![]() |
|
|
|
#1
|
||||
|
||||
|
สรุปบทเรียนจากปัญหาการกัดเซาะหาดทรายของไทย ข้อสังเกตุเกี่ยวกับกฎหมายไทยที่ควรปรับปรุง จากการทบทวนกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการดูแลควบคุมการใช้ประโยชน์ชายฝั่งของไทยนั้น พบว่ามีประเด็นที่ควรปรับปรุงดังนี้ 1) กฎเกณฑ์การควบคุมดูแลและการใช้ประโยชน์ทรัพยากรทางน้ำของไทยเป็นกฎเกณฑ์กว้างเกินไป เป็นกฎเกณฑ์ที่ใช้ร่วมกันทุกพื้นที่ทั้งประเทศ และทุกประเภทของทรัพยากร (เช่น แม่น้ำ ลำคลอง บึง อ่างเก็บน้ำ ทะเลสาบ ทะเล หรือชายหาด) ซึ่งหากพิจารณาโดยละเอียดจะพบว่าทรัพยากรมีความแตกต่างกันทั้งพื้นที่ และประเภทของทรัพยากร เช่น กายภาพของทะเล และแม่น้ำจะมีความแตกต่างกันอย่างมาก กฎเกณฑ์ต่างๆที่กำหนดขึ้นใช้อาจเหมาะสมสำหรับแม่น้ำแต่อาจจะไม่หมาะสมสำหรับทะเล 2) การไม่มีมาตราการทางกฎหมายการจัดการ การสงวน การอนุรักษ์ และการใช้ประโยชน์ที่ชัดเจน ในส่วนของปากแม่น้ำ สันทราย ซึ่งเป็นรอยต่อทางธรรมชาติระหว่างแม่น้ำและทะเล ระหว่างทะเลและแผ่นดินที่มีความสำคัญมาก และไม่มีการกำหนดแนวถอยร่นในแต่ละพื้นที่อย่างเป็นระบบ ปัจจุบันมีแต่ในพื้นที่เขตอุทยานแห่งชาติเท่านั้นที่เข้มงวด 3) การอนุญาตสิ่งปลูกสร้างที่มิได้มีข้อกำหนดเกี่ยวกับการใช้ผลการศึกษาความเหมาะสมอย่างเป็นวิชาการประกอบการพิจารณา เช่น จาก พรบ. การเดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ. 2456 ข้อ 5. ที่กำหนดว่า อาคารหรือสิ่งปลูกสร้างอื่นใดที่ล่วงล้ำลำแม่น้ำที่ไม่มีลักษณะตามที่กำหนดไว้ ให้ผ่านการอนุญาตโดยกรมขนส่งทางน้ำและพาณิชนาวี จากนั้นให้ประกาศลักษณะของอาคารหรือลักษณะของการล่วงล้ำลำแม่น้ำนั้นในราชกิจจานุเบกษาและให้ถือเป็นหลักเกณฑ์ในการอนุญาตต่อไปได้ โดยมิได้ระบุถึงมาตราการการส่งเสริมการใช้กระบวนการทางวิชาการประกอบการตัดสินใจ 4) ความไม่เหมาะสมของข้อกำหนดในบางกรณี เช่น โครงสร้างที่ได้รับอนุญาตให้ทำการก่อสร้างล่วงล้ำเข้าชายฝั่งได้บางประเภทที่ระบุใน พรบ. การเดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ. 2456 ข้อ 4 เป็นโครงสร้างที่กระตุ้นการกัดเซาะชายฝั่ง กรณีตัวอย่างเช่น ข้อกำหนดที่ระบุไว้ใน ข้อ 4 (5) ที่ว่า “การสร้างเขื่อนกันน้ำเซาะ ต้องมีโครงสร้างที่แข็งแรง” จากการทบทวนเอกสารพบว่า โครงสร้างแข็งจะเป็นสิ่งแปลกปลอมที่แทรกแซงระบบธรรมชาติ และเป็นสาเหตุหลักของการกัดเซาะ ชึ่งพบได้ตลอดแนวชายฝั่งทะเลของไทย ในทางวิชาการนั้น การป้องกันน้ำเซาะมีวิธีการหลากหลายวิธี วิธีการสร้างเขื่อนกันน้ำเซาะด้วยโครงสร้างแข็งแรง เป็นวิธีที่ก่อให้เกิดผลกระทบบริเวณข้างเคียงรุนแรงต่อเนื่องยากที่จะสิ้นสุดและจะยิ่งรุนแรงขึ้นมากในกรณีของชายฝั่งทะเล อีกกรณีตัวอย่างเช่น ข้อกำหนดที่ระบุไว้ใน ข้อ 4 (7) ที่ว่า “โรงที่ติดตั้งเครื่องสูบน้ำต้องอยู่บนฝั่งหรืออยู่ใกล้ฝั่งมากที่สุด” จากข้อกำหนดนี้ โรงติดตั้งเครื่องสูบน้ำที่สร้างขึ้นจะเป็นโครงสร้างที่อาจจะก่อให้เกิดปัญหาการกัดเซาะรุนแรงได้ เพราะการอยู่ใกล้ฝั่งมากก็จะล่วงล้ำแนวถอยร่นของชายหาดและเกิดปัญหาการกัดเซาะตามมา ดังปัญหาที่เกิดขึ้นที่ ตำบลเก้าเส้ง อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา ที่มีโรงสูบน้ำเสียตั้งอยู่ชายฝังบนหาดเก้าเส้ง ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่กระตุ้นให้เกิดปัญหาการกัดเซาะที่หาดเก้าเส้งอย่างรุนแรงเนื่องจากโรงสูบน้ำเสีย เป็นสิ่งแปลกปลอมที่ลุกล้ำแนวถอยร่น จึงแทรกแซงระบบของธรรมชาติ 5) การกำหนดโทษปรับต่ำมากเกินไป เช่น โทษปรับห้าพันบาทถึงห้าหมื่นบาท กรณีการกระทำใดๆ ที่เป็นผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงร่องน้ำ ทางเดินเรือ โทษปรับดังกล่าวจะไม่มีผลยับยั้งการสร้างปัญหา โทษปรับควรจะครอบคลุมถึงการสูญเสียดุลยภาพของสิ่งแวดล้อมด้วย ![]() จุดอ่อนในการบริหารจัดการอนุรักษ์หาดทรายของไทย ทำให้ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งของไทยมีความเสียหายรุนแรงขึ้นเป็นลำดับ ดังนี้ 1) การมองข้ามองค์ความรู้ทางวิชาการเกี่ยวกับระบบนิเวศหาดทรายและชายฝั่ง อาจเกิดจากการไม่ให้ความสำคัญ ทำให้การใช้ประโยชน์และการแก้ปัญหาการกัดเซาะที่ผ่านมาเป็นไปด้วยความไม่เข้าใจไม่สอดคล้องกับระบบทางธรรมชาติของชายฝั่ง ทำให้กิจกรรมต่างๆของมนุษย์เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการพังทลายของหาดทราย 2) กฎหมายที่มีอยู่ไม่เป็นปัจจุบัน กฎหมายที่มีอยู่ให้อำนาจในการก่อสร้างที่ออกมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2453 โดยมีกรมขนส่งทางน้ำและพาณิชนาวีเป็นผู้รับผิดชอบ ทำให้มีการก่อสร้างที่เป็นการแทรกแซงระบบทางธรรมชาติของชายหาดมาตลอด ขณะที่กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งซึ่งจัดตั้งขึ้นภายหลังและมีอำนาจหน้าที่ในการดูแล ฟื้นฟู ซึ่งพบว่าแผนงานส่วนใหญ่ยังคงใช้แนวคิดการใช้สิ่งก่อสร้างเข้าแก้ปัญหาการกัดเซาะเช่นเดียวกับกรมขนส่งทางน้ำและพาณิชนาวี 3) กฎหมายในการอนุรักษ์ชายหาดและการใช้ประโยชน์พื้นที่ชายฝั่งยังไม่ครอบคลุมชัดเจน กฎหมายที่มีอยู่กว้างเกินไป มีความไม่เหมาะสมในบางกฎเกณฑ์ และการไม่มีการกำหนดแนวถอยร่นอย่างชัดเจนในแต่ละพื้นที่อย่างเป็นวิชาการและ เป็นปัจจุบันเพียงพอ ตลอดจนการขาดประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมาย เช่นทำให้มีการลักลอบดูดทรายเกิดขึ้นเสมอ 4) ขาดผู้รับผิดชอบโดยตรงในการบังคับใช้กฎหมาย และยังมีความเห็นไม่ตรงกันในแนวคิดการสงวน อนุรักษ์และฟื้นฟูพื้นที่ชายหาดและชายฝั่งของประเทศ 5) การไม่มีวิธีการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ การไม่ประสานงานกันระหว่างหน่วยงาน ทำให้มีการทำงานทั้งส่วนที่ซ้ำซ้อนกันและส่วนที่ขัดแย้งกัน 6) การมองข้ามความสำคัญในการกำหนดทิศทางการใช้ประโยชน์ทรัพยากรชายฝั่งอย่างชัดเจน ทำให้มีการใช้ประโยชน์ไปอย่างไร้ทิศทาง และทำให้เสียโอกาสในการใช้ประโยชน์ศักยภาพของหาดทรายในอนาคต เช่น กรมเจ้าท่า (หรือกรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชนาวีในปัจจุบัน) ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการรับผิดชอบดูแลชายฝั่งในอดีต ได้ใช้ประโยชน์ชายฝั่งไปในด้านการขนส่งทางน้ำเป็นหลัก โดยมิได้คำนึงถึงศักยภาพหรือคุณค่าชายหาดในด้านอื่นๆ เช่น การเป็นแหล่งกำเนิดของชีวิตสัตว์นานาชนิดและคุณค่าด้านนันทนาการ ทำให้การแก้ปัญหาที่ผ่านมาส่งผลให้เสียโอกาสในการใช้ทรัพยากรชายฝั่งในด้านอื่นๆ 7) การไม่มีกระบวนการให้ความรู้ที่ถูกต้องแก่ประชาชนในทุกระดับ ภัยคุกคามต่อหาดทรายธรรมชาติของไทย 1) สังคมขาดความเข้าใจที่ถูกต้องในระบบนิเวศของหาดทรายตามธรรมชาติ ข่าวสารที่ระบุสาเหตุปัญหาการกัดเซาะหาดทรายที่ไม่ถูกต้อง