![]() |
|
|
|
#1
|
||||
|
||||
|
รวมเทคนิค กู้ภัยน้ำท่วมรถน้ำเข้ารถ ![]() เป็นเรื่องหนาสาหัสสากรรจ์สำหรับผู้ใช้รถ ที่อยู่ๆก็เจอกับภัยธรรมชาติ จนน้ำท่วมรถมิดคัน อย่างไรก็ตาม ยังพอมีทางออกที่จะทำให้เสียเงินน้อยหน่อยในการกู้คืนรถต่างๆ ลองพิจารณาขั้นตอนต่อไปนี้สำหรับการสู้ภัยน้ำท่วม การกู้รถกรณีน้ำเข้ารถขณะจอด(ดับเครื่อง) - ลากจูงจนรถพ้นน้ำ ห้ามสตาร์ทเครื่องยนต์เด็ดขาด - เปิดหรือคลายน็อตอ่างน้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ เฟืองท้ายและที่ถังน้ำมันเชื้อเพลิง - คลายน็อตเดรนน้ำมันพอหลวม ให้น้ำที่ขังอยู่ไหลออกมาจนหมดแล้วปิดน็อต - ถอดหัวเทียน ถอดหัวฉีด - กรณีรถใช้ก๊าซ ปิดการใช้งานระบบก๊าซให้หมด ให้เหลือระบบน้ำมันอย่างเดียว - หมุนเครื่องด้วยมือเปล่า 2-3 รอบเพื่อไล่น้ำออกจากห้องเผาไหม้ - ปล่อยชิ้นส่วนต่างๆไว้ให้แห้งโดยการตากแดดหรือเปล่าลมร้อน - ถอดแบตเตอรี่ออกตรวจเช็กปริมาณไฟที่มีอยู่ว่ามากพอที่จะสตาร์ทเครื่องได้ไหมถ้าไฟหมดส่งเข้าร้านชาร์จไฟ - ตรวจสอบ อุปกรณ์ไฟฟ้าที่เกี่ยวกับการจุดระเบิด - ถอดปลั๊ก สมองกล ECU อุปกรณ์ไฟฟ้าทุกระบบ - แกะซีลสมองกล ECU ออกแม้ มีระบบกันน้ำอยู่แล้วก็ตามเพื่อทำให้แห้ง - ตากแดดหรือเป่าด้วยลมร้อน (จากไดร์เป่าผม) จนแห้งสนิท ชิ้นส่วนต่างๆที่เกี่ยวกับไฟฟ้าทุกตัวไม่เว้นแม้สมองเครื่อง - ตรวจปลั๊กทุกตัวในห้องเครื่อง เมื่อพบให้ถอดออกเช็กและเป่าให้แห้ง - ตรวจวัดระดับน้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ออโต้ - เมื่อทุกอย่างแห้งและไม่ชิ้นให้ใส่แบตฯ เปิดสวิทช์ไฟเพื่อตรวจดูแผงไฟบนหน้าปัด - ประกอบชิ้นส่วนเกี่ยวกับระบบไฟฟ้า ทดลองติดเครื่องยนต์ (อาจจะต้องสตาร์ทหลายครั้ง) - หากพบว่า เครื่องเดินไม่เรียบ ไม่ต้องแตะคันเร่ง ไม่ต้องเปิดแอร์ อุ่นเครื่องไล่ความชื้นที่หลงเหลือ - สังเกตอาการเครื่องเมื่ออุณหภูมิพร้อมทำงาน(เครื่องปกติจะกลับมาเดินเรียบ) - ถอดอุปกรณ์ในรถ เบาะนั่ง พรมปูพื้น ออกตากแดด - ตรวจดูความเปียกชื้นบนพื้นรถ หากพบทำให้แห้ง - ตรวจระบบไฟส่องสว่างไฟหน้า ไฟท้าย ไฟเบรก ไฟเลี้ยว ที่ปัดน้ำฝน (ถ้าเสียซ่อมเป็นกรณีไป) - ลองเข้าเกียร์ทุกตำแหน่ง(โดยไม่ต้องออกรถ) - หากทุกเกียร์ตอบสนอง แสดงว่ารถพร้อมทำงาน ลองขับเคลื่อน ด้วยเกียร์ต่ำ ระยะหนึ่ง(สั้นๆ) - หากอาการ รถวิ่งได้ แต่วิ่งไม่ออก อาจต้องนำรถเข้าตรวจที่อู่ อีกครั้ง กรณีดับกลางน้ำ(น้ำเข้าเครื่อง) ในกรณีที่ขับรถไปแล้วรถเกิดตกน้ำจมน้ำ เรื่องค่าใช้จ่ายการกู้คืนรถจะเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะเกี่ยวกับเครื่องยนต์และเกียร์ - เมื่อน้ำเข้าเครื่อง จะเกิดความเสียหาย ตั้งแต่ฝาสูบ วาล์ว ลูกสูบก้านสูบ - เกียร์ออโต้ ต้องทำการถ่ายน้ำออกจากห้องเกียร์ ไม่พยายามทำให้เกียร์หมุน(ก่อนเดรนน้ำออก) จาก .................... คม ชัด ลึก วันที่ 16 ตุลาคม 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#2
|
||||
|
||||
|
“รถยนต์ประสบอุทกภัย” บริษัทประกันชดเชยอย่างไร?! ![]() สถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นในประเทศไทยในปี 2554 นี้นับเป็นครั้งที่รุนแรงและหนักที่สุดในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สิน รวมถึงสภาพความเป็นอยู่ของประชาชนจนทำให้หลายคนเครียดจัด แต่สิ่งหนึ่งที่จะสามารถช่วยเหลือและบรรเทาความเสียหายได้นั่นก็คือ การประกันภัยที่ได้ทำไว้ให้กับทรัพย์สินต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “รถยนต์” ซึ่งหากต้องได้รับความเสียหายจากวิกฤติอุทกภัย ความครอบคลุมของประกันภัยจะชดเชยได้มากน้อยแค่ไหน...?!? จันทรา บูรณฤกษ์ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ให้ความรู้ว่า สำนักงาน คปภ.มีความห่วงใยผู้ประสบอุทกภัยเป็นอย่างยิ่ง จึงเร่งให้บริษัทประกันภัยสำรวจความเสียหายเพื่อจ่ายค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ประสบภัยได้ทันทีหลังน้ำลด โดยสถิติความสูญเสียทรัพย์สินด้านการประกันภัยจากความเสียหายสถานการณ์น้ำท่วมเบื้องต้นแบ่งเป็นความเสียหายต่อรถยนต์มีจำนวน 818 คัน คิดเป็นมูลค่าความเสียหาย 53,199,744.30 บาท จ่ายเต็มจำนวนเงินที่เอาประกันภัยแล้ว 1,878,388.60 บาท ซ่อมแซมรถยนต์ที่ได้รับความเสียหายคิดเป็นมูลค่าเงินที่เอาประกันภัย 5,826,981.08 บาท อย่างไรก็ตามสถานการณ์น้ำท่วมยังไม่คลี่คลาย บริษัทประกันจึงไม่สามารถเข้าไปประเมินความเสียหายได้ทั้งหมด ต้องรอสรุปตัวเลขหลังน้ำลดต่อไป ทั้งนี้ ผู้ประสบภัยน้ำท่วมที่จะได้รับความคุ้มครองจากประกันภัย แบ่งเป็นประเภท การประกันภัยเกี่ยวกับบุคคล คือ 1. การประกันชีวิต คุ้มครองการเสียชีวิตทุกกรณี (รวมถึงการเสียชีวิตจากภัยน้ำท่วม) 2. การประกันภัยอุบัติเหตุ ส่วนบุคคล คุ้มครองกรณีเสียชีวิตเนื่องจากการจมน้ำหรือถูกน้ำซัดจมหายไป 3. การประกันสุขภาพ คุ้มครองค่ารักษาพยาบาลจากการเจ็บป่วยจากเหตุการณ์น้ำท่วม สำหรับ การประกันภัยเกี่ยวกับทรัพย์สิน (บ้าน ที่อยู่อาศัย สถานประกอบการ) คือ 1. การประกันภัย คุ้มครองผู้ที่ได้ทำประกันอัคคีภัย และ ’ต้องซื้อภัยคุ้มครองภัยน้ำท่วมเพิ่มเติมไว้“ 2. การประกันความเสี่ยงทรัพย์สิน คุ้มครองผู้ที่ได้ทำประกันภัยความเสียหายทรัพย์สิน ซึ่งให้ความคุ้มครองความเสียหายต่อทรัพย์สินที่เอาประกันอันเกิดจากภัยต่างๆ รวมถึงน้ำท่วมด้วย 3. การประกันภัยธุรกิจหยุดชะงัก คุ้มครองกรณีผู้ประกอบการต้องการปิดกิจการและขาดรายได้จากภัยน้ำท่วมด้วย ส่วนการประกันภัยรถยนต์ คือ 1. การประกันรถยนต์ คุ้มครองความเสียหายที่เกิดขึ้นหากเสียหายบางส่วนจะได้รับการชดเชยค่าเสียหายตามความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง แต่ไม่เกินจำนวนเงินเอาประกันภัย หากรถยนต์เสียหายจนไม่สามารถซ่อมได้หรือความเสียหายที่มีมูลค่าความเสียหายตั้งแต่ร้อยละ 70 ของมูลค่ารถยนต์ บริษัทประกันจะต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนเต็มตามจำนวนเงินเอาประกันภัยที่ระบุไว้ 2. การประกันภัยรถยนต์ประเภทอื่น (นอกจากประเภท 1) คุ้มครองสำหรับรถที่ประกันภัยภาคสมัครใจและได้มีการซื้อประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคลไว้ด้วยก็จะได้รับความคุ้มครองเพิ่มในส่วนนี้ตามจำนวนเงินที่เอาประกันภัยไว้ 3. การประกันภัยคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ (พ.ร.บ.) คุ้มครองในกรณีที่มีผู้เสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บขณะที่ได้รับบาดเจ็บขณะที่ขับขี่หรือโดยสารในรถนั้นเบื้องต้นจะได้รับความคุ้มครองจากกรมธรรม์ประกันภัยตาม พ.ร.บ.เป็นค่าเสียหายเบื้องต้น กรณีค่ารักษาพยาบาลตามจริงไม่เกิน 15,000 บาท กรณีเสียชีวิตได้รับ 35,000 บาท ทั้งนี้ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย ให้คำแนะนำแก่ผู้เสียหายที่เป็นเจ้าของรถยนต์ที่ประสบภัยน้ำท่วมว่า ข้อควรปฏิบัติกรณีที่รถยนต์ได้รับความเสียหาย คือหลังจากน้ำลดผู้เป็นเจ้าของรถควรแจ้งความเสียหายต่อบริษัทประกันทราบโดยเร็ว แสดงรายละเอียดของเอกสาร หลักฐาน ที่สำคัญ กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์แก่บริษัทประกันภัยเพื่อดำเนินการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน (ในกรณีที่เอกสารทำการประกันภัยหรือกรมธรรม์ประกันภัยสูญหายขณะน้ำท่วม สามารถประสานสำนักงาน คปภ.จังหวัดได้ทันที) และนำรถเข้าศูนย์โดยรถยกให้เร็วที่สุด ที่สำคัญข้อห้ามสำหรับเจ้าของรถเพื่อไม่ให้รถได้รับความเสียหายมากยิ่งขึ้น คือ อย่าสตาร์ตรถยนต์ในทันที ควรเปิดฝากระโปรงรถเพื่อสำรวจให้มั่นใจว่าไม่มีเศษอะไรมาติดอยู่ในตัวเครื่อง รวมถึงตรวจเช็กชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆในตัวถัง พร้อมทั้งสายไฟในบริเวณต่างๆ ว่ายังอยู่ในสภาพที่สามารถใช้งานได้ หากไม่มั่นใจให้นำรถเข้าศูนย์โดยรถยกให้เร็วที่สุด เพื่อป้องกันความเสียหายที่ไม่คาดคิด และอย่าพ่วงไฟควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีระบบไฟฟ้าลัดวงจรที่จะก่อให้เกิดความเสียหายกับระบบเครื่องยนต์และระบบไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ นอกจากนี้ทางสำนักงาน คปภ.ได้จัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือด้านการประกันภัยให้กับประชาชนที่ประสบอุทกภัยทั่วประเทศ โดยให้บริการรับแจ้งเหตุและให้คำปรึกษาด้านการประกันภัยรวมถึงการประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อช่วยเหลือเจ้าของรถที่ได้รับความเสียหายในการให้บริการรถลาก ซ่อมรถยนต์และการตรวจสภาพรถที่ได้รับความเสียหายจากภัยน้ำท่วมฟรี ดังนั้นผู้ประสบภัยที่เป็นเจ้าของรถสามารถติดต่อขอรับความช่วยเหลือได้ที่ศูนย์ช่วยเหลือด้านการประกันภัย ตั้งแต่เวลา 08.30-16.30 น. ทุกวันจันทร์-ศุกร์ หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนประกันภัย 1186 ภัยธรรมชาติเกิดขึ้นอย่างบ่อยครั้งโดยที่เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่สามารถบรรเทาความเสียหายและความเดือดร้อนทางด้านการเงินได้ด้วยการทำประกันภัย แต่สิ่งสำคัญเหนืออื่นใดคือก่อนซื้อประกันภัยควรพิจารณาเลือกซื้อกรมธรรม์ประกันภัยให้เหมาะสมตรงกับความต้องการของตัวเอง รวมทั้งตรวจสอบใบอนุญาตตัวแทนหรือนายหน้าจากนายทะเบียนเท่านั้น ที่สำคัญอย่าลืมตรวจสอบเอกสารการชำระเบี้ยประกันภัยทุกครั้งเพื่อรักษาและคงไว้ซึ่งประโยชน์ของตัวเอง. ............................. วิธีดูแลรถหลังประสบภัยน้ำท่วม อาจารย์รักชาติ แสงวงศ์ หัวหน้าสาขาวิชาวิศวกรรมยานยนต์และหัวหน้าศูนย์บริการยานยนต์ มหาวิทยาลัยรังสิต ให้ความรู้ในการดูแลรักษารถยนต์ที่ผ่านการจมน้ำว่า การสำรวจรถยนต์ที่ผ่านการจมน้ำต้องตรวจดูสภาพโดยรวมว่ามีความเสียหายมากน้อยแค่ไหน จากนั้น ควรเปิดฝากระโปรงรถเพื่อปลดขั้วแบตเตอรี่ออกเพื่อตัดระบบการจ่ายไฟ ที่สำคัญไม่ควรสตาร์ตรถ เพื่อลองเครื่องยนต์เนื่องจากระบบกลไกในรถยนต์รุ่นปัจจุบันมีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เป็นสมองกล ซึ่งระบบเหล่านี้จมน้ำเพียง 5 นาทีก็เกิดความเสียหายได้ ทั้งนี้หากจมน้ำ 1-2 วัน ระบบดังกล่าวอาจเป็นสนิมทำให้ระบบการทำงานเสียหายมาก และที่สำคัญต้องตรวจดูว่าเครื่องยนต์เสียหายมากน้อยแค่ไหน จากนั้น ให้ทำการเป่าหรือใช้สเปรย์ไล่ความชื้น เพราะในจังหวะที่เราดับเครื่อง กระบอกสูบบางกระบอกยังทำงานอยู่อาจทำให้น้ำเข้าได้ และควรถ่ายน้ำมันทุกชนิดที่อยู่ในรถออกทันที เช่น น้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ น้ำมันเบรก น้ำมันคลัตช์ ฯลฯ เพราะน้ำที่ปนกับน้ำมันจะทำให้เกิดสนิม สำหรับรถยนต์ที่ผ่านการจมน้ำมาควรซ่อมแซมหรือขายทิ้ง อาจารย์รักชาติ แนะนำว่าต้องเอารถไปประเมินสภาพก่อนว่ามีความเสียหายมากน้อยแค่ไหน คุ้มค่าหรือไม่ที่จะนำไปใช้ต่อ โดยปกติค่าซ่อมแซมรถยนต์ที่เสียหายจากการจมน้ำมีมูลค่าต่อคันอยู่ที่ประมาณ 300,000 บาท เพราะทุกอย่างเสียหายหมดเหลือแต่โครงรถกับเครื่องยนต์ ซึ่งต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ ส่วนเครื่องยนต์ก็ต้องผ่าดูอีกว่ามีน้ำขังอยู่ข้างในหรือเปล่า ถึงแม้จะเสียเงินซ่อมแล้ว สภาพก็ไม่สมบูรณ์เหมือนเดิม เพราะมีอุปกรณ์บางตัวที่ติดอยู่กับรถซึ่งไม่สามารถถอดออกมาเปลี่ยนได้ หากต้องการส่งซ่อมควรใช้บริการศูนย์ของรถยนต์ยี่ห้อนั้นๆ หรือส่งซ่อมที่อู่รถที่ได้มาตรฐาน มีผู้เชี่ยวชาญดูแล สำหรับรถยนต์ที่มีประกันชั้นหนึ่ง บริษัทประกันจะรับผิดชอบความเสียหายทั้งหมด โดยบริษัทจะสำรวจว่ามีความเสียหายมากน้อยแค่ไหน แต่ต้องขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของบริษัทประกันด้วย ส่วนข้อควรระวังในการซื้อรถยนต์มือสองหลังเกิดเหตุอุทกภัย เพื่อป้องกันการหลอกขายรถยนต์ที่เคยจมน้ำมา คือก่อนตัดสินใจซื้อรถต้องสำรวจดูสภาพโดยรวมก่อน เช่น รถที่ผ่านการจมน้ำเมื่อเปิดประตูเข้าไปจะได้กลิ่นอับ แม้จะซ่อมดีแค่ไหนแต่กลิ่นก็ไม่หาย เพราะน้ำท่วมไม่ใช่น้ำสะอาดต้องใช้เวลานานในการดับกลิ่น และผู้ซื้อควรตรวจสอบระบบจ่ายไฟว่ามีความขัดข้องหรือไม่ แม้จะซ่อมดีแค่ไหน หากรถยนต์ผ่านการจมน้ำมาระบบจะมีข้อบกพร่อง และจุดเด่นที่ต้องสังเกตคือ นอต ที่ใช้ขันเครื่องยนต์ ควรสำรวจดูว่ามีร่องรอยการรื้อหรือเป็นสนิมเพราะผ่านการจมน้ำมาหรือไม่ จาก ..................... เดลินิวส์ วันที่ 17 ตุลาคม 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#3
|
||||
|
||||
|
สุดเจ๋ง 'แอพพลิเคชั่น' ช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วม!!! จาก ................... ไทยรัฐ วันที่ 18 ตุลาคม 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#4
|
||||
|
||||
|
เปิดตัวนวัตกรรมไทย สู้ภัยน้ำท่วมทั่วประเทศ ![]() นาทีนี้ คนไทยเกือบทั้งประเทศกำลังประสบกับมหันตภัยน้ำท่วมใหญ่ครั้งประวัติศาสตร์ ซึ่งส่งผลกระทบรุนแรงกว่าทุกครั้ง ที่ผ่านมามีผู้เสียชีวิตแล้วกว่า 283 ราย สูญหาย 2 คน และอาจมียอดตัวเลขความสูญเสียพุ่งสูงขึ้นอีกเนื่องจากในหลายจังหวัดน้ำยังคงท่วมขังสูงกว่า 4 เมตร และมีแนวโน้มที่จะกักขังนานนับเดือน ดังนั้น วิทยาการความรู้ในการเอาตัวรอดระหว่างเกิดน้ำท่วมจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดในห้วงเวลาปัจจุบัน และเพื่อเตรียมรับมือกับเหตุอุทกภัยที่อาจเกิดขึ้นอีกในปีต่อๆ ไป! สำหรับการช่วยเหลือตัวเองขณะเกิดเหตุน้ำหลากไหลแรง สุ่มเสี่ยงต่อการพลัดตกน้ำและอาจจมน้ำเสียชีวิตได้นั้น สิ่งจำเป็นอันดับแรกที่ควรเตรียมพร้อมก็คือ อุปกรณ์ช่วยในการพยุงตัวขณะอยู่ในน้ำ อาจเป็นเสื้อชูชีพมาตรฐาน หรือจะประดิษฐ์เองจากขวดพลาสติกก็ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่ควรทำความรู้จักไว้ก็คือ 'แรงลอยตัว' ในทางฟิสิกส์ แรงลอยตัวคือแรงกระทำในทิศทางพุ่งขึ้นที่น้ำต่อต้านต่อน้ำหนักของวัตถุ ดังนั้นวัตถุที่จมอยู่ในน้ำในระดับลึก จะพบกับความดันที่มากกว่าเมื่ออยู่ที่ระดับตื้น ด้วยเหตุนี้วัตถุที่มีความหนาแน่นมากกว่าน้ำจะมีแนวโน้มที่จะจมลงไป ถ้าวัตถุมีความหนาแน่นน้อยกว่า หรือมีรูปร่างที่เหมาะสม เช่น เรือ แรงนั้นจะสามารถทำให้วัตถุลอยตัวอยู่ได้นั่นเอง ด้านวงการผลิตอุปกรณ์ช่วยลอยตัวในปัจจุบัน แบ่งออกคร่าวๆ ได้เป็น เสื้อชูชีพ กับ เสื้อพยุงตัว โดยเสื้อพยุงตัว ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยพยุงร่างกายของผู้สวมใส่ให้ลอยอยู่ในน้ำได้ ส่วนเสื้อชูชีพนั้น ถ้าสวมใส่อย่างถูกต้องและอยู่ในสภาพดี จะช่วยให้ผู้สวมใส่ลอยตัวอยู่ในน้ำในตำแหน่งที่ปากและจมูกของผู้สวมใส่อยู่เหนือน้ำแม้ในขณะหมดสติ กล่าวคือ ออกแบบมาให้ช่วยพลิกตัวผู้ประสบภัยจมน้ำได้นั่นเอง เพราะฉะนั้น หากใครต้องการออกแบบเสื้อชูชีพเพื่อใช้เองในสถานการณ์ฉุกเฉิน ก็ควรพิจารณาเรื่องแรงลอยตัว และตำแหน่งด้านหน้าของผู้สวมใส่เป็นสำคัญ ประเภทของเสื้อชูชีพมาตรฐาน (Life Jacket) ก่อนจะไปดู เสื้อชูชีพทำเองจากขวดพลาสติกแบบต่างๆ ที่คิดขึ้นจากมันสมองของคนไทยล้วนๆ ก็ควรทราบเสียก่อนว่า เสื้อชูชีพมาตรฐานนั้นมีกี่ชนิด จากข้อมูลของ www.seaairthai.com อธิบายไว้ว่ามีอยู่ 3 ชนิด ได้แก่ เสื้อชูชีพประเภทที่ 1 หรือที่เรียกกันว่า "เสื้อชูชีพสำหรับปฏิบัติงานนอกชายฝั่ง" เป็นเสื้อชูชีพชิ้นเดียว ที่ใส่ได้ทั้ง 2 ด้าน ออกแบบสำหรับเจ้าหน้าที่หรือผู้โดยสารบนเรือ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ที่หมดสติมีโอกาสรอดในน้ำได้สูงสุด และจำเป็นจะต้องเป็นสีส้มสากล เสื้อชูชีพประเภทที่ 2 หรือที่เรียกกันว่า "เสื้อชูชีพสำหรับปฏิบัติงานใกล้ชายฝั่ง" ซึ่งเป็นอุปกรณ์ช่วยลอยตัว ที่จะช่วยพลิกตัวผู้สวมใส่ให้อยู่ในท่าหงายหน้า ได้ในบางกรณี เสื้อชูชีพประเภท 3 หรือที่เรียกกันว่า "อุปกรณ์ช่วยในการลอยตัว" ซึ่งเป็นเสื้อชูชีพที่ใช้ใส่ประจำเรือเมื่อต้องการการเคลื่อนไหวที่คล่องตัว ไม่ได้ถูกออกแบบ ให้ช่วยพลิกตัวผู้สวมใส่ มีอัตราการลอยตัวต่ำสุด ![]() เสื้อชูชีพขวดพลาสติกฝีมือคนไทย ปัจจุบันมีการประดิษฐ์ และเผยแพร่ต่อสาธารณชนด้วยกันหลายแบบ ทั้งจากภาคเอกชนและหน่วยงานของรัฐ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นของใคร ผู้อ่านสามารถนำไปประยุกต์ใช้ตามความสะดวกของแต่ละบุคคลได้ดังนี้ ตัน ภาสกรนที จัดทำคลิปแนะนำการแปลงถุงยังชีพให้เป็นเสื้อชูชีพ สำหรับใช้ใส่ป้องกันน้ำท่วมได้อย่างรวดเร็ว โดยตัน กล่าวในคลิปวิดีโอว่า "น้ำท่วมปีนี้คนไทยต้องไม่จมน้ำครับ" สนใจรับชมพิมพ์คำว่า 'ทำถุงยังชีพเป็นเสื้อชูชีพ by ตัน' ได้ในเว็บไซต์ยูทูบ ด้านมูลนิธิกระจกเงา ระดมกำลังอาสาสมัครกว่า 200 คน เร่งทำเสื้อชูชีพจากขวดพลาสติกที่ใช้แล้ว เพื่อนำไปแจกจ่ายให้ผู้ประสบอุทกภัย โดยแบ่งการทำงานออกเป็น 4 ส่วน เริ่มจากการคัดแยกขวดพลาสติกที่สมบูรณ์ คือไม่รั่วและมีฝาปิด นำขวดพลาสติกมามัดต่อกันด้วยเชือกให้เป็นแพ แพละ 4 ขวด และ 5 ขวด โดยจะต้องมัดติดกันให้แน่น จากนั้นนำแพมาวางซ้อนกันมัดด้วยเชือก ขั้นตอนสุดท้ายคือการประกอบเป็นเสื้อชูชีพ โดยนำเชือกถักมาทำเป็นที่คล้องไหล่ เพื่อเพิ่มความแข็งแรง ทางมูลนิธิยืนยันว่า เสื้อชูชีพจากขวดน้ำพลาสติกสามารถใช้ลอยน้ำได้จริง หากเป็นขวดขนาดใหญ่สามารถรับน้ำหนักได้ไม่เกิน 80 กิโลกรัม ส่วนขวดขนาดกลางรับน้ำหนักได้ไม่เกิน 60 กิโลกรัม ขณะนี้ยังต้องการขวดพลาสติกที่ใช้แล้ว เชือก กรรไกร และคัตเตอร์ ผู้ที่ต้องการช่วยเหลือสามารถนำมาบริจาคได้ที่ ศปภ.ภาคประชาชน มูลนิธิกระจกเงา อาคารผู้โดยสารภายในประเทศชั้น 2 ท่าอากาศยานดอนเมือง (มีต่อ)
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#5
|
||||
|
||||
|
เปิดตัวนวัตกรรมไทย สู้ภัยน้ำท่วมทั่วประเทศ .... (ต่อ) ![]() หน่วยงานของรัฐในระดับท้องถิ่นก็มีการคิดค้นสิ่งประดิษฐ์สู้ภัยน้ำท่วมเช่นเดียวกัน คือที่สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 9 พิษณุโลก กรมควบคุมโรค จึงได้คิดค้น 'นวัตกรรมกระเป๋าชูชีพอัจฉริยะช่วยป้องกันจมน้ำ' ขึ้น ลักษณะเหมือนกระเป๋านักเรียนทั่วไป ทำด้วยผ้า ภายในมีถุงลมพลาสติกหนา 2 ใบพับใส่ไว้ สามารถนำถุงลมออกมาเป่าด้วยปากให้ลมเต็มถุงจากนั้นปิดให้สนิท เท่านี้กระเป๋าชูชีพดังกล่าวก็จะสามารถรับน้ำหนักร่างกายพยุงตัวให้ลอยเหนือน้ำได้ สามารถรับน้ำหนักได้มากถึงประมาณ 100 กิโลกรัม นอกจากที่กล่าวมา ยังมีคนไทยที่มีความสามารถและอยากช่วยเหลือเพื่อนร่วมชาติอีกมาก เช่น เสื้อชูชีพต้นแบบช่วยเหลือนํ้าท่วม 'Thai Scrap' คิดค้นโดย คุณประเสริฐ มหคุณวรรณ หรือ เสื้อชูชีพจากขวดน้ำและถุงข้าวสาร ต้นทุน 50 บาท ของ ทีมชุดกู้ภัยสว่างวังสมบูรณ์ จ.สระแก้ว เป็นต้น ไม่เพียงเท่านี้ เพราะแม้แต่กองทัพ ก็ยังออกมายอมรับว่าเสื้อชูชีพมาตรฐานอาจไม่เพียงพอสำหรับแจกประชาชนที่กำลังเดือดร้อนได้ครบทุกคน จึงเริ่มมีการระบุให้ทางกรมพลาธิการทหาร เริ่มออกแบบเสื้อกั๊กที่ใส่ขวดน้ำพลาสติกเช่นเดียวกัน นวัตกรรมชนิดอื่นๆ จากฝีมือคนไทย นอกจากเสื้อชูชีพทำจากขวดพลาสติกแล้ว ยังมีสิ่งประดิษฐ์อื่นๆที่น่าสนใจอีกสองชิ้น ได้แก่ - เรือจากวัสดุเหลือใช้ ฝีมือนักศึกษาวิศวกรรมเครื่องกล ชั้นปีที่ 4 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี นำโดย นายทวิช จิตรสมบูรณ์ อาจารย์ประจำสาขาวิชาวิศวกรรมเครื่องกล ประดิษฐ์คิดค้นเรือท้องแบนจากวัสดุเหลือใช้ เพื่อนำไปใช้ช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม โดยเรือดังกล่าวจะใช้วัสดุอุปกรณ์เพียง 6 อย่าง ประกอบด้วย เหล็กเส้นความยาว 1.5 เมตร ผ้าใบคลุมสินค้ากว้าง 2 เมตร ยาว 3 เมตร ลวดขนาดเล็ก ยางในรถจักรยานยนต์ เชือก และ ไม้อัด ส่วนวิธีการทำเรือจะนำเหล็กเส้นมาเชื่อมต่อเป็นโครง ก่อนใช้ยางในรถที่ตัดเป็นเส้นมาผูกยึดเหล็กให้ติดกัน จากนั้นนำผ้าใบมาผูกด้วยเชือกยึดติดกับโครงเรือและนำไม้อัดมาปูเป็นที่นั่งก็เป็นอันเสร็จสิ้น โดยใช้เวลาต่อเรือเพียง 2 ช.ม. และใช้งบประมาณ 2,000 บาทเท่านั้น ซึ่งเรือดังกล่าวสามารถบรรทุกผู้โดยสารได้ 3-4 คน และยังรองรับน้ำหนักสูงถึง 400 ก.ก. - ถุงคลุมรถกันน้ำท่วม โดย นายสันติประชา ดอนชุม อาจารย์ภาควิชาอิเล็กทรอนิกส์ วิทยาลัยการอาชีพวังสะพุง จ.เลย คิดค้นถุงคลุมรถกันน้ำขึ้น โดยวัสดุที่ใช้ทำถุงคลุมรถกันน้ำมาจากพลาสติกที่คล้ายกับเรือยาง ซึ่งจะมีความทนทานกว่าพลาสติกทั่วไป สามารถทนต่อการอยู่กับน้ำได้นานถึง 3 เดือน และจะไม่ฉีกขาดง่าย รวมทั้งสามารถกันน้ำได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ทิ้งท้ายกันในเรื่องของการเตรียมความพร้อมให้กับครอบครัวและตัวบ้าน หากต้องเผชิญกับภาวะน้ำท่วมแน่ๆ อันดับแรกควรวางแผนเรื่องพื้นที่สูงสำหรับการอพยพหากจำเป็น และจัดเตรียมกระสอบทรายสำหรับกั้นน้ำในจำนวนที่พอเพียง เก็บทรัพย์สินมีค่า เอกสารสำคัญให้ปลอดภัยและควรอยู่ในที่เดียวกัน จากนั้นสำรองอาหารแห้งตลอดจนน้ำดื่มและภาชนะเท่าที่สมควร และจัดยารักษาโรค ชุดปฐมพยาบาลเบื้องต้น ตลอดจนเสื้อชูชีพ หรือแพยาง นกหวีด ไฟฉาย อุปกรณ์สื่อสาร เป็นต้น สุดท้ายคือเมื่อน้ำมา ต้องตัดไฟในตัวบ้านทันทีเพื่อป้องกันอุบัติเหตุจากไฟดูดนั่นเอง ญี่ปุ่นผุด'โนอาห์'ลูกบอลแกร่ง ช่วยหลบมหันตภัยดินไหว-สึนามิ นอกจากนวัตกรรมทำมือในภาวะฉุกเฉินของไทยแล้ว ลองไปดูสิ่งประดิษฐ์ระดับมืออาชีพทำขายจริงของญี่ปุ่นกันบ้าง โดยเดลี่เมล์ รายงานว่าบริษัทวิศวกรรม "คอสโม เพาเวอร์" เมืองฮิราสึกะ ประเทศญี่ปุ่น เปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่ชื่อ "โนอาห์" ซึ่งอ้างว่าเป็นนวัตกรรมหลบภัยพิบัติฉุกเฉิน และตั้งชื่อตาม "เรือโนอาห์" ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลว่าเป็นเรือที่ช่วยให้มนุษย์และสัตว์โลกบางส่วนมีชีวิตรอดอยู่ได้ในวันที่พระเจ้าทรงทำให้น้ำท่วมโลก เพื่อชำระบาปของมนุษย์ นายโชจิ ทานากะ ประธานคอสโมฯ ระบุว่า "โนอาห์" มีลักษณะคล้ายลูกเทนนิสขนาดยักษ์สีเหลือง ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 4 ฟุต มีคุณสมบัติลอยน้ำได้ ติดตั้งกระจกและท่อรับอากาศจากภายนอก ผู้ใหญ่สามารถเข้าไปหลบภัยอยู่ได้ 4 คนพร้อมๆ กัน โครงสร้างทำจากไฟเบอร์กลาสเสริมแรงชนิดพิเศษ ซึ่งมีความแข็งแกร่งสูง ช่วยให้มนุษย์ที่หลบอยู่ข้างในรอดตายได้ถ้าต้องเผชิญกับมหันตภัยร้ายแรง อาทิ แผ่นดินไหว โดยเฉพาะอย่างยิ่งคลื่นยักษ์สึนามิ บริษัทคอสโมเปิดตัว "โนอาห์" เป็นครั้งแรกช่วงต้นเดือนก.ย.2554 ที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบันทางบริษัทอ้างว่ามีคำสั่งซื้อ "โนอาห์" เข้ามาถึง 600 ลูก นำส่งลูกค้าไปแล้ว 2 ลูก โดยนอกจากซื้อเก็บไว้ใช้ป้องกันพิบัติภัยแล้ว ยังซื้อเอาไว้ใช้เป็นเหมือน "บ้านของเล่น" สำหรับบุตรหลานได้อีกด้วย ราคาประมาณ 123,000 บาทต่อลูก จาก ....................... ข่าวสด วันที่ 18 ตุลาคม 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#6
|
||||
|
||||
|
20 บัญญัติ เตรียมบ้านก่อนน้ำท่วม ![]() การติดตามข่าวสถานการณ์น้ำท่วม ส่งผลให้ผู้รับข่าวสารเกิดความรู้สึกทุกข์ เพราะต้องลุ้นด้วยความระทึกว่า ที่อยู่อาศัยของตนจะถูกน้ำท่วมหรือไม่ การเตรียมบ้านให้พร้อมรับภัยน้ำที่อาจมาถึงจึงเป็นวิธีที่ช่วยลดความทุกข์ลงได้ ซึ่ง 'ยอดเยี่ยม เทพธรานนท์' สถาปนิกคนดัง แนะนำ “บัญญัติ 20 ประการ เตรียมบ้านก่อนน้ำท่วม” ดังต่อไปนี้ บัญญัติข้อ 1.ดูทางน้ำที่จะมาสู่บ้านเรา แล้วจะไปทางไหนได้บ้าง ขอให้คิดว่าเราเหมือนกำลังตั้งค่ายคูประตูหอรบอยู่ เราต้องรู้ว่าข้าศึกจะเข้ามาโจมตีเราทางทิศใดได้บ้าง แล้วเริ่มวางแผนที่จะ “หยุดน้ำ หยุดข้าศึกที่จะเข้ามาโจมตีเรา” มีหลายวิธีที่ต้องจัดการ ไม่ว่าจะเป็นการ “สร้างเขื่อนชั่วคราว” ด้วยกระสอบทราย หรือเอาแผ่นวัสดุใดๆมากั้น 2.กำแพงบ้านไว้กันน้ำได้ แต่ต้องระวังรั้วพังนะครับ ทางป้องกันที่ง่ายที่สุดก็คือ เราหากระสอบทรายมาวางไว้อีกด้านหนึ่งของรั้วบ้านเรา (ในบ้านเรา) วางไว้ติดชิดกับรั้วไปเลย เพื่อช่วยรับน้ำหนัก ถ่ายแรงจากรั้วมา 3.น่าจะมี “ปืน” ไว้สู้ฝน สู้น้ำท่วม จัดการกับ “รูรั่ว” บ้านหลายหลังที่มีรู มีรอยแตกเล็กๆตามผนังหรือช่องหน้าต่าง ดังนั้น เราก็น่าจะมีวัสดุอุดประสานรอยจำพวก ซิลิโคน หรือ อะคริลิค หรือ โพลี่ยูริเทน เอาไว้ ซึ่งเราน่าจะทำได้ด้วยตัวเอง แต่การที่เราจะใช้วัสดุ ประสานที่มีความยืดหยุ่นและอยู่ในหลอดแข็งๆนี้ได้ เราจะต้องมีอุปกรณ์การ "ฉีด" ซึ่งภาษาช่างทั่วไปเขาเรียกกันว่า "ปืน" ซึ่งราคาไม่แพงเลยครับ 4.อย่าให้ต้นไม้ล้มทับบ้าน ยามน้ำท่วมและพายุมา เมื่อน้ำท่วม ระดับน้ำใต้ดินจะสูงมาก (หรือน้ำท่วมเข้ามาได้จริงๆ) รากของต้นไม้จะแช่น้ำเป็นเวลานาน รากต้นไม้จะเน่าได้ แล้วความสามารถในการยึดเกาะกับดินก็จะน้อยลง (โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้นไม้ใหญ่ที่ไม่มีรากแก้ว) ต้นไม้ก็อาจจะล้มลงได้ ต้องทำการค้ำยันลำต้นเอาไว้ให้ดี ก่อนน้ำจะท่วมครับ ซึ่งตอนที่น้ำท่วมห้ามให้ปุ๋ยต้นไม้ครับ เพราะจะทำให้รากเน่าเร็วขึ้น (ต้นไม้ที่โดนน้ำท่วมก็เหมือนคนป่วย เขาไม่ต้องการอาหารดีๆ (แต่ย่อยยาก) ครับ ขอให้หายป่วยเสียก่อนค่อยกินอาหารดีๆเยอะๆได้ครับ) 5.ตรวจสอบถังน้ำใต้ดิน(ถ้ามี) ต้องตรวจสอบ “ฝา” ของถังน้ำให้ดีๆ เพราะเวลาน้ำท่วม ถังน้ำจะอยู่ใต้น้ำด้วย หากฝาของถังน้ำมีระบบป้องกันน้ำเข้าไม่ดี น้ำสกปรกที่ท่วมเข้ามา ก็จะไปปนกับน้ำสะอาดในถังน้ำของเรา หากเราไม่สามารถแก้ปัญหาเรื่องน้ำเล็ดลอดเข้ามาในถังของเราได้ ก็ขอให้ต่อท่อน้ำตรงจากท่อประปาหน้าบ้านเรา เข้ามาที่ตัวบ้านของเราเลย (โดยปกติแล้ว บ้านที่มีถังน้ำใต้ดินจะมีวาล์วหมุนเปิดทางให้น้ำประปาจากหน้าบ้านเรา วิ่งผ่านตรงเข้ามาในบ้านโดยไม่ลงไปที่ถังน้ำใต้ดินได้ ต้องหาวาล์วตัวนี้ให้เจอ แล้วต่อตรงเข้ามาเลยดีกว่า น้ำจะเบาลงหน่อย แต่ก็ยังเป็นน้ำสะอาดครับ) 6.ตรวจสอบอุปกรณ์ไฟฟ้านอกบ้าน-ตัดกระแสไฟเสีย โดยภายนอกบ้านของเราจะมีอุปกรณ์ไฟฟ้าหลายอย่าง เช่น ปั๊มน้ำ เครื่องปรับอากาศ หรือแม้กระทั่งไฟสนาม และกริ่งหน้าบ้าน ต้องหาสวิตซ์ตัดไฟให้พบว่า จะต้องตัดไฟตรงไหนไม่ให้ไฟฟ้าวิ่งเข้าไปที่อุปกรณ์เหล่านั้นได้ ยามเมื่อน้ำท่วมเข้ามา ต้องทำการตัดไฟตรงนั้นเสีย ส่วนการย้ายเครื่องมือย้ายอุปกรณ์เหล่านั้นในตอนนี้ หากแน่ใจว่าน้ำท่วมแน่ และมีช่างมาช่วยย้าย ก็อาจจะย้ายได้ 7.ป้องกัน งู เงี้ยว เขี้ยว ขอ ตะกวด และสัตว์เลื้อยคลานต่างๆ ดังนั้นเราต้องมั่นใจว่า “รู” ต่างๆของบ้านเราจะต้องโดน “อุด” เอาไว้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “รูจากท่อระบายน้ำ” ที่พื้นบ้านของเรา บางท่านอาจจะมีการโรย “ปูนขาว” ล้อมรอบบ้านเอาไว้ด้วยก็ได้ (แต่ต้องมั่นใจว่าโรยรอบบ้านจริงๆ และ ไม่ถูกน้ำท่วม หรือถูกฝนชะล้างจนหายไปหมดครับ) เพราะปูนขาวจะกันสัตว์เหล่านี้ได้ครับ นอกจากนี้ก็น่าจะเตรียมยาฉีดกันแมลงติดไว้ด้วย 8.เรื่องส้วม ส้วมที่เป็นระบบบ่อเกรอะ บ่อซึมแบบเดิม พอน้ำท่วม ส้วมก็จะเกิดอาการ “อืด และ ราดไม่ลง” หากน้ำจากภายนอกท่วมมาก มีแรงดันมาก ก็อาจจะเกิดอาการ “ระเบิด” ทำให้สิ่งปฏิกูลต่างๆพุ่งกลับมาที่โถส้วม กรณีนี้ต้องป้องกัน โดยปิดโถส้วมให้ดี หากเป็นโถส้วมนั่งราบที่มีฝาปิด ก็ต้องปิดฝาให้แน่น เอาเชือกผูกเอาไว้ กรณีที่เป็นบ่อบำบัดสำเร็จ ในเวลาปกติเขาจะบำบัดจนเสร็จภายในถังเอง แล้วก็จะระบายน้ำที่บำบัดเสร็จแล้วลงท่อระบายน้ำนอกบ้านของเรา ยามน้ำท่วม น้ำจากบ่อบำบัดจะไหลระบายออกไปไม่ได้ เพราะระดับน้ำที่ท่วมอยู่สูงกว่าบ่อบำบัด ซึ่งเป็นการแก้อะไรไม่ได้ ต้องปล่อยไว้อย่างนั้นครับ ถังบำบัดสำเร็จบางรุ่นจะมีมอเตอร์อัดอากาศเข้าไป (ซึ่งในบ้านส่วนใหญ่จะไม่ใช้รุ่นนี้) ก็ต้องตรวจดูว่ามอเตอร์อยู่ที่ไหน หากมอเตอร์น่าจะอยู่ในระดับที่น้ำท่วมถึง ก็ต้องตัดกระแสไฟไม่ให้เข้าไปสู่ตัวเครื่องกล ทั้งนี้สิ่งที่ต้องระวังก็คือ “ท่อหายใจ” ที่เป็นท่อระบายอากาศของระบบส้วมของเรา หากท่อหายใจของเราอยู่ระดับต่ำ ก็ต้อง “ต่อท่อ” ให้มีระดับสูงขึ้นให้ได้ จะต่อแบบถาวรก็ได้หรือจะต่อแบบท่อไม่ถาวร ก็คือเอาสายยางธรรมดา มาครอบท่อหายใจเดิม แล้วก็ยกให้ปลายท่อนั้นอยู่สูงขึ้นกว่าระดับน้ำที่คาดหมายว่าจะท่วม ท่อหายใจนี้จะเป็นอุปกรณ์สำคัญมากในการช่วยระบายความดันภายในระบบส้วมของเรา ไม่ให้สิ่งปฏิกูลมีแรงดันมากเกินไปครับ 9.ปลั๊กไฟ สวิตซ์ไฟ ตรวจสอบและแยกวงจร เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญที่สุด หากบ้านของเรามีการแยกวงจรไฟฟ้าไว้ตั้งแต่แรก คือวงจรไฟฟ้านอกบ้าน วงจรไฟฟ้าชั้นล่าง และวงจรไฟฟ้าชั้นบน ก็ต้องปิดวงจรไฟฟ้านอกบ้านเมื่อน้ำท่วมนอกบ้าน หากน้ำสูงขึ้นมาจนเข้าในตัวบ้าน ก็ต้องปิดวงจรไฟฟ้าชั้นล่าง หากน้ำสูงขึ้นถึงชั้นสอง น่าจะหาทางออกจากบ้านเพื่อย้ายไปอยู่ที่อื่นชั่วคราว เพราะสวิตซ์หลักของบ้านโดยทั่วไปจะอยู่ที่ชั้นล่างระดับประมาณ 1.8 เมตรจากพื้นห้องครับ กรณีที่บ้านไหนโชคดี วงจรไฟฟ้าชั้นล่างแยกวงจรออกมาเป็นระดับปลั๊กด้านล่างและระดับสวิตซ์บน ก็ค่อยๆ ตัดวงจรปลั๊กชุดล่างก่อนตามระดับน้ำที่ท่วมขึ้นมา 10.ตรวจสอบว่าประตูหน้าต่างแน่นหนาและแข็งแรง เพราะประตูและหน้าต่าง เป็นจุดหนึ่งที่ถือว่ามีความอ่อนแอมากที่สุด มีโอกาสที่จะบิด หรือเผยอตัว หรืออาจจะหลุดออกมาทั้งบาน หากมีแรงดันน้ำมากๆ ดันเข้ามา หากหนักหนาจริงๆ ให้เอาของหนักมาวางช่วยดันประตูไว้ 11.เตรียมระบบสื่อสารทุกประเภทเอาไว้ให้พร้อม ระบบสื่อสารทุกอย่างที่เรามี ไม่ว่าจะเป็นระบบโทรศัพท์ปกติหรือโทรศัพท์มือถือ ระบบอินเตอร์เน็ตทั้งมีสายและไร้สาย วิทยุ โทรทัศน์ หรือ อุปกรณ์สื่อสารพิเศษอย่างอื่น (เช่นระบบดาวเทียม วอร์คกี้ทอร์คกี้ เป็นต้น) เพราะการรับข่าวสาร และการติดตามข่าวสารเรื่องภัยน้ำท่วมที่จะมาถึงตัวเราเป็นเรื่องสำคัญ 12.ชาร์จอุปกรณ์ไฟฟ้าทุกอย่างเตรียมพร้อม 24 ชั่วโมง เพราะมีความจำเป็นยามเกิดภาวะฉุกเฉิน เช่น ไฟฉาย วิทยุ คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ มือถือ หรือแม้กระทั่งกล้องถ่ายภาพ ฯลฯ ยามน้ำท่วม ระบบไฟฟ้าทั้งหมดอาจติดขัดครับ และการใช้อุปกรณ์เหล่านั้นเมื่อไฟฟ้าปกติไม่มา จะต้องประหยัดไฟด้วย เพื่อความมั่นใจว่าอุปกรณ์เหล่านั้นจะทำงานได้เต็มที่ยามฉุกเฉิน 13.ย้ายของทุกอย่างให้อยู่ในที่ที่เหมาะสม ตั้งแต่รถยนต์ ถังกาซ เฟอร์นิเจอร์ หนังสือ ของขวัญ รูปภาพ ฯลฯ มีข้อมูลว่า เมื่อน้ำท่วม หลายคนเป็นอันตรายอันเนื่องมาจากการ “ห่วงของ” ต้องลุยน้ำกลับไปกลับมาเพื่อขนของออกจากบ้าน และหลายครั้งที่ขนของออกมาแล้ว แต่ไม่มีที่วาง ก็จำต้องวางไว้ในที่ที่ไม่ปลอดภัย ปรากฏว่าของที่อุตส่าห์ขนออกมาด้วยความเสียดายหรือความผูกพันนั้น ถูกผู้ชั่วร้ายใจทรามขโมยต่อเอาไปอีกด้วย แต่ของที่เราจะย้ายนั้น ไม่ได้หมายความว่าเป็นของทุกอย่างไปเลย เลือกเฉพาะที่เราคิดว่าต้องย้ายเท่านั้น ของบางอย่างที่แช่น้ำได้ไม่มีปัญหา ก็ไม่ต้องขนย้ายก็ได้ 14.ใช้พลาสติกซึ่งเป็นวัสดุที่ไม่กลัวน้ำให้เป็นประโยชน์ เช่นถังน้ำพลาสติก ท่อพลาสติก กระดานพลาสติก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผ้าหรือแผ่นพลาสติก ที่เราจะเอาไว้ใช้หุ้มอุปกรณ์หรือส่วนต่างๆของบ้านเรา ตั้งแต่เฟอร์นิเจอร์ หนังสือ ฯลฯ แม้กระทั่งการหุ้มป้องกันตัวเรา และที่สำคัญอีกอย่างก็คือ “ห่วงยาง” ครับ 15.เตรียมอาหาร น้ำดื่ม และยาให้พร้อม ประมาณ 3 วัน ยาหลักๆก็คือ ยาแก้ปวด ยากแก้ไข้ ยาแก้ท้องเสีย ยารักษาโรคน้ำกัดเท้า ยาล้างแผล ยาแก้แพ้ ยากันแมลงและยาของโรคประจำตัวของทุกคน 16.บ้านชั้นเดียว ต้องตรวจสอบหลังคาด้วย น้ำอาจจะท่วมชั้นล่างของบ้านอย่างรวดเร็ว หลังคาหรือส่วนของหลังคาจึงเป็นพื้นที่หลบภัยได้ชั่วคราวพื้นที่หนึ่ง เราจึงต้องตรวจสอบทางหนีทีไล่ของเรา กรณีที่เราต้องขึ้นไปหนีภัยบนหลังคา ซึ่งเราอาจจะขึ้นไปทางฝ้าเพดานของเรา (กรุณาอย่าลืมตัดวงจรไฟฟ้าที่บ้านทั้งหมดก่อนจะขึ้นไปบนฝ้าเพดานสู่หลังคานะครับ) 17.ระวังโจร อย่าเก็บของมีค่าเอาไว้ในบ้านของเรา เอาไปฝากที่อื่นก่อนดีกว่า 18.เพื่อนบ้าน ต้องร่วมด้วยช่วยกัน ในกรณีนี้ไม่ได้หมายถึงเรื่องของการต่อสู้ป้องกันโจรประการเดียว แต่หมายถึงในทุกๆกรณี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เรา “ขอความช่วยเหลือ” หรือเพื่อนบ้านขอความช่วยเหลือจากเรา 19.เตรียมทางหนีทีไล่เพื่อออกจากบ้าน อย่าคิดเพียงทางหนีออกจากบ้าน แต่ต้องคิดให้จบว่าหนีออกไปแล้ว จะหนีด้วยอะไร มีเรือหรือห่วงยางหรือไม่ มีเชือกสาวตัวเองหรือไม่ จะพกอะไรติดตัวไปบ้าง และจะมุ่งหน้าไปทางทิศใด มุ่งหน้าไปไหน พักที่ใด และสุดท้าย 20.ตั้งจิตให้มั่น ตอนนี้ “สติ” สำคัญที่สุด อย่าเสียเวลากับการเกรี้ยวโกรธ อย่าเพิ่งด่าอะไรใคร อย่าโทษฟ้าดิน โดยให้เตรียมการอย่างเป็นระบบ เราต้องรับรู้ข่าวสารต่างๆอย่างทันต่อเหตุการณ์จากคนที่เชื่อถือได้ เช่น http://www.thaiflood.com/ หรือ http://flood.gistda.or.th/ เป็นต้น. จาก ........................ เดลินิวส์ วันที่ 18 ตุลาคม 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายชล : 25-10-2011 เมื่อ 09:53 |
|
#7
|
||||
|
||||
|
''สุขอนามัยช่วงน้ำท่วม'' รอบรู้ป้องกันก่อนเรื้อรัง ![]() จากปัญหาน้ำท่วมใหญ่ในหลายพื้นที่ การดูแลสุขภาพเป็นเรื่องจำเป็นโดยเฉพาะอาหารการกิน ที่อาจมีผลร้ายระยะยาวต่อผู้ประสบภัยเอง เช่นเดียวกับสุขภาพที่อาจมีผลเรื้อรังต่อไปในอนาคตด้วยเช่นกัน ดร.นพ.เกริกยศ ชลายนเดชะ ผู้อำนวยการแพทย์อาวุโส (กลุ่มการแพทย์ 1) รพ.พญาไท 1 กล่าวว่า การดูแลสุขภาพร่างกายของผู้ที่ประสบภัยน้ำท่วมเป็นเรื่องจำเป็น ซึ่งอาจส่งผลทางร่างกายให้เกิด โรคผิวหนัง เช่น อาการแพ้, เชื้อราผิวหนัง และโรคระบบทางเดินอาหาร ซึ่งเเป็นผลมาจากการทานอาหารที่ไม่มีคุณภาพ ขณะที่ผลทางด้านจิตใจเป็นอีกส่วนที่น่าห่วงไม่แพ้กัน เพราะหลายคนมีความวิตกกังวลและหวาดกลัวกับระดับน้ำที่เพิ่มสูงขึ้น จึงเป็นเรื่องที่ต้องพยายามทำความเข้าใจเพื่อสร้างความผ่อนคลายให้กับผู้ประสบภัยอย่างเร่งด่วน สำหรับการเลือกทานอาหารสด อย่าง หมู ควรดูเนื้อที่เป็นสีชมพู ไม่มีกลิ่นเหม็น พอกดดูเนื้อแล้วจะไม่บุ๋มลงไป เช่นเดียวกับเนื้อวัวที่กดลงไปแล้วไม่บุ๋ม ส่วนปลาให้ดูเหงือกสีชมพู ด้านเนื้อไก่ต้องไม่มีรอยเป็นจ้ำบนผิวเนื้อ อาหารกระป๋องที่เก็บไว้หรือได้รับการช่วยเหลือต้องตรวจสอบว่ามีฉลากบริเวณกระป๋องติดไว้หรือไม่ รวมถึงต้องมีฉลากบอกวันผลิตและวันหมดอายุที่ชัดเจน กระป๋องต้องไม่มีรอยบุบ และเมื่อเปิดกระป๋องออกมาต้องไม่มีแรงลมออกมาด้วย เพราะถ้าอาหารกระป๋องมีปัญหาอย่างที่กล่าวมาอาจส่งผลอันตรายต่อสุขภาพควรหลีกเลี่ยงรับประทาน ในส่วนของน้ำที่จะนำมาใช้ล้างภาชนะต้องใช้สารส้มแกว่งก่อนนำมาใช้ เมื่อตกตะกอนจึงนำส่วนที่เป็นน้ำใสมาใช้ได้ หรือนำน้ำจากแหล่งน้ำมาใส่ไว้ในภาชนะเพื่อให้ตกตะกอนก่อนแล้วตักน้ำส่วนบนมาใช้ แต่ถ้าหากจะใช้น้ำไปดื่มกินต้องใช้สารส้มแกว่งจนตกตะกอนแล้วตักน้ำส่วนที่เป็นน้ำใสไปต้มจนเดือดแล้วจึงนำมาดื่มได้ เสื้อผ้าของผู้ประสบภัยเป็นอีกส่วนที่ต้องให้ความสำคัญอย่างมากในเด็กและคนชรา เพราะจะทำให้เกิดโรคผิวหนังและเชื้อราได้ ถ้าไม่มีผงซักฟอกในการซักให้ผึ่งแดดเพื่อฆ่าเชื้อ อย่างน้อยๆ จะช่วยให้ปัญหาเชื้อราต่างๆลดลง อาการที่เกิดจากการทานอาหารที่ไม่มีคุณภาพจะมีอาการท้องเสียเนื่องจากอาหารเป็นพิษ โดยสามารถทำน้ำเกลือแร่ขึ้นเองในภาวะฉุกเฉินได้ โดยนำน้ำอัดลมมาผสมกับเกลือและดื่มแทนได้ หรือนำน้ำสะอาดมาใส่ในขวดขนาด 750 ซีซี ใส่น้ำตาลลงไป 2 ช้อนโต๊ะ ผสมกับเกลืออีกครึ่งช้อนชาแล้วทำให้เข้ากันจะได้น้ำเกลือแร่แบบง่าย ๆ ในภาวะฉุกเฉิน มือเป็นพาหะที่สำคัญซึ่งต้องระวังอย่างมาก โดยก่อนจะหยิบอาหารกินทุกครั้งต้องล้างมือด้วยน้ำสะอาดก่อนทุกครั้ง เพื่อฆ่าเชื้อที่อาจปนเปื้อนมากับมือและเข้าสู่ร่างกายส่งผลให้ระบบทางเดินอาหารมีปัญหา “สิ่งที่ต้องระวังคือเด็กและคนชราที่ต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษเนื่องจากกลุ่มคนเหล่านี้มีภูมิต้านทานที่อ่อน ดังนั้นเรื่องอาหารการกินและเสื้อผ้าควรให้ความสำคัญอย่างมากเช่นกัน” อนาคตการดูแลเรื่องอาหารและสุขภาพร่างกายเป็นเรื่องจำเป็น ซึ่งปัญหาน้ำท่วมครั้งนี้น่าจะทำให้รัฐมีการเตรียมแผนรองรับด้านอาหารและการรักษาพยาบาลในอนาคตหากมีเหตุน้ำท่วมใหญ่เหมือนครั้งนี้อีก สุรนุช ธงศิลา กรรมการและผู้จัดการ มูลนิธิเอสซีจี ธนศักดิ์ สาคริกานนท์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท สยามซานิทารีแวร์ จำกัด และ มงคล ลีกำเนิดไทย ผู้จัดการ Solution Technology Development บริษัท สยามซานิทารีแวร์ จำกัด เล่าว่า เมื่อปีที่ผ่านมาที่เกิดอุทกภัยได้ผลิต สุขากระดาษ เพียงอย่างเดียวเพราะถึงแม้น้ำจะท่วมกินพื้นที่กว้างแต่ไม่นาน จึงไม่ได้ทำอย่างต่อเนื่อง แต่ครั้งนี้ความเดือดร้อนรุนแรงมากและสุขากระดาษก็เหมาะสำหรับการใช้ในครัวเรือนที่ยังพอมีสถานที่มิดชิด แต่ครั้งนี้เมื่อเดือดร้อนมากๆ มีการนำผู้ประสบภัยอพยพมาอยู่รวมกัน ทำให้สุขากระดาษไม่เพียงพอ จึงเกิดไอเดีย “สุขาลอยน้ำ” ขึ้นมาและคิดว่าน่าจะเหมาะสมกว่า จริงๆแล้ว สุขาลอยน้ำไม่ใช่ไอเดียใหม่ เพราะมีการทำกันออกมาเยอะ แต่ที่ผ่านมาเป็นการทำเฉพาะกิจทุกคนทำออกมาให้ลอยน้ำได้ซึ่งคิดว่าเป็นไอเดียที่ดี เช่น มีการนำถังน้ำมันมาประกอบให้ลอยน้ำได้ รวมทั้งนำสังกะสีมาล้อม และมีส้วมอยู่ด้านในเจาะรูแล้วถ่ายสิ่งปฏิกูลก็ลงไปในน้ำ ซึ่งเราต้องการมาตรฐานในเรื่องของสุขลักษณะและสุขอนามัย รวมทั้งความปลอดภัย ทำให้สุขาลอยน้ำที่เราทำขึ้นมาแตกต่างจากของหน่วยงานอื่น คือเรามีถังบำบัด เพราะสุขาลอยน้ำที่ทำกันส่วนใหญ่ไม่มีหรือถ้ามีก็เป็นถังเก็บปฏิกูล เมื่อเต็มก็ต้องเปลี่ยนหรือดูดออก แต่ของเราเป็นถังบำบัดที่เมื่อมีสิ่งปฏิกูลลงไปในถังจะมีจุลินทรีย์ในการย่อยสลายสิ่งปฏิกูล เมื่อย่อยสลายเสร็จแล้วสิ่งที่ปล่อยออกมาจากถังบำบัดจะได้มาตรฐานเหมือนกับถังบำบัดในบ้านเรือน การออกแบบสุขาลอยน้ำนี้เราคิดว่าทำอย่างไรให้สามารถช่วยเหลือพี่น้องประชาชนให้เร็วที่สุด จึงคิดที่จะนำสินค้าทุกตัวของเอสซีจีมาประกอบกันให้เป็นห้องน้ำและมีการบ้านที่ต้องคิดคือต้องเป็นส้วมลอยน้ำที่ถูกสุขลักษณะ โล่ง ปลอดภัย โดยสิ่งสำคัญอยู่ที่ว่าทำอย่างไรให้ลอยได้และเป็นถังบำบัดของเสียได้ด้วย จึงพบว่าถังน้ำขนาด 700 ลิตร สามารถดัดแปลงเป็นทุ่นลอยและเป็นถังบำบัดได้ด้วย การทำคือนำถังน้ำขนาด 700 ลิตร มาติดตั้งกับโครงเหล็กข้างละ 2 ถัง รวมเป็น 4 ถัง จึงมีทุ่นลอยทั้งหมด 4 ใบ เกิดแรงลอยตัวได้ถึง 2,800 กิโลกรัม สามารถรับน้ำหนักได้ประมาณ 8 คน จากนั้นออกแบบสุขาลอยน้ำให้มีขนาดความกว้าง 2.40 เมตร ยาว 3.60 เมตร สูง 3.20 เมตร และมี 2 แบบคือ นั่งราบและนั่งยอง ซึ่งชาวบ้านจะคุ้นเคยทั้ง 2 แบบโดยใช้น้ำราดเหมือนกัน สาเหตุที่ทำ 2 แบบ เพราะผู้สูงอายุเวลาใช้แบบนั่งยองนานๆ อาจจะนั่งไม่ไหว ถ้าใช้แบบนั่งราบจะสะดวกกว่า แต่บางคนที่ทนไหวก็สามารถนั่งได้ และถ้าทำแบบนั่งราบอย่างเดียวบางคนอาจจะไม่คุ้นเคยก็จะทำให้ปีนขึ้นไปนั่งยองบนโถอาจเป็นอันตรายได้ จึงทำ 2 แบบให้เลือกตามความสะดวก อย่างไรก็ตามเรื่องเล็กๆน้อยๆ เราก็ไม่มองข้าม เช่น หลังคาที่ใช้เป็นหลังคาโปร่งแสง ในเวลากลางวันไม่ต้องมีไฟฟ้าก็ใช้ได้ และติดตั้งแผงระบายอากาศด้านข้าง แสงแดดสามารถเข้าได้ช่วยในการฆ่าเชื้อโรคและมีที่จับด้านในห้องน้ำและรอบๆทางเดินด้านนอกด้วย เพราะห้องสุขาลอยอยู่ในน้ำอาจมีโยกเยกบ้าง ผู้สูงอายุจะได้จับเพื่อความปลอดภัย เมื่อได้ตรงนี้แล้วเรามาคิดว่าถ้าคนเข้าห้องน้ำก็ต้องมีน้ำราด จึงคิดทำระบบน้ำด้วยการทำปั๊มมือเพื่อปั๊มน้ำที่ท่วมด้านล่างเข้ามาใส่ถังที่เราเตรียมไว้ให้ในห้องน้ำแล้วตักราด ซึ่งจะเหมือนก๊อกน้ำทั่วไปแต่ใช้มือปั๊ม โดยสุขาลอยน้ำนี้สามารถช่วยลดโรคระบาดได้ เพราะโรคระบาดส่วนใหญ่มากับการขับถ่าย ทางกระทรวงสาธารณสุขห่วงใยมาก เพราะเมื่อน้ำเริ่มนิ่งถ้าขับถ่ายไม่เป็นที่เป็นทางโรคระบาดก็จะตามมาได้ ทางมูลนิธิฯ จะผลิตสุขาลอยน้ำประมาณ 150 ชุด มอบให้ผ่านทางกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ดูแลจำนวน 100 ชุด เนื่องจากทาง ปภ.มีเครื่องมือในการดูแลรักษาและมีเกือบทุกจังหวัด เพราะเมื่อน้ำลดจะได้นำสุขามาทำความสะอาดและสามารถใช้งานบนพื้นดินต่อหรือจะเก็บไว้ใช้เมื่อเกิดอุทกภัยครั้งต่อไปได้ อย่างไรก็ตาม หากผู้ประสบภัยมีความต้องการสุขากระดาษหรือสุขาลอยน้ำ สามารถแจ้งความจำนงผ่านมูลนิธิฯ ได้โดยส่งแฟกซ์มาที่เบอร์ 0-2586-3910 พร้อมระบุจำนวน ชื่อผู้ติดต่อ สถานที่ที่ได้รับความเดือดร้อน และประสานงานต่อที่หมายเลขโทรศัพท์ 0-2586-5506 เพราะเราคนไทยย่อมไม่ทิ้งกัน. เตือนภัยเล่นน้ำท่วมขังระวังเป็นตาแดง พ่อแม่ผู้ปกครองที่มีบุตรหลานควรระมัดระวังอย่าปล่อยให้เล่นน้ำในที่น้ำท่วมขังเพราะเป็นน้ำสกปรก โดย นายแพทย์ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ความรู้ว่า โรคตาแดงเป็นโรคที่พบมากในช่วงน้ำท่วม ซึ่งมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่ปนเปื้อนมากับน้ำ จากการลงเล่นน้ำ น้ำสกปรกกระเด็นเข้าตา การใช้น้ำที่ไม่สะอาดล้างหน้า การใช้มือ แขน เสื้อผ้าที่สกปรกขยี้ตาหรือเช็ดตา อย่างไรก็ตามโรคนี้อาการไม่รุนแรง หลังจากติดเชื้อภายใน 2-14 วัน จะมีอาการเคืองตา คันตา ตาแดง น้ำตาไหล มีขี้ตามาก มักเริ่มจากตาข้างหนึ่งก่อน แล้วลามไปยังตาอีกข้างหนึ่งภายใน 2-3 วัน นอกจากนี้โรคตาแดงสามารถติดต่อกันได้ง่ายมาก จากการใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกัน เช่น ผ้าเช็ดตัว ผ้าห่ม สำหรับการป้องกันโรคมีข้อแนะนำดังนี้ 1. ถ้ามีน้ำสกปรกเข้าตา ควรล้างตาด้วยน้ำสะอาดทันที 2. หมั่นล้างมือให้สะอาดด้วยน้ำและสบู่ ห้ามใช้มือขยี้ตา 3. รักษาความสะอาดเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัว สวมใส่เสื้อผ้าที่สะอาด 4. เมื่อเป็นหรือสงสัยว่าอาจเป็นโรคตาแดง ควรไปพบแพทย์ที่หน่วยแพทย์เคลื่อนที่หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขใกล้บ้าน เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาตั้งแต่แรก สำหรับผู้ที่ป่วยเป็นโรคตาแดงแล้ว ควรปฏิบัติตัวดังนี้ ให้ใช้กระดาษนุ่มๆ ซับน้ำตาหรือใช้สำลีชุบน้ำสะอาดเช็ดขี้ตาและบริเวณเปลือกตาแล้วทิ้งในถังขยะที่มิดชิด ไม่ควรใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดน้ำตา เนื่องจากเชื้อจะสะสมที่ผ้าเช็ดหน้า และติดต่อไปยังผู้อื่นได้ ไม่ควรใช้ผ้าปิดตาเพราะจะยิ่งทำให้เกิดการติดเชื้อมากขึ้น งดใส่คอนแทคเลนส์จนกว่าตาจะหายอักเสบ ใส่แว่นกันแดดเพื่อลดการระคายเคืองแสง ควรนอนแยกจากสมาชิกในครอบครัว และไม่ใช้สิ่งของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่นเพื่อป้องกันการระบาด สิ่งสำคัญคือ หมั่นล้างมือให้สะอาดบ่อยๆ เนื่องจากเชื้อไวรัสติดต่อโดยการสัมผัสมากที่สุด การล้างมือจะช่วยตัดการแพร่กระจายเชื้อได้อย่างดี ทั้งนี้หากมีอาการปวดตารุนแรง ตาพร่ามัว หรืออาการตาแดงไม่ทุเลาภายใน 7 วัน ขอให้ไปพบแพทย์หรือเจ้าหน้าที่ ที่สถานบริการสาธารณสุขใกล้บ้าน เพื่อรับการรักษา หรือ หากเจ็บป่วยฉุกเฉินสามารถโทรฯ สายด่วน 1669 เพื่อรับความช่วยเหลือ. “น้ำที่จะนำมาใช้ล้างภาชนะต้องใช้สารส้มแกว่งก่อนนำมาใช้ เมื่อตกตะกอนจึงนำส่วนที่เป็นน้ำใสมาใช้ได้ หรือนำน้ำจากแหล่งน้ำมาใส่ไว้ในภาชนะเพื่อให้ตกตะกอนก่อนแล้วตักน้ำส่วนบนมาใช้ แต่ถ้าหากจะใช้น้ำไปดื่มกินต้องใช้สารส้มแกว่งจนตกตะกอนแล้วตักน้ำส่วนที่เป็นน้ำใสไปต้มจนเดือดแล้วจึงนำมาดื่มได้” จาก ........................ เดลินิวส์ วันที่ 18 ตุลาคม 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
![]() |
| คำสั่งเพิ่มเติม | |
| เรียบเรียงคำตอบ | |
|
|