![]() |
|
|
|
#1
|
||||
|
||||
|
เมื่อสาวๆลุยน้ำสกปรก ![]() มีสาวๆหลายคนสงสัยและเป็นกังวลว่า น้ำท่วมสูงมากเกินระดับเอว ถ้าต้องเดินลุยน้ำสกปรก ที่เต็มไปด้วยขยะและสิ่งปฏิกูล แถมบางคนเป็นช่วงที่มีประจำเดือนด้วยจะเป็นอันตรายต่ออวัยวะเพศหรือไม่? เกี่ยวกับเรื่องนี้ รศ.นพ.ธีระพงศ์ เจริญวิทย์ ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อธิบายว่า การที่ผู้หญิงต้องเดินลุยน้ำสกปรก แช่น้ำนานๆ ทำให้เกิดความชื้นบริเวณอวัยวะเพศ อาจมีปัญหาเชื้อราบริเวณขาหนีบ เป็นสังคังเหมือนกับผู้ชาย นอกจากนี้อาจมีการติดเชื้อแบคทีเรียเข้าไปในช่องคลอด และลามไปที่ปีกมดลูก ทำให้เกิดการอักเสบหรือฝีที่ปีกมดลูกได้ โดยเฉพาะคนที่มีประจำเดือนยิ่งมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อได้ง่ายเพราะประจำเดือนจัดว่าเป็นอาหารอย่างดีของเชื้อโรค เพราะฉะนั้นผู้หญิงที่มีประจำเดือนควรหลีกเลี่ยงการเดินลุยน้ำหรือแช่น้ำนานๆ ถ้าจำเป็นต้องลุยน้ำจริงๆ นอกเหนือจากการใส่ผ้าอนามัยตามปกติแล้ว ควรใส่ชุดป้องกันน้ำสวมทับชุดปกติ ถ้าไม่มีชุดป้องกันน้ำ เมื่อขึ้นจากน้ำให้รีบทำความสะอาดบริเวณอวัยวะเพศให้แห้งโดยเร็วแต่ทางที่ดีควรใส่ชุดลุยน้ำป้องกันจะดีกว่า สำหรับผู้หญิงที่เดินลุยน้ำจนเปียกแล้วต้องไปทำงานต่อ แนะนำว่า ควรหากระโปรงยาวๆไปเปลี่ยน เมื่อชำระล้างทำความสะอาดอวัยวะเพศแล้ว ไม่จำเป็นต้องใส่กางเกงในก็ได้ เพื่อให้บริเวณดังกล่าวแห้งสนิทส่วนกางเกงในที่เปียกควรซักให้สะอาดผึ่งให้แห้งก่อนนำมาสวมใส่ กรณีที่เดินลุยน้ำจนเปียกแล้วไม่ยอมเปลี่ยนเสื้อผ้าและชุดชั้นใน ยังใส่เสื้อผ้าชุดเดิมทั้งที่ยังเปียกอยู่จนแห้งคาตัว นอกจากปัญหาเชื้อรา การติดเชื้อแล้ว อาจมีปัญหาผื่นคันโดยเฉพาะบริเวณแคมด้านนอก ซึ่งช่วงนี้พบได้บ่อย เพราะในน้ำนอกจากจะมีเชื้อโรคแล้ว อาจมีการปนเปื้อนของสารเคมีต่างๆ เช่น น้ำมัน สารพิษ โลหะหนัก ซึ่งผู้หญิงหลายคนอาจแพ้สารเหล่านี้และเกิดผื่นคัน นอกจากนี้บริเวณอวัยวะเพศอาจติดเชื้อเริมได้ แม้โอกาสจะน้อยก็ตาม ดังนั้นเวลาเดินลุยน้ำไม่ควรสวมใส่กางเกงที่รัดแน่นจนเกินไป เพราะคนที่เคยเป็นเริมมาก่อน การใส่กางเกงที่รัดแน่นอาจเกิดการเสียดสีทำให้บริเวณนั้นอ่อนแอและทำให้เชื้อเริมกลับมาเป็นได้อีก ยิ่งช่วงนี้หลายคนอดนอน พักผ่อนไม่เพียงพอ แถมมีความเครียดด้วย ก็มีโอกาสกลับมาเป็นโรคเริมได้ง่ายขึ้น ในกรณีที่มีผื่นคันบริเวณอวัยวะเพศหรือมีอาการผิดปกติควรรีบไปพบแพทย์ทันที เพื่อรับวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้อง ไม่ควรซื้อยามาทาหรือซื้อยามารับประทานเอง เพราะสาเหตุของปัญหาอาจไม่ใช่อย่างที่คิด ควรให้แพทย์ตรวจวินิจฉัยจะดีกว่า เนื่องจากหลายคนไปซื้อยาเชื้อรามาทา หรือ รับประทานแล้วไม่หาย กว่าจะมาพบแพทย์ปรากฏว่าอาการลุกลามเป็นผื่นเต็มไปหมด อีกปัญหาที่ต้องระวังและพบในผู้หญิง คือ กระเพาะปัสสาวะอักเสบ เนื่องจากท่อปัสสาวะของผู้หญิงสั้น ถ้าลุยน้ำนานๆ อาจติดเชื้อในกระเพาะปัสสาวะได้ อีกทั้งการลุยน้ำนานๆ บางคนกลั้นปัสสาวะ ดังนั้นถ้าคิดว่าต้องใช้ระยะเวลาในการเดินทางนานๆ ควรปัสสาวะให้เรียบร้อยก่อน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาดังกล่าว ส่วนผู้ชายที่เดินลุยน้ำสกปรกนานๆ เสื้อผ้าเปียกชื้น ก็มีปัญหาเช่นเดียวกัน คือ มีปัญหาเชื้อรา เป็นสังคัง ผื่นคัน และเริม ขณะเดียวกันบริเวณอวัยวะเพศชายมีรูเปิดท่อปัสสาวะอาจทำให้เกิดการติดเชื้อได้เช่นกันแต่น้อยกว่าผู้หญิง ดังนั้นหลังการลุยน้ำผู้ชายควรทำความสะอาดอวัยวะเพศให้แห้งสนิทถ้าเป็นไปได้ควรใส่ชุดกันน้ำเช่นเดียวกับผู้หญิง ที่สำคัญอย่าให้อวัยวะเพศแช่น้ำนานๆ ในกรณีที่สามีภรรยาคนใดคนหนึ่งติดเชื้อรา แบคทีเรีย หรือ เริม ควรงดการมีเพศสัมพันธ์ ถ้าต้องการมีเพศสัมพันธ์จริงๆ อย่างน้อยควรใส่ถุงยางอนามัยเพื่อป้องกันการติดเชื้อให้อีกฝ่ายหนึ่ง แต่ไม่สามารถป้องกันเชื้อราบริเวณขาหนีบหรือเริมที่บริเวณภายนอกของอวัยวะเพศได้. จาก .................... เดลินิวส์ คอลัมน์ x-ray สุขภาพ วันที่ 13 พฤศจิกายน 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายน้ำ : 13-11-2011 เมื่อ 07:17 |
|
#2
|
||||
|
||||
|
วิธีปฐมพยาบาลผู้ถูกไฟดูด ภาวะน้ำท่วมแบบนี้ หากมีผู้ถูกไฟดูด คนใกล้เคียงควรปฐมพยาบาลเบื้องต้นก่อนนำไปส่งแพทย์อย่างไร มีมาบอก ท่ามกลางวิกฤติอุทกภัยขณะนี้ นอกจากต้องดูแลรักษาร่างกายให้แข็งแรงปลอดภัยจากโรคต่างๆที่อาจเกิดจากน้ำไม่สะอาด เช่น น้ำกัดเท้า หรือไม่ก็สัตว์ร้ายที่มากับน้ำ รวมถึงของมีคมที่อาจถูกบาดได้หากลุยน้ำโดยไม่ระวัง อันตรายที่เกิดจากการถูกไฟดูดก็นับได้ว่ามีความเสี่ยงสูงด้วยเช่นกัน หากพบคนข้างๆถูกไฟดูด จะมีวิธีช่วยเหลือหรือปฐมพยาบาลเบื้องต้นก่อนถึงมือหมออย่างไร วันนี้มีมาแนะนำ หากทราบว่ามีกระแสไฟฟ้าอยู่ในบริเวณที่มีน้ำท่วมขัง ต้องหาทางเขี่ยสายไฟฟ้าออกให้พ้นหรือตัดกระแสไฟฟ้าให้เรียบร้อยก่อนทำการช่วยเหลือผู้ถูกไฟดูด แล้วค่อยใช้วัตถุที่ไม่เป็นสื่อไฟฟ้า เช่น ผ้า ไม้ ยาง พลาสติก เป็นต้น ผลักหรือดันตัวผู้ถูกไฟดูดให้หลุดออกมาอย่างรอบคอบ ระมัดระวัง และรวดเร็ว ขั้นต่อไปให้หยุดการไหลของไฟที่ผ่านตัวคนถูกไฟดูด ด้วยการนำวัตถุที่เป็นโลหะขนาดใหญ่ เช่น แผ่นสังกะสี วางลงพื้นดินแล้วนำตัวผู้ประสบเหตุนอนลงบนสิ่งนั้น เสร็จแล้วใช้น้ำลดผู้ถูกไฟดูดและบริเวณพื้นโดยรอบเพื่อให้ร่างกายได้คลายประจุไฟฟ้า วิธีนี้จะสามารถทำให้ผู้ป่วยฟื้นขึ้นมาได้ แล้วค่อยนำส่งโรงพยาบาล เพื่อให้แพทย์ดูอาการ แต่ถ้าในกรณีที่ผู้ป่วยยังไม่รู้สึกตัว หรือไม่หายใจ ให้ปฐมพยาบาลโดยการเป่าปากหรือปั๊มหัวใจทันที ก่อนนำส่งโรงพยาบาลต่อไป. ขั้นตอนการเป่าปากหรือปั๊มหัวใจช่วยเหลือผู้ถูกไฟดูด ![]() จาก .................... เดลินิวส์ คอลัมน์เกร็ดความรู้ วันที่ 13 พฤศจิกายน 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#3
|
||||
|
||||
|
รู้จัก 'hMPV' ไวรัสที่กำลังหวั่นระบาด ![]() หลังหลายคนพูดกันอย่างอื้ออึงถึงข่าว การพบเชื้อฮิวแมน เมทตะนิวโมไวรัส มีอาการคล้ายหวัดใหญ่และโรคปอดอักเสบ หากกินยาแก้หวัดใหญ่หลายวันไม่หายควรรีบพบแพทย์ มิเช่นนั้นอาจถึงตาย! ประกอบกับโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งเปิดเผยว่า ในช่วงสิงหาคม-ตุลาคมที่ผ่านมา มีผู้ป่วยเพราะติดเชื้อดังกล่าวถึง 22 ราย เสียชีวิต 2 ราย หากย้อนดูสถิติเก่า กลับพบว่า ในแต่ละปีมีผู้ป่วยเพียงไม่กี่ราย ที่จริงแล้ว เชื้อฮิวแมน เมทตะนิวโมไวรัส (Human metapneumovirus) หรือเรียกสั้นๆ ว่า 'hMPV' เชื้อไวรัสทางเดินหายใจ เป็นที่รู้จักมานานราว 60 ปีแล้ว มักระบาดในช่วงหน้าฝนถึงหน้าหนาว ทุกเพศและทุกช่วงวัยมีโอกาสติดเชื้อได้ทั้งหมด แต่ส่วนใหญ่มักพบในเด็กเล็ก และผู้ที่มีโรคประจำตัว ป่วยเบาหวาน โรคอ้วน ตั้งครรภ์ หรือผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีนป้องกันไข้หวัดเข้าข่ายเป็นกลุ่มเสี่ยง เมื่อได้รับเชื้อ hMPV จะทำให้ติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจส่วนบนและส่วนล่าง มีอาการคล้ายกับการติดเชื้อไวรัสตัวอื่นๆ เช่น มีไข้ ไอ จาม มีน้ำมูก เจ็บคอ ไม่มียารักษาตัวโรคโดยตรงเช่นเดียวกับโรคหวัดหรือไข้หวัด ซึ่งแพทย์จะใช้วิธีรักษาไปตามอาการของผู้ป่วยแต่ละราย ขณะที่วัคซีนป้องกัน hMPV ยังอยู่ในขั้นทดลอง และเนื่องจากมีอาการคล้ายไข้หวัด ผู้ที่เป็นมักกินยาแก้หวัด แก้ไอ เพื่อบรรเทาอาการ ทว่ากินยาไปแล้ว 2-3 วัน อาการที่เป็นทั้งหมดไม่ทุเลาลงลงเลย จำเป็นต้องรีบพบแพทย์ หากปล่อยไว้อาการอาจรุนแรงขึ้น เช่น หอบเหนื่อย ปอดบวม เลือดออกในปอด ติดเชื้อในกระแสเลือด หรือหายใจไม่สะดวกเพราะหลอดลมบวมมาก และอาจติดเชื้ออื่นซ้ำ อย่างไรก็ตาม การพบแพทย์ในช่วงที่อาการรุนแรงอาจถูกนำตัวเข้ารักษาและติดตามอาการอย่างใกล้ชิดภายในห้องไอซียู บางรายที่หายใจติดขัด แพทย์อาจต้องเจาะคอ หรือใส่เครื่องช่วยหายใจรักษาไปตามอาการ ทั้งนี้ในผู้ที่มีอาการไม่มาก การนอนพักผ่อนเพียงพอ ร่วมกับการกินยารักษาอาการที่เป็น ก็สามารถหายได้เหมือนเป็นไข้หวัดทั่วไป การติดเชื้อชนิดนี้ยังมีอัตราการเสียชีวิตน้อยมาก นอกเสียจากอาการไม่ดีขึ้นและทรุดหนักต้องพบแพทย์ อีกทั้งในช่วงที่เกิดภัยน้ำท่วมเช่นนี้ ชาวบ้านต้องอพยพไปอยู่รวมกันที่ศูนย์พักพิง ควรมีการแยกผู้ที่อาการป่วยออกเป็นสัดส่วน ผู้ที่มีอาการไอ เป็นหวัด ควรสวมหน้ากากอนามัย และล้างมือบ่อยๆ เพื่อลดการระบาดของโรค. จาก .................... เดลินิวส์ คอลัมน์สารพันวันละโรค วันที่ 14 พฤศจิกายน 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#4
|
||||
|
||||
|
ฮ่องกงฟุต!!! สุดอันตราย จาก .................... ไทยรัฐ วันที่ 14 พฤศจิกายน 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#5
|
||||
|
||||
|
สะกดเบาหวานด้วย “สติ” ![]() สถิติคนไทยบริโภคน้ำตาลเพิ่มขึ้นปีละ 30.5 กิโลกรัมต่อคนภายในระยะเวลา20ปี เห็นทีคงต้องหาวิธีทำให้คนใกล้ตัวเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร สถิติคนไทยบริโภคน้ำตาลเพิ่มขึ้นปีละ 30.5 กิโลกรัมต่อคนภายในระยะเวลา20ปี เห็นทีคงต้องหาวิธีทำให้คนใกล้ตัวเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารก่อนโรคเบาหวานจะถามหา ถ้าอยากให้คนที่เรารักไม่เป็นโรคเบาหวานควรทำอย่างไร กฤษฎี โพธิทัต นักกำหนดอาหาร เจ้าของงานเขียน“กินดี ได้สุขภาพดี” ในฐานะผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าหลายคนสงสัยว่า ทำไมเขาถึงเป็นเบาหวานทั้งๆที่ไม่ได้รับประทานอาหารหวานไม่ว่าจะเป็นขนม น้ำอัดลมเพราะความจริงโรคเบาหวานไม่ได้เกิดจากการบริโภคของหวานอย่างเดียว แต่เกิดจากรับประทานอาหารไม่สมดุล หลายคนรับประทานแต่แป้งไม่รับประทานเนื้อสัตว์และผักมาตั้งแต่เด็กจนโต บางคนชอบรับประทานอาหารแบบง่ายๆ เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ข้าวเหนียวหมูทอด ข้าวไข่เจียว ข้าวหมูแดง ข้าวมันไก่ ซึ่งเมนูเหล่านี้มีผักน้อยมากๆ หรือไม่มีเลย ซึ่งการกินอาหารที่ไม่สมดุลเช่นนี้ไปนานๆ อาจส่งผลให้ร่างกายขาดสารอาหารสำคัญที่ช่วยต้านโรคเบาหวาน “วันๆผ่านไปแทบไม่ได้แตะผักเลยไม่ได้มีเฉพาะเด็กเท่านั้น แม้แต่ผู้ใหญ่ก็เช่นเดียวกันทั้งๆที่บ้านเรามีผักเยอะแยะที่สามารถนำปรุงเป็นอาหารน่ากินทั้งนั้นอันนี้เป็นสาเหตุหนึ่งของเบาหวาน พ่อแม่ควรฝึกให้ลูกรับประทานผัก ผลไม้จนติดเป็นนิสัย” วิถีการกินก่อโรคร้าย ยิ่งเมื่อเข้าสู่วัยทำงานการใช้ชีวิตเปลี่ยนไปจากเดิมที่เคยใช้พลังงานเยอะช่วงเรียนมหาวิทยาลัย พออายุมากขึ้นใช้พลังงานน้อยลง แต่บริโภคอาหารเพิ่มขึ้นทำให้เกิดการ“สะสม”ไขมันในช่องท้อง ซึ่งจะเป็นตัวที่ทำให้ฮอร์โมนในร่างกายต่างๆเปลี่ยนแปลง ถ้ามีไขมันในช่องท้องเยอะ จะเป็นสัญญาณบ่งบอกโรคเบาหวาน วิธีตรวจง่ายๆคือใช้สายวัดวัดเอว ผู้หญิงที่มีเอวหนามากกว่า 80เซ็นติเมตรและผู้ชายที่มีเอวหนามากกว่า 90 เซ็นติเมตร ถือว่ามีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคเบาหวาน ตัวฮอร์โมนอินซูลิน ซึ่งสร้างจากตับอ่อนที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงมาจากตัวไขมันจะเป็นตัวที่ทำให้เกิดโรคเบาหวานกล่าวคือเวลารับประทานอาหารไม่ว่าเป็นผลไม้ นมหรือแป้งถูกย่อยเป็นน้ำตาลกลูโคสเป็นหน่วยเล็กๆแล้วเข้าไปที่เซลล์กล้ามเนื้อและเซลล์ต่างๆเพื่อใช้เป็นพลังงาน แต่เมื่อมีไขมันมาสะสมฮอร์โมนอินซูลินที่เปลี่ยนแปลงตรงนี้ มันเข้าเซลล์ไม่ได้ เพราะเกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน เซลล์ไม่ให้อินซูลินเข้าแล้ว น้ำตาลกลูโคสที่อยู่ในเลือดจะอยู่ในระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ เพรินซูลินไม่สามารถเอาน้ำตาลเข้าเซลล์ได้ น้ำตาลในเลือดมี 3 ระดับ ได้แก่ ระดับปกติ ระดับตรงกลางและระดับของโรคเบาหวาน คนที่น้ำตาลในเลือดอยู่ระดับตรงกลาง แม้ว่ายังไม่เป็นเบาหวานแต่ก็มีแนวโน้มจะเป็นเบาหวานสูงถ้าไม่เปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอาหาร "จริงๆค่าน้ำตาลกลูโคสในเลือดที่อยู่ระดับกลาง มันจะเปลี่ยนไปทางไหนก็ได้ ไม่ว่าเป็นระดับปกติหรือระดับของโรคเบาหวาน ถ้ายังเฮฮาปาร์ตี้ โดยไม่ออกกำลังกาย ไม่ปล่อยวางความเครียด โอกาสจะเป็นเบาหวานสูงแต่ถ้าปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอาจอยู่ระดับนี้ไปเรื่อยๆ หรือถ้าคุมเข้มอาจ อยู่ในระดับปกติได้” หลายคนมักคิดว่าอะไรมันจะเกิดก็ต้องเกิด หรือ เกิดมาทั้งทีต้องสนุกสนานกับชีวิตเต็มที่ แต่ลืมคิดไปว่า ตนเองมีครอบครัว มีคนที่เรารักและคนที่รักเรา คุณจะสร้างภาระจากการเจ็บป่วยให้กับพวกเขาหรือแม้จะเป็นคนที่ไม่มีครอบครัว ไม่มีใครที่ต้องเป็นห่วง แต่ก็อาจลืมนึกไปว่า ความทุกข์จากการเจ็บป่วยและค่าใช้จ่ายในการรักษานั้นจะทำให้คุณภาพชีวิตลดลง แทนที่เกษียณแล้วจะมีความสุขในการใช้ชีวิต กลับต้องมาป่วย ยาไม่ใช่คำตอบสุดท้าย “คนที่เป็นเบาหวานไม่มีโอกาสหาย สาเหตุส่วนหนึ่งเกิดจากการใช้ชีวิตด้วยความประมาท หลายคนมักคิดว่า กินยาแล้วจะดีขึ้นโดยไม่ต้องทำอะไรเลย ซึ่งเป็นความคิดที่ผิด ผู้ป่วยจะมีอาการดีขึ้นได้ต้องดูแลตัวเองทั้งด้านอาหาร ร่างกายและ อารมณ์ไม่ใช่ยาอย่างเดียว” โภชนาการจึงเป็นเรื่องสำคัญ โภชนาการ ”ไม่ได้” เป็นการห้ามกินแต่เป็นการสอนให้รู้จักเลือกที่จะกินอะไรในปริมาณเท่าไร สำหรับญาติผู้ป่วยเบาหวานที่เขาไม่อยากให้คนที่รักเจ็บป่วยสามารถช่วยได้ด้วยการพยายามเลือกอาหาร เพื่อสุขภาพก่อนที่จะเลือกอาหารที่อยากรับประทาน เราไม่จำเป็นที่จะต้องงดอาหารที่ชอบโดยสิ้นเชิง สมมติไปรับประทานอาหารนอกบ้านควรเลือกสั่งอาหารให้มีความหลากหลาย เช่น ถ้ารับประทานในร้านอาหารจีนแทนที่จะสั่งเมนูของมันหรือของทอดอย่างเดียวก็หันมาสั่งเมนูผักให้เยอะหน่อย ถ้าร้านอาหารทะเลแทนที่จะสั่งแต่ปลาทอด กุ้งทอด ปูชุปแป้งทอด ทอดมันกุ้ง ข้าวผัดปูควรจะสั่งต้มยำกุ้ง ใส่เห็ดเยอะๆ แกงส้มทะเล หรือแกงส้มกุ้ง ถ้าเป็นร้านอาการอิตาเลี่ยน แนะนำให้สั่งสลัดเพราะมีให้เลือกหลากหลาย ส่วนเมนูสปาเกตตี้ที่มีไขมันสูง หากอยากบริโภคควรสั่งมาจานเดียวแล้วแบ่งกันรับประทาน “ คุณอาจตักอาหารได้หลายๆอย่าง อย่างละคำ 2 คำ วิธีนี้จะทำให้คุณสามารถรับประทานอาหารได้หลากหลายแต่ไม่มากจนเกินไป” วิธีป้องกันไม่ให้รับประทานอาหารเกินความจำเป็นคือ ให้เคี้ยวอาหารช้าๆ ลิ้มรสชาติของอาหารทุกคำ จะช่วยทำให้คุณอิ่มเร็วและได้รับแคลอรีน้อยกว่ารับประทานเร็วๆ ซึ่งจะอิ่มช้าและได้รับแคลอรีจากอาหารมาก ส่วนการเลือกอาหารที่เป็นของว่างระหว่างมื้อนั้น ให้เลือกเป็นผลไม้ที่มีแป้งน้อย เช่น ส้ม ชมพู่ ฝรั่ง สับปะรด ทางที่ดีควรรับประทานอาหารมื้อหลักและมื้อว่างแบบเบาๆ โดยเลือก ผัก ผลไม้ แป้งไม่ขัดสี ข้าวกล้องข้าวซ้อมมือ หรือธัญพืช และโปรตีน ไขมันต่ำ เช่น ปลา เป็ดหรือไก่ไร้หนัง ไข่ เต้าหู้ ในปริมาณเล็กน้อยทุกมื้อ ดื่มน้ำเปล่าเยอะๆตลอดทั้งวัน นอกจากนั้นสิ่งที่ขาดไม่ได้คือ " สติ" เพราะการบริโภคอย่างมีสตินั้น สามารถนำไปใช้ได้ในทุกสถานการณ์ส่วนวิธีการบริโภคอย่างมีสติให้ได้ผลดีที่สุดนั้น นักกำหนดอาหารมีข้อแนะนำว่า ควรเริ่มตั้งแต่การเลือกอาหารเพื่อคัดเลือกอาหารก่อนว่าอะไรดี อะไรไม่ดี เช่น หลายคนรู้ว่าของมันไม่ดี และรู้ว่าผักดี แต่ก็ยังไม่กินผัก กินแต่ของมันๆ ถัดมาต้อง ”หยุดคิด” ก่อนตัดสินใจซื้ออะไรมาบริโภคว่าหิวหรือเปล่า ? ถ้าไม่หิวอย่ากิน ! “ความหิวมันมีระดับ 1 -10 ระดับ 10 คืออิ่มจัด ระดับ 1 คือหิวจัด ไม่มีอะไรเหลือในท้องแล้ว แล้วระดับความหิวเราอยู่ตรงไหน ถ้าเราไม่หิว ไม่ต้องไปเพิ่มแคลอรีจากขนมหรืออาหารที่ซื้อมารับประทานเพราะความอยาก ” เห็นไหมว่า เรื่องง่ายๆ อย่างการรับประทานอาจ “ไม่ใช่”แค่เรื่องธรรมดาอย่างที่คิด เพราะมีผลกับชีวิตคุณและคนที่คุณรักโดยตรง จาก ................... กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 16 พฤศจิกายน 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#6
|
||||
|
||||
|
“แก้เจ็บคอ” อย่างได้ผลด้วยมะนาว-มะขาม ![]() ใช้ความเปรี้ยวซีดซ๊าดจากวิตามินธรรมชาติลดอาการเจ็บคอ กับ “สูตรปรุงยาขับเสมหะรสกลมกล่อม” สถานการณ์น้ำล้อมบ้านสร้างความยากลำบากในการใช้ชีวิตเหลือหลาย โดยเฉพาะยามเจ็บไข้ จะออกไปพบแพทย์ก็ทุลักทุเล ยามนี้ลองหันเข้าครัว แล้วจะพบว่าวัตถุดิบภายในสามารถหยิบจับมาทำยาได้ อย่างสูตร “แก้เจ็บคอ” ง่ายๆมาดูกัน เริ่มสูตรแรกด้วย “มะนาว” มีกรดอินทรีย์หลายชนิด ทั้งซิตริก มาลิค วิตามินซี ใช้เป็นยาสมุนไพร ขับเสมหะ และแก้ไอได้ โดยล้างมะนาวให้สะอาด ใช้น้ำมะนาวผสมน้ำอุ่น และเกลือเล็กน้อย หรือ ใช้น้ำมะนาวผสมน้ำผึ้ง ค่อยๆจิบ นอกจากนั้น อาจฝานมะนาวเป็นชิ้นบาง หรือ หั่นเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าชิ้นเล็ก จิ้มเกลือ อมไว้สักครู่ แล้วเคี้ยวกลืน ส่วนสูตรที่สอง “มะขาม” อุดมด้วยกรดอินทรีย์ ทั้งซิตริค มาลิค ทาร์ทาริค และวิตามินเอ ซึ่งรสเปรี้ยวนี้จะกัดเสมหะให้ละลายได้ โดยนำมะขามเปียกต้มกับน้ำ เติมน้ำตาล และเกลือเล็กน้อย หรือ ใช้เนื้อในฝักแก่ (มะขามเปียก) ประมาณ 3 กรัม จิ้มเกลือรับประทาน จะได้ยาที่มีรสกลมกล่อม ทั้งนี้ มะนาว และมะขามเปียก มีฤทธิ์เป็นยาระบายด้วย จึงไม่ควรรับประทานมากเกินไป. จาก .................... เดลินิวส์ คอลัมน์เกร็ดความรู้ วันที่ 16 พฤศจิกายน 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#7
|
||||
|
||||
|
วิธีหยุด ‘สะอึก’ ![]() ‘สะอึก’ ทางการแพทย์อธิบายอาการไม่พึงประสงค์ไว้ว่า กล้ามเนื้อกะบังลมบริเวณรอยต่อระหว่างช่องปอดกับช่องท้องเกิดการหดเกร็งโดยไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด แต่อาจสันนิษฐานว่า มีสิ่งไปกระตุ้นเส้นประสาท 2 ตัว คือ Vagus nerve และ Phrenic nerve ซึ่งเป็นส่วนที่เชื่อมระบบประสาทต่อกับระบบทางเดินอาหารส่วนต้น ส่วนเสียงสะอึกเกิดขึ้นจากการหายใจออกระหว่างที่กระบังลมกระตุกแบบปัจจุบันทันด่วนนั่นเอง สำหรับบางคนเวลาสะอึกถึงกับกลายเป็นจุดสนใจ เพราะเสียงสะอึกดังกึกก้อง แถมตัวก็กระตุก แม้พยายามเอามือปิดปาก และนั่งนิ่งๆ ก็ข่มอาการเอาไว้ไม่ได้ ซึ่งส่วนใหญ่วิธียอดนิยมที่ใช้แก้อาการดังกล่าว คือ การดื่มน้ำ ทว่าในช่วงเวลานั้น ไม่สามารถหาน้ำดื่มได้ แนะนำให้ใช้วิธีกดจุด การกดจุดแก้สะอึก เป็นเคล็ดลับทางแพทย์แผนจีน โดยให้กดจุดจ่านจู๋ ที่อยู่ในตำแหน่งหัวคิ้วทั้งสองข้าง ก่อนกดจุดให้นั่งหลังตรงหรือนอนหงาย จากนั้นใช้นิ้วโป้งกดลงที่หัวคิ้วพร้อมกันทั้งสองข้าง ขณะกดให้ค่อยๆทิ้งน้ำหนักเบาแล้วแรง นิ้วที่เหลือให้ศีรษะไว้ โดยกดแบบเบาสลับหนักค้างไว้จนกว่าจะหายสะอึก ที่มักหายภายใน 2-3 นาที อย่างไรก็ตาม หากสะอึกนานกว่านั้นเป็นชั่วโมง เป็นวัน หรือมีอาการติดๆ กันเป็นประจำ ประกอบกับพบอาการอื่นๆร่วมด้วย เช่น หายใจติดขัด เวียนศีรษะ เจ็บหน้าอก ควรรีบไปพบแพทย์ เนื่องจากอาจเกิดความผิดปกติกับระบบทางเดินอาหาร ระบบทางเดินหายใจ หรือระบบสมองและเส้นประสาท. จาก .................... เดลินิวส์ คอลัมน์สามัญประจำบ้าน วันที่ 17 พฤศจิกายน 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
![]() |
| คำสั่งเพิ่มเติม | |
| เรียบเรียงคำตอบ | |
|
|