้วว่ามีอัตราเฉลี่ยทั่วโลกประมาณ 3 มิลลิเมตรต่อปี นอกจากนี้ การก่อสร้างเขื่อนบริเวณต้นน้ำ ซึ่งส่งผลให้ตะกอนไหลลงสู่พื้นที่ชายฝั่งน้อยลง เช่น เขื่อนเจ้าพระยา, เขื่อนภูมิพล, เขื่อนสิริกิติ์ หลังสร้างเขื่อนที่ต้นน้ำทำให้อัตราการงอกของแผ่นดินเหลือ 4.5 เมตรต่อปีเท่านั้น จากเดิมที่มีการงอก 60 เมตรต่อปี ตะกอนที่หายไปเพราะเขื่อนกักเก็บไว้ ส่งผลกัดเซาะหนักกว่าเดิม ในส่วนของความรุนแรงของปัญหาการเปลี่ยนแปลง “ระดับน้ำทะเลสัมพัทธ์” นั้น รศ.ดร.ธนวัฒน์ ระบุว่าอาจเกิดปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับเมืองชายฝั่งของบ้านเรา โดยยกตัวอย่าง กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งทะเล ระดับน้ำทะเลที่เพิ่มขึ้นจากแผ่นดินทรุดและภาวะโลกร้อน ส่งผลต่อเมืองใหญ่แห่งนี้ เกิดปรากฏการณ์น้ำหนุนสูง มีน้ำทะเลเข้าท่วมถึงระดับหน้าอก ชาวบ้านในพื้นที่ก็พยายามปรับตัวไม่ทิ้งพื้นที่ “ระดับน้ำทะเลทั่วโลกสูงขึ้น 3 มิลลิเมตรต่อปี แต่จาการ์ตา 8 มิลลิเมตรต่อปี ขณะที่ประเทศไทยระดับน้ำทะเลสัมพัทธ์เพิ่มขึ้น 40 มิลลิเมตรต่อปี ซึ่งนับได้ว่าเป็นอัตราที่มากสุดในโลกแห่งหนึ่ง ปรากฏการณ์น้ำทะเลหนุนสูงแบบนี้จะเห็นบ่อยขึ้นในบ้านเรา ขณะนี้แถบสมุทรปราการเจอปัญหาเดียวกัน แต่ยังไม่รุนแรงเท่าจาการ์ตา ซึ่งชุมชนริมชายฝั่งอย่างจังหวัดสมุทรสงครามและสมุทรสาคร ที่จะเผชิญสภาพอย่างนี้ จะเตรียมรับมือยังไง” ทุกวันนี้ผลกระทบหลายอย่างปรากฏจากวิกฤติระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูง ขึ้น โดยเฉพาะปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งที่รุนแรงมากในพื้นที่อ่าวไทยตอนบน ทุกหน่วยงาน นักวิชาการ ตลอดจนชุมชนพยายามหามาตรการ และวิธีการที่เหมาะสมในการป้องกันและแก้ไขปัญหา ทำให้เกิดโครงการรูปแบบต่างๆหลั่งไหลลงสู่พื้นที่ เมื่อเร็วๆนี้ มีแนวคิดจะก่อสร้างเขื่อนป้องกันน้ำท่วมแบบประเทศเนเธอร์แลนด์ โดยใช้ข้อมูลสตรอมเสิร์ช (Strom Surge) ที่จะพัดเข้ากรุงเทพฯ ทำให้น้ำทะเลท่วมเข้ามา 30 กิโลเมตร และข้อมูลระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นของแผนที่นาซา ที่จะทำให้น้ำทะเลท่วมตั้งแต่ 4-12 เมตร โดยประเด็นนี้ในทัศนะของ รศ.ดร.