ได้รับการเผยแพร่ต่อสารธารณะอยู่เสมออย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดทั่วไปและนำไปสู่การแก้ปัญหาที่ผิดทาง ตัวอย่างเช่น คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าการกัดเซาะหาดทรายเกิดจากคลื่น ซึ่งความเป็นจริงแล้วทรายจะเคลื่อนที่มาและเคลื่อนไปตามธรรมชาติโดยคลื่น การเคลื่อนที่ไปอาจจะมากในฤดูมรสุมและคลื่นจะช่วยซ่อมแซมในช่วงคลื่นลมสงบ ที่ชาวบ้านเรียกว่าคลื่นแต่งหาด 2) ไม่มีการควบคุมการใช้ประโยชน์พื้นที่ชายทะเลอย่างเหมาะสม เช่น การกำหนดแนวการใช้ประโยชน์ที่ไม่รุกล้ำระบบธรรมชาติ ประกอบกับการมองข้ามองค์ความรู้ทางวิชาการที่เกี่ยวข้อง ส่งผลให้การใช้ประโยชน์พื้นที่ชายทะเลทั้งของโครงการของรัฐบาลและประชาชน แทรกแซงระบบของธรรมชาติทั้งโดยเจตนาและการรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ปัญหาการกัดเซาะจึงรุกลามไปเป็นลูกโซ่ในทุกวันนี้ 3) ไม่มีการแก้ปัญหาอย่างถูกต้อง เช่น การกัดเซาะชายฝั่งมักจะสร้างความกังวลให้กับชุมชนชายฝั่ง ดังนั้นเพื่อตอบสนองข้อเรียกร้องของประชาชน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมักใช้งบประมาณไปกับการใช้โครงสร้างแข็งเพื่อแก้ปัญหา โดยไม่คำนึงถึงขอบเขตของผลกระทบที่จะเกิดขึ้น แทนที่จะใช้กระบวนการทำความเข้าใจอย่างเป็นวิชาการ จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการแทรกแซงธรรมชาติโดยไม่จำเป็น และเกิดการกัดเซาะหาดทรายในพื้นที่ถัดไปโดยไม่ทราบจุดสิ้นสุด เป็นการเลือกวิธีแก้ที่ก่อให้เกิดปัญหาใหม่ในพื้นที่ข้างเคียง 4) การแสวงหาผลประโยชน์ของคนบางกลุ่ม การแก้ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งเกี่ยวข้องกับการใช้งบประมาณจำนวนมาก จึงทำให้เกิดช่องทางแสวงหาประโยชน์ของคนบางกลุ่มจากโครงการก่อสร้างต่างๆ ตลอดจนการใช้โอกาสในฤดูมรสุมลมแรงและการอ้างกระแสข่าวภาวะโลกร้อนในการเสนอโครงการก่อสร้างป้องกันชายฝั่ง โดยขาดการวิเคราะห์ถึงสาเหตุที่แท้จริง การกระทำดังกล่าวจึงเป็นการเพิ่มสิ่งแปลกปลอมแทรกแซงระบบธรรมชาติ ก่อให้เกิดปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งอย่างไม่สิ้นสุด ที่มา www.bwn.psu.ac.th จาก ....................... http://beachconservation.wordpress.com
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#2
|
||||
|
||||
|
ความเข้าใจผิดที่พบเสมอเกี่ยวกับหาดทราย บทนำ ความสัมพันธ์ระหว่างทะเลและชายหาด มีความซับซ้อน ทำให้มักเข้าใจกันผิดอยู่บ่อยๆ ดังนั้นจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่หน่วยงานหลักที่รับผิดชอบดูแล ต้องสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้แก่ชุมชน เนื่องจากหลายๆครั้ง ความเข้าใจผิดนี้เอง เป็นสิ่งที่ขัดขวางความสำเร็จของการดูแลชายฝั่ง บทความนี้จึงได้ถูกเขียนขึ้นเพื่อพิสูจน์ และแก้ใขความเข้าใจผิดต่างๆ ความเข้าใจผิด การกัดเซาะชายฝั่งเป็นปัญหา และจะต้องมีการป้องกัน แท้จริง การกัดเซาะชายฝั่ง เป็นกระบวนการตามปกติของธรรมชาติ เนื่องจากชายหาดประกอบด้วยเม็ดทราย ซึ่งเคลื่อนที่ตามแรงพัดพาของกระแสคลื่นและลม ทำให้เกิดความสมดุลของชายหาด แต่ขณะเดียวกันก็ไม่เคยหยุดนิ่ง การกัดเซาะของชายหาดในช่วงฤดูมรสุม จะถูกทดแทนด้วยเม็ดทรายที่ถูกพัดคืนกลับมาทับถมกันตามเดิมในฤดูที่ลมสงบ ชายหาดนั้นจะได้รับการปกป้องอย่างสูงสุด ถ้าเรายอมรับกระบวนการตามธรรมชาติของการกัดเซาะ และการทับถมกลับคืน โดยไม่เข้าไปรบกวนสมดุลนี้ ความเข้าใจผิด กำแพงกันคลื่นสามารถป้องกันการกัดเซาะได้ แท้จริง ชายหาดตามธรรมชาติมักแผ่ขยายหรือร่น ตามอิทธิพลของคลื่นและกระแสน้ำ โดยในฤดูมรสุม คลื่นจะพัดพาทรายออกไปจากชายหาด และคลื่นก็จะนำทรายกลับมาที่หาดตามเดิมในช่วงฤดูที่ลมสงบ การสร้างกำแพงกันคลื่นจะแยกทรายให้อยู่เฉพาะด้านบนของกำแพง ทำให้ปริมาณทรายในระบบตามปกติลดลง ด้วยเหตุนี้ในช่วงฤดูมรสุมชายหาดที่อยู่ด้านล่างของกำแพง อาจถูกกัดเซาะอย่างรุนแรงจนหมดสภาพ กล่าวคือ กำแพงกันคลื่นสามารถป้องกันพื้นที่ด้านบนของกำแพงได้จริง แต่จะเพิ่มการกัดเซาะให้กับชายหาดด้านล่าง ยิ่งสร้างกำแพงกันคลื่นมากขึ้นเท่าใด ทรายที่ถูกแยกออกจากระบบก็จะมากขึ้น ทำให้ชายหาดยิ่งยากจะคงสภาพอยู่ได้ จนในที่สุดอาจไม่เหลือชายหาดบริเวณด้านล่างของกำแพงเลย ซึ่งชายหาดก็จะไม่สามารถใช้ประโยชน์และท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจได้ดังเดิมอีกต่อไป ในทางกลับกัน ถ้ายอมให้ชายหาดมีการกัดเซาะตามฤดูกาลธรรมชาติ ไม่ถูกกึดขวางด้วยกำแพงกันคลื่น ชายหาดก็จะยังเป็นชายหาดอยู่เสมอ กำแพงกันคลื่นที่ Machans Beach in Mulgrave Shire ถูกสร้างขึ้นเพื่อยับยั้งการกัดเซาะอาคารบ้านเรือน แต่ผลคือทำให้ไม่เหลือชายหาดที่สามารถใช้ประโยชน์ได้อีกต่อไป ที่ Burleigh Heads บน Gold Coast ลานจอดรถและสาธารณูปโภคอื่นๆถูกสร้างบนเนินทรายชายฝั่ง แม้จะปรากฏร่องรอยเพียงเล็กน้อยของการกัดเซาะต่อสาธารณูปโภค แต่ก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายจำนวนมากในการซ่อมแซมแก้ไข และมีโอกาสมากที่จะเกิดการกัดเซาะชายหาดอย่างรุนแรงตามมา ความเข้าใจผิด การปรับเปลี่ยนรูปร่างของเนินทรายด้านบนของชายหาด ไม่ส่งผลกระทบต่อชายหาด แท้จริง เนินทรายด้านบนของชายหาด เป็นที่เก็บสำรองทราบของชายหาดไว้ใช้ในฤดูมรสุม ที่ทรายด้านล่างถูกพัดพาออกไป สิ่งปลูกสร้างที่สร้างใกล้ชายหาดมากเกินไป หรือแม้แต่การจอดรถบนเนินทรายริมชายหาดก็เป็นสิ่งที่ไม่ควร โดยเฉพาะสิ่งปลูกสร้างที่สร้างใกล้ชายหาดมากเกินไป เมื่อมีปัญหาการกัดเซาะ ก็อาจใช้วิธีการสร้างกำแพงกันคลื่น ซึ่งจะยิ่งเป็นตัวเร่งให้การกัดเซาะชายหาดด้านล่างของกำแพง และพื้นที่ใกล้เคียงรุนแรงขึ้น ดังที่ได้บรรยายข้างต้น เพราะฉะนั้นสิ่งปลูกสร้างใดๆควรสร้างให้ห่างจากชายหาดให้มากเท่าที่จะทำได้ Bokarina on the Sunshine Coast การพัฒนาพื้นที่ถูกจัดให้อยู่ห่างจากชายหาดอย่างเหมาะสม จึงไม่ทำให้เกิดปัญหาใดๆ (มีต่อ)
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายน้ำ : 21-02-2011 เมื่อ 07:25 |
|
#3
|
||||
|
||||
|
