![]() |
|
|
|
#1
|
||||
|
||||
|
“เขื่อนดักตะกอน” จากเสาไฟ เพิ่มพื้นดินให้กลับคืน ป้องไทยเสียดินแดน โดยไม่รู้ตัว ประเทศไทยกำลังจะเสียดินแดน!!! ที่กล่าวมานี้ไม่ใช่ว่าไทยจะเสียดินแดนกรณีพิพาทชายแดนไทย-เขมร แต่อย่างใด แต่เป็นเพราะปัญหาชายฝั่งทะเลถูกกัดเซาะ ซึ่งกลืนกินพื้นที่ไปไม่น้อยในแต่ละปี และจะรุนแรงยิ่งขึ้นในอนาคต คลื่นรมที่แรงขึ้นมีการกัดเซาะชายฝั่งที่ยาว 2,815 กม. ครอบคลุมพื้นที่ 23 จังหวัด พบว่าอ่าวไทยมีพื้นที่วิกฤตที่มีการกัดเซาะเฉลี่ยมากกว่า 5 เมตรต่อปี จ.สมุทรปราการ มีพื้นที่ติดอ่าวไทยตอนบน มีความยาวของชายฝั่งทะเลประมาณ 45 กิโลเมตร แต่ปัจจุบันถูกกัดเซาะอย่างรุนแรงไปแล้วกว่า 30 กิโลเมตร หรือคิดเป็น 67% ของความยาวชายฝั่งทะเลทั้งหมด โดยเฉพาะแหลมสิงห์ ที่ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา น้ำทะเลได้กัดเซาะพื้นดินหายไปนับสิบกิโลเมตร ซึ่งถือว่าอยู่ในขั้นวิกฤต หากปล่อยไว้พื้นดินก็จะถูกกัดเซาะหายไปเรื่อยๆ การไฟฟ้านครหลวง หรือ กฟน. ซึ่งมีพื้นที่รับชอบการจ่ายไฟให้กับกรุงเทพฯ และปริมณฑล ในฐานะหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งตระหนักในปัญหาภาวะโลกร้อนและมีความห่วงใยในปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เสื่อมโทรมโดยเฉพาะป่าชายเลน จึงได้จัดกิจกรรมสนับสนุนการอนุรักษ์และฟื้นฟูสภาพป่าชายเลนมาโดยตลอด โครงการ “กฟน. รวมพลังคนพันธุ์อา...ปลูกป่าชายเลน” คือ โครงการล่าสุดที่ กฟน. ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ได้จัดขึ้นมาตั้งแต่ปี 2551 ด้วยการสนับสนุนให้ เยาวชน นักเรียน และนักศึกษา มีส่วนร่วมในการปลูกป่าชายเลนเพื่อฟื้นฟูและรักษาชายฝั่งทะเล นายสมศักดิ์ ศรีทองวัฒน์ ผู้ช่วยผู้ว่าการการไฟฟ้านครหลวง กล่าวว่า ปัจจุบันพื้นที่ป่าชายเลนลดจำนวนลงอย่างมาก อยู่ในสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วง กฟน. จึงได้จัดโครงการ “กฟน. รวมพลังคนพันธุ์อา...ปลูกป่าชายเลน” นี้ขึ้น ซึ่งเป็นกิจกรรม csr ที่จะมุ่งเน้นเยาวชนให้มีจิตสำนึก ตระหนัก และรักษาสิ่งแวดล้อม โดยการร่วมกิจกรรมปลูกป่าชายเลนในพื้นที่ต่างๆ พร้อมทั้งให้ความรู้โดยการศึกษาจากธรรมชาติ สร้างการเรียนรู้ให้กับเยาวชนแบบบูรณาการจากประสบการณ์จริง และสร้างเครือข่ายการอนุรักษ์ให้กับเยาวชนรุ่นใหม่ ปี 2554 เป็นปีที่ 4 ของการจัดโครงการ โดยได้นำเยาวชนจำนวน 2,000 คน ซึ่งเป็นนักเรียนอาชีวศึกษาในสังกัดพื้นที่ กรุงเทพฯ นนทบุรี และสมุทรปราการ โดยแบ่งเป็น 10 รุ่นๆ 200 คน เข้าร่วมกิจกรรมปลูกป่าชายเลน ที่บริเวณป้อมประจุลจอมเกล้า ฐานทัพเรือกรุงเทพ จ.สมุทรปราการ ซึ่งจากผลการประเมินป่าชายเลนที่ปลูกไว้ สามารถอยู่รอดได้มากกว่า 60% การปลูกป่าชายเลนเป็นวิธีการหนึ่งที่จะคืนธรรมชาติคืนสู่ท้องทะเลไทย และยังช่วยเพิ่มพื้นดินใหม่อีกด้วย ซึ่งการเพิ่มพื้นดินนี้ยังมีอีกแนวทางหนึ่ง ที่ กฟน. ได้จัดทำขึ้น ด้วยการใช้วัสดุ อุปกรณ์ของ กฟน. มาใช้ให้เกิดประโยชน์ นั่นคือ เสาไฟฟ้า เสาไฟฟ้า สามารถนำมาสร้างเป็นเขื่อนดักตะกอนเพื่อป้องกันการกัดเซาะและเพิ่มพื้นดินให้กลับคืนมาได้ กฟน. มีโครงการก่อสร้าง “เขื่อนดักตะกอน” เพื่อป้องกันการกัดเซาะของน้ำทะเล และนำพื้นดินกลับมา โดยเป็นการต่อยอดจากภูมิปัญญาชาวบ้าน โดยการใช้เสาไฟฟ้าหัก ชำรุด ไม่สามารถใช้ได้มาแทนไม้ไผ่ และใช้ยางรถยนต์เก่าสวมเข้ากับเสาไฟฟ้า นำไปปักบริเวณที่ชายฝั่งที่มีปัญหาด้านการกัดเซาะ นายสมศักดิ์กล่าวว่า จากการศึกษาของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในระยะแรกตั้งแต่ ต.ค.2548 จนถึงปี 2551 พบว่า เขื่อนดักตะกอนที่สร้างขึ้นจากเสาไฟฟ้า มีประสิทธิภาพลดทอนความแรงของคลื่น และเปลี่ยนทิศทางกระแสน้ำได้ถึง 80% ดินโคลนจะถูกซัดขึ้นมาค้างกลายเป็นตะกอนอยู่หลังเสาไฟฟ้า ซี่งจะกลายเป็นพื้นดินต่อไปในอนาคต สูงขึ้นจากเดิม 60 ซม. นอกจากนี้แล้ว กฟน. ยังได้วิเคราะห์และวิจัย มาอย่างต่อเนื่อง เพื่อหาวิธีการที่ดีที่สุดเพื่อให้เขื่อนดักตะกอนเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งเรื่องของระยะห่างระหว่างชายหาดกับแนวเสาไฟฟ้า ระยะห่างระหว่างเสาไฟฟ้าแต่ละต้น และวิธีการปักเสาไฟฟ้าอีกด้วย ผลของการปลูกป่าชายเลนไปแล้วกว่า 200 ไร่ และโครงการปักไฟฟ้าทำเขื่อนดักตะกอน ณ วันนี้ สามารถฟื้นฟูป่าชายเลน สร้างแหล่งอาหารและเป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำ คืนธรรมชาติกลับคืนมา รวมไปถึงการได้ผืนดินกลับมาในอนาคตอีกด้วย ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง นับเป็นปัญหาใหญ่ที่ส่งผลให้พื้นดินถูกทลายลงหายไปกับน้ำทะเล แน่นอนว่าหากปล่อยปะละเลยไป โดยไม่มีการป้องกัน แผ่นดินไทยก็จะสูญหายไปเรื่อยๆ ไม่ต่างจากการที่ประเทศไทยเสียดินแดนโดยไม่รู้ตัว นั่นเอง จาก ........................... แนวหน้า วันที่ 5 กรกฎาคม 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#2
|
||||
|
||||
|
ถมชายหาดพัทยาก่อนจมหายใน 4 ปี จุฬาฯ ได้ข้อสรุปวิธีแก้ปัญหากัดเซาะชายหาดพัทยา ใช้วิธีเติมทรายเพิ่มความกว้าง 35 เมตร ป้องกันคลื่นกลืนหาดพัทยาจมหายได้ 10-14 ปี เผย 8 เดือนทำเสร็จ ชี้แบบจำลองช่วงน้ำลงหาดพัทยากว้างได้ถึง 106 เมตร ขณะนี้กว้างเฉลี่ย 3 เมตรเท่านั้น เผยนำทรายจากปากแม่น้ำระยองเหมาะสมที่สุด ไม่มีผลกระทบสิ่งแวดล้อม กรมเจ้าท่าตั้งงบรอ 387 ล้านบาท เมื่อวันที่ 29 กันยายน ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศ.ดร.ธนวัฒน์ จารุพงษ์สกุล หัวหน้าหน่วยศึกษาพิบัติภัยและข้อสนเทศเชิงพื้นที่ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ เปิดเผยผลสรุปโครงการศึกษาวางแผนแม่บทและสำรวจออกแบบเพื่อเสริมทรายชายหาดพัทยาว่า ขณะนี้ได้ศึกษาวิจัยแนวทางแก้ปัญหากัดเซาะชายหาดพัทยาเสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยใช้วิธีนำทรายจากปากแม่น้ำระยองจำนวน 369,035 ลูกบาศก์เมตร มาเติมชายหาดพัทยาจนได้ความกว้าง 35 เมตร เท่ากับความกว้างในอดีตเมื่อปี 2495 แต่ปัจจุบันชายหาดพัทยามีความกว้างเฉลี่ย 3 เมตร ช่วงน้ำขึ้นสูงสุด พัทยาเหนือและใต้ไม่มีชายหาด ผู้ประกอบการต้องใช้วิธีใช้กระสอบทรายกั้นแล้วโกยทรายมาใส่ในบริเวณเตียงผ้าใบ แต่ไม่มีทางเดินหาดทรายแล้ว หากปล่อยไว้โดยไม่รีบแก้ไขก็จะส่งผลให้ชายหาดพัทยาถูกกัดเซาะจมหายภายใน 4-5 ปีข้างหน้า ศ.ดร.ธนวัฒน์กล่าวว่า สำหรับการศึกษาออกแบบและขั้นตอนเสริมทรายเสร็จสมบูรณ์แล้ว วิธีนี้ถือเป็นโครงสร้างแบบอ่อนที่นิยมทำในต่างประเทศ แต่ประเทศไทยยังไม่เคยทำมาก่อน ซึ่งมักจะใช้โครงสร้างแบบแข็ง เช่น เขื่อนกันคลื่น การเติมทรายเป็นวิธีที่ทำยาก ต้องใช้องค์ความรู้หลายสาขาวิชาเข้ามาบูรณาการ ต้องศึกษารูปแบบการกัดเซาะชายฝั่ง ทิศทางการเคลื่อนไหวของทราย กระแสคลื่นและลม รวมทั้งความเหมาะสมของแหล่งทราย ที่สำคัญคือ ต้องไม่มีผลต่อกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น ไม่ให้ทรายฟุ้งกระจายทำให้น้ำขุ่น ก่อนหน้านี้พัทยาเคยแอบเติมทรายมาแล้ว แต่ใช้ทรายเม็ดเล็กทำให้ชายหาดถูกกัดเซาะเร็วขึ้น "วิธีเติมทรายไม่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในทะเล แต่อย่างไรก็ตาม จะหารือกับสำนักนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ว่าโครงการเติมทรายนี้เข้าข่ายต้องจัดทำรายงานผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม หรืออีไอเอ ด้วยหรือไม่ ถ้าเข้าข่ายก็พร้อมที่จะยื่นรายงานได้ทันทีและไม่มีปัญหาแน่นอน เพราะเป็นข้อสรุปจากผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน" ศ.ดร.ธนวัฒน์เผย ทั้งนี้ กรมเจ้าท่าเป็นหน่วยงานรับผิดชอบโครงการดังกล่าว โดยตั้งงบประมาณไว้ 387 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มทำได้ในปี 2555 โดยขั้นตอนการเติมทรายมีระยะเวลาทั้งสิ้น 8 เดือน จากการวิเคราะห์หาดสมดุลจากแบบจำลองทางวิศวกรรมชายฝั่ง หลังจากเสริมทรายชายหาดกว้าง 35 เมตร พบว่า ชายหาดพัทยาจะใช้เวลาในการปรับสภาพเข้าสู่สภาพสมดุลใน 3 ปีแรก เมื่อผ่านปีที่ 3 ไปแล้วความกว้างชายหาดจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง ในกรณีน้ำขึ้นสูงสุดชายหาดจะกว้าง 40 เมตร กรณีน้ำลงต่ำสุด ชายหาดจะมีความกว้าง 106 เมตรนับตั้งแต่แนวกำแพงทางเดินชายฝั่งถึงระดับน้ำทะเล นอกจากการเติมทรายแล้วยังมีการสร้างแนวกันชนโดยใช้ถุงทรายทำจากใยสังเคราะห์ที่มีคุณสมบัติทนต่อแสงแดดและการกัดกร่อนของน้ำทะเล ถุงทรายนี้ฝังไว้ใต้พื้นทราย 50 เซนติเมตร เพื่อป้องกันการกัดเซาะที่รุนแรงจากคลื่นลมที่ผิดปกติ และช่วงที่มีพายุไต้ฝุ่นเข้าหาดพัทยา ระยะแนวกันชนได้ออกแบบไว้ห่างจากแนวกำแพงริมทางเดินชายหาดประมาณ 15 เมตร เพื่อเตือนว่าอีก 10-14 ปีข้างหน้าจำเป็นต้องซ่อมแซมชายหาดด้วยวิธีเสริมทรายใหม่ โครงการนี้จะดำเนินการเสริมหาดทรายยาว 2,785 เมตร ตั้งแต่หาดพัทยาเหนือถึงหน้าหาดพัทยาใต้บริเวณทางเข้าวอล์กกิ้งสตรีท "จากแบบจำลองแสดงให้เห็นว่า หลังจากที่เติมทรายชายหาดพัทยาแล้วจะถูกกักเซาะด้วยอัตรา 0.8 เมตรต่อปี โดยในอีก 10-14 ปีข้างหน้า การกัดเซาะจะถึงแนวกันชนที่ได้สร้างไว้ จึงจำเป็นต้องมีการเติมทรายใหม่ทุกๆ ระยะเวลา 10-14 ปีในอนาคต อย่างไรก็ตาม ระยะเวลาการซ่อมแซมชายหาดในอนาคตอาจจะไม่ได้เป็นไปตามทฤษฎีเสมอไป อาจจะเร็วกว่าที่กำหนดแค่ 5-7 ปี หากมีคลื่นลมทางตะวันตกที่รุนแรงผิดปกติเหมือนปี 2553 หรือมีไต้ฝุ่นพัดเข้ามาเป็นต้น" หัวหน้าหน่วยศึกษาพิบัติภัยและข้อสนเทศเชิงพื้นที่ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ เผย สำหรับแหล่งทรายจากปากแม่น้ำระยองที่นำมาเติมชายหาดพัทยานั้น ได้ผ่านขั้นตอนการเก็บตัวอย่างทรายจาก 3 แหล่ง ประกอบด้วย ชายหาดพัทยาเหนือใต้ จำนวน 11 ตัวอย่าง แหล่งทรายจากสันดอนทรายปากแม่น้ำระยอง จำนวน 42 ตัวอย่าง และแหล่งทรายจากนอกชายฝั่งอ่าวพัทยา จำนวน 23 ตัวอย่าง ซึ่งนำมาวิเคราะห์การคัดขนาดของตะกอนพบว่า ทรายจากปากแม่น้ำระยองมีความเหมาะสมและมีคุณภาพดีที่สุดโดยไม่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม. จาก ........................ ไทยโพสต์ วันที่ 30 กันยายน 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
![]() |
| คำสั่งเพิ่มเติม | |
| เรียบเรียงคำตอบ | |
|
|