ธนวัฒน์ ให้ความเห็นว่า การสร้างเขื่อนขนาดใหญ่แบบเนเธอร์แลนด์ นอกจากจะส่งผลกระทบรุนแรงต่อพื้นที่ชายฝั่งที่มีความอ่อนไหวสูงแล้ว เขื่อนยังก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของหาดโคลน ทำให้หาดโคลนหายไป ซึ่งหาดโคลนถือเป็นแหล่งอนุบาลสัตว์วัยอ่อนที่สำคัญที่สุดของอ่าวไทย เพราะมีความหลากหลายทางชีวภาพสูง และมีความสำคัญเป็นแหล่งห่วงโซ่อาหารของระบบนิเวศบกและทะเล อีกทั้งยังเป็นที่ทำมาหากินของชุมชนประมงพื้นบ้านไม่น้อยกว่า 1 ล้านคนที่ประกอบอาชีพเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและจับสัตว์น้ำตามชายฝั่งทะเล รวมไปถึงอาจจะส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนย้ายถิ่นของปลาทู ขณะเดียวกันยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ที่จัดโดยชุมชนและวิถีชุมชนประมงพื้นบ้าน นับเป็นความเสียหายที่ประเมินค่าไม่ได้ ฉะนั้น สิ่งสำคัญที่สุดในการป้องกันปัญหาคือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องที่จะลงไปพัฒนาต้องมีความเข้าใจในพื้นที่ และเชื่อมโยงระบบนิเวศกับวิถีชีวิตของชาวบ้าน โดยใช้ข้อมูลที่ต้องทำการศึกษาอย่างจริงจัง "ผลกระทบจากความผิดปกติของระดับน้ำทะเลที่เพิ่มขึ้น เริ่มปรากฏให้เห็นในพื้นที่ชายฝั่งแล้ว และสิ่งที่นักวิชาการคาดการณ์ถึงปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต 10 - 20 ปีข้างหน้า ภาคประชาชนจะแตกตื่นหรือเตรียมรับมือก่อนสถานการณ์เหล่านี้จะเกิดขึ้นจริง ถือเป็นปัญหาใหญ่ที่ทุกหน่วยงานต้องตระหนัก แม้หลายคนจะมองเป็นเรื่องไกลตัว แต่การรู้เท่าทันทำให้เราปรับตัวและวางแผนเพื่อความอยู่รอดได้ เพราะภัยคุกคามจากภาวะโลกร้อนคงไม่ใช่เรื่องไกลตัวเราอีกต่อไป" รศ.ดร.ธนวัฒน์ กล่าวทิ้งท้าย จาก : ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 25 กรกฎาคม 2553
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#6
|
||||
|
||||
|
"น้ำทะเล" กลืนกิน แผ่นดินไทยหายสาบสูญ! ![]() มีข่าวคราวเป็นระยะๆ จากนักวิชาการหลายท่านที่ออกมาเตือนว่า "ภาวะโลกร้อน" อาจทำให้พื้นที่ชายฝั่งเกือบทั้งประเทศไทยเผชิญกับปัญหาน้ำทะเลกัดเซาะ โดยเฉพาะพื้นที่อ่าวไทยตอนบนอย่าง "กรุงเทพมหานคร" นั้นมีความเสี่ยงสูง ถึงขนาดเกรงกันว่า วันหนึ่งน้ำจะท่วมทั้งกรุงเทพฯ และกรุงเทพฯ จะจมอยู่ใต้บาดาล สิ่งที่เราหลายคนตื่นตระหนกนี้จะมีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด? รศ.ดร.