![]() |
|
|
|
#1
|
||||
|
||||
|
พัทยาชายหาดหาย คาดอีก 5 ปี ไม่มีเหลือ! นักวิชาการ จุฬาฯ ชี้อีก 5 ปี พัทยาจะไม่มีหาดทรายเหลือ เหตุปัญหากัดเซาะชายฝั่งรุนแรงขั้นวิกฤติ เผยข้อมูลภาพถ่ายทางอากาศในปี 2495 ชายหาดกว้าง 35.6 เมตร ส่วนปี 2553 เหลือเพียง 4-5 เมตร เมื่อระดับน้ำทะเลขึ้นสูงพื้นที่หน้าหาดจมมิด เตรียมใช้วิธีเติมทรายชายหาดตามหลักวิชาการแก้ปัญหาระยะยาว ศ.ดร.ธนวัฒน์ จารุพงษ์สกุล หัวหน้าหน่วยศึกษาพิบัติภัยและข้อสนเทศน์เชิงพื้นที่ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะหัวหน้าโครงการศึกษาวางแผนแม่บทและสำรวจออกแบบเพื่อเสริมทรายชายหาดพัทยา จังหวัดชลบุรี เปิดเผยว่า ปัจจุุบันชายหาดพัทยาถูกกัดเซาะอย่างหนักทำให้เหลือพื้นที่หาดทรายแคบมาก โดยเฉพาะเวลาที่มีน้ำทะเลขึ้นสูงสุด พื้นที่หน้าหาดเกือบทั้งหมดจมน้ำทะเล ทำให้ไม่มีพื้นที่ว่างริมชายหาดเหลืออยู่เลย ดังนั้นจึงมีการศึกษาแนวทางแก้ปัญหาการกัดเซาะชายหาดพัทยา ซึ่งจากการใช้เทคโนโลยีระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์และข้อมูลระยะไกล พร้อมกับตรวจสอบข้อมูลจากภาคสนามและภาพถ่ายเก่าๆในช่วงเวลาที่ต่างกัน พบว่าหาดพัทยามีการกัดเซาะที่รุนแรงขั้นวิกฤติในบริเวณตั้งแต่พัทยาเหนือจนถึงพัทยาใต้ ศ.ดร.ธนวัฒน์ระบุว่า จากข้อมูลการแปลภาพถ่ายทางอากาศ พบว่าในปี พ.ศ.2495 บ่งชี้ว่าหาดพัทยาในอดีตมีความสวยงามมาก มีพื้นที่หน้าหาด 60 ไร่ ความกว้างหน้าหาดอยู่ที่ 35.6 เมตร ในปี พ.ศ.2510 หน้าหาดพัทยาถูกกัดเซาะจนเหลือเนื้อที่เพียง 34 ไร่ ความกว้างหน้าหาดเหลือ เพียง 20.6 เมตร ในปี พ.ศ.2517 หน้าหาดพัทยาถูกกัดเซาะเหลือประมาณ 31 ไร่ ความกว้างหน้าหาดลดลงเหลือแค่ 18.5 เมตรเท่านั้น "อัตราการกัดเซาะชายหาดพัทยาตั้งแต่ปี พ.ศ.2495-2517 มีอัตราการกัดเซาะ เฉลี่ยที่ 0.78 เมตรต่อปี การกัดเซาะชายหาดพัทยารุนแรงและวิกฤติที่สุดในช่วงปี พ.ศ.2535-2536 ขณะนั้นพบว่าชายหาดแทบไม่เหลือพื้นที่หน้าหาด โดยเฉพาะช่วงน้ำทะเลขึ้นสูง ส่งผลให้ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก ไม่มีหาดไว้ใช้พักผ่อน ส่งผลให้นักท่องเที่ยวลดลงมาก" อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลภาพถ่ายทางอากาศในปี พ.ศ.2539 กลับพบว่าชายหาดพัทยามีความกว้างหาดประมาณ 30.3 เมตร มีพื้นที่หน้าหาดคิดเป็น 51 ไร่ ซึ่งสามารถตั้งข้อสังเกตได้ว่าชายหาดพัทยามีการถมทะเลเพิ่มขึ้นเนื่องจากมีการนำทรายมาถมโดยหน่วยงานท้องถิ่น และเมื่อเปรียบเทียบกับชายหาดพัทยาในปี พ.ศ.2545 พบว่าชายหาดพัทยาถูกกัดเซาะอย่างรุนแรงด้วยอัตราประมาณ 1.8 เมตรต่อปี ทำให้หน้าหาดพัทยาเหลือความกว้างเพียง 31 ไร่ ศ.ดร.ธนวัฒน์กล่าวอีกว่า จากข้อมูลการสำรวจในภาคสนาม พบว่าในปี พ.