ความเข้าใจผิดที่พบเสมอเกี่ยวกับหาดทราย (ต่อ) ความเข้าใจผิด การมีต้นไม้และพืชต่างๆขึ้นปกคลุมชายหาด จะสามารถป้องกันการกัดเซาะได้อย่างมีประสิทธิภาพ แท้จริง การปกคลุมของพืชบริเวณชายหาดและเนินทราย สามารถช่วยเก็บรักษาเม็ดทรายจากแรงลมทะเล และทำให้หาดแผ่ขยายขึ้นตามปริมาณทรายและตามการเพิ่มขึ้นของพื้นที่ที่พืชขึ้นปกคลุม ในช่วงฤดูมรสุม เมื่อทรายถูกพัดพาออกไป ทำให้ชายหาดหดสั้นลงไปจนถึงเนินทรายที่มีพืชขึ้นปกคลุม เนินทรายก็จะสลายตัวเป็นเม็ดทรายเพิ่มให้กับชายหาด ซึ่งจะช่วยลดอัตราการกัดเซาะของหาดได้ ยิ่งเนินทรายมีขนาดใหญ่มากเท่าใด ประสิทธิภาพในการในการทดแทนเม็ดทรายให้กับชายหาดก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้นด้วย เหตุนี้การทำลายพืชที่ขึ้นปกคลุมเนินทรายจึงเป็นการเพิ่มความเสี่ยงให้ชายหาดถูกกัดเซาะได้ง่ายขึ้น การปกคลุมของพืชช่วยรักษาเนินทรายจากแรงของลมทะเล แต่ช่วยต้านทานแรงกัดเซาะของกระแสคลื่นได้เพียงเล็กน้อย เนื่องจากรากของพืชเหล่านี้ไม่สามารถเก็บรักษาเม็ดทรายเอาไว้ได้เมื่อถูกคลื่นที่รุนแรงถล่ม นั่นคือช่วยได้ในแง่ป้องกันการกัดเซาะจากลมทะเลเป็นหลัก ดังนั้นแม้ว่าการปกคลุมของพืชบนเนินทรายจะมีความสำคัญตามธรรมชาติต่อชายหาด แต่เราก็ควรเข้าใจถึงของจำกัดของมันด้วย North Stradbroke Island จากการรุกล้ำของรถยนต์ทำให้พืชที่เคยขึ้นปกคลุมเนินทรายหายไป เนินทรายจึงมีความเสี่ยงต่อการถูกกัดเซาะมากขึ้น ความเข้าใจผิด การเติมทราย (sand nourishment) ช่วยป้องกันชายหาดได้เพียงแค่ชั่วคราว เมื่อฤดูมรสุมทรายส่วนใหญ่ก็จะถูกพัดหาดไป แท้จริง การเติมทราย เป็นหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการฟื้นฟูชายหาดจากปัญหาการกัดเซาะรุนแรง การเติมทรายนอกจากจะทำให้หาดแผ่ขยายกว้างขึ้นแล้วยังช่วยปรับให้ชายหาดเข้าสู่ความสมดุลขึ้นด้วย วิธีการที่เหมาะสมในการเติมทรายคือ ควรใช้ทรายที่มาจากพื้นที่อื่นที่ไม่ประสบปัญหาการกัดเซาะ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มปริมาณทรายในระบบ ดีกว่าการนำทรายที่จัดว่าอยู่ในระบบเดียวกัน หรือพื้นที่ใกล้เคียงกันมาเติม ขนาดของเม็ดทรายที่จะเติมก็เป็นสิ่งที่ต้องพิจารณาให้มีขนาดใกล้เคียงกันของเดิม เพื่อที่จะได้แน่ใจว่าลักษณะความลาดของหาดจะคงเดิม และมีผลกระทบกับสมดุลเดิมตามธรรมชาติน้อยที่สุด โดยปกติการเติมทรายสามารถเติมเพียงแค่บางจุดของพื้นที่ที่ประสบปัญหา หลังจากนั้นทรายจะกระจายออกไปปกคลุมทั่วระบบของชายหาดนั้น ทรายไม่ได้สูญหายไปแต่ยังคงอยู่ในระบบ ซึ่งอาจทำให้ผลลัพธ์ของการเติมทรายในจุดที่ต้องการน้อยลง เนื่องจากได้เฉลี่ยไปเพิ่มในพื้นที่อื่นๆแทน ดังนั้น เพื่อที่จะฟื้นฟูชายหาดให้เป็นผลสำเร็จ ปริมาณทรายที่จะเติมและความรุนแรงของปัญหา ต้องถูกพิจารณาอย่างรอบคอบ หลายคนเข้าใจอย่างผิดๆเกี่ยวกับการเคลื่อนย้ายตามธรรมชาติของทราย จากหาดหนึ่งไปสู่หาดอื่นๆว่าเป็นการสูญเสียอย่างถาวร ซึ่งแท้จริงแล้วทรายเพียงแต่เคลื่อนย้ายไปชั่วคราว และพร้อมจะกลับมาทับถมกันเป็นหาดทรายกว้างตามเดิมในฤดูลมสงบ Surfers Paradise Beach ได้รับการเติมทราย 1.4 ล้านคิวบิกเมตร ในปี 1974 หลังจากนั้นแม้จะโดนพายุและมรสุม หาดทรายก็ยังสามารถปรับตัวกลับมาอยู่ในสภาพที่ดีได้ ในภาพคือปี 1983 ชายหาดมีสภาพสมดุลและบางที่มีพืชขึ้นปกคลุม ความเข้าใจผิด การขุดลอกทรายจากปากแม่น้ำในพื้นที่ใกล้เคียง ไปเติมในบริเวณที่มีปัญหาเป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพในการแก้ปัญหาการกัดเซาะชายหาด แท้จริง ปริมาณทรายจำนวนมากบริเวณปากแม่น้ำ มักจะถูกเข้าใจว่าเป็นแหล่งทรายสำหรับการเติมทราย อย่างไรก็ตาม ทรายในชายหาดหรือปากแม่น้ำ จะมีการเคลื่อนย้ายไปมาซึ่งกันและกันในระบบอยู่แล้ว การขุดลอกทรายจากปากแม่น้ำมาเติมในชายหาดใกล้เคียงจะช่วยแก้ปัญหาได้ในระยะสั้นเท่านั้น หลังจากนั้นทรายก็จะเคลื่อนย้ายไปสู่จุดสมดุลตามเดิม ทรายบริเวณปากแม่น้ำจะสะสมและถูกพัดพาไปยังชายหาดต่างๆในช่วงฤดูน้ำหลาก การขุดลอกทรายบริเวณนี้ไปเติมยังชายหาดจะเป็นการรบกวนความสมดุลนี้ และปากแม่น้ำที่ถูกขุดลอกทรายออกไป ก็จะได้รับการแทนที่ด้วยทรายที่จะพัดพามาจากหาดใกล้เคียงเพื่อรักษาความสมดุลของระบบไว้ ทำให้ชายหาดข้างเคียงสูญเสียปริมาณทรายไปจากเดิม ผลคือไม่เกิดการได้-เสียอะไรในภาพรวม Gold Coast ภาพที่ 1 ปี 1981 ทรายบริเวณปากแม่น้ำถูกขุดลอกออกเพื่อนำไปเติมที่หาดอื่น ภาพที่ 2 ปี 1984 ทรายที่ถูกขุดลอกออกไปกลับมาทับถมกันตามเดิม สรุป หนึ่งในหน้าที่สำคัญของผู้ที่มีอำนาจและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการดูแลชายฝั่ง คือ การให้ความเข้าใจและข้อมูลที่ถูกต้องแก้ประชาชน เนื่องจากความเข้าใจผิดทั้งหลายจะเป็นอุปสรรคต่อการดูแลรักษาชายหาดให้คงสภาพดีอยู่เสมอ และประชาชนก็ควรตระหนักถึงความจำเป็นที่จะต้องเข้าใจทฤษฏีเกี่ยวกับชายหาด อย่างถูกต้อง วิศวกรและนักวิชาการผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการดูแลชายหาดควรจะต้องเป็นผู้ที่มีความรู้เค้าเข้าใจเป็นอย่างดี เพื่อให้แน่ใจว่าโครงการใดๆเกี่ยวกับชายหาดจะเป็นสิ่งที่เหมาะสมตามทฤษฏีและข้อมูลที่ถูกต้อง ผู้เขียน : Carter , T. Common Misconceptions About Beaches. IN: “Beach Conservation”,Issue No.63 May 1986, Beach Protection Authority of Queenland. ผู้แปล : นายดนุชัย สุรางค์ศรีรัฐ (ผู้ช่วยวิจัยโครงการ “การขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะ : กรณีการใช้ประโยชน์หาดทรายและการอนุรักษ์”) จาก ....................... http://beachconservation.wordpress.com
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายน้ำ : 21-02-2011 เมื่อ 07:26 |
|
#4
|
||||
|
||||
|
แผ่นดินที่หายไป ........................... โดย ปิยาณี รุ่งรัตน์ธวัชชัย ![]() ในสมัยสุโขทัยมีตำนานเรื่องพระร่วง หรือเรื่องราวของขุนศรีอินทราทิตย์ ผู้ก่อตั้งอาณาจักรสุโขทัย ซึ่งเป็นนิทานปรัมปรา หรือ Mythology ที่คนอายุ 60 ปีขึ้นไป อาจจะเคยได้ยินคนเฒ่าคนแก่เล่าปากเปล่าให้ฟัง ต่อมาคนรุ่นอายุ 30-40 ปีก็เริ่มได้เรียนจากบทเรียนหรือจากการอ่านพระราชนิพนธ์ของรัชกาลที่ 6 เรื่องตำนานพระร่วง แต่คนรุ่นปัจจุบันดูเหมือนจะโชคร้ายไปหน่อยที่นิทานปรัมปราไม่ได้รับความสำคัญให้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาประวัติศาสตร์เสียแล้ว ความสำคัญจากตำนานพระร่วงที่น่าจะหยิบยกมาเป็นข้อคิดให้กับวิธีการแก้ปัญหาการเสียดินแดน ณ บริเวณชายฝั่งของประเทศไทย มาจากความสำคัญตอนหนึ่งของเรื่องราวในตำนานที่เล่ากันว่าพระร่วงเป็นคนฉลาด มีวาจาสิทธิ์ และรู้จักแก้ปัญหาที่กลายเป็นจุดเปลี่ยนให้กับคนจำนวนมาก ในยุคนั้นไทยต้องส่งส่วยให้ขอมในสมัยก่อน เป็นส่วยที่แปลกมากคือ “ส่วยน้ำ” ที่ต้องขนจากลพบุรีไปเมืองขอม ด้วยการบรรทุกใส่โอ่งขนเดินเท้าไป เมื่อต้องใส่โอ่งระยะทางไกล กว่าจะไปถึงก็ลำบาก หนักก็หนัก เจอปัญหาโอ่งแตกก็ต้องเสียเวลามาเอาน้ำใหม่ จากปัญหาที่คนในชุมชนต้องเจอ ทำให้นายร่วงผู้ฉลาด คิดประดิษฐ์ไม้ไผ่สาน รูปทรงเหมือนตะกร้าใบใหญ่เท่าโอ่งแล้วเอาชันมายาไม่ให้น้ำรั่ว แต่สมัยโบราณอาจจะไม่รู้จัก ก็เล่าไปว่าเป็นวาจาสิทธิ์ของ พระร่วงที่บอกไม่ให้น้ำรั่ว ไม้ไผ่สานเลยบรรทุกน้ำได้ ก็บรรทุกไปส่งขอมที่นครธม คราวนี้การบรรทุกน้ำก็สะดวกขึ้นเพราะเบากว่าโอ่ง ขอมเห็นก็ทึ่งว่าคิดได้อย่างไร และคิดไปถึงว่าผู้นำไทยอาจจะฉลาดเกินไป ถ้าขืนปล่อยไว้อาจจะเป็นปัญหาในภายหลัง ควรจะรีบกำจัดเสีย พระร่วงรู้ข่าวก็หนีภัยไปบวช ขอมก็ส่งพระยาเดโชมาตาม แต่ก็โดนวาจาสิทธิ์ ของพระร่วงที่ออกอุบายให้นั่งรอว่าจะไปตามพระร่วงมาให้ตอนเจอหน้ากันโดยที่ พระยาเดโชไม่รู้ว่าคือพระร่วง จนเกิดเป็นตำนานขอมดำดินกลายเป็นหินอยู่ที่สุโขทัย การหยิบยกตำนานพระร่วงมาบอกเล่าครั้งนี้ ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือกรณีพิพาทชายแดน แต่สิ่งที่ต้องการชี้ให้เห็นคือ การแก้ปัญหาที่ดีจากตัวอย่างของภาชนะบรรจุน้ำ ซึ่งไม่ต่างจากเทคนิควิธีการแก้ปัญหาการเสียแผ่นดินจากการกัดเซาะชายฝั่งทะเลของหลายชุมชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ชายฝั่ง สิ่งที่ชาวบ้านคิดและทำแล้วในหลายพื้นที่ อาจจะเป็นแค่เรื่องเล็กๆ ไม่ใช่ระดับนโยบายที่ยกขึ้นเป็นความสำคัญระดับประเทศ แต่พวกเขาทำได้อย่างมีประสิทธิภาพจากการปฏิบัติจริง จนบางเรื่องพัฒนาไปสู่ผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ เช่น นำไปสู่การสร้างและฟื้นฟูพื้นที่ป่าชายเลนที่จะให้ประโยชน์ต่อคนทั้งประเทศ ไม่ต่าง จากกรณีของพระร่วงที่เริ่มต้นจากนำความสามารถที่มีมาใช้แก้ปัญหาเล็กๆ จนพัฒนาไปสู่การกอบกู้อิสรภาพจากขอม และก่อตั้งเป็นอาณาจักรสุโขทัยขึ้นมาได้ในที่สุด การเสียดินแดนของไทยในทุกวันนี้นั้น ไม่ได้มีเพียงพื้นที่ทับซ้อนบริเวณชายแดนไทยกัมพูชา 4.6 ตารางกิโลเมตรเท่านั้น และข้อแตกต่างอีกประเด็นก็คือพื้นที่พิพาทตลอด ชายแดนไทยกัมพูชาความยาว 798 กิโลเมตร แม้จะยังตกลงกันไม่ได้ แต่ก็ยังคงเป็นพื้นที่ที่ยังคงอยู่ไม่สูญหายไปไหน แต่พื้นที่ชายฝั่งทะเลของประเทศไทยความยาว 2,815 กิโลเมตร มีเนื้อที่ถึง 20.54 ล้านไร่ กินพื้นที่ 807 ตำบล 136 อำเภอ 24 จังหวัด มีประชากรอาศัยมากกว่า 13 ล้านคน และพวกเขามีวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ที่ต้องพึ่งพาการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรชายฝั่งและทะเลโดยตรง พื้นที่ตรงนี้กำลังวิกฤติ ทุกปีประเทศไทยต้องเสียพื้นดินไปเพราะการกัดเซาะชายฝั่ง ทะเลตลอดแนวนี้ โดยมีอัตราเฉลี่ยของการกัดเซาะชายฝั่งประมาณ 5-6 เมตรต่อปี บางพื้นที่ถูกกัดเซาะไม่ถึงเมตร แต่บางพื้นที่ถูกกัดเซาะเกินค่าเฉลี่ยและมีอัตราการกัดเซาะสูงกว่า 10 เมตรต่อปีก็มี แต่ถ้าอ้างอิงตัวเลขจากโครงการการป้องกันแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งแบบบูรณาการ ที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ทำไว้ในการประชุมโครงการด้านวิศวกรรมศาสตร์ เมื่อปี 2551 บางพื้นที่มีอัตราการกัดเซาะสูงจนน่ากลัวถึง 25 เมตรต่อปีก็ยังมี ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลในหลายพื้นที่มีแนวโน้มความถี่และทวีความรุนแรงมากขึ้น ปัจจุบัน ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลจึงถูกบรรจุให้เป็นปัญหาภัยพิบัติระดับชาติ ตัวอย่างอัตราการกัดเซาะที่ผ่านมา จากพื้นที่ชายฝั่งบริเวณคลองด่าน สมุทรปราการ ที่โด่งดังจากโครงการบ่อบำบัดน้ำเสีย ถูกกัดเซาะเฉลี่ยมากกว่าปีละ 10 เมตร เช่นเดียวกับที่บ้านขุนสมุทรจีน อำเภอพระสมุทรเจดีย์ จังหวัดเดียวกัน ที่ยกมาเป็นกรณีศึกษาในครั้งนี้ เขตบางขุนเทียนทะเลกรุงเทพฯ ก็มีอัตราการกัดเซาะมากกว่า 10 เมตรต่อปีเช่นกัน ขณะที่บ้านโคกขาม สมุทรสาคร บางพื้นที่มีการกัดเซาะ บางพื้นที่มีดินงอก แต่อัตราการ งอกของแผ่นดินก็ต่ำลงทุกปีจนตัวเลขแทบจะเป็นศูนย์ ซึ่งชุมชนเหล่านี้เริ่มหาวิธีป้องกันการกัดเซาะ และสร้างแนวป้องกันด้วยตัวเองแล้ว (อ่าน “เสียดินแดน” และ “แนวป้องกัน” กรณีศึกษา: “โคกขาม” “บางขุนเทียน” และ “ขุนสมุทรจีน”) แต่ที่สรุปปัญหาได้ตรงกันสำหรับภาพรวมของชายฝั่งทะเลก็คือเรากำลังเสียดินแดนทุกนาที และหากไม่มีมาตรการหยุดยั้งหรือหันมาใส่ใจ อัตราการสูญเสียก็จะยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม สรุปข้อมูลไว้ว่า ในช่วง 100 ปี ระหว่าง พ.ศ. 2449-2549 พื้นที่ชายฝั่งทะเลสูญหายไปทั้งสิ้น 16,760 ไร่ และในพื้นที่ 5 จังหวัดที่อยู่ในบริเวณอ่าวไทยตอนบนหรืออ่าว ก.ไก่ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร สมุทรสงคราม สมุทรสาคร สมุทรปราการ และฉะเชิงเทรา เป็นจุดที่อยู่ใกล้เขตเมืองและเป็นจุดวิกฤติในด้านนี้ กรมทรัพยากรฯ ยังคาดการณ์ด้วยว่า หากไม่มีมาตรการป้องกันใดๆ อีก 20 ปีข้างหน้าประเทศไทยจะต้องสูญเสียพื้นที่ ชายฝั่งอีกอย่างน้อย 5,290 ไร่ ซึ่งเป็น ตัวเลขที่สูงถึง 1 ใน 3 ของสถิติ 100 ปีที่ผ่านมาทีเดียว ในฝั่งประชาชนที่อยู่ตามชายฝั่งจึงรอความช่วยเหลือไม่ไหว อะไรที่คิดว่าจะป้องกันแผ่นดินตัวเองได้ ชาวบ้านก็ลงมือทำไปก่อนตามกำลังความคิดและความสามารถที่มี ขณะที่หน่วยงานรัฐแม้จะเล็งเห็นแล้วว่า ปัญหาการกัดเซาะคือภัยพิบัติระดับชาติ แต่ในเมื่อยังไม่มีเหตุการณ์กัดเซาะรุนแรง เว้นเสียแต่เป็นเหตุการณ์จากพายุซึ่งก็ผ่านไปหลายปีจนลืมกันไปแล้วนั้น ก็มีเพียงหน่วยงานอย่างกรมทรัพยากรธรรมชาติทางทะเลและชายฝั่ง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่ลำดับ ความสำคัญของปัญหาการกัดเซาะไว้ ซึ่งเป็นแง่มุมจากหน่วยงานรัฐที่จะว่ากันจริงๆแล้วก็ไม่มีผลต่อความหวังของชาวบ้านเท่าไรนัก เพราะข้อมูลเหล่านี้จะมีบทบาทต่อการตัดสินใจในการจัดสรรงบประมาณเสียมากกว่า และเป็นเพียงองค์ประกอบเล็กๆของการตัดสินใจเท่านั้น การลำดับความสำคัญของปัญหาในส่วนของภาครัฐโดยกรมทรัพยากรฯ ซึ่งได้จากการพิจารณาความสำคัญของปัญหาการกัดเซาะร่วมกับพื้นที่ที่ประสบปัญหาขึ้นกับองค์ประกอบ 7 ประการ ดังนี้ หนึ่ง-อัตราเฉลี่ยของการกัดเซาะ หรืออัตราการถดถอยของเส้นขอบชายฝั่งขึ้นไปบนฝั่งเนื่องจากการกัดเซาะพื้นที่ที่ประสบปัญหาการกัดเซาะในอัตราเฉลี่ยสูง จะสูญเสียพื้นที่มาก กว่าพื้นที่ที่ประสบปัญหาการกัดเซาะในอัตราเฉลี่ยต่ำกว่า ในระยะเวลาที่เท่ากัน สอง-ระยะทางของการกัดเซาะ ซึ่งมีลักษณะใกล้เคียงกับข้อแรก แต่แตกต่างกันคือขณะที่ข้อแรกพิจารณาการกัดเซาะตามความลึก แต่ข้อนี้พิจารณาการสูญเสียพื้นที่ตามแนวชายฝั่ง สาม-การประเมินค่าทรัพยากรสิ่งแวดล้อม จะประเมินคุณค่าของทรัพยากรสิ่งแวดล้อมที่พบอยู่ในพื้นที่ที่ประสบปัญหาการกัดเซาะ ส่วนการจัดลำดับความสำคัญจะประเมินผลเสียหายต่อทรัพยากรดังกล่าว หากพื้นที่ดังกล่าวไม่ได้รับการแก้ไข สี่-ผลกระทบต่อประชาชนที่อาศัยในพื้นที่ชายฝั่ง ซึ่งจะพิจารณาถึงจำนวนของประชาชนหรือครัวเรือนที่ได้รับความเดือดร้อน ห้า-การร้องเรียนหรือร้องขอให้มีการแก้ไขปัญหาของประชาชน แต่ยังไม่ได้รับการแก้ไขจากหน่วยงานของรัฐ ในข้อนี้แสดงให้เห็นถึงความเร่งด่วนของปัญหาในแต่ละพื้นที่ หก-โครงสร้างป้องกันชายฝั่งที่พบอยู่ในปัจจุบัน การจัดลำดับความสำคัญ ของการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง จะต้องขึ้นอยู่กับสภาพของชายฝั่งในปัจจุบัน และแผนพัฒนาพื้นที่ดังกล่าวในอนาคต พื้นที่ที่มีการลงทุนก่อสร้างโครงสร้างป้องกันชายฝั่งไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนโดยภาคเอกชนหรือรัฐบาลก็ตาม