ธนวัฒ น์ จารุพงษ์สกุล อาจารย์ประจำภาควิชาธรณีวิทยา หัวหน้าหน่วยศึกษาพิบัติภัยและข้อสนเทศเชิงพื้นที่ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้ติดตามศึกษาเรื่องนี้มานานกว่า 20 ปี นำผลการศึกษาที่ได้มาเผยแพร่ให้ความรู้ พร้อมๆกับเตือนสังคมไทยในเวทีเสวนา "จับตาประเทศไทยกับวิกฤตการณ์ภัยน้ำทะเลหนุนเพิ่มสูง" ซึ่งจัดขึ้นที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อ 21 ก.ค. ที่ผ่านมา รศ.ดร.ธนวัฒน์ เริ่มต้นการเสวนาว่า การศึกษาการเปลี่ยนแปลงระดับน้ำทะเลสัมพัทธ์ของอ่าวไทยตอนบน โดยการตรวจวัดระดับน้ำเฉลี่ยรายปีอย่างละเอียดนั้น แสดงให้เห็นว่า เกิดความเปลี่ยน แปลงของ "ระดับน้ำทะเล" สูงขึ้นทุกขณะ จากการศึกษาพบว่า ระดับน้ำทะเลของไทยสูงขึ้น 4.1 มิลลิ เมตรต่อปี ในขณะที่รายงานของคณะกรรมาธิการระหว่างประเทศว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ หรือ "ไอพีซีซี" เมื่อปี 2550 ระบุว่า ระดับน้ำทะเลของโลกเพิ่มสูงขึ้นเป็น 3 มิลลิเมตรต่อปี สูงกว่าเมื่อ 150 ปีก่อน ซึ่งสูงขึ้นปีละ 1.2-1.8 มิลลิเมตร ![]() 1.พระในวัดขุนสมุทรจีนต้องเอาตุ่มน้ำมายกสูงทำเป็นทางเดินเวลาน้ำทะเลหนุน 2.-3.ชาวบ้านขุนสมุทรจีน แสดงหลักฐานชายฝั่งที่ถูกน้ำกัดเซาะ 4.รศ.ดร.ธนวัฒน์ จารุพงษ์สกุล การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลสัมพัทธ์นี้ ทำให้การเกิดการกัดเซาะชายฝั่งอย่างร้ายแรง โดยในระยะ 30 ปีที่ผ่านมา พื้นที่ชายฝั่งของอ่าวไทยตอนบน ตั้งแต่ปากแม่น้ำบางปะกง ถึงจังหวัดเพชรบุรี ซึ่งมีความยาวกว่า 120 กิโลเมตร มีถึง 82 กิโลเมตร ที่ถูกกัดเซาะอย่างหนัก มีพื้นดินหายไปแล้วถึง 18,000 ไร่ นอกจากนี้ การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลสัมพัทธ์ ยังมีผลต่อการคงอยู่ของ "หาดโคลน" ซึ่งเป็นแหล่งห่วงโซ่อาหารของระบบนิเวศบกและทะเล รวมถึงเป็นแหล่งทำมาหากินของชาวประมงพื้นบ้านด้วยเช่นกัน โดยย้อนกลับไป 40 ปีที่แล้ว เมื่อระดับน้ำทะเลลดลงต่ำสุด หาดโคลนที่ "บางปู" จะโผล่ขึ้นมาประมาณ 5 กิโลเมตร แต่จากการตรวจวัดเมื่อปีที่ผ่านมาพบว่า บริเวณเดียวกันนี้ มีหาดโคลนเหลืออยู่เพียง 1 กิโลเมตร หดสั้นไปถึง 4 กิโลเมตร ส่วนที่ "ขุนสมุทรจีน" จ.สมุทรปราการ ซึ่งเคยมีหาดโคลนอยู่ 2.5 กิโลเมตร ปัจจุบันเหลืออยู่แค่ประมาณ 1.1 กิโลเมตร และ ที่ "มหาชัย" ซึ่งในอดีตเคยมีหาดโคลนอยู่ 2 กิโลเมตร ปัจจุบันเหลือเพียง 250 เมตรเท่านั้น รวมทั้งหมดแล้ว ปัจจุบันเราสูญเสียหาดโคลนไปแล้วถึง 180,000 ไร่ รศ.ดร.ธนวัฒน์ ยังเปิดเผยข้อมูลว่า การศึกษาผลกระทบการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลสัมพัทธ์ในอนาคตพบว่า พื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลจะมีอัตราการกัดเซาะเพิ่มขึ้นเป็น 65 เมตรต่อปี หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป โดยไม่มีมาตรการใดๆมาป้องกัน อีก 10 ปีข้างหน้า แผ่นดินจะหายไป 1.3 กิโลเมตร อีก 50 ปีข้างหน้า จะหายไป 2.3 กิโลเมตร และภายใน 100 ปี แผ่นดินมีโอกาสหายไปถึง 8 กิโลเมตร ทั้งนี้ ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ระดับน้ำทะเลสัมพัทธ์เพิ่มสูงขึ้น มีด้วยกัน 3 อย่าง คือ 1.ปัญหาแผ่นดินทรุด 2.การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล และ 3.การลดลงของตะกอนชายฝั่ง อันเกิดมาจากการสร้างเขื่อนบริเวณต้นน้ำ "ในอดีตแผ่นดินของกรุงเทพฯ มีอัตราการทรุดมากกว่า 10 เซนติเมตรต่อปี แต่หลังจากมีการควบคุมน้ำบาดาลแล้ว อัตราการทรุดลดลง เหลือประมาณ 1-3 เซนติเมตรต่อปี แต่ข้อเสีย คือจุดศูนย์กลางของการทรุดตัวย้ายไปอยู่ใกล้ชายฝั่ง ซึ่งจะยิ่งทำให้ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งยิ่งรุนแรงมากขึ้น" รศ.ดร.ธนวัฒน์ แสดงความกังวล แล้วอธิบายต่อว่า การสร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำสำคัญ 4 สาย ก่อนไหลลงสู่ทะเล ได้แก่ แม่น้ำแม่กลอง แม่น้ำบางปะกง แม่น้ำเจ้าพระยา และแม่น้ำท่าจีน ทำให้ตะกอนดินจากแม่น้ำต้นสายไม่สามารถไหลลงสู่ชายฝั่งได้ เพราะถูกเขื่อนเหล่านี้ขวางกั้นไว้ "เราติดตามสถานีวัดระดับน้ำที่ จ.พระนครศรีอยุธยา พบว่า หลังจากมีการสร้างเขื่อนเจ้าพระยา ในปี 2500 เขื่อนภูมิพล ปี 2507 เขื่อนสิริกิติ์ ปี 2514 ระดับน้ำที่ผ่าน จ.พระนครศรีอยุธยา ลดลงอย่างเห็นได้ชัด การลดลงนี้จะส่งผลให้มี ตะกอนมาสู่ชายฝั่งน้อยลง ทำให้เกิดการท่วมของระดับน้ำทะเลได้ในอนาคต" อาจารย์ประจำภาควิชาธรณีวิทยา จุฬาฯ ชี้ด้วยว่า การสร้าง "เขื่อน" ทำให้ตะกอนที่เคยไหลลงสู่อ่าวไทยในปริมาณ 25 ล้านตันต่อปี ลดลงเหลือเพียง 6.6 ล้านตันต่อปี คือหายไปถึง 75 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งจำนวนตะกอนที่หายไปนี้ มีผลทำให้น้ำทะเลท่วมสูงขึ้นได้อีกถึง 2.5-3.5 เมตรต่อปี ที่ผ่านมา เราอาจเข้าใจว่า ปัญหาน้ำทะเลกัดเซาะชายฝั่งมีที่มาจากการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลเป็นหลัก แต่ รศ.