ศ.2553 ความกว้างของชายหาดพัทยาเหลือเพียง 4-5 เมตรเท่านั้น โดยเฉพาะในขณะที่มีระดับน้ำทะเลขึ้นสูงสุด ช่วงเดือนพฤศจิกายน-มกราคม แทบจะไม่เหลือพื้นที่หาดให้นักท่องเที่ยวใช้พักผ่อน หากไม่มีมาตรการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง จากข้อมูลอัตราการกัดเซาะดังกล่าว ชี้ว่าอีกไม่เกิน 5 ปี หาดพัทยาจะไม่มีหาดทรายเหลือ "ปัญหาการกัดเซาะชายหาดพัทยาเป็นภัยพิบัติเงียบและเป็นปัญหาเร่งด่วนที่ทุกหน่วยงานต้องร่วมมือกันแก้ไข การที่ผู้ประกอบการธุรกิจชายหาดแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าตามลำพัง โดยใช้วิธีโกยทรายในช่วงระดับน้ำทะเลลงต่ำสุดมาพอกเป็นชายหาดที่อยู่หน้าเขื่อนเพื่อใช้ประกอบกิจการธุรกิจชายหาด เป็นเพียงการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าที่ได้ผลในระยะสั้น แต่ไม่ใช่วิธีที่เหมาะสมในการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายหาดที่มีความรุนแรงได้ตลอดไป" นักวิชาการคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวถึงการแก้ไขปัญหากัดเซาะชายฝั่งว่า มี 2 วิธีหลัก คือ 1.การใช้โครงสร้างแก้ไขปัญหากัดเซาะชายหาด เช่น กำแพงกันคลื่น การใช้หินทิ้ง เป็นต้น แม้จะสามารถรักษาชายฝั่งไว้ได้ แต่การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นส่งผลให้ทัศนียภาพของชายหาดเปลี่ยนไป ขาดความสวยงามและความเป็นธรรมชาติของชายหาด และ 2.การเติมทรายให้ชาดหาดที่ถูกกัดเซาะและพยายามรักษาสมดุลของหาดทรายให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม วิธีนี้มีหลายประเทศกำลังให้ความสนใจและดำเนินการอยู่ ทั้งบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย หาดแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา และหมู่เกาะมัลดีฟส์ "วิธีแรกใช้โครงสร้างแบบแข็ง ซึ่งในเมืองไทยนำมาใช้แก้ปัญหากัดเซาะชายฝั่งหลายพื้นที่ ส่วนวิธีที่สอง คือ การเติมทรายนั้นบ้านเรายังไม่เคยใช้มาก่อน ดังนั้นการแก้ไขปัญหากัดเซาะชายฝั่งของหาดพัทยาจะใช้วิธีเติมทรายคืนชายหาด หากทำสำเร็จจะเป็นตัวอย่างที่ดีในการจัดการปัญหากัดเซาะอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะกับชายหาดท่องเที่ยวอื่นๆของประเทศ ทั้งนี้ คนในชุมชนที่จะได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงต้องเห็นตรงกัน และเป็นผู้เลือกวิธีการแก้ไขที่ดีที่สุดสำหรับชุมชนของตนเอง" ศ.ดร.ธนวัฒน์กล่าว. จาก ................... ไทยโพสต์ วันที่ 24 มกราคม 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#2
|
||||
|
||||
|
บางขุนเทียนอึ้ง 10 ปีดินหาย 50 ม. แก้ได้แค่ปักไม้กั้น ชายทะเลบางขุนเทียนถูกน้ำกัดเซาะกลายเป็นระเบิดเวลาลูกใหม่ของปัญหาน้ำท่วมกรุงเทพฯ หลังพบสถิติย้อนหลังแค่ 10 ปีพื้นดินหายระยะทางยาว 1 ก.ม.แล้ว ศูนย์วิจัยธรรมชาติ ม.รังสิต ระบุซ้ำ ถ้าเพิกเฉย อีก 10 ปีข้างหน้า ดินจะหายไปอีก 50 เมตร สำนักระบายน้ำทำได้เพียงสร้างแนว "คันไม้ไผ่" ป้องกันแนวคลื่นและน้ำกัดเซาะ เผยแก้ปัญหาถาวรต้องใช้งบฯ 600 ล้านบาท ข้าราชการ กทม.