หากโครงสร้างที่สร้างไว้ทำงานได้ผลดีแล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นต้องพิจารณาก่อสร้างอีก ฯลฯ และ เจ็ด-มูลค่าความเสียหายขั้นต่ำที่เกิดขึ้น สุดท้ายนี้ หากจะถามว่าแล้วปัญหาการกัดเซาะมีผลอะไรต่อคนเมืองที่เป็นพื้นที่ซึ่งมีผลต่อเศรษฐกิจในภาพรวมมากกว่าหรือคนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่อื่นๆ ตอบแบบไม่ต้องคิดได้ว่า ไม่ใช่แค่คนที่อาศัยในประเทศไทยด้วยกัน แต่ทุกคนและทุกสิ่งที่อยู่บนโลกใบเดียวกันนี้ล้วนโยงใยถึงกันไม่ทางใดก็ทางหนึ่งไม่ก็เร็วก็ช้า เหมือนกับที่น้ำแข็งขั้วโลกเหนือละลายคนอยู่เกาะแถวทะเลใต้ก็ได้รับผลกระทบ เจ้าของโรงงานอุตสาหกรรมอาจจะถมที่ดินก่อสร้างโรงงานไว้สูงเพื่อหนีน้ำท่วม ต่อท่อปล่อยน้ำเสียออกไปไกลจากโรงงาน ไหลเรื่อยไปสู่ทะเล แล้ววันหนึ่งกุ้งหอยปูปลาที่เขาสั่งมารับประทาน บนโต๊ะในเหลาชั้นดีก็ซ่อนเอาสารพิษที่เขาเป็นต้นเหตุผสมมาด้วย เป็นสิ่งยืนยันว่าทุกคนในโลกอยู่ในวัฏจักรเดียวกันนี้เอง ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งจึงเป็นเพียงแค่ภาพสะท้อนหนึ่งของปัญหาการเปลี่ยน แปลงสภาพภูมิอากาศที่เป็นรูปธรรมเห็นได้ชัด คนนอกพื้นที่ที่เห็นอาจจะคิดว่าไกลตัวเพราะยังไม่ได้รับความเดือดร้อน แต่ถ้าบอกว่าสิ่งที่คุณเห็นอยู่นี้คือจุดเริ่มต้นเป็นส่วนหนึ่งของภาพสะท้อนของพื้นที่กรุงเทพฯ มากกว่า 55% ที่จะต้องเจอกับภาวะน้ำท่วมหากน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้นอีกแค่ 50 เซนติเมตร หรือจะท่วมถึง 72% ถ้าระดับน้ำทะเลเพิ่มถึง 100 เซนติเมตร การทรุดตัวของแผ่นดินผสมด้วยการกัดเซาะที่ยังคงมีอยู่ต่อเนื่องไม่หยุดนี้ คือสัญญาณเตือนว่ากรุงเทพฯ อาจจะตกอยู่ใต้น้ำ 50-100 เซนติเมตร ภายในปี 2568 (2025) ไม่รวมถึงภัยพิบัติจากอุทกภัยฉับพลันที่อาจจะเกิดขึ้นก่อนหน้านั้นก็ได้ โดยสรุปแล้ว ภาพปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง จึงเป็นหลักฐานที่ยืนยันให้ทุกคนตระหนักร่วมกันว่า ประเทศไทยจัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อการได้รับผลกระทบจากสภาวะ อากาศโลกเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง และจงใช้ปัญหาเล็กๆที่เกิดขึ้นนี้ เริ่มต้นวางแผนรับมืออย่างจริงจังตั้งแต่วันนี้ จาก ..................... นิตยสารผู้จัดการ 360 องศา เดือนมีนาคม 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#5
|
||||
|
||||
|
“เสียดินแดน” และ “แนวป้องกัน” กรณีศึกษา: “โคกขาม” “บางขุนเทียน” และ “ขุนสมุทรจีน” ........................ โดย ปิยาณี รุ่งรัตน์ธวัชชัย ชัชวัสส์ คติพิพัฒน์พร วรรณวณัช สุดจินดา ![]() ถ้าพูดถึงการสูญเสียแผ่นดินของประเทศไทย คนส่วนใหญ่ก็มักจะมองถึงการบุกรุก ยึดครองหรือข้อพิพาททางชายแดนระหว่างประเทศเท่านั้น แต่จะมีสักกี่คนที่ได้รับรู้ถึงการสูญเสียดินแดนหรือแผ่นดินตามแนวชายฝั่งทะเล ซึ่งนั่นรวมถึงการสูญเสียทรัพยากรธรรมชาติที่อยู่ในพื้นที่นั้นๆด้วย เหมือนเหตุการณ์การสูญเสียดินแดนในพื้นที่อ่าวไทยตอนบน หรือที่รู้จักในเชิงสัญลักษณ์ว่า “อ่าว ก.ไก่” ปัญหาของการสูญเสียดินแดนทำให้ชุมชนในพื้นที่นี้ ต้องเรียนรู้วิธีการป้องกันและแก้ปัญหาด้วยตัวเอง และเป็นการต่อสู้กับการเปลี่ยน แปลงสภาพอากาศโลกหรือธรรมชาติผู้กำหนดชะตาชีวิตมนุษย์อย่างน่าสนใจ เริ่มต้นจาก 3 พื้นที่ชายฝั่งทะเลอ่าวไทยตอนบน หรือส่วนหัวของตัว ก. ในอ่าว ก.ไก่ ฝั่งหนึ่งอยู่เลียบไปทางชายฝั่งด้านขวาของทะเลกรุงเทพฯ (เมื่อเราหันหน้าไปทางอ่าวไทย) หรือพื้นที่หมู่ที่ 3 ตำบลโคกขาม อำเภอเมือง จังหวัดสมุทร สาคร และอีกฝั่งเลียบไปทางชายฝั่งซ้าย คือพื้นที่หมู่ที่ 9 บ้านขุนสมุทรจีน ตำบลแหลมฟ้าผ่า อำเภอพระสมุทรเจดีย์ จังหวัด สมุทรปราการ ตรงกลางคือบางขุนเทียน แนวกันชนของคนกรุงเทพฯ ทั้ง 3 พื้นที่เป็นชุมชนชายฝั่งที่มีวิถีชีวิตแบบประมงน้ำเค็มธรรมชาติและประมงพื้น บ้าน ซึ่งเป็นภูมิปัญญาที่สะสมและสืบต่อกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ จึงมีวิถีชีวิตที่คล้ายกัน แต่สภาพทางภูมิศาสตร์ชายฝั่งกลับแตกต่างกัน ส่งผลให้ปัญหาที่เกิดขึ้นในแต่ละชุมชนแตกต่างกัน แต่ก็ยังมีปัญหาหนึ่งที่เหมือนกันก็คือปัญหาแผ่นดินถูกกัดเซาะจากคลื่นน้ำทะเล สิ่งสำคัญที่เหมือนกันของทั้ง 3 พื้นที่ก็คือ ชาวบ้านยังมีความรักและหวงแหนทรัพยากรธรรมชาติในบ้านเกิด ทำให้เกิดกระบวนการขับเคลื่อนของชุมชนเพื่อที่จะอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและผืนแผ่นดินของตนเอง แต่ละพื้นที่ต่างก็มีวิธีแก้ไขปัญหาของตนเอง แม้ว่าจะมีเป้าหมายที่เหมือนกัน โดยหลักการว่าการแก้ไขนั้นๆ จะต้องช่วยลดการกัดเซาะชายฝั่งของคลื่นทะเลและช่วยเพิ่มตะกอนดินเลนเพื่อใช้ เป็นพื้นที่ปลูกป่าชายเลนขึ้นมาใหม่แทนที่ป่าชายเลนเดิมที่หายไป โดยหวังว่าป่าชายเลนรุ่นใหม่นี้จะเป็นแนวป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งที่ยั่งยืนและให้ประโยชน์แก่วิถีชีวิตชุมชนให้กลับมาสมบูรณ์ได้ดังเดิม จาก ..................... นิตยสารผู้จัดการ 360 องศา เดือนมีนาคม 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#6
|
||||
|
||||
|
คนเฝ้าแผ่นดินที่โคกขาม ............................. โดย ปิยาณี รุ่งรัตน์ธวัชชัย ![]() “สมัยก่อนแมงดาจานในพื้นที่มีเยอะ แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว” คำบอกเล่าของ วรพล ดวงล้อมจันทร์ อดีตผู้ใหญ่บ้านหมู่ 3 ตำบลโคกขาม อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร หรือที่รู้จักกันในนาม ผู้ใหญ่หมู ผู้มองเห็นการเปลี่ยนแปลงของแนวชายฝั่งในพื้นที่ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และยังเป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งโครงการศูนย์เรียนรู้อนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมหาชัยฝั่งตะวันออก ศูนย์เรียนรู้ฯดังกล่าวเกิดขึ้นจากความคิดของผู้ใหญ่หมูที่เริ่มเห็นสัตว์ทะเลจำพวกกุ้ง หอย ปู ปลา ที่เคยมีอยู่อย่างสมบูรณ์ในธรรมชาติให้ชาวบ้านจับได้มาก มายลดน้อยลงไป จึงเกิดความสงสัยว่า สาเหตุเป็นเพราะอะไร เขาเริ่มต้นศึกษาจาก ตำราต่างๆ สำรวจพื้นที่และจัดทำข้อมูล จนกระทั่งพบว่าสาเหตุที่สัตว์น้ำพวกนี้ลดน้อยลงหรือหายไปจากพื้นที่ เกิดจากฝีมือของมนุษย์ที่แข่งขันกันใช้ทรัพยากร ไม่ว่าจะเป็นสัตว์น้ำหรือป่าชายเลนนั่นเอง “เมื่อปี 2525 รัฐบาลส่งเสริมการส่งออกกุ้งกุลาดำทำให้ชาวบ้านหันมาเลี้ยงกุ้งกันเยอะ ในยุคนั้นมีการทำลายป่าชายเลนกันในทุกพื้นที่ที่สามารถทำบ่อกุ้งได้ ซึ่งรัฐก็สนับสนุน แต่รัฐไม่ได้มองกลับว่าธรรมชาติต้องหายไป รัฐมองเห็นอย่างเดียวคือ GDP