ดร.ธนวัฒน์ บอกว่า จากการศึกษาพบว่า ระดับน้ำทะเลส่งผลกระทบเพียง 9.6 เปอร์เซ็นต์ อีก 8 เปอร์เซ็นต์ มีที่มาจากตะกอนชายฝั่งที่ลดลง แต่ปัจจัยที่สำคัญที่สุด และส่งผลกระทบถึง 82.5 เปอร์เซ็นต์ คือการทรุดตัวของพื้นดิน ซึ่งมีที่มาจากการขุดเจาะน้ำบาดาลเป็นหลัก ทั้ง นี้ 5 จังหวัด ที่มีอัตราการทรุดตัวของพื้นดินมากที่สุด ได้แก่ ฉะเชิงเทรา สมุทรปราการ สมุทรสาคร สมุทรสงคราม และกรุงเทพมหานคร ผลจากการสูบน้ำบาดาลไปใช้เป็นจำนวนมาก มีผลให้พื้นดินทรุดตัวถึง 1-3 เซนติเมตรต่อปี ในขณะที่อัตราการทรุดตัวตามธรรมชาติโดยมากจะอยู่ที่ปีละ 0.5 มิลลิเมตรเท่านั้น ส่วนอนาคตกรุงเทพฯ และแถบปริมณฑลจะจมทะเล กลายเป็นเมืองบาดาลหรือไม่ในวันข้างหน้านั้น รศ.ดร.ธนวัฒน์กล่าวว่า วิธีป้องกันต้องควบคุมทั้ง 3 ปัจจัยข้างต้นไปพร้อมๆกัน หากหน่วยงานหรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องยังไม่ตระหนักถึงปัญหาที่เกิดขึ้น โดยยังมองว่าเป็นเรื่องไกลตัวและไม่พยายามปรับตัว หรือวางแผนรับมือ... เมื่อถึงเวลาที่ต้องเผชิญกับปัญหาจริงๆ ก็อาจสายเกินไปเสียแล้ว จาก : ข่าวสด วันที่ 27 กรกฎาคม 2553 ภาพจาก ... khunsamut.com
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#7
|
||||
|
||||
|
จับตาเปลือกโลก...แผ่นดินทรุด! น้ำทะเลเพิ่มสูง...ไทยเสี่ยงท่วม!? หลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่สุมาตรา-อันดามันที่เกิดขึ้นในเดือนธันวาคมปี พ.ศ. 2547 ครั้งนั้นหลายพื้นที่ชายฝั่งทะเลอันดามันเผชิญกับคลื่นยักษ์สึนามิภัยทางธรรมชาติซึ่งไม่เพียงสร้างความสูญเสียในชีวิตทรัพย์สิน ทางด้านธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมต่างก็ได้รับผลกระทบมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเช่นเดียวกัน!! ภาวะโลกร้อน สถานการณ์ที่กล่าวขานส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงแปรปรวนของฝนฟ้าอากาศ รวมถึงพิบัติภัยทางธรรมชาติที่ปรากฏให้สัมผัสใกล้ชิดขึ้น การศึกษาวิจัยเชิงลึกติดตามความเคลื่อนไหวดังกล่าวจึงมีความหมายความจำเป็น โครงการวิจัยร่วมไทย-ยุโรป GEO2TECDI ซึ่งเป็นโครงการวิจัยร่วมระหว่างประเทศไทยและสหภาพยุโรปซึ่งคณะนักวิจัยจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กรมแผนที่ทหาร กรมอุทกศาสตร์ โรงเรียน นายเรือ และสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสาร สนเทศ ร่วมกับมหาวิทยาลัยในยุโรป ได้แก่ TUDelft, TUDarmstadt และ ENS ได้ใช้ข้อมูลจากดาวเทียม จีพีเอส ดาวเทียมวัดระดับน้ำทะเล และดาวเทียม SAR ซึ่งเป็นเทคโนโลยีอวกาศ Space-geodetic ตรวจวัดและติด ตามการเปลี่ยนแปลงของโลก เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงระดับน้ำทะเล การเคลื่อนตัวของเปลือกโลกและการทรุดตัวของแผ่นดิน งานวิจัยไม่เพียงพบการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลในอ่าวไทยที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลกประมาณ 2 เท่า หากแต่พบการลดระดับของเปลือกโลกในบริเวณประเทศไทยที่น่าเป็นห่วง!! ขณะที่การเปลี่ยนแปลงระดับน้ำทะเลเป็นตัวชี้วัดสำคัญของการเปลี่ยนแปลงสภาพ ภูมิอากาศของโลกซึ่งที่ผ่านมาประเทศไทยก็มีการศึกษาเรื่องดังกล่าวแต่อาจมี ข้อมูลที่ต่างกันไป จากผลวิจัยของโครงการฯ ประมวลผลข้อมูลระดับน้ำทะเลเฉลี่ยรายปีจากสถานีวัดระดับน้ำของกรมอุทกศาสตร์ ตั้งแต่ปี 2483 และจากข้อมูลกรมแผนที่ทหาร ซึ่งให้ข้อสรุปถึงระดับน้ำทะเลเฉลี่ยในอ่าวไทยกำลังเพิ่มระดับขึ้น โดยบริเวณอ่าวไทยฝั่งตะวันตกระดับน้ำทะเลเฉลี่ยกำลังเพิ่มขึ้นด้วยอัตราประมาณ 3 มิลลิเมตรต่อปี นอกจากนี้การวิเคราะห์ข้อมูลดาวเทียมวัดระดับน้ำทะเลในช่วงปี 2536-2551 บริเวณห่างจากชายฝั่งออกไปแสดงให้เห็นว่าระดับน้ำทั่วอ่าวไทยกำลังเพิ่มขึ้นเช่นกัน อีกทั้งงานวิจัยได้ตรวจวัดการเคลื่อนตัวของเปลือกโลกซึ่งข้อมูลจากการวัด ด้วยสัญญาณดาวเทียมจีพีเอสในบริเวณเกาะภูเก็ต ชุมพร และชลบุรีตั้งแต่ปี 2537 แสดงให้เห็นว่า ก่อนเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่สุมาตรา-อันดามันในปี 2547 แผ่นเปลือกโลกยกตัวอย่างช้าๆ 2-3 มิลลิเมตรต่อปี แต่หลังแผ่นดินไหวมีทิศทางลดระดับลงอย่างรวดเร็วด้วยความเร็ว ที่ตรวจวัดได้ประมาณ 10 มิลลิเมตรต่อปี ขณะเดียวกันได้ตรวจวัดการทรุดตัวของชั้นดินชั้นทรายในบริเวณกรุงเทพมหานคร ขณะที่การลดระดับของเปลือกโลกและการทรุดตัวของชั้นดินชั้นทรายทำให้การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลในอ่าวไทยส่งผลกระทบรุนแรงขึ้นต่อกรุงเทพฯ และจังหวัดชายฝั่งใกล้เคียงโดยมีความเสี่ยงสูงขึ้นต่อการเกิดน้ำท่วม การกัดเซาะชายฝั่ง การรุกของน้ำเค็มเข้าไปในแหล่งน้ำจืดตลอดจนการเสื่อมโทรมของสภาพแวดล้อมชายฝั่ง รศ.ดร.อิทธิ ตริสิริสัตยวงศ์ ภาควิชาวิศวกรรมสำรวจ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ความรู้ว่า โครงการนี้เราศึกษาทั้งสองส่วนทั้งเปลือกโลกที่เป็นชั้นหินซึ่งบนชั้นหินมีชั้นตะกอนเป็นพวกดิน ทราย หิน ฯลฯ การทรุดตัวคงต้องแยกว่าเป็นชั้นดินชั้นทรายหรือชั้นตะกอนที่อยู่ชั้นบนหรือชั้นหิน ส่วนที่เป็นประเด็นมีการพูดถึงเปลือกโลกทรุดตัวส่งผลต่อน้ำท่วมนั้น แผ่นเปลือกโลกโดยทั่วไปมองกันว่าค่อนข้างเสถียรแต่ในความเป็นจริงนั้นยังมีการเคลื่อนตัวอยู่ซึ่งการเคลื่อนตัวของเปลือกโลกในประเทศไทยก็มีผู้ศึกษาติดตามเรื่องแผ่นดินไหวอยู่โดยการศึกษาส่วนใหญ่จะเป็นการติดตามการเคลื่อนตัวในทางราบ แต่โครงการฯศึกษาวิจัยในทางดิ่งร่วมด้วยและก็ทำให้พบว่า บริเวณประเทศไทยพบการลดระดับแผ่นเปลือกโลกกำลังเคลื่อนตัวลง “ตัวเลขที่มีได้แก่ ที่ จ.ชุมพร ภูเก็ตและ อ.สัตหีบ หากพิจารณาจากอนุกรมเวลาของค่าพิกัดทางดิ่งที่แสดงในรูปกราฟจะเห็นว่าเส้นกราฟลดระดับลงซึ่งก็เป็นประเด็นที่คาดการณ์ว่ากรุงเทพฯ ก็น่าจะเคลื่อนตัวลง แต่ก็ยังไม่แจ้งชัดว่าลงไปที่อัตราเท่าไหร่เหตุผลก็คือกรุงเทพฯ มีลักษณะพิเศษด้วยที่ว่าชั้นดินตะกอนหนามากต้องเจาะลึกลงไปมากจึงจะเจอชั้นหิน อีกทั้งจุดตรวจวัดทั้งหมดของกรุงเทพฯที่มีอยู่ก็จะอยู่ตามตึก ค่าการเคลื่อนตัวในทางดิ่งที่ได้จากจีพีเอสก็จะมีส่วนที่เป็นชั้นหินปนอยู่กับส่วนที่เป็นชั้นดินชั้นตะกอนแยกได้ยากว่าเป็นอย่างไร แต่อย่างไรแล้วก็เชื่อว่ามีการลดระดับลงเพราะจากการศึกษาในพื้นที่ใกล้เคียงอื่นที่ตั้งอยู่บนชั้นหินก็มีระดับลดลง” ในกรุงเทพฯ ประเด็นใหญ่ที่เราห่วงกันก็คือ ในเรื่องของน้ำท่วม เรื่องของการกัดเซาะชายฝั่ง การรุกเข้ามาของน้ำเค็มซึ่งที่ผ่านมาก็เจอปัญหาเหล่านี้อยู่แล้วเพียงแต่ว่า ประเด็นนั้นเกิดจากอะไร ถ้ามองต่อไปในระยะยาวในอนาคตจะมีผลอย่างไร หากไม่มีการแยกแยะอะไรให้ชัดเจนในแต่ละประเด็นก็ไม่สามารถตอบได้ จากการศึกษาวิจัยที่เสนอพบข้อมูลที่กล่าวมาทุกเรื่องมีความน่าเป็นห่วง อย่างเรื่องของเปลือกโลกที่เป็นชั้นหินทรุดตัวลง การที่เปลือกโลกที่เป็นชั้นหินลดระดับลงก็จะส่งผลต่อทุกสิ่งบนผิวโลก ด้วยเพราะเราอยู่บนชั้นดินเมื่อชั้นหินลดระดับลง ชั้นตะกอนก็จะลดลงตาม “การสำรวจครั้งนี้จึงเป็นการศึกษาที่ลึกลงไปถึงชั้นเปลือกโลกและเมื่อชั้นหินเปลือกโลกทรุดตัวก็จะส่งผลต่อสิ่งต่างๆ การลดระดับลงทีละน้อยเหล่านี้อาจเป็นการลดระดับโดยที่ไม่รู้ตัวแต่จากการศึกษาก็ทำให้เตรียมความพร้อมล่วงหน้าได้อย่างทันท่วงที” การที่เปลือกโลกลดระดับลงก็มีผลมาจากแผ่นดินไหวเมื่อปีค.