ท้อใจผู้บริหารไม่ยอมอัดฉีดงบประมาณให้ จากการที่มีนักวิชาการเสนอแนะให้รัฐบาลย้ายเมืองหลวงจาก "กรุงเทพมหานคร" ไปยังพื้นที่ "อีสานใต้" เพื่อหลีกหนีปัญหาน้ำท่วมที่คาดการณ์ว่าอีก 10 ปีข้างหน้าจะเกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ เนื่องจากประเมินสภาพพื้นที่กรุงเทพฯ เป็นที่ราบลุ่มต่ำกว่าระดับน้ำทะเล ดินมีการทรุดตัวเฉลี่ย 1 เซนติเมตร/ปี พื้นที่เสี่ยงจมน้ำ แหล่งข่าวจากกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยว่า กรุงเทพฯมีพื้นที่ 1,500 ตารางกิโลเมตร ทุกตารางนิ้วสุ่มเสี่ยงถูกน้ำท่วมหมด เพราะเป็นที่ราบลุ่มต่ำ ส่วนใหญ่อยู่ฝั่งตะวันออกของกรุงเทพฯ อาทิ คลองสามวา ลาดกระบัง หนองจอก มีนบุรี ร่มเกล้า กิ่งแก้ว ศรีนครินทร์ บางนา ประเวศ ขณะที่ "ฝั่งตะวันตก" ย่านตลิ่งชัน ทวีวัฒนา ถูกกำหนดเป็นโซนผังเมืองสีเขียวและเขียวลายเช่นกัน แต่มีแนวคันกั้นน้ำเป็นเกราะกำบัง ทำให้มีความเสี่ยงน้อยกว่า ส่วน "พื้นที่ใจกลางเมือง" เช่น สุขุมวิท รัชดาฯ จะเกิดน้ำท่วมช่วงฝนตกหนัก เพราะระบายไม่ทัน จุดนี้จะได้รับการแก้ไขเมื่อโครงการอุโมงค์ยักษ์ของ กทม.แล้วเสร็จในปี 2558 "ทะเลบางขุนเทียน" น่าห่วง "บางขุนเทียน" เขตติดชายฝั่งทะเลอ่าวไทยตอนบน ระยะทาง 4.7 กิโลเมตร ซึ่งถูกน้ำทะเลกัดเซาะเฉลี่ย 1.4-4.5 เมตร/ปี ที่น่าวิตกคือสถิติ 10 ปีย้อนหลัง พื้นที่ถูกกัดเซาะไปแล้ว 800-1,000 เมตร หรือ 1 กิโลเมตร นับจากหลักเขตกรุงเทพฯ คำนวณเป็นที่ดินที่หายไปมากกว่า 2,000 ไร่ ทางศูนย์วิจัยธรรมชาติ ม.รังสิต ได้คาดการณ์ว่า อีก 10 ปีข้างหน้า ชายฝั่งทะเลจะถูกกัดเซาะต่อไปอีกอย่างน้อย 50 เมตร กทม.แก้ปัญหาไม่ตก แหล่งข่าวกล่าวว่า เมื่อปี 2548 สำนักผังเมือง กทม.ใช้งบฯ 29 ล้านบาท จัดจ้างที่ปรึกษาทำผลศึกษาการป้องกันและแก้ไขปัญหา รายงานชิ้นนี้แล้วเสร็จเมื่อปี 2550 ระบุแนวทางแก้ไขปัญหาไว้ คือ 1.ก่อสร้างไส้กรอกทรายรอดักตะกอนรูปตัวที (T-Groins) หรือทีกรอยน์ เพื่อยับยั้งการกัดเซาะชายฝั่งและดักจับดินตะกอน 2.ปลูกป่าไม้ชายเลนเพิ่มเป็นแนวกันชน (Buffer Zone) 100-300 เมตร แต่เนื่องจากมีประชาชนในพื้นที่บางกลุ่มไม่เห็นด้วยกับทีกรอยน์ โครงการนี้จึงถูกชะลอไว้ก่อน ปัจจุบัน สำนักการระบายน้ำของ กทม. ได้มีมาตรการชั่วคราว คือก่อสร้างแนว "คันไม้ไผ่" ป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งทะเลบางขุนเทียน งบฯ 5.8 ล้านบาท จะแล้วเสร็จเมษายนนี้ และระยะที่ 2 ได้งบฯปีนี้อีก 10 ล้านบาท เริ่มกุมภาพันธ์ถึงสิงหาคม 2554 งบฯ 600 ล. แก้ปัญหาถาวร ส่วนมาตรการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน กำลังสำรวจ ออกแบบ ทำรายละเอียด และประมาณค่าก่อสร้างคันหินรอดักตะกอนรูปตัวที ความยาว 6,970 เมตร ติดตั้งเสาและป้ายเครื่องหมายเดินเรือ 176 แห่ง ใช้งบฯ 500-600 ล้านบาท และต้องใช้เวลาจัดจ้างที่ปรึกษาเพื่อศึกษาพื้นที่อีก 2 ปี นั่นหมายความว่า กว่าจะลงมือตอกเสาเข็มก่อสร้างได้จริง ต้องรอไปถึงเดือนมิถุนายน 2556 แต่ความสำเร็จของโครงการยังขึ้นกับผู้บริหาร กทม.ด้วยว่าจะจัดสรรงบประมาณให้หรือไม่ จาก ................... ประชาชาติธุรกิจ วันที่ 26 มกราคม 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
![]() |
| คำสั่งเพิ่มเติม | |
| เรียบเรียงคำตอบ | |
|
|