และตัวเลขส่งออก” นี่คือหนึ่งในสาเหตุเริ่มต้นของการสูญเสียทรัพยากรสัตว์น้ำตามธรรมชาติและแผ่นดินชายฝั่งทะเลของพื้นที่นี้ โดยสรุปก็คือ มนุษย์ใช้ธรรมชาติมากเกินไป ซึ่งผู้ใหญ่หมูบอกว่า แม้ทุกคนจะเริ่ม มองปัญหาออก แต่ก็ยังมีปัญหาว่าจะหาวิธีการอะไรฟื้นฟูธรรมชาติกลับมาและแก้ไขข้อผิดพลาดของมนุษย์ที่ทำลงไปอย่างไร ท่วมกลางหมู่คนที่มองไปทางไหนก็มีแต่นักพูดที่รู้ปัญหา แต่แทบจะหานักปฏิบัติไม่เจอ เขาสรุปว่า คนแรกที่ต้องลงมือทำก็คือคนในพื้นที่ เพราะหนึ่ง-เป็นคนที่มีส่วนทำลาย สอง-เป็นคนที่อยู่กับพื้นที่ สาม-เป็นคนที่เดือดร้อนจากทรัพยากรที่หายไป “บทเรียนของเราคือมนุษย์ใช้และทำลายทรัพยากรได้ ก็ต้องสร้างและฟื้นฟูทรัพยากรได้ด้วย แต่ถ้าไม่ทำอะไรเสียเลย แล้วเราจะเหลืออะไรให้ลูกหลาน” นี่คือแนวคิดที่เป็นที่มาของศูนย์เรียนรู้ฯ ผู้ใหญ่หมูจึงร่วมกับคนในชุมชนทำตามแนวคิดของตนเอง แม้ในช่วงแรกจะมีข้อถกเถียงกันว่า ทำกันแค่ 2-3 คนจะไหวหรือ แต่ด้วยแนวคิดที่ว่า อย่างน้อยการก่อตั้งศูนย์ฯ ก็จะทำให้พวกเขารู้ว่าสาเหตุของปัญหาในพื้นที่ที่พบเกิดจากอะไร เวลาจะต้องพูดคุยหรือถูกใครถามจะได้มีคำตอบมาอธิบายได้ถูกต้อง แต่โดยส่วนตัวแล้วแรงบันดาลใจที่ทำให้ผู้ใหญ่หมูหันมาเป็นแนวหน้าในการปฏิบัติอย่างจริงจัง เกิดจากการท้าทายของบุคคลรอบข้าง ที่บางคนหาว่าเขาบ้า ที่วันๆ เอาแต่นั่งมองทะเล “ช่วงก่อนนั้นเวลาน้ำขึ้นผมจะรีบเข้ามาดู พร้อมด้วยสมุดพกเล่มหนึ่ง จดการเปลี่ยนแปลงของชายฝั่งไปเรื่อยๆ มีน้องคนหนึ่งเห็นผมมานั่งบ่อยๆ ก็ทำแคร่ไม้ไผ่มาให้นั่ง เขาพูดเล่นๆว่าเราก็ได้แต่คิดเท่านั้น คิดจนแคร่พังก็ทำอะไรไม่ได้ มานั่งดูธรรมชาติแล้วจะทำอย่างไรให้ธรรมชาติกลับคืน นั่นคือความท้าทาย จากตรงนี้ทำให้เรามีมานะว่าเราต้องทำได้ ส่วนปรัชญาการทำงานนั้นก็คือถ้าคิดแล้วต้องเริ่มต้นทำ อย่าคิดแล้วพูด เพราะเอาแต่พูด แล้วมันจะไม่ได้ลงมือปฏิบัติ” จากการเฝ้าสังเกต จนเกิดเป็นศูนย์เรียนรู้อนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมหาชัยฝั่งตะวันออกขึ้นในปี 2546 “ศูนย์ฯนี้สร้างขึ้นโดยฝีมือของพวกเรา ไม่ได้ใช้งบประมาณของราชการเลย ที่ดิน 5 ไร่ของศูนย์ก็ได้มาจากการบริจาคของพ่อ เป็นการบริจาคให้ อบจ. (องค์การบริหารส่วนจังหวัด) อาคารสมัยก่อนก็ไปขอบริจาคบ้านไม้ของชาวบ้านที่เขาขายที่ไปแล้ว แล้วก็มีคนโน้นคนนี้บริจาคเงินให้บ้าง รวมเป็นก้อนแล้วค่อยๆขยาย เพราะฉะนั้นที่นี่เราอยู่ได้ด้วยเงินบริจาค” ผู้ใหญ่หมูเล่าประวัติความเป็นมาของศูนย์ฯที่ก่อตั้งมากับมือ ทุกวันนี้หน้าที่ของศูนย์ฯ มีเป้าหมายให้คนที่มาเรียนรู้ได้คิดว่า ถ้าไม่ฟื้นป่าชายเลน แล้วจะมีที่ให้สัตว์น้ำที่ไหนหลบภัยเป็นแหล่งอาหาร พร้อมกับเป็นสถานที่ถ่ายทอดประสบการณ์ความรู้ของคนในชุมชนให้กับกลุ่มคนที่เข้ามาร่วมทำกิจกรรมในพื้นที่ เมื่อเป็นศูนย์ฯที่ชาวบ้านทำเอง จึงไม่ได้อิงหลักการใดๆของกฎหมาย หน่วยงานรัฐที่เข้ามาช่วยเหลือบ้างในช่วงเริ่มต้น มีเพียงกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งซึ่งเป็นผู้ดูแลพื้นที่บริเวณนั้นอยู่เท่านั้น สิ่งที่ชุมชนมีอยู่จริงเป็นแค่กฎเกณฑ์ ซึ่งก็มีทั้งกลุ่มชาวบ้านที่เชื่อและไม่เชื่อ ดังนั้น เพื่อจะให้กฎเกณฑ์ที่ตั้งมาได้ผลในเชิงปฏิบัติ กลุ่มผู้นำการอนุรักษ์ ณ บ้านโคกขาม จึงต้องพึ่งพาหน่วยงานรัฐมากขึ้นในระยะต่อมา “ศูนย์อนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 2 สมุทรสาคร หรือหน่วยเฉพาะกิจนี้ มาทำงานร่วมกับเราตามแผนงานที่เราคุยกัน ชาวบ้านก็ร่วมมือด้วย มีการอบรมอาสาสมัคร เป็นการร่วมมือระหว่างชาวบ้านและเจ้าหน้าที่อย่างแท้จริง ชาวบ้านที่เข้ามาทำงาน เขาก็ภูมิใจว่าตัวเขาไม่ได้ทำลายอย่างเดียวแล้ว แต่เขายังมีส่วนร่วมในการฟื้นฟูทรัพยากร โดยเฉพาะเมื่อเราทำเรื่องปักไม้ไผ่ ไม้ไผ่ที่ปักลงไปเวลาน้ำขึ้นมันจะมีตะไคร่น้ำขึ้นมาเกาะ แล้วปลากระบอกก็ขึ้นมากินตะไคร่เยอะมาก แล้วพอน้ำเริ่มจะลง ปลากระบอกก็จะออกไป ทำให้มีปลาโลมาเข้ามาตามแนวไม้ไผ่เพื่อกินปลากระบอก ตอนนี้จังหวัดก็เข้ามาสนับสนุน โดยให้เครดิตว่าเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่น ผมว่ามันดูง่าย แต่ได้ผล” “การปักไม้ไผ่” ที่ผู้ใหญ่หมูพูดถึง เป็นวิธีการป้องกันและรักษาพื้นที่ชายฝั่งจากการกัดเซาะของคลื่นทะเลและเป็นการอนุรักษ์พื้นที่ป่าชายเลนที่ต้นไม้ถูกตัดไปจำนวนมากไม่ให้ถอยร่นหายไปมากขึ้นและเป็นจุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง เพื่อแก้ปัญหาเรื่องการกัดเซาะชายฝั่งที่ชุมชนถือว่าเป็นปัญหาอันดับหนึ่ง ที่เดือดร้อนมากกว่า การที่ทรัพยากรสัตว์น้ำในทะเลหายไปที่ชุมชนมองว่าเป็นปัญหาหลักในช่วงแรก การปักไม้ไผ่ถือเป็นผลงานที่เกิดจากการวิจัยเชิงปฏิบัติการผสมผสานภูมิปัญญา ชาวบ้านขนานแท้ เพราะก่อนจะเป็นแนวไม้ไผ่กั้นการกัดเซาะที่รู้จักกันไปถึงนักวิจัยทั้งในไทยและประเทศต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องน้ำจากเนเธอร์แลนด์ หรือทีมงานจากเยอรมนี แนวไม้ไผ่นี้เกิดจากความคิดง่ายๆของชาวบ้านในพื้นที่ ซึ่งเริ่ม จากการนำไม้เก่าๆมาปักไว้ตามแนวชายฝั่ง เพื่อค้นหาวิธีการและรูปแบบที่จะช่วยชะลอคลื่นและกันดินตะกอนไม่ให้หลุดไหลลงทะเล ก่อนจะมาเป็นแนวไม้ไผ่ที่พัฒนาเป็นระบบเหมือนในปัจจุบัน การใช้ไม้ไผ่แก้ปัญหาการกัดเซาะ มีจุดเริ่มที่ผู้ใหญ่หมูมองว่าตัวแปรสำคัญของการกัดเซาะคือน้ำ ซึ่งเมื่ออยู่นิ่งๆ มันไม่เกิดพลังงาน แต่เมื่อไรที่ขยับก็จะเกิดพลังงาน และเป็นพลังงานหมุนเวียนที่ไม่สิ้นสุดด้วย แต่พลังงานที่เกิดขึ้นแต่ละครั้งนั้นจะเกิดผลต่อสิ่งที่น้ำไปกระทบ จะให้ประโยชน์หรือสร้างความเสียหายก็ได้ “ในทะเลก็ต้องจบที่ชายฝั่ง คลื่นมาไกลมันก็แรง ถ้าเราตั้งรับหรือชะลอได้ก่อน ก็จะทำให้พลังงานของน้ำเบาลงก่อนจะไปจบที่ชายฝั่ง” ผู้ใหญ่หมูเล่าข้อมูลจากการสังเกต ซึ่งเป็นเหตุผลที่ไม่ได้ต่างจากหลักวิชาการซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่คุ้นเคย จากนั้นเขาก็เริ่มคิดง่ายๆว่า เมื่อแรงปะทะหนักถ้าหากแนวกั้นที่เป็นแนวระนาบก็จะเกิดการกระทบรุนแรง แต่ถ้าเป็นรูปทรงกลมก็น่าจะทำให้น้ำไหลลื่นไปได้ รูปทรงกระบอกของไม้ไผ่จึงถูกเลือกมาเป็นตัวตั้งรับ ลดพลังงานน้ำที่วิ่งเข้ามา ลำเดียวไม่พอก็ต้องตั้งลำเป็นแผงทิ้งระยะอย่างเหมาะสม “คิดง่ายๆ จากแรง 100 มันก็จะเหลือข้างละ 50 จาก 50 มันก็จะเหลือข้างละ 25 ระหว่าง 25 เมื่อมันแตกออกมันก็วิ่งมาปะทะกันเองอยู่ในกลุ่มไม้ไผ่ แรงก็สลายลง นี่คือแนวคิด เดิมเลยเราใช้ท่อ PVC ทดลอง แต่ท่อ PVC ทำงานยาก แพงและโดนขโมย ผมมีโอกาสไปที่จังหวัดปราจีนบุรี ไปเจอเขาตัดไผ่ทิ้ง เขาบอกว่าถ้าไม่ตัด หน่อไม้จะไม่โต ทีนี้ก็เลยสนใจว่ามันเป็นวัสดุเหลือใช้ก็เลยคิดว่า ถ้าทำโครงการแล้วไปซื้อไม้ไผ่เขา ชาวบ้าน ทางโน้นก็ได้สตางค์ เมื่อเอามาปักก็ต้องจ้างแรงงานในท้องถิ่น ชาวบ้านที่นี่ก็ได้สตางค์ มันเป็นโครงการที่น่าสนใจก็เลยเริ่มทดลอง เอามาปักหลายๆ รูปแบบ จนท้ายที่สุดเราได้ รูปแบบที่หยุดคลื่นได้ อย่างปีที่แล้วเราไปช่วยทำโครงการที่หมู่ 6 บางหญ้าแพรก เดือนพฤษภาคม พอถึงเดือนสิงหาคมสามารถปลูกป่าได้เลย เพราะตะกอนมันสะสมตัวเร็วมาก ขออย่างเดียวหลังไม้ไผ่อย่าให้กระแสน้ำมันกระเพื่อมเอาตะกอนเลนออกไปได้” ลักษณะที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน สิ่งที่ผู้มาเยือนจะได้พบเห็นคือแนวเสาไม้ไผ่ขนาดเส้น ผ่าศูนย์กลาง 3 นิ้ว ความยาว 6 เมตร ปักตรงลงพื้นทะเล จัดวางให้เป็นรูปทรงสามเหลี่ยม หันด้านแหลมของสามเหลี่ยมเข้าหาหน้าคลื่น ปักเป็นแนวสลับกัน 4 แถว เพียงเท่านี้ก็จะได้หลักการทำงานของกลุ่มไม้ไผ่ที่ทำให้คลื่นที่พัดเข้ามาลดความแรงเมื่อปะทะกับแนวไม้ไผ่ ส่วนน้ำที่ทะลักผ่านไปได้ก็จะลดความแรงลงเมื่อผ่านไปยังไม้ไผ่แถวต่อๆไป จนไม่มีแรงเหลือพอจะไปกระแทกหรือกัดเซาะแนวชายฝั่งให้หน้าดินพังทลาย ขณะที่คลื่นม้วนตัวกลับสู่ทะเลโดยธรรมชาติก็จะหอบเอาทรายหรือดินเลนม้วน กลับลงทะเลไปด้วย แต่แนวไม้ไผ่ก็จะดักตะกอนไว้เหมือนกับที่ลดแรงของคลื่นตอนขาพัดเข้าฝั่ง เมื่อดินตะกอนถูกสะสมมากเข้าหลังแนวไม้ไผ่ ชาวบ้านก็จะลงไม้แสม ลำพู โกงกาง ไม้ท้องถิ่นในป่าชายเลน เพื่อเป็นการเพิ่มพื้นที่ป่า เนื้อดิน และห้องอนุบาลสัตว์น้ำธรรมชาติ การเรียนรู้วิธีแก้ปัญหาและการที่ชาวบ้านเริ่มเข้าใจว่าธรรมชาติจะกลับมาดีได้ต้องมีองค์ประกอบอะไรบ้างแบบนี้ ถือเป็นการทำงานประสานกันอย่างเข้าใจระหว่างมนุษย์และธรรมชาติ จากจุดเล็กๆที่คนในท้องถิ่นสัมผัสได้ และถ้าหากสังเกตแนวไม้ไผ่ของพวกเขา ก็จะยิ่งเห็นว่านอกจากพวกเขาจะเข้าใจธรรมชาติแล้ว เขายังเข้าใจวิถีชีวิตท้องถิ่น ดีไซน์แนวไม้ไผ่จึงดูสวยงามด้วยการแบ่งเป็นช่องเพื่อให้เรือหาปลาสัญจรเข้าออกได้ด้วย (มีต่อ)
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#7
|
||||
|
||||
|
คนเฝ้าแผ่นดินที่โคกขาม .... (ต่อ) ไม้ไผ่ชะลอคลื่นของบ้านโคกขามเริ่มทำมาตั้งแต่ปี 2550 และทำแนวขยายไปแล้ว กว่า 3 กิโลเมตร ทุกวันนี้ชุมชนมีกิจกรรมเพิ่มในเรื่องของการปลูกป่าชายเลน และการอนุรักษ์ทรัพยากรสัตว์น้ำ ตัวเลขที่วัดผลได้อาจจะไม่มาก แต่เป็นตัวเลขที่เป็นกำลังใจและ เป็นความหวังในอนาคตของคนท้องถิ่น ที่จะได้เห็นการสะสมของตะกอนดินหลังแนวไม้ไผ่เพิ่มสูงขึ้นกว่า 1.50 เมตร ขณะเดียวกันก็ยังมีปลาโลมาอิรวดี แม้แต่ปลาวาฬบลูด้า แวะกลับมาเยี่ยมเยียนให้เห็นในช่วงฤดูหนาวหรือตั้งแต่ปลายเดือนธันวาคมถึงต้นเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปีอีกด้วย พื้นที่คุ้มครอง 5 กิโลเมตรจากชายฝั่งบริเวณโคกขาม คิดเป็นพื้นที่ประมาณ 10.45 ตารางกิโลเมตร อาจจะยังตัดสินได้ไม่ชัดเจนว่าสิ่งที่ชาวบ้านทำจะเป็นการแก้ปัญหาระยะยาวให้กับพื้นที่ได้ไหม แต่สิ่งที่ผู้ใหญ่หมูมั่นใจคือ การเริ่มต้นแก้ปัญหาในพื้นที่ตรงนี้เป็นการสร้างจิตสำนึกในระยะยาวให้กับคนในชุมชนได้ เพียงแต่เริ่มต้น กลุ่มผู้ดำเนินงานต้องใช้ความอดทนสูงต่อเสียงที่ไม่เข้าใจของชาวบ้านบางกลุ่ม “แรกๆชาวบ้านก็ด่า ทำไมเคยใช้อวนรุนได้แต่ห้ามเข้ามาลาก พวกเราก็ได้แต่บอกว่าไม่เป็นไรอดทนไว้ สักวันเขาจะเข้าใจ พอทรัพยากรเริ่มฟื้นฟู เขาก็ได้เห็นด้วยตัวเอง ลูกหอยแครงเกิดเต็มพื้นที่ เมื่อปี 2552 ชาวบ้านเก็บหอยได้ทั้งปี” เทียบกับช่วงก่อนที่ทำโครงการแนวไม้ไผ่ ชาวบ้านหาหอยแครงขายได้ไม่เกินวันละ 200 บาท แต่ตอนนี้แค่ 2-3 ชั่วโมงก็ได้ถึง 700-800 บาท ช่วงที่หาดโคลนสมบูรณ์มากๆ บางครอบครัวสามารถทำรายได้จากการหาหอยแครงถึง 3,500-4,000 บาทเลยทีเดียว แค่ 2 ปี ธรรมชาติก็ฟื้นตัวเองได้แล้ว ผู้ใหญ่หมูได้แต่หวังว่า บทเรียนนี้จะทำให้ชาวประมงเข้าใจกลไกที่ตัวเองกระทำกับธรรมชาติ เช่น รู้ว่าใบพัดที่ขับเคลื่อนเรือเมื่อไปปั่นหน้าเลนจะทำให้แก๊สกระจายไปทั่ว สัตว์น้ำก็อยู่ไม่ได้ และเครื่องมือประมงบางชนิดก็ทำลายสัตว์น้ำมากเกิน เมื่อทุกคนเข้าใจก็เริ่มรู้จักรักษาสิ่งที่ได้กลับมา อีกทั้งยังทำให้พวกเขาประกอบอาชีพได้มากกว่าเดิม เพราะเมื่อมีแนวกั้นคลื่นชายฝั่งมีดินเลนสะสม แผ่นดินที่ยังเหลือก็ไม่เสี่ยงต่อการสูญหาย ชาวบ้านก็เริ่มทำกระชังปูในลำคลอง เพื่อใช้กระชังเป็นที่พักปูไข่นอกกระดอง “ปูไข่นอกกระดองมันวางใจอุ้มลูกมาฝากเลี้ยงไว้ตรงนี้ ถ้าคนไปจับ มันจะขยายพันธุ์อย่างไร ดังนั้นถ้าทุกคนเคารพกฎเกณฑ์ธรรมชาติก็จะดีและสัตว์น้ำก็จะมีมากขึ้น” ตัวอย่างจากปูชายฝั่งเป็นการแสดงให้เห็นว่าเมื่อชาวบ้านเริ่มเข้าใจ ก็จะมีผลต่อธรรมชาติเพิ่มขึ้นเพราะพวกเขาสามารถขยายขอบเขตความเข้าใจจากพื้นที่ชายฝั่งออกไปจากการตามติดชีวิตปูทะเลอีกด้วย เมื่อปูเดินทางออกทะเล จากเดิมพวกมันต้องฝ่าด่านโพงพางที่มีอยู่เต็มไปหมดในคลอง ถ้าโชคดีหลุดไปได้ก็ยังต้องเจอกับอวนลอย อวนรุน เปรียบไปแล้วก็เหมือนกับความยากลำบากที่มนุษย์ต้องเจอ ซึ่งทำให้พวกเขาเริ่มเข้าใจวิถีชีวิตสัตว์น้ำชายฝั่งเหล่านี้มากขึ้น ดังนั้น เมื่อมนุษย์ได้ชื่อว่าเป็นสัตว์ประเสริฐ มีสมองคิดได้ จึงควรจะเป็นผู้ “หยุด” เสียก่อน “เราต้องหยุดก่อน แค่เราหยุดมาไม่กี่ปี ผลลัพธ์ที่โคกขามได้ทุกวันนี้ เรามีดินพอ ที่จะปลูกป่าชายเลนหลังจากมันเคยหายจากฝั่งไปเป็นกิโล เราลดแรงคลื่น ลดการกัดเซาะ เราจับได้ถึง 3 หอย หน้าแล้งเก็บหอยแครง หน้าหนาวเก็บหอยแมลงภู่ และเก็บหอยดินในหน้าฝน แค่นี้ชาวบ้านก็มีรายได้ ถือว่าคุ้ม แม้ว่าเขาจะต้องใช้เวลาเพื่อทำความเข้าใจเรื่องเหล่านี้ถึง 3-4 ปี” คนโคกขามดูเหมือนจะไม่หวงทรัพยากรที่พวกเขาทำให้กลับคืนมายังท้องถิ่นได้ เพราะหากคนถิ่นอื่นจะเข้ามาใช้ประโยชน์จากทรัพยากรสัตว์น้ำในพื้นที่ก็ทำได้ เพียงแต่พวกเขาต้องเคารพกติกาเดียวกัน นั่นคือต้องจับด้วยมือ หากจะย้อนไปก่อนหน้าที่บ้านโคกขามจะจัดการชายฝั่งและทรัพยากรได้เข้ารูปเข้ารอย ทั้งป่าชายเลนและแผ่นดินก็หายไปมากแล้ว พวกเขาไม่รู้ว่าสาเหตุที่แท้คืออะไร แต่เท่าที่เห็นด้วยตาในพื้นที่และคิดง่ายๆ ก็คือน้ำทะเลเซาะเอาแผ่นดินไป โดยที่ลืมคิดไปว่าแล้วตะกอนที่มาตกเป็นดินเลนสะสมนั้นเดิมมันมาจากไหน “ช่วงแรกเขาบอกว่าตะกอนถูกปิดกั้นด้วยเขื่อนต่างๆที่อยู่ตอนต้นน้ำ ทำให้ไม่มีตะกอนดินมาสะสมที่ชายฝั่งเหมือนในอดีต ชายฝั่งก็เลยไม่มีตะกอนมาเสริมเพิ่มเติม อันนี้เป็นข้อมูลของนักวิชาการซึ่งเราไม่รู้” เรียกว่าคนในพื้นที่รับรู้สาเหตุที่เกิดปัญหาแต่เพียงด้านเดียว นั่นคือคลื่นลมกัดเซาะ ยิ่งพอช่วงที่การเลี้ยงกุ้งกุลาดำฮิต มีการทำประตูปิดกั้นน้ำที่บ่อกุ้ง การตัดไม้ป่าชายเลนเพื่อทำบ่อกุ้งก็ยิ่งถูกรุกหนัก มีการดึงน้ำทะเลเข้ามาในบ่อกุ้ง ช่วงเปิดน้ำเข้าก็เอาตะกอนจากชายฝั่งเข้ามาด้วย แต่พอบ่อกุ้ง ตื้นเขิน เจ้าของบ่อก็หาประโยชน์แม้แต่กับ ตะกอนก้นบ่อ โดยขุดดินขายเพื่อให้บ่อกุ้งลึกขึ้น จึงเหมือนกับขุดตะกอนจากชายฝั่งไปถมที่อื่น แถมทุกวันนี้ถนนแถวชายฝั่งทะเลก็ยังคงมีรถบรรทุกดินให้เห็นอยู่บ่อยๆ ตะกอนเก่าก็เดินผิดที่ผิดทางไปแล้ว แผ่นดินก็ร่นเข้ามา ตะกอนที่พอมีก็ยังถูกขน ออกไปนอกพื้นที่อีก ทั้งหมดล้วนเป็นการทำงานบนความโลภของมนุษย์ที่ไม่มีใครห้ามไหว เพราะที่ดินมีผู้ครอบครองเป็นผู้ครอบครองที่มีอำนาจจะจัดการอย่างไรกับพื้นที่ตัวเองก็ได้ “เราทำงานกับความโลภของมนุษย์ ขณะที่คนหากินชายฝั่งหรือชุมชนชายฝั่งรับฟังพวกเรา แต่กลุ่มคนทำอาชีพเพาะเลี้ยงชายฝั่งกลับแค่เข้ามาใช้ประโยชน์และ มักจะเป็นกลุ่มที่ไม่ค่อยฟัง เพราะไม่เดือดร้อนจากฐานทรัพยากรที่เสียหาย เราก็ต้องอาศัยคนในพื้นที่เป็นเรี่ยวแรงสำคัญในการปกป้อง” วิธีง่ายๆ ถ้าผู้ใหญ่หมูและชุมชนจะทำให้คนนอกพื้นที่ชายฝั่งรู้สึกตระหนักกับปัญหาการเสียแผ่นดินก็ทำได้ เพียงแค่พวกเขาไม่เข้าไปป้องกันแล้วปล่อยให้วันหนึ่งการกัดเซาะลามจากชายฝั่งร่นเข้าไปถึงถนน เขาเชื่อว่าระยะแค่หนึ่งกิโลเมตรก็ใช้เวลาแค่แป๊บเดียว แต่พวกเขาก็เลือกที่จะปกป้องและเสริมสร้างพื้นดินเพื่อคนส่วนรวมและเพื่ออนาคตชุมชน แม้ว่าจะมีคนบางกลุ่มเมินเฉยต่อปัญหาเหล่านี้อยู่ก็ตาม “ก่อนไม้ไผ่จะพังเราได้ดินตะกอนพอปลูกป่าได้ เมื่อไรได้ตะกอนเลนต้องรีบปลูกป่า มีเสียงสะท้อนว่าไม้ไผ่มันไม่ถาวร มันผุ ผมก็บอกว่าผมไม่ต้องการความถาวร ในป่า ไม่ต้องการอะไรที่ถาวร ผมต้องการให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ แต่สิ่งที่ผมต้องการมากๆ คือ เมื่อไรคนชายฝั่งจะมีจิตสำนึกในการรักษาป่า มันเป็นกุศโลบายว่าถ้าคุณไม่ทำ คุณไม่ต่อสู้ คุณก็อยู่กับไม้ไผ่ต่อไป” กว่าชาวบ้านจะคิดได้ว่าจะจัดการกับธรรมชาติที่มาเอาแผ่นดินไปอย่างไร อุปสรรคที่พบอีกประการคือต้องทำให้นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมหรือกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหายอมรับวิธีการนี้ด้วย เพราะถึงพวกเขาจะอยู่กับชายฝั่ง แต่ชายฝั่งก็เป็นสิทธิ์ของคนไทยทุกคนเช่นกัน ช่วงก่อนที่โครงการแนวไม้ไผ่ชะลอคลื่นจะเริ่มขึ้น ผู้ใหญ่หมูต้องเดินสายเสวนากับนักวิชาการ เหตุการณ์หนึ่งในปี 2549 คือตัวอย่างที่ชาวบ้านอย่างเขาต้องเจออยู่เสมอ ครั้งนั้นเขาขอเวลาเพียงแค่ครึ่งชั่วโมงเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดกับกลุ่มนัก วิชาการ แต่เขาได้สิทธิ์แค่ 3 นาที และไม่มีใครยอมรับหรือตั้งคำถามกับเขา “เขาถามแต่พวกอาจารย์” เหตุการณ์ที่ผู้ใหญ่หมูจำได้แม่น แต่ก็ไม่ได้ทำให้เขาท้อ แต่กลับมุ่งมั่นที่จะเดินหน้าทำให้สิ่งที่ไม่มีทฤษฎีหรือตำราไหนเขียนระบุไว้ก่อนหน้านั้นว่า ลำไม้ไผ่สามารถทำให้พลังงานเปลี่ยนทางได้ มีผลลัพธ์ที่จับต้องได้และเป็นที่ยอมรับ ด้วยความเป็นคนช่างสังเกต ผู้ใหญ่หมูเก็บเทคนิคที่นักวิชาการใช้ในการนำเสนอผลงาน กลับมาประยุกต์ใช้กับการทำงานของตัวเอง เขาเก็บข้อมูล ทำแผนผัง ทำเอกสาร นำเสนอ มีภาพเปรียบเทียบให้ดูก่อนและหลังปักไม้ไผ่ว่าผลลัพธ์เปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ชุมชนเริ่มปลูกป่าได้อย่างไร ข้อมูลที่นำเสนอแบบนักวิชาการโดยฝีมือชาวบ้านธรรมดาสร้างการเปลี่ยนแปลงในวงสนทนาทันที “พวกเขาก็ถึงบางอ้อกัน เริ่มมีนักวิชาการเข้ามา ถึงผมจะทำเป็นเอกสารแต่ก็ขาด ข้อมูลด้านวิชาการ เลยขอให้กรมทรัพยากรฯ เชิญนักวิชาการจากจุฬาฯ มาเก็บข้อมูลหลังไม้ไผ่ ได้อาจารย์สมภพ รุ่งสุภา ซึ่งหลังจากเก็บข้อมูลท่านบอกว่าตะกอนสะสมเพิ่มขึ้นเร็วมาก พอเรารู้ก็คิดว่าจะทำอย่างไรต่อ” แนวไม้ไผ่ถูกนำมาออกแบบใหม่ เพื่อให้ได้รูปแบบของการทำงานที่มีประสิทธิภาพ แล้วหลังจากนั้นทุกครั้งที่ผู้ใหญ่หมูนำเสนอผลงานเขาจะนำผลงานของนักวิชาการหรืออาจารย์สมภพร่วมนำเสนอด้วย “เพื่อให้เห็นว่าเราก็มีวิชาการเหมือนกัน ที่เราทำงานไม่เก็บข้อมูลของเราก็เพราะเดี๋ยวมันจะเหมือนยอตัวเอง เลยต้องให้เป็นงานของคนกลางเข้ามาเก็บ ซึ่งหลังจากนั้นก็เป็นที่ยอมรับ” แนวไม้ไผ่กันคลื่นกลายเป็นองค์ความรู้หนึ่งของบ้านโคกขามที่สร้างเป็นบทเรียนให้ กับเครือข่ายชุมชนอ่าวไทยตอนบนหรืออ่าว ก.ไก่ และหลายพื้นที่นำไปเป็นแบบอย่างปรับ ใช้ในพื้นที่ของตัวเองต่อๆไป มีทั้งในกรุงเทพฯ สมุทรปราการ เพชรบุรี ฯลฯ ซึ่งรวมตัวกันเป็นเครือข่าย เครือข่ายเหล่านี้เกิดขึ้นมาได้ราว 2-3 ปี พอๆ กับการเกิดขึ้นของการทำแนวไม้ไผ่ การเกิดเครือข่ายทำให้ทุกคนได้หันกลับไปถอดบทเรียนจากพื้นที่หน้าบ้านตัวเอง การถอดบทเรียนทำให้ชุมชนเกิดคำถามและการค้นหาคำตอบว่าปัญหาของพวกเขาคืออะไร “การค้นหาปัญหาและคำตอบทำให้ชุมชนรู้ลึกไปเรื่อยๆ ป่าหายไม่ใช่แค่คนตัดไม้ แต่ลึกกว่านั้นเขาต้องเข้าใจถึงทรัพยากรของเขาว่าเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร จะฟื้นฟูอย่างไร” สิ่งที่ต้องทำต่อเนื่องต่อจากโครงการแนวไม้ไผ่ที่ชุมชนต้องการ คือการสร้างแนว ป่าเพื่อป้องกันแผ่นดินเป็นแนวคิดของการย้อนสู่อดีต ที่คนในชุมชนเพิ่งเริ่มตระหนักได้ว่า สิ่งที่จะเป็นตัวดูดซับคลื่นได้ดีจริง คือแนวป่าชายเลนซึ่งเคยมีอยู่หนาทึบในพื้นที่ในอดีต ดังนั้นเมื่อได้ดิน พวกเขาจึงรีบปลูกป่าซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องการการสนับสนุนจากหลายฝ่าย โดยเชื่อว่าป่าเท่านั้นที่จะรักษาพื้นดินได้ถาวรและยาวนานกว่าเสาไม้ไผ่หรือ เสาปูนซึ่งอยู่ได้เต็มที่ก็ไม่เกิน 5-20 ปี และมีเพียงเงื่อนไขเดียวที่จะให้มีป่าอยู่ได้ถาวรคือคน ซึ่งจะต้องเป็นผู้นำป่ากลับมาและรักษาไว้ “ในระยะยาว เราคาดหวังว่าจะขยับพื้นที่ป่าออกไปเพื่อสร้างสมดุลในพื้นที่มาก ขึ้น แนวไม้ไผ่ที่เราทำกันน่าจะช่วยเพิ่มตะกอนขึ้นมาในระนาบของฝั่ง ไม่เกิน 10 องศาก็น่าจะป้องกันแผ่นดินได้แล้ว แต่ทั้งนี้ต้องไม่ลืมว่าแผ่นดินที่ได้กลับมานี้ไม่ตายตัว เพราะชายฝั่งมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาตามธรรมชาติด้วย ไม่ใช่เปลี่ยน เพราะฝีมือมนุษย์เพียงอย่างเดียว” อย่างไรก็ตาม สิ่งที่พวกเขาทำอยู่ในพื้นที่ทุกวันนี้ เมื่อมองจากภาพใหญ่ระดับประเทศ ก็เป็นเพียงผลงานชิ้นจ้อย ที่เป็นเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าและยังไม่ใช่แนวทางแก้ที่ถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์ แม้จะเป็นผลงานที่ให้ผลหลายด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเขาหวังว่า ดินตะกอนที่สะสมจะช่วยให้เขาสร้างผืนป่าชายเลนกลับมาอีกครั้งพร้อมๆกับความสมบูรณ์ของทรัพยากรในทะเล แม้ทรัพยากรเหล่านี้จะไม่คงทนถาวรโดยธรรมชาติ แต่ถ้ามันจะเป็นสิ่งที่สร้างความถาวรด้านจิตสำนึกรักษาป่าและเข้าใจธรรมชาติ ผู้ใหญ่หมูก็จะถือว่าเป็นผลสำเร็จที่พวกเขาทำให้มนุษย์ได้กลับมาเรียนรู้ที่จะอยู่อย่างสันติกับธรรมชาติอย่างยั่งยืนได้แล้ว จาก ..................... นิตยสารผู้จัดการ 360 องศา เดือนมีนาคม 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
![]() |
| คำสั่งเพิ่มเติม | |
| เรียบเรียงคำตอบ | |
|
|