ศ. 2004 ที่เกิดสึนามิซึ่งก็มักจะพูดกันถึงเรื่องพิบัติภัยสึนามิกัน แต่อาจลืมนึกถึงผลกระทบในสิ่งเหล่านี้ซึ่งถือเป็นภัยเงียบที่ส่งผลกระทบต่อเนื่องมา ในการศึกษาครั้งนี้จึงถือว่าเป็นความรู้ที่น่าสนใจ ส่วนการศึกษาจากจีพีเอสเป็นการวัดระยะทางจากดาวเทียมที่อยู่ในอวกาศ หากพูดในหลักการที่เข้าใจได้ง่ายคือ ค่าความสูงของตำแหน่งเดิมเมื่อเวลาผ่านไปมีความคงที่หรือไม่ ถ้ามีความคงที่ก็ไม่มีการทรุดตัวซึ่งในระดับชั้นหินส่วนที่เป็นเปลือกโลกคงไม่สามารถทำอะไรได้ในการที่จะหยุดยั้ง แต่สิ่งที่เราต้องทำคือ เมื่อทราบผลจากการศึกษา มีข้อมูลเหล่านี้คงต้องเร่งตระหนักซึ่งในความรุนแรงของน้ำทะเลกัดเซาะชายฝั่งจะมากกว่าที่เราคิดและอาจจะแตกต่างจากเดิมที่ได้มีการศึกษา ดังนั้นต่อไปในอนาคต ในการวางแผนแก้ไขปัญหา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดจะเป็นน้ำท่วม การกัดเซาะชายฝั่งหรือน้ำเค็ม ฯลฯ คงต้องนำข้อเท็จจริงร่วมวางแผน โดยเฉพาะพื้นที่กรุงเทพฯ ซึ่งที่ผ่านมาก็เผชิญกับปัญหาน้ำท่วมสิ่งที่มีความห่วงใยกันคือ ปัจจุบันพื้นที่กรุงเทพฯ ผิวดินอยู่ในระดับต่ำอยู่ใกล้กับระดับน้ำทะเลมาก อีกทั้งในระหว่างทางสิ่งที่กำลังลดระดับลงแน่นอนว่าการกัดเซาะชายฝั่งเกิดขึ้น น้ำเค็มทะลักเข้าไปก็ง่ายขึ้น อีกทั้งยังอาจพบเจอปัญหาในช่วงที่น้ำทะเลหนุนมากในช่วงปลายปี น้ำทะเลก็จะทะลักเข้าไปลึกขึ้นก็แน่นอนว่าย่อมสร้างความเสียหาย ส่วนในเรื่องของน้ำท่วมก็อาจพบได้บ่อยขึ้น นานขึ้นเนื่องจากแผ่นดินทรุดลงการระบายน้ำก็จะยากขึ้น แต่อย่างไรแล้วในแง่ของปัญหาที่เกิดนั้นคงไม่เกิดฉับพลัน แต่จะค่อยเป็นค่อยไปและจะทวีความรุนแรงขึ้น การวางแผนเพื่อแก้ไขหรือป้องกันปัญหาเหล่านี้ในอนาคตต้องเผื่อตัวเลขเหล่านี้ไว้ด้วยและต้องมีการศึกษาติดตามต่อไปเนื่องจากการเคลื่อนตัวเหล่านี้มีค่าไม่คงที่ จากผลวิจัยที่มีความหมาย การตระหนักโดยไม่ตื่นตระหนกร่วมรักษาความสมบูรณ์ของธรรมชาติสิ่งแวดล้อมให้คงความสมบูรณ์อย่างจริงจังและยั่งยืนก็เป็นอีกสิ่งสำคัญที่ต้องไม่ละเลยมองข้ามเช่นกัน. จาก : เดลินิวส์ วันที่ 29 กรกฎาคม 2553
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
![]() |
| คำสั่งเพิ่มเติม | |
| เรียบเรียงคำตอบ | |
|
|