![]() |
|
|
|
#1
|
||||
|
||||
|
มาดู"ทางด่วนน้ำบายพาส" ทริคเก๋กู๊ดเลี่ยงน้ำท่วมจากเยอรมัน (เผื่อไทยเราจะนำไปใช้บ้าง...) ในเฟซบุ๊กของ Geranun Giraboonyanon ได้มีการเผยแพร่ "ทางด่วนน้ำบายพาส" จาก สะพานน้ำ อควาดัค ที่ประเทศเยอรมัน เขาใช้ในการระบายน้ำเป็นเหมือนทางเลี่ยงเพื่อผลักดันมวลน้ำส่วนเกินให้พ้นทะเล ออกไปซึ่งประเทศไทยอาจสามารถนำมาประยุกต์ในการรับมือน้ำท่วมในครั้งต่อไปได้ โดยเขาระบุข้อความ รวมถึงโพสต์รูปภาพไว้ดังนี้ ![]() "สะพานน้ำ อควาดัค ถ้าประยุกต์เอาวิธีนี้มาใช้ จะทำสะพานถ่ายน้ำ ยกน้ำบายพาส ข้ามอยุธยา ข้าม กทม.ไปลงทะเลได้อย่างรวดเร็วโดยตรง หรือจะถ่ายน้ำจากเขื่อนได้โดยไม่เดือดร้อนชาวบ้านได้อย่างสบายๆ (น่าจะประยุกต์ติดตั้งระบบดันน้ำเสริมได้ด้วย) ในภาพจากในเยอรมันเขาทำขึ้นใหม่ ความกว้างขนาดใช้เรือขนสิ่งทางน้ำได้ด้วย กลายเป็นเส้นทางขนส่งในยามปกติ และสะพานถ่ายน้ำจากเหนือลงทะเลสบาย เนื่องจากความชัน-ลาดเอียงระหว่างเชียงใหม่ นครสรรค์ ถึงกรุงเทพ อยู่ระดับ 30- 45 องศา ![]() ก็เหมือนทางด่วนของน้ำแหละครับ สะพานถ่ายน้ำบายพาสผ่านแนวแก้มลิงเดิมก็ได้กันพลาด ทำหลายเส้นก็ได้ ลัดน้ำออกทะเลไปเลยตรงๆ ต้นแบบในเยอรมัน ในยุโรปมีตัวอย่าง น่าจะประยุกต์เอาแบบมาทำได้" จาก ..................... มติชน วันที่ 13 ตุลาคม 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#2
|
||||
|
||||
|
คู่มือเผชิญน้ำท่วม รับมือวิกฤติน้ำ (1) ................................จาก ไทยรัฐ วันที่ 15 ตุลาคม 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#3
|
||||
|
||||
|
คู่มือเผชิญน้ำท่วม รับมือวิกฤติน้ำ (2) ............................. จาก ไทยรัฐ วันที่ 15 ตุลาคม 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#4
|
||||
|
||||
|
รวมเทคนิค กู้ภัยน้ำท่วมรถน้ำเข้ารถ ![]() เป็นเรื่องหนาสาหัสสากรรจ์สำหรับผู้ใช้รถ ที่อยู่ๆก็เจอกับภัยธรรมชาติ จนน้ำท่วมรถมิดคัน อย่างไรก็ตาม ยังพอมีทางออกที่จะทำให้เสียเงินน้อยหน่อยในการกู้คืนรถต่างๆ ลองพิจารณาขั้นตอนต่อไปนี้สำหรับการสู้ภัยน้ำท่วม การกู้รถกรณีน้ำเข้ารถขณะจอด(ดับเครื่อง) - ลากจูงจนรถพ้นน้ำ ห้ามสตาร์ทเครื่องยนต์เด็ดขาด - เปิดหรือคลายน็อตอ่างน้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ เฟืองท้ายและที่ถังน้ำมันเชื้อเพลิง - คลายน็อตเดรนน้ำมันพอหลวม ให้น้ำที่ขังอยู่ไหลออกมาจนหมดแล้วปิดน็อต - ถอดหัวเทียน ถอดหัวฉีด - กรณีรถใช้ก๊าซ ปิดการใช้งานระบบก๊าซให้หมด ให้เหลือระบบน้ำมันอย่างเดียว - หมุนเครื่องด้วยมือเปล่า 2-3 รอบเพื่อไล่น้ำออกจากห้องเผาไหม้ - ปล่อยชิ้นส่วนต่างๆไว้ให้แห้งโดยการตากแดดหรือเปล่าลมร้อน - ถอดแบตเตอรี่ออกตรวจเช็กปริมาณไฟที่มีอยู่ว่ามากพอที่จะสตาร์ทเครื่องได้ไหมถ้าไฟหมดส่งเข้าร้านชาร์จไฟ - ตรวจสอบ อุปกรณ์ไฟฟ้าที่เกี่ยวกับการจุดระเบิด - ถอดปลั๊ก สมองกล ECU อุปกรณ์ไฟฟ้าทุกระบบ - แกะซีลสมองกล ECU ออกแม้ มีระบบกันน้ำอยู่แล้วก็ตามเพื่อทำให้แห้ง - ตากแดดหรือเป่าด้วยลมร้อน (จากไดร์เป่าผม) จนแห้งสนิท ชิ้นส่วนต่างๆที่เกี่ยวกับไฟฟ้าทุกตัวไม่เว้นแม้สมองเครื่อง - ตรวจปลั๊กทุกตัวในห้องเครื่อง เมื่อพบให้ถอดออกเช็กและเป่าให้แห้ง - ตรวจวัดระดับน้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ออโต้ - เมื่อทุกอย่างแห้งและไม่ชิ้นให้ใส่แบตฯ เปิดสวิทช์ไฟเพื่อตรวจดูแผงไฟบนหน้าปัด - ประกอบชิ้นส่วนเกี่ยวกับระบบไฟฟ้า ทดลองติดเครื่องยนต์ (อาจจะต้องสตาร์ทหลายครั้ง) - หากพบว่า เครื่องเดินไม่เรียบ ไม่ต้องแตะคันเร่ง ไม่ต้องเปิดแอร์ อุ่นเครื่องไล่ความชื้นที่หลงเหลือ - สังเกตอาการเครื่องเมื่ออุณหภูมิพร้อมทำงาน(เครื่องปกติจะกลับมาเดินเรียบ) - ถอดอุปกรณ์ในรถ เบาะนั่ง พรมปูพื้น ออกตากแดด - ตรวจดูความเปียกชื้นบนพื้นรถ หากพบทำให้แห้ง - ตรวจระบบไฟส่องสว่างไฟหน้า ไฟท้าย ไฟเบรก ไฟเลี้ยว ที่ปัดน้ำฝน (ถ้าเสียซ่อมเป็นกรณีไป) - ลองเข้าเกียร์ทุกตำแหน่ง(โดยไม่ต้องออกรถ) - หากทุกเกียร์ตอบสนอง แสดงว่ารถพร้อมทำงาน ลองขับเคลื่อน ด้วยเกียร์ต่ำ ระยะหนึ่ง(สั้นๆ) - หากอาการ รถวิ่งได้ แต่วิ่งไม่ออก อาจต้องนำรถเข้าตรวจที่อู่ อีกครั้ง กรณีดับกลางน้ำ(น้ำเข้าเครื่อง) ในกรณีที่ขับรถไปแล้วรถเกิดตกน้ำจมน้ำ เรื่องค่าใช้จ่ายการกู้คืนรถจะเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะเกี่ยวกับเครื่องยนต์และเกียร์ - เมื่อน้ำเข้าเครื่อง จะเกิดความเสียหาย ตั้งแต่ฝาสูบ วาล์ว ลูกสูบก้านสูบ - เกียร์ออโต้ ต้องทำการถ่ายน้ำออกจากห้องเกียร์ ไม่พยายามทำให้เกียร์หมุน(ก่อนเดรนน้ำออก) จาก .................... คม ชัด ลึก วันที่ 16 ตุลาคม 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#5
|
||||
|
||||
|
“รถยนต์ประสบอุทกภัย” บริษัทประกันชดเชยอย่างไร?! ![]() สถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นในประเทศไทยในปี 2554 นี้นับเป็นครั้งที่รุนแรงและหนักที่สุดในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สิน รวมถึงสภาพความเป็นอยู่ของประชาชนจนทำให้หลายคนเครียดจัด แต่สิ่งหนึ่งที่จะสามารถช่วยเหลือและบรรเทาความเสียหายได้นั่นก็คือ การประกันภัยที่ได้ทำไว้ให้กับทรัพย์สินต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “รถยนต์” ซึ่งหากต้องได้รับความเสียหายจากวิกฤติอุทกภัย ความครอบคลุมของประกันภัยจะชดเชยได้มากน้อยแค่ไหน...?!? จันทรา บูรณฤกษ์ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ให้ความรู้ว่า สำนักงาน คปภ.มีความห่วงใยผู้ประสบอุทกภัยเป็นอย่างยิ่ง จึงเร่งให้บริษัทประกันภัยสำรวจความเสียหายเพื่อจ่ายค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ประสบภัยได้ทันทีหลังน้ำลด โดยสถิติความสูญเสียทรัพย์สินด้านการประกันภัยจากความเสียหายสถานการณ์น้ำท่วมเบื้องต้นแบ่งเป็นความเสียหายต่อรถยนต์มีจำนวน 818 คัน คิดเป็นมูลค่าความเสียหาย 53,199,744.30 บาท จ่ายเต็มจำนวนเงินที่เอาประกันภัยแล้ว 1,878,388.60 บาท ซ่อมแซมรถยนต์ที่ได้รับความเสียหายคิดเป็นมูลค่าเงินที่เอาประกันภัย 5,826,981.08 บาท อย่างไรก็ตามสถานการณ์น้ำท่วมยังไม่คลี่คลาย บริษัทประกันจึงไม่สามารถเข้าไปประเมินความเสียหายได้ทั้งหมด ต้องรอสรุปตัวเลขหลังน้ำลดต่อไป ทั้งนี้ ผู้ประสบภัยน้ำท่วมที่จะได้รับความคุ้มครองจากประกันภัย แบ่งเป็นประเภท การประกันภัยเกี่ยวกับบุคคล คือ 1. การประกันชีวิต คุ้มครองการเสียชีวิตทุกกรณี (รวมถึงการเสียชีวิตจากภัยน้ำท่วม) 2. การประกันภัยอุบัติเหตุ ส่วนบุคคล คุ้มครองกรณีเสียชีวิตเนื่องจากการจมน้ำหรือถูกน้ำซัดจมหายไป 3. การประกันสุขภาพ คุ้มครองค่ารักษาพยาบาลจากการเจ็บป่วยจากเหตุการณ์น้ำท่วม สำหรับ การประกันภัยเกี่ยวกับทรัพย์สิน (บ้าน ที่อยู่อาศัย สถานประกอบการ) คือ 1. การประกันภัย คุ้มครองผู้ที่ได้ทำประกันอัคคีภัย และ ’ต้องซื้อภัยคุ้มครองภัยน้ำท่วมเพิ่มเติมไว้“ 2. การประกันความเสี่ยงทรัพย์สิน คุ้มครองผู้ที่ได้ทำประกันภัยความเสียหายทรัพย์สิน ซึ่งให้ความคุ้มครองความเสียหายต่อทรัพย์สินที่เอาประกันอันเกิดจากภัยต่างๆ รวมถึงน้ำท่วมด้วย 3. การประกันภัยธุรกิจหยุดชะงัก คุ้มครองกรณีผู้ประกอบการต้องการปิดกิจการและขาดรายได้จากภัยน้ำท่วมด้วย ส่วนการประกันภัยรถยนต์ คือ 1. การประกันรถยนต์ คุ้มครองความเสียหายที่เกิดขึ้นหากเสียหายบางส่วนจะได้รับการชดเชยค่าเสียหายตามความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง แต่ไม่เกินจำนวนเงินเอาประกันภัย หากรถยนต์เสียหายจนไม่สามารถซ่อมได้หรือความเสียหายที่มีมูลค่าความเสียหายตั้งแต่ร้อยละ 70 ของมูลค่ารถยนต์ บริษัทประกันจะต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนเต็มตามจำนวนเงินเอาประกันภัยที่ระบุไว้ 2. การประกันภัยรถยนต์ประเภทอื่น (นอกจากประเภท 1) คุ้มครองสำหรับรถที่ประกันภัยภาคสมัครใจและได้มีการซื้อประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคลไว้ด้วยก็จะได้รับความคุ้มครองเพิ่มในส่วนนี้ตามจำนวนเงินที่เอาประกันภัยไว้ 3. การประกันภัยคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ (พ.ร.บ.) คุ้มครองในกรณีที่มีผู้เสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บขณะที่ได้รับบาดเจ็บขณะที่ขับขี่หรือโดยสารในรถนั้นเบื้องต้นจะได้รับความคุ้มครองจากกรมธรรม์ประกันภัยตาม พ.ร.บ.เป็นค่าเสียหายเบื้องต้น กรณีค่ารักษาพยาบาลตามจริงไม่เกิน 15,000 บาท กรณีเสียชีวิตได้รับ 35,000 บาท ทั้งนี้ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย ให้คำแนะนำแก่ผู้เสียหายที่เป็นเจ้าของรถยนต์ที่ประสบภัยน้ำท่วมว่า ข้อควรปฏิบัติกรณีที่รถยนต์ได้รับความเสียหาย คือหลังจากน้ำลดผู้เป็นเจ้าของรถควรแจ้งความเสียหายต่อบริษัทประกันทราบโดยเร็ว แสดงรายละเอียดของเอกสาร หลักฐาน ที่สำคัญ กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์แก่บริษัทประกันภัยเพื่อดำเนินการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน (ในกรณีที่เอกสารทำการประกันภัยหรือกรมธรรม์ประกันภัยสูญหายขณะน้ำท่วม สามารถประสานสำนักงาน คปภ.จังหวัดได้ทันที) และนำรถเข้าศูนย์โดยรถยกให้เร็วที่สุด ที่สำคัญข้อห้ามสำหรับเจ้าของรถเพื่อไม่ให้รถได้รับความเสียหายมากยิ่งขึ้น คือ อย่าสตาร์ตรถยนต์ในทันที ควรเปิดฝากระโปรงรถเพื่อสำรวจให้มั่นใจว่าไม่มีเศษอะไรมาติดอยู่ในตัวเครื่อง รวมถึงตรวจเช็กชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆในตัวถัง พร้อมทั้งสายไฟในบริเวณต่างๆ ว่ายังอยู่ในสภาพที่สามารถใช้งานได้ หากไม่มั่นใจให้นำรถเข้าศูนย์โดยรถยกให้เร็วที่สุด เพื่อป้องกันความเสียหายที่ไม่คาดคิด และอย่าพ่วงไฟควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีระบบไฟฟ้าลัดวงจรที่จะก่อให้เกิดความเสียหายกับระบบเครื่องยนต์และระบบไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ นอกจากนี้ทางสำนักงาน คปภ.ได้จัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือด้านการประกันภัยให้กับประชาชนที่ประสบอุทกภัยทั่วประเทศ โดยให้บริการรับแจ้งเหตุและให้คำปรึกษาด้านการประกันภัยรวมถึงการประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อช่วยเหลือเจ้าของรถที่ได้รับความเสียหายในการให้บริการรถลาก ซ่อมรถยนต์และการตรวจสภาพรถที่ได้รับความเสียหายจากภัยน้ำท่วมฟรี ดังนั้นผู้ประสบภัยที่เป็นเจ้าของรถสามารถติดต่อขอรับความช่วยเหลือได้ที่ศูนย์ช่วยเหลือด้านการประกันภัย ตั้งแต่เวลา 08.30-16.30 น. ทุกวันจันทร์-ศุกร์ หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนประกันภัย 1186 ภัยธรรมชาติเกิดขึ้นอย่างบ่อยครั้งโดยที่เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่สามารถบรรเทาความเสียหายและความเดือดร้อนทางด้านการเงินได้ด้วยการทำประกันภัย แต่สิ่งสำคัญเหนืออื่นใดคือก่อนซื้อประกันภัยควรพิจารณาเลือกซื้อกรมธรรม์ประกันภัยให้เหมาะสมตรงกับความต้องการของตัวเอง รวมทั้งตรวจสอบใบอนุญาตตัวแทนหรือนายหน้าจากนายทะเบียนเท่านั้น ที่สำคัญอย่าลืมตรวจสอบเอกสารการชำระเบี้ยประกันภัยทุกครั้งเพื่อรักษาและคงไว้ซึ่งประโยชน์ของตัวเอง. ............................. วิธีดูแลรถหลังประสบภัยน้ำท่วม อาจารย์รักชาติ แสงวงศ์ หัวหน้าสาขาวิชาวิศวกรรมยานยนต์และหัวหน้าศูนย์บริการยานยนต์ มหาวิทยาลัยรังสิต ให้ความรู้ในการดูแลรักษารถยนต์ที่ผ่านการจมน้ำว่า การสำรวจรถยนต์ที่ผ่านการจมน้ำต้องตรวจดูสภาพโดยรวมว่ามีความเสียหายมากน้อยแค่ไหน จากนั้น ควรเปิดฝากระโปรงรถเพื่อปลดขั้วแบตเตอรี่ออกเพื่อตัดระบบการจ่ายไฟ ที่สำคัญไม่ควรสตาร์ตรถ เพื่อลองเครื่องยนต์เนื่องจากระบบกลไกในรถยนต์รุ่นปัจจุบันมีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เป็นสมองกล ซึ่งระบบเหล่านี้จมน้ำเพียง 5 นาทีก็เกิดความเสียหายได้ ทั้งนี้หากจมน้ำ 1-2 วัน ระบบดังกล่าวอาจเป็นสนิมทำให้ระบบการทำงานเสียหายมาก และที่สำคัญต้องตรวจดูว่าเครื่องยนต์เสียหายมากน้อยแค่ไหน จากนั้น ให้ทำการเป่าหรือใช้สเปรย์ไล่ความชื้น เพราะในจังหวะที่เราดับเครื่อง กระบอกสูบบางกระบอกยังทำงานอยู่อาจทำให้น้ำเข้าได้ และควรถ่ายน้ำมันทุกชนิดที่อยู่ในรถออกทันที เช่น น้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ น้ำมันเบรก น้ำมันคลัตช์ ฯลฯ เพราะน้ำที่ปนกับน้ำมันจะทำให้เกิดสนิม สำหรับรถยนต์ที่ผ่านการจมน้ำมาควรซ่อมแซมหรือขายทิ้ง อาจารย์รักชาติ แนะนำว่าต้องเอารถไปประเมินสภาพก่อนว่ามีความเสียหายมากน้อยแค่ไหน คุ้มค่าหรือไม่ที่จะนำไปใช้ต่อ โดยปกติค่าซ่อมแซมรถยนต์ที่เสียหายจากการจมน้ำมีมูลค่าต่อคันอยู่ที่ประมาณ 300,000 บาท เพราะทุกอย่างเสียหายหมดเหลือแต่โครงรถกับเครื่องยนต์ ซึ่งต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ ส่วนเครื่องยนต์ก็ต้องผ่าดูอีกว่ามีน้ำขังอยู่ข้างในหรือเปล่า ถึงแม้จะเสียเงินซ่อมแล้ว สภาพก็ไม่สมบูรณ์เหมือนเดิม เพราะมีอุปกรณ์บางตัวที่ติดอยู่กับรถซึ่งไม่สามารถถอดออกมาเปลี่ยนได้ หากต้องการส่งซ่อมควรใช้บริการศูนย์ของรถยนต์ยี่ห้อนั้นๆ หรือส่งซ่อมที่อู่รถที่ได้มาตรฐาน มีผู้เชี่ยวชาญดูแล สำหรับรถยนต์ที่มีประกันชั้นหนึ่ง บริษัทประกันจะรับผิดชอบความเสียหายทั้งหมด โดยบริษัทจะสำรวจว่ามีความเสียหายมากน้อยแค่ไหน แต่ต้องขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของบริษัทประกันด้วย ส่วนข้อควรระวังในการซื้อรถยนต์มือสองหลังเกิดเหตุอุทกภัย เพื่อป้องกันการหลอกขายรถยนต์ที่เคยจมน้ำมา คือก่อนตัดสินใจซื้อรถต้องสำรวจดูสภาพโดยรวมก่อน เช่น รถที่ผ่านการจมน้ำเมื่อเปิดประตูเข้าไปจะได้กลิ่นอับ แม้จะซ่อมดีแค่ไหนแต่กลิ่นก็ไม่หาย เพราะน้ำท่วมไม่ใช่น้ำสะอาดต้องใช้เวลานานในการดับกลิ่น และผู้ซื้อควรตรวจสอบระบบจ่ายไฟว่ามีความขัดข้องหรือไม่ แม้จะซ่อมดีแค่ไหน หากรถยนต์ผ่านการจมน้ำมาระบบจะมีข้อบกพร่อง และจุดเด่นที่ต้องสังเกตคือ นอต ที่ใช้ขันเครื่องยนต์ ควรสำรวจดูว่ามีร่องรอยการรื้อหรือเป็นสนิมเพราะผ่านการจมน้ำมาหรือไม่ จาก ..................... เดลินิวส์ วันที่ 17 ตุลาคม 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#6
|
||||
|
||||
|
สุดเจ๋ง 'แอพพลิเคชั่น' ช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วม!!! จาก ................... ไทยรัฐ วันที่ 18 ตุลาคม 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#7
|
||||
|
||||
|
เปิดตัวนวัตกรรมไทย สู้ภัยน้ำท่วมทั่วประเทศ ![]() นาทีนี้ คนไทยเกือบทั้งประเทศกำลังประสบกับมหันตภัยน้ำท่วมใหญ่ครั้งประวัติศาสตร์ ซึ่งส่งผลกระทบรุนแรงกว่าทุกครั้ง ที่ผ่านมามีผู้เสียชีวิตแล้วกว่า 283 ราย สูญหาย 2 คน และอาจมียอดตัวเลขความสูญเสียพุ่งสูงขึ้นอีกเนื่องจากในหลายจังหวัดน้ำยังคงท่วมขังสูงกว่า 4 เมตร และมีแนวโน้มที่จะกักขังนานนับเดือน ดังนั้น วิทยาการความรู้ในการเอาตัวรอดระหว่างเกิดน้ำท่วมจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดในห้วงเวลาปัจจุบัน และเพื่อเตรียมรับมือกับเหตุอุทกภัยที่อาจเกิดขึ้นอีกในปีต่อๆ ไป! สำหรับการช่วยเหลือตัวเองขณะเกิดเหตุน้ำหลากไหลแรง สุ่มเสี่ยงต่อการพลัดตกน้ำและอาจจมน้ำเสียชีวิตได้นั้น สิ่งจำเป็นอันดับแรกที่ควรเตรียมพร้อมก็คือ อุปกรณ์ช่วยในการพยุงตัวขณะอยู่ในน้ำ อาจเป็นเสื้อชูชีพมาตรฐาน หรือจะประดิษฐ์เองจากขวดพลาสติกก็ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่ควรทำความรู้จักไว้ก็คือ 'แรงลอยตัว' ในทางฟิสิกส์ แรงลอยตัวคือแรงกระทำในทิศทางพุ่งขึ้นที่น้ำต่อต้านต่อน้ำหนักของวัตถุ ดังนั้นวัตถุที่จมอยู่ในน้ำในระดับลึก จะพบกับความดันที่มากกว่าเมื่ออยู่ที่ระดับตื้น ด้วยเหตุนี้วัตถุที่มีความหนาแน่นมากกว่าน้ำจะมีแนวโน้มที่จะจมลงไป ถ้าวัตถุมีความหนาแน่นน้อยกว่า หรือมีรูปร่างที่เหมาะสม เช่น เรือ แรงนั้นจะสามารถทำให้วัตถุลอยตัวอยู่ได้นั่นเอง ด้านวงการผลิตอุปกรณ์ช่วยลอยตัวในปัจจุบัน แบ่งออกคร่าวๆ ได้เป็น เสื้อชูชีพ กับ เสื้อพยุงตัว โดยเสื้อพยุงตัว ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยพยุงร่างกายของผู้สวมใส่ให้ลอยอยู่ในน้ำได้ ส่วนเสื้อชูชีพนั้น ถ้าสวมใส่อย่างถูกต้องและอยู่ในสภาพดี จะช่วยให้ผู้สวมใส่ลอยตัวอยู่ในน้ำในตำแหน่งที่ปากและจมูกของผู้สวมใส่อยู่เหนือน้ำแม้ในขณะหมดสติ กล่าวคือ ออกแบบมาให้ช่วยพลิกตัวผู้ประสบภัยจมน้ำได้นั่นเอง เพราะฉะนั้น หากใครต้องการออกแบบเสื้อชูชีพเพื่อใช้เองในสถานการณ์ฉุกเฉิน ก็ควรพิจารณาเรื่องแรงลอยตัว และตำแหน่งด้านหน้าของผู้สวมใส่เป็นสำคัญ ประเภทของเสื้อชูชีพมาตรฐาน (Life Jacket) ก่อนจะไปดู เสื้อชูชีพทำเองจากขวดพลาสติกแบบต่างๆ ที่คิดขึ้นจากมันสมองของคนไทยล้วนๆ ก็ควรทราบเสียก่อนว่า เสื้อชูชีพมาตรฐานนั้นมีกี่ชนิด จากข้อมูลของ www.seaairthai.com อธิบายไว้ว่ามีอยู่ 3 ชนิด ได้แก่ เสื้อชูชีพประเภทที่ 1 หรือที่เรียกกันว่า "เสื้อชูชีพสำหรับปฏิบัติงานนอกชายฝั่ง" เป็นเสื้อชูชีพชิ้นเดียว ที่ใส่ได้ทั้ง 2 ด้าน ออกแบบสำหรับเจ้าหน้าที่หรือผู้โดยสารบนเรือ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ที่หมดสติมีโอกาสรอดในน้ำได้สูงสุด และจำเป็นจะต้องเป็นสีส้มสากล เสื้อชูชีพประเภทที่ 2 หรือที่เรียกกันว่า "เสื้อชูชีพสำหรับปฏิบัติงานใกล้ชายฝั่ง" ซึ่งเป็นอุปกรณ์ช่วยลอยตัว ที่จะช่วยพลิกตัวผู้สวมใส่ให้อยู่ในท่าหงายหน้า ได้ในบางกรณี เสื้อชูชีพประเภท 3 หรือที่เรียกกันว่า "อุปกรณ์ช่วยในการลอยตัว" ซึ่งเป็นเสื้อชูชีพที่ใช้ใส่ประจำเรือเมื่อต้องการการเคลื่อนไหวที่คล่องตัว ไม่ได้ถูกออกแบบ ให้ช่วยพลิกตัวผู้สวมใส่ มีอัตราการลอยตัวต่ำสุด ![]() เสื้อชูชีพขวดพลาสติกฝีมือคนไทย ปัจจุบันมีการประดิษฐ์ และเผยแพร่ต่อสาธารณชนด้วยกันหลายแบบ ทั้งจากภาคเอกชนและหน่วยงานของรัฐ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นของใคร ผู้อ่านสามารถนำไปประยุกต์ใช้ตามความสะดวกของแต่ละบุคคลได้ดังนี้ ตัน ภาสกรนที จัดทำคลิปแนะนำการแปลงถุงยังชีพให้เป็นเสื้อชูชีพ สำหรับใช้ใส่ป้องกันน้ำท่วมได้อย่างรวดเร็ว โดยตัน กล่าวในคลิปวิดีโอว่า "น้ำท่วมปีนี้คนไทยต้องไม่จมน้ำครับ" สนใจรับชมพิมพ์คำว่า 'ทำถุงยังชีพเป็นเสื้อชูชีพ by ตัน' ได้ในเว็บไซต์ยูทูบ ด้านมูลนิธิกระจกเงา ระดมกำลังอาสาสมัครกว่า 200 คน เร่งทำเสื้อชูชีพจากขวดพลาสติกที่ใช้แล้ว เพื่อนำไปแจกจ่ายให้ผู้ประสบอุทกภัย โดยแบ่งการทำงานออกเป็น 4 ส่วน เริ่มจากการคัดแยกขวดพลาสติกที่สมบูรณ์ คือไม่รั่วและมีฝาปิด นำขวดพลาสติกมามัดต่อกันด้วยเชือกให้เป็นแพ แพละ 4 ขวด และ 5 ขวด โดยจะต้องมัดติดกันให้แน่น จากนั้นนำแพมาวางซ้อนกันมัดด้วยเชือก ขั้นตอนสุดท้ายคือการประกอบเป็นเสื้อชูชีพ โดยนำเชือกถักมาทำเป็นที่คล้องไหล่ เพื่อเพิ่มความแข็งแรง ทางมูลนิธิยืนยันว่า เสื้อชูชีพจากขวดน้ำพลาสติกสามารถใช้ลอยน้ำได้จริง หากเป็นขวดขนาดใหญ่สามารถรับน้ำหนักได้ไม่เกิน 80 กิโลกรัม ส่วนขวดขนาดกลางรับน้ำหนักได้ไม่เกิน 60 กิโลกรัม ขณะนี้ยังต้องการขวดพลาสติกที่ใช้แล้ว เชือก กรรไกร และคัตเตอร์ ผู้ที่ต้องการช่วยเหลือสามารถนำมาบริจาคได้ที่ ศปภ.ภาคประชาชน มูลนิธิกระจกเงา อาคารผู้โดยสารภายในประเทศชั้น 2 ท่าอากาศยานดอนเมือง (มีต่อ)
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
![]() |
| คำสั่งเพิ่มเติม | |
| เรียบเรียงคำตอบ | |
|
|