![]() |
|
|
|
#1
|
||||
|
||||
|
'เครื่องกรองน้ำฉุกเฉิน' เน้นวัสดุท้องถิ่น ต้นทุนต่ำ ใช้งานง่ายทำได้จริง !? ![]() ในสถานการณ์น้ำท่วมที่ขยายวงกว้างอย่างนี้ นอกจากจะสร้างความเดือดร้อนในเรื่องของที่อยู่อาศัยแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อระบบาธารณูปโภคพื้นฐานอย่าง “น้ำ” ที่ใช้สำหรับดื่มกิน และชำระล้างร่างกายอีกด้วย!! หลายฝ่าย หลายหน่วยงาน ต่างร่วมแรงร่วมใจระดมความคิด ความสามารถในด้านต่างๆ สร้างสำนึกจิตอาสาขึ้นมาช่วยเหลือสังคม เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ประสบภัยน้ำท่วมในยามคับขัน ขณะที่หลายพื้นที่กำลังประสบปัญหามีแต่น้ำท่วมขัง...และน้ำที่มีอยู่ก็เริ่มใช้ไม่ได้ บ้างมีสี มีกลิ่น จากน้ำที่เคยใสเปลี่ยนเป็นสีขุ่น ซึ่งอาจมีการปนเปื้อนของเชื้อโรคได้ ด้วยเหตุนี้ บุคลากรที่มีจิตอาสาภายในมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร จึงได้คิดค้นสิ่งประดิษฐ์ที่เรียกว่า “เครื่องกรองน้ำแบบฉุกเฉิน” ขึ้น เครื่องกรองน้ำแบบฉุกเฉิน เป็นผลงานของ นายวาสนิธิ์ พญาปุโรหิต นายธีรภัทร์ ฉัตรทอง นายวรนล กิติสาธร นายอภิชัจ เจียรวิริยะนาถ 4 หัวเรือใหญ่ของทีมวิจัย และกลุ่มเพื่อนนักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์ จาก ศูนย์วิจัยส่วนนวัตกรรมเพื่อการนำไปใช้ประโยชน์ (Applied Innovation Division : AID) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร โดยมี ดร.ภานวีย์ โภไคยอุดม และ รศ.ดร.วิษณุ มีอยู่ เป็นที่ปรึกษาของโครงการ “จริง ๆ แล้วการคิดค้นสิ่งประดิษฐ์นี้ขึ้นมาก็เพื่อต้องการช่วยเหลือผู้ที่ประสบภาวะน้ำท่วมที่ขาดแคลนน้ำใช้ น้ำเพื่อชำระล้างสิ่งต่าง ๆ จึงคิดว่าจะทำอย่างไรให้น้ำไม่มีกลิ่น ไม่มีสี มีความสะอาดเพียงพอและสกปรกน้อยที่สุด เพราะหากผู้ประสบภัยน้ำท่วมใช้น้ำที่มีเชื้อโรคหรือสารปนเปื้อนบ่อยครั้ง อาจไม่ปลอดภัยและเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยได้” ทีมวิจัย เกริ่นนำ ก่อนช่วยกันอธิบายถึงขั้นตอนการทำงานของเครื่องกรองน้ำแบบฉุกเฉินให้ฟังว่า เครื่องกรองน้ำฉุกเฉินนี้ถูกออกแบบไว้ให้มีความสะดวกในการทำใช้ได้เอง ไม่ต้องมีเครื่องมือพิเศษอะไร ขนาดเล็กหรือใหญ่ก็แล้วแต่วัตถุประสงค์ของการนำไปใช้ ที่ประดิษฐ์ขึ้นมานั้นเป็นขนาดเล็กน้ำหนัก 1.5 กิโลกรัม เพื่อความสะดวกแก่การเคลื่อนย้าย ติดตั้งและซ่อมบำรุง สามารถกรองน้ำได้ครั้งละ 5 ลิตร ภายในครึ่งนาที หลักการทำงานไม่สลับซับซ้อน อุปกรณ์แบ่งเป็น 2 ส่วนหลัก คือ เครื่องทรงกระบอก ความสูง 45 เซนติเมตร ขนาดบรรจุน้ำได้ 5 ลิตร อีกส่วนหนึ่งคือ กระบอก ความสูง 70 เซนติเมตร เพื่อบรรจุชุดกรองที่ได้ประยุกต์โดยใช้ภูมิปัญญาชาวบ้านมาพัฒนาไว้ในตัวกระบอก ซึ่งชั้นกรองแต่ละชั้นทำจากวัสดุที่สามารถหาได้ในพื้นที่ ประกอบด้วย หิน กรวด ชั้นทรายละเอียด และทรายหยาบ เพื่อทำการกรองสารแขวนลอยที่มีอยู่ในน้ำ และก่อนที่อินทรีย์สารจะทำให้เกิดสีจะถูกดูดซับโดยถ่านกัมมันต์ “ถ่านกัมมันต์จริงๆแล้ว ไม่ได้แตกต่างจากถ่านที่เรารู้จักกันมากนัก เพียงแต่ถูกกระตุ้นหรือปรับเปลี่ยนคุณสมบัติให้มีศักยภาพในการดูดซับสารเจือปนต่างๆที่อยู่ในน้ำได้ ซึ่งชั้นกรองทั้งหลายเหล่านี้จะทำหน้าที่กรอง ดูดซับกลิ่น และปรับสภาพน้ำขุ่นให้กลายเป็นน้ำใสได้” อุปกรณ์ชุดนี้ ถูกออกแบบให้สามารถถอดทำความสะอาดล้างเองได้บ่อยครั้งเท่าที่ต้องการ เนื่องจากน้ำที่ใช้มีความขุ่นไม่เท่ากัน โดยผู้ใช้ต้องสังเกต หากปริมาณน้ำไหลออกมาช้ากว่าปกติ ก็สามารถถอดอุปกรณ์ล้างทำความสะอาดได้ทันที ดร.ภานวีย์ โภไคยอุดม กล่าวเสริมว่า เครื่องกรองน้ำประเภทนี้ น้ำจะไหลผ่านชั้นกรองด้วยการอาศัยแรงโน้มถ่วงของโลก ส่งผลให้อัตราการผลิตน้ำได้ไม่สูงนัก ดังนั้น ปั๊มน้ำ จึงมีความจำเป็นในการเสริมเข้ามาในระบบ เพื่อใช้เป็นตัวส่งน้ำเข้าสู่ระบบและทำให้อัตราการผลิตน้ำด้วยเครื่องกรองน้ำนั้นสูงขึ้น โดยจะเห็นได้ชัดว่า ถ้ายังมีกระแสไฟฟ้าใช้อยู่ในพื้นที่คงไม่ใช่เรื่องลำบากที่จะติดตั้งระบบเครื่องกรองน้ำเดิมที่มีอยู่ แต่ในเวลานี้พื้นที่ส่วนใหญ่ที่ประสบอุทกภัยจะไม่มีกระแสไฟฟ้าใช้ ดังนั้น จำเป็นต้องหากลไกอื่นในการปั๊มน้ำส่งเข้าสู่ระบบเครื่องกรองน้ำที่จะต้องไม่อาศัยกระแสไฟฟ้า เครื่องกรองน้ำที่ถูกจัดทำขึ้นนั้น จึงใช้ แรงลมที่มีอยู่ในกระบอกสูบลม ไปดันน้ำให้เข้าสู่เครื่องกรองน้ำด้วยอัตราการไหลที่เหมาะสมสำหรับการกรอง “หลักการทำงานจะอาศัยหลักการแทนที่น้ำของอากาศ ซึ่งเป็นหลักวิทยาศาสตร์พื้นฐานไม่ได้มีความสลับซับซ้อน เพียงแต่ต้องนำมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ โดยตัวเครื่องกรองน้ำจะประกอบไปด้วยชั้นกรองต่างๆ เช่น ทรายหยาบ ทรายละเอียด และถ่านกัมมันต์ รวมถึงใยกรองต่างๆ ส่วนที่สอง เป็นส่วนของอุปกรณ์ส่งน้ำซึ่งประกอบไปด้วยปั๊มลมที่ต่อเข้ากับภาชนะบรรจุน้ำขนาด 5 ลิตร โดยการใช้งานนั้นสามารถทำได้โดยการปั๊มลมเข้าสู่ภาชนะที่บรรจุน้ำอยู่ โดยการปั๊มลมนี้ไม่ต่างอะไรจากการสูบลมเข้าจักรยานนั่นเอง” น้ำที่ถูกแทนที่ด้วยอากาศจะไหลผ่านถังกรองน้ำด้วยอัตราการไหลที่เหมาะสม น้ำที่ผ่านเครื่องกรองนี้จะไม่มีสีและสามารถนำไปใช้อาบและชำระล้างได้ แต่ยังไม่เหมาะสำหรับการนำไปบริโภค ทางทีมงานวิจัยจึงได้พัฒนาอุปกรณ์เสริมขึ้นมาอีกชุดหนึ่ง สำหรับในกรณีจำเป็นที่ต้องนำน้ำนั้นไปดื่ม โดยชุดกรองชุดนี้จะประกอบขึ้นแบบง่ายๆ โดยเพิ่มไส้กรองเซรามิกส์ ฟิลเตอร์ ขนาดรูพรุน 0.3 ไมครอน ที่ใช้ในเครื่องกรองน้ำทั่ว ๆ ไป และมีจำหน่ายในร้านค้าและซุูเปอร์มาร์เกต ราคาตั้งแต่ 150-500 บาท แล้วแต่คุณภาพ ทำหน้าที่เป็นตัวดูดซับเชื้อโรคในน้ำ เพื่อให้น้ำมีสภาพที่ดียิ่งขึ้นต่อการนำมาใช้อุปโภคบริโภค ซึ่งสามารถกรองจุลินทรีย์บางชนิดออกได้ อย่างไรก็ตาม การจะนำน้ำที่ผ่านเครื่องกรองน้ำฉุกเฉินไปบริโภคนั้นควรมีการฆ่าเชื้อ ด้วยการเติมคลอรีนหรือนำไปต้มเสียก่อน ทั้งนี้ ทีมงานวิจัยภายใต้การนำ รศ.ดร.วิษณุ มีอยู่ กำลังทำการพัฒนาถ่านกัมมันต์ชนิดพิเศษที่สามารถใช้กำจัดเชื้อแบคทีเรียได้อยู่ “ต้นเดือนพฤศจิกายนนี้ นักศึกษา คณาจารย์ และเจ้าหน้าที่ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร พร้อมจิตอาสาบริเวณพื้นที่ใกล้เคียง จะเริ่มผลิตเครื่องกรองน้ำแบบฉุกเฉินนี้ คาดว่าจะผลิตได้วันละ 35 เครื่อง และจะมอบเครื่องกรองน้ำให้แก่ ชุมชน หรือในศูนย์พักพิงที่ประสบปัญหาในพื้นที่ต่าง ๆ ทั้งนี้ หากชุมชนใดสนใจนำไปพัฒนาใช้ต่อสามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่ โทร.0-2988-3655 ต่อ 1105-7 สายตรง 0-2988-4023 สำนักประชาสัมพันธ์และบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร” สำหรับผู้ที่ต้องการร่วมสมทบทุนสามารถร่วมบริจาคเงินได้ที่ บัญชีเงินฝากสะสมทรัพย์ ธนาคารกรุงเทพ สาขาหนองจอก ชื่อบัญชี ม.มหานครผลิตเครื่องกรองน้ำเพื่อช่วยผู้ประสบอุทกภัย เลขที่ 217-4-11111-8 นับเป็นอีกหนึ่งหนทางของการอยู่รอดในสภาวะที่น้ำท่วมหนักเช่นนี้. จาก ....................... เดลินิวส์ คอลัมน์วาไรตี้ วันที่ 14 พฤศจิกายน 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#2
|
||||
|
||||
|
ทำน้ำใช้จากน้ำท่วม ![]() ทางศปภ.เตือนชาวกรุงเทพฯ ว่าอาจต้องทนกับสภาพน้ำท่วมขังนานนับเดือน ดังนั้น ความรู้ในการเตรียมน้ำใช้ช่วงน้ำท่วมจึงเป็นสิ่งที่ทุกคนควรเรียนรู้ไว้ โดยเริ่มต้นจากการเตรียมอุปกรณ์ ได้แก่ 1.โอ่ง ถังพลาสติก หรือภาชนะรองรับน้ำ จำนวน 2 ใบ 2.สารส้มก้อน 3.สารฆ่าเชื้อโรค คลอรีนชนิดน้ำ 2% (หยดทิพย์) ด้านขั้นตอนการผลิตน้ำสะอาด ประกอบไปด้วย 4 ขั้นตอน คือ 1.เตรียมน้ำลงในภาชนะรองรับน้ำใบที่ 1 โดยเลือกใช้น้ำจากแหล่งน้ำในบริเวณที่สะอาด ห่างจากแหล่งสุขาหรือโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ 2.แกว่งสารส้มในน้ำจนกระทั่งสังเกตเห็นตะกอนเริ่มจับตัว ซึ่งอาจใช้เวลามากน้อยต่างกันไปตามปริมาตรและลักษณะของน้ำ โดยแกว่งที่ความลึกประมาณ 2/3 ส่วนของความลึกน้ำจากผิวน้ำ 3.หลังจากแกว่งสารส้ม จะต้องทิ้งน้ำไว้จนกระทั่งตะกอนตกลงสู่ก้นถัง ซึ่งอาจต้องใช้เวลาประมาณ 30 นาที หรืออาจตั้งทิ้งไว้ข้ามคืน จากนั้นจึงตักหรือถ่ายน้ำส่วนใสเข้าสู่ภาชนะบรรจุใบที่ 2 น้ำที่ผ่านขั้นตอนนี้จะมีลักษณะใสแต่ยังไม่ได้ผ่านการฆ่าเชื้อโรค 4.การเติมสารเพื่อฆ่าเชื้อโรคลงในภาชนะรองรับน้ำใบที่ 2 โดยเติมสารฆ่าเชื้อโรคคลอรีนชนิดน้ำ 2% (หยดทิพย์) ในปริมาณ 1 หยด ต่อน้ำ 1 ลิตร กวนผสมและปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที เพื่อให้สารฆ่าเชื้อโรคออกฤทธิ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม น้ำใสที่ได้อาจยังไม่เหมาะสมต่อการบริโภคเนื่อง จากน้ำที่ผ่านการผลิตขึ้นเองอาจไม่มีการควบคุมคุณภาพที่ดีเพียงพอ ส่วนคำเตือนสำหรับน้ำยาหยดทิพย์คือ เก็บให้พ้นมือเด็ก อย่าให้เข้าตาและสัมผัสผิวหนัง ห้ามรับประทานโดยตรง หากสารละลายหยดทิพย์ถูกมือให้รีบล้างออกด้วยน้ำสะอาด ถ้าสารละลายหยดทิพย์เข้าตาต้องรีบล้างตาด้วยน้ำสะอาดหลายๆครั้งแล้วรีบไปพบแพทย์ และเก็บรักษาสารละลายหยดทิพย์ในที่มืด ขอขอบคุณข้อมูลจากกลุ่มอาจารย์ภาควิชาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จาก ....................... ข่าวสด คอลัมน์หมุนก่อนโลก วันที่ 14 พฤศจิกายน 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#3
|
||||
|
||||
|
ทำกิจกรรมอะไรดีกับลูกในช่วงน้ำท่วม ....................... โดย ดร.สุพาพร เทพยสุวรรณ ช่วงนี้ไม่เพียงแต่คุณแม่คุณพ่อต้องเครียดกับภาวะน้ำท่วม เด็กๆก็เกิดความเครียดด้วยเช่นเดียวกัน การให้โอกาสเด็กๆได้แสดงออกและระบายความรู้สึกออกมาจะช่วยบรรเทาอาการเครียดของเด็กได้ ด้วยเหตุผลดังนี้ • การให้เด็กได้เล่าเรื่องหรือพูดเรื่องที่เกิดขึ้นหลายๆครั้ง จะช่วยให้เด็กได้เรียงลำดับเหตุการณ์ ได้เห็นความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น หรือคิดหาทางควบคุมต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ ในภาวะที่สับสน และหาทางออกไม่ได้ • การได้ระบายความกลัว หรือความเครียดออกมาบางครั้งจะช่วยลดความวิตกกังวลและลดความไม่สบายใจได้ • การได้ยินเรื่องราวจากเพื่อนคนอื่นๆ จะช่วยให้เด็กๆรู้ว่ามีเพื่อนคนอื่นตกอยู่ในสภาพเดียวกับเรา ไม่ว่าจะเป็นความกลัวหรือความวิตกกังวล • การมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างเด็กๆกับเพื่อนๆกับคุณพ่อคุณแม่ หรือกับคุณครู เด็กๆจะเป็นการได้แบ่งปันเรื่องราว และความรู้สึก กิจกรรมที่จะช่วยลดความเครียดให้เด็กๆได้มีดังนี้ เด็กอนุบาลและเด็กประถม 1. หาอุปกรณ์หรือของเล่นที่ให้เด็กได้มีโอกาสได้เล่นบทบาทสมมติในสภาวะน้ำท่วมจะช่วยให้เด็กๆมีประสบการณ์และมีความรู้ ความเข้าใจในสถานการณ์น้ำท่วมมากขึ้น อุปกรณ์ดังกล่าวคือ ไม้บล็อก ถุงจำลองทราย รถตักทราย รถพยาบาล รถทหาร เรือ ถุงยังชีพ ยา อาหารแห้ง เป็นต้น การให้เด็กๆได้เล่นหุ่นมือ ตุ๊กตา หรือเล่นบทบาทสมมติจะช่วยให้เด็กได้มีโอกาสพูดและระบายความรู้สึกที่เกิดขึ้นอีกด้วย 2. กิจกรรมการให้เด็กได้ออกกำลังทางด้านร่างกายถือว่าเป็นวิธีช่วยลดความเครียดและความวิตกกังวลได้ 3. ทำงานศิลปะ ให้เด็กๆวาดภาพน้ำท่วม งานศิลปะถือเป็นงานสร้างสรรค์ที่ให้เด็กๆได้แสดงออก ให้เด็กๆวาดภาพอะไรก็ได้ที่อยู่ในใจและอยากวาด อาจตั้งหัวข้อ หรือตั้งคำถามให้เด็กๆเป็นแนวทางให้เด็กๆมีโอกาสพูดคุยถึงรูปที่วาด จัดเด็กเป็นกลุ่มเล็กๆ เปิดโอกาสให้ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ซึ่งกันและกัน การได้พูดคุยถึงความรู้สึกกลัวที่เกิดขึ้นจะช่วยให้เด็กๆได้ระบายออกถึงความเครียดและความกลัว 4. เล่านิทานหรือเรื่องสั้นเกี่ยวกับภาวะน้ำท่วมให้เด็กๆฟัง 5. จัดทำโครงงานในหัวข้อ มีอะไรเกิดขึ้นในบ้านของเรา ที่โรงเรียน ในชุมชนของเรา หรือเราจะทำอย่างไรเมื่อมวลน้ำใหญ่ไหลมา ภูมิอากาศที่เปลี่ยนไปส่งผลอย่างไรต่อโลก เป็นต้น 6. เด็กๆสามารถวาดรูป เขียน หรือเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่พวกเขาจำได้ดี และตอบคำถาม เช่น มีอะไรเกิดขึ้นเมื่อฝนตกหนัก มีอะไรเกิดขึ้นเมื่อเขื่อนมีน้ำมากเกินกำหนด เราจะช่วยครอบครัว คนเฒ่า คนแก่ เด็กและคนเจ็บได้อย่างไร เมื่อน้ำท่วมบ้าน การจัดเตรียมอาหารและเครื่องใช้ในระหว่างเกิดอุทกภัย โรคและอันตรายต่างๆเมื่อเกิดเมื่อน้ำท่วม พร้อมทั้งการระวังตัวและการป้องกัน เราได้เรียนรู้อะไรบ้างจากการเกิดอุทกภัยครั้งนี้ มีอะไรที่เป็นข้อดีที่เราได้เรียนรู้ในการเกิดน้ำท่วมคราวนี้บ้าง การพูดคุยสนทนา การฟังคำตอบและคำถามของเด็กๆ จะช่วยในการประเมินความเข้าใจและความรู้สึกของเด็กๆได้ สิ่งที่สำคัญคือจบบทสนทนาด้วยความคิดทางบวก เสริมแรงให้กำลังใจ และให้สัมผัสแห่งความปลอดภัย และการเตรียมตัวในครั้งต่อไป ให้เด็กๆสรุปเองโดยมีผู้ใหญ่เป็นผู้เสริมแรง และตะล่อมให้ตรงประเด็น ตัวอย่างความคิดทางบวก เช่น • ความรู้สึกที่ได้มีความใกล้ชิดกับครอบครัว • ได้พบเพื่อนใหม่ และผู้ที่ตกสถานการณ์เดียวกัน • เรียนรู้ทักษะใหม่ สัมผัสแห่งความรับผิดชอบ การแก้ปัญหาอย่างฉลาด • การผนึกกำลังของชุมชนในการช่วยกันแก้ปัญหา • การให้ความช่วยเหลือดูแลแก่ผู้ที่ตกทุกข์ได้ยาก ชั้นประถมปลาย 1. ทำสมุดภาพโครงงาน ให้เด็กๆได้มีโอกาสได้รวบรวมความคิดและข้อมูลต่างๆ จัดหาวิธีแก้ไขอย่างเป็นระเบียบ 2. ให้เด็กๆได้เล่นเกมอุทกภัย โดยคิดกฎกติกาเอง คิดวิธีการจบเกมเอง เพื่อพัฒนาสัมผัสในการแก้ปัญหาและความรู้สึกปลอดภัย 3. ใช้หนังสือภาพระบายสี หรือหนังสืออื่นๆ ที่เกี่ยวกับอุทกภัย เสริมแรงให้เด็กวาดรูป เขียน หรือพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ กิจกรรมสำหรับชั้นมัธยม เราอาจใช้หลักการพื้นฐานเดียวกันและต่อยอดความคิดสำหรับใช้กับเด็กโต เช่น 1. ใช้ศิลปะ ดนตรี คำกลอน ในการบรรยายความรู้สึกและประสบการณ์ เด็กอาจจะทำเป็น Power Point สมุดภาพ สมุกบันทึกความทรงจำ เล่นเป็นละคร หรืออัดวีดีทัศน์ไว้ สะสมผลงานต่างๆของเด็ก อาจจัดพิมพ์ หรือจัดแสดงกันในชั้นเรียน ที่งานโรงเรียน หรือที่ชุมชน เป็นต้น 2. จัดกลุ่มสนทนา อภิปรายความคิด โต้วาที ให้เด็กได้แสดงความคิดเห็นได้แสดงออกถึงความรู้สึก ให้เด็กรู้ว่าความรู้สึกกลัวหรือวิตกกังวลเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ คำว่าอุทกภัยและ วาทภัยมีความหมายว่าอย่างไร สิ่งที่สำคัญคือให้เราได้รับบทเรียนอะไรบ้างโดยที่ไม่ว่าเรื่องจะจบลงด้วยความคิดทางบวกหรือเป็นความคิดทางลบก็ตาม กิจกรรมต่างๆเหล่านี้คุณพ่อคุณแม่หรือคุณครูสามารถทำร่วมกับเด็กๆได้ จะช่วยลดความเครียด ความวิตกกังวลรวมทั้งความกลัวของลูกได้ สิ่งที่สำคัญคือการให้ความรักและความเข้าใจ เห็นอกเห็นใจ และความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันเพื่อช่วยให้ทุกคนผ่านวิกฤตการณ์ครั้งนี้ไปได้ด้วยดี จาก ....................... ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 16 พฤศจิกายน 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#4
|
||||
|
||||
|
ธรรมชาติของไฟฟ้า รู้ไว้ไม่ตาย ![]() ในภาวะน้ำท่วมอันตรายหนึ่งที่มองไม่เห็นและอาจนำไปสู่การเสียชีวิตคือ อันตรายจากไฟฟ้าโดยเฉพาะไฟฟ้าที่รั่วไหลอยู่ใต้ผิวน้ำ ในภาวะน้ำท่วมอันตรายหนึ่งที่มองไม่เห็นและอาจนำไปสู่การเสียชีวิตคือ อันตรายจากไฟฟ้าโดยเฉพาะไฟฟ้าที่รั่วไหลอยู่ใต้ผิวน้ำ รายงานการเฝ้าระวังโรคและภัยสุขภาพจากน้ำท่วมของสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ระบุว่าสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ในภาวะน้ำท่วมของคนกรุงเทพมหานครและปริมณฑลมาจากไฟฟ้าดูด ซึ่งต่างจากต่างจังหวัดที่เสียชีวิตจากการจมน้ำ ผศ.พงษ์ ทรงพงษ์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ข้อมูลว่า แต่ละคนมีการตอบสนองต่อกระแสไฟฟ้าต่างกัน ขึ้นกับสาเหตุหลายอย่าง เช่น เพศ วัยการฝึกฝน และประสบการณ์ที่เคยได้รับ อย่างไรก็ตาม เราอาจกำหนดเป็นช่วงของความรู้สึกได้โดยประมาณดังนี้ 1 มิลลิแอมป์ (1 ใน 1000 แอมแปร์) เริ่มรู้สึก อาจรู้สึกจั๊กจี้ หรือรู้สึกเหมือนโดนเข็มเล็กๆ สะกิด โดยทั่วไปไม่เป็นอันตราย ยกเว้นคนที่มีภาวะหัวใจผิดปกติอยู่แล้ว 5 มิลลิแอมป์ เป็นที่ยอมรับกันว่าเป็นกระแสที่ยังปลอดภัยอยู่ หากสูงกว่านี้จะเริ่มอันตราย แทบทุกคนจะรู้สึกอย่างชัดเจนว่ามีกระแสไฟ อาจรู้สึกชาๆ แต่ยังคงควบคุมอวัยวะได้ 10-20 มิลลิแอมป์ กล้ามเนื้อที่มีกระแสไฟฟ้าไหลผ่าน จะเกิดการหดตัวแบบควบคุมไม่ได้ นั่นคือถ้ากำมือจับวัตถุที่ไฟรั่ว ก็จะไม่สามารถปล่อยมือได้นั่นเอง 100-300 มิลลิแอมป์ กล้ามเนื้อจะหดตัวอย่างแรงถึงฉีกขาดได้ ถ้าอยู่ในภาวะนี้นานจะเป็นอันตรายถึงชีวิต 6 แอมแปร์ กล้ามเนื้อจะหดตัวสุด หากสัมผัสชั่วขณะจะกลับสู่สภาพเดิม เหมือนถูก reset จึงใช้ในการกระตุ้นหัวใจให้กลับมาเต้นอีกครั้งในคนไข้ที่หัวใจหยุดเต้น "หากใช้กระแสไฟฟ้าขนาดนี้กับคนใกล้ตายหัวใจหยุดเต้น ก็อาจปลุกให้ฟื้นได้ หรือในทางกลับกัน หากใช้กับคนที่ปกติ ก็อาจจะทำให้ตายได้นั่นเอง" ผศ.พงษ์ อธิบายเพิ่ม สิ่งที่ทำให้เกิดโศกนาฏกรรมเกี่ยวกับไฟฟ้าคือตัวกระแสไฟฟ้า จึงควรหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดกระแสไฟฟ้าผ่านร่างกาย ดังนี้ 1. สังเกตบริเวณที่จะเข้าไป ว่ามีสายไฟหรือเครื่องใช้ไฟฟ้าจมน้ำอยู่หรือไม่ ถ้ามีหรือไม่แน่ใจให้ตัดกระแสไฟบริเวณนั้น แต่มีข้อสังเกตว่า ปริมาณกระแสไฟฟ้าที่รั่วในน้ำ หรือที่ทำอันตรายต่อร่างกายได้นั้นเป็นปริมาณที่ไม่มากเลย ดังนั้น เครื่องตัดกระแสไฟฟ้าทั่วไปที่ไม่ใช่เครื่องตัดไฟรั่วจะไม่ตัดกระแสโดยอัตโนมัติ จึงอย่าหวังว่าเครื่องตัดไฟจะทำงาน ให้ตัดด้วยมือเพื่อความแน่ใจเสมอ 2. ถ้าไม่แน่ใจ ให้ทดสอบด้วยเครื่องตรวจวัดไฟรั่ว ซึ่งมีอยู่ 2 ลักษณะ คือตรวจวัดแบบทุ่นลอยน้ำ และตรวจโดยใช้ไม้แหย่ เครื่องตรวจที่เป็นแบบทุ่นลอยน้ำจะสามารถตรวจไฟรั่วจากสายไฟหรือเครื่องใช้ไฟฟ้าที่แช่อยู่ในน้ำได้ แต่ถ้าขั้วไฟฟ้าที่รั่วจมอยู่ลึกๆ เช่น ปลั๊กตัวเมียที่จมอยู่ในน้ำ อาจไม่สามารถตรวจได้ เพราะกระแสไฟฟ้าที่รั่วจะวนอยู่รอบๆขั้วเท่านั้น ต้องใช้แบบไม้แหย่ ถ้าเป็นไม้ที่สร้างจากไขควงวัดไฟ ต้องระวังว่าไฟอาจไม่สว่างเพราะบริเวณที่เป็นอันตรายจะอยู่ใกล้ๆขั้วไฟฟ้าเท่านั้น ประกอบกับมีน้ำล้อมรอบ อาจจะทำให้ไขควงสว่างได้ยาก 3. กรณีที่เครื่องใช้ไฟฟ้าจมน้ำ และต้องการทดสอบว่าไฟรั่วหรือไม่ ไขควงวัดไฟเป็นตัวเลือกที่ดี และถ้าพบว่ามีไฟรั่ว ควรติดป้ายเตือนและหลีกเลี่ยงบริเวณรอบๆ 4. ถ้าน้ำไม่ลึกมาก รองเท้าบูตยางจะช่วยได้มาก เพราะยางเป็นฉนวนไฟฟ้าที่ดี ไฟฟ้าผ่านได้ยาก การนั่งเรือที่เป็นฉนวน เช่น เรือไฟเบอร์หรือเรือไม้ก็ช่วยได้มากเช่นกัน ตรงข้ามกับเรือที่เป็นโลหะก็ปลอดภัยสำหรับคนที่อยู่บนเรือ แต่ไม่ปลอดภัยสำหรับคนที่อยู่ในน้ำและจับหรือเข็นเรืออยู่ 5. ถ้าต้องการสัมผัสโลหะที่แช่น้ำอยู่ แต่กลัวว่าจะมีไฟรั่วโดยที่มองไม่เห็นหรือตรวจไม่พบ เช่น ลูกบิดประตูที่เป็นโลหะ หรือกรอบประตูหน้าต่างอะลูมิเนียม ให้ใช้หลังมือสัมผัสก่อน เพราะตามธรรมชาติเมื่อกล้ามเนื้อได้รับกระแสไฟฟ้า จะเกิดการหดตัว เมื่อเราใช้หลังมือสัมผัสและเกิดไฟฟ้ารั่วผ่าน ก็จะเป็นการชักมือหนีออกจากแหล่งที่ไฟรั่วนั้น แต่หากใช้ด้านหน้ามือไปสัมผัส เมื่อกล้ามเนื้อมือหดตัวก็จะกำแน่นขึ้น และอาจทำให้เสียชีวิตได้ ถึงแม้ว่าจะมีเครื่องตรวจวัดไฟรั่วหลายแบบที่นำมาแจกจ่าย แต่เครื่องวัดทุกแบบก็มีข้อจำกัด ควรทำความเข้าใจการใช้งานก่อน และใช้ด้วยความระมัดระวัง ขอให้ทุกท่านโชคดี และขอเป็นกำลังใจให้ผ่านพ้นภัยจากไฟฟ้าและน้ำท่วมไปโดยเร็ว จาก ....................... กรุงเทพธุรกิจ คอลัมน์สุขภาพ วันที่ 17 พฤศจิกายน 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#5
|
||||
|
||||
|
กปน.จัดทำคู่มือ "ข้อแนะนำการใช้น้ำประปาในภาวะน้ำท่วม" ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การประปานครหลวง (กปน.) ห่วงใยผู้ใช้น้ำที่ประสบปัญหาน้ำท่วมในขณะนี้ ซึ่งอาจทำให้ผู้ใช้น้ำประสบปัญหาในการใช้น้ำประปา กปน. จึงมีข้อแนะนำ ดังนี้ 1. กรณีที่พักอาศัยของท่าน มีถังพักน้ำใต้ดินและถูกน้ำท่วม ควรหยุดใช้น้ำจากถังพักน้ำชั่วคราว แล้วเปลี่ยนไปใช้น้ำประปาจากท่อภายในที่ต่อตรงจากหลังมาตรวัดน้ำแทน เนื่องจากน้ำที่ท่วมขังอาจไหลลงไปปะปน หรือซึมเข้าไปในถังพักน้ำ ทำให้น้ำมีสภาพไม่เหมาะสมต่อการใช้ หากน้ำยังท่วมไม่ถึงถังพักน้ำของท่าน ควรเตรียมป้องกันถังพักน้ำไว้ล่วงหน้า 2. ควรระมัดระวังไม่ใช้เครื่องสูบน้ำ (ปั๊มน้ำ) จากระบบท่อที่จมอยู่ใต้น้ำเพราะหากมีท่อแตกรั่วซึ่งมองไม่เห็น เครื่องสูบน้ำ (ปั๊มน้ำ) จะดูดสิ่งสกปรกเข้าสู่ระบบท่อได้ 3. กรณีก๊อกจมอยู่ในน้ำ สามารถใช้สายยางที่สะอาดต่อจากก๊อกแล้วยกแขวนให้สูงขึ้น จะสามารถใช้น้ำได้ตามปกติ 4. น้ำประปาที่ กปน.ผลิตและสูบจ่ายเข้าสู่ระบบท่อประปา ได้ผ่านการตรวจสอบจากนักวิทยาศาสตร์ของ กปน. และสถาบันที่เชื่อถือได้ โดยเฉพาะในช่วงวิกฤตน้ำท่วม หน่วยงานด้านสาธารณสุข อาทิ กรมอนามัย กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข และคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ทำการตรวจสอบคุณภาพน้ำดิบและน้ำประปา และยืนยันว่าน้ำประปาอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานน้ำดื่มขององค์การอนามัยโลก ไม่เป็นอันตรายเพราะไม่มีสารพิษและเชื้อโรค 5. ขณะนี้ กปน. ได้เพิ่มปริมาณคลอรีนเพื่อฆ่าเชื้อโรค จึงอาจมีกลิ่นคลอรีนในน้ำประปาที่บ้าน ท่านสามารถลดกลิ่นคลอรีนได้โดยรองน้ำประปาใส่ภาชนะเปิดฝาและตั้งทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที กลิ่นคลอรีนจะระเหยไป หรืออาจนำไปต้มก่อนดื่ม 6. กรณีจำเป็นต้องอพยพออกจากที่พักอาศัย โปรดปิดประตูน้ำ (วาล์ว) ที่มาตรวัดน้ำเพื่อป้องกันกรณีท่อรั่วภายในบ้าน ทำให้สูญเสียน้ำประปาโดยไม่จำเป็น 7. ท่านสามารถแจ้งและขอรับคำแนะนำเพิ่มเติมได้ที่ "ศูนย์บริการประชาชน" โทร.1125 ตลอด 24 ชั่วโมง จาก ....................... ประชาชาติธุรกิจ วันที่ 17 พฤศจิกายน 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#6
|
||||
|
||||
|
น้ำท่วมนาน อาหาร เรื่องสำคัญสำหรับเด็ก วิกฤติมหาอุทกภัยครั้งนี้กินเวลากลับเรามานานเกือบ 3 เดือน ปัญหาที่ตามมานอกจากชาวบ้านจะต้องอพยพไม่มีที่อยู่อาศัย การเดินทางต่างๆก็ถูกตัดขาด โชคดีหน่อยที่ในช่วงนี้ตามโรงเรียนและมหาวิทยาลัยต่างๆ ขยายวันเปิดเรียน เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน อีกปัญหาที่ตามมาระหว่างน้ำท่วมคือในเรื่องของโรคที่มากับน้ำและอาหาร โดยเริ่มต้นไปที่เรื่องโรคซึ่งคนทุกเพศทุกวัยต้องระมัดระวัง โดยเฉพาะเด็ก ที่ไม่มีความรู้ในการป้องกันและดูแลรักษาตัวเอง เป็นหน้าที่ผู้ปกครองจะต้องใส่ใจดูแล คือเรื่องที่เกี่ยวกับสุขภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการกิน โดยข้อมูลจากกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า โรคที่มีความเสี่ยงการเกิดโรคสูงที่สุดขณะน้ำท่วมรวมไปถึงหลังน้ำลดด้วย คือ โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน และปัญหาด้านสุขอนามัยสิ่งแวดล้อมจากของเสียต่างๆ ดังนั้นชุมชนและประชาชนควรมีความรู้ในการป้องกันโรคอย่างถูกวิธี มิฉะนั้นจะส่งผลต่อการเกิดโรคระบาดต่างๆตามมาได้ง่าย ทั้งนี้ จากรายงานเฝ้าระวังพิเศษโรคจากโรงพยาบาลต่างๆทั่วประเทศในสถานการณ์อุทกภัย พบอัตราป่วยของประชาชนอันดับแรก คือ โรคอุจจาระร่วงถึง 3,146 ราย สาเหตุสำคัญมาจากโรคอาหารเป็นพิษที่เป็นโรคติดต่อทางอาหาร น้ำ ที่พบได้บ่อย เพราะประชาชนไปรับประทานอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อโรคเข้าไป ในอาหารที่ปรุงสุกๆดิบๆจากเนื้อสัตว์ที่ปนเปื้อนเชื้อ เช่น เนื้อไก่ เนื้อหมู เนื้อวัว และไข่เป็ด ไข่ไก่ รวมทั้งอาหารกระป๋อง อาหารทะเล และน้ำนมที่ยังไม่ได้ผ่านการฆ่าเชื้อ นอกจากนี้อาจพบในอาหารที่ทำไว้ล่วงหน้านานๆ แล้วไม่ได้แช่เย็นไว้ หรือไม่ได้อุ่นให้ร้อนเพียงพอก่อนรับประทาน สาเหตุของอาหารเป็นพิษมีมากมาย และอาการของอาหารเป็นพิษก็มีหลากหลายตามไปด้วย อาจแบ่งชนิดของอาหารเป็นพิษได้หลายแบบ เช่น ตามชนิดของเชื้อ ตามสารพิษ หรือพิษในอาหาร หรือตามอาการเจ็บป่วย ภาวะอาหารเป็นพิษมักจะไม่มีอาการรุนแรง และอาการจะเป็นไม่นาน ผู้ป่วยอาจมีเพียงอาการท้องเสียแค่สอง-สามวัน อาจมีไข้ต่ำๆ หรือบางคนไม่มีไข้เลยก็ได้ อาจเพียงรู้สึกปวดมวนท้องบ้างเล็กน้อย หากติดเชื้อบางชนิดทำให้เกิดการอักเสบที่กระเพาะอาหารและลำไส้ ผู้ป่วยอาจมีอาการปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามเนื้อตัว คลื่นไส้ อาเจียน อุจจาระร่วง ซึ่งถ้าถ่ายมากจะเกิดอาการขาดน้ำและเกลือแร่ได้ และบางรายอาจมีอาการรุนแรง เกิดการอักเสบที่อวัยวะต่างๆ ของร่างกาย เช่น ข้อและกระดูก ถุงน้ำดี กล้ามเนื้อหัวใจ ปอด ไต เยื่อหุ้มสมอง และเมื่อเชื้อเข้าสู่กระแสโลหิตจะทำให้เกิดโลหิตเป็นพิษ คำแนะนำสำหรับผู้ที่มีอาการถ่ายเหลวเป็นเนื้อปนน้ำไม่จำเป็นต้องรักษาด้วยยาฆ่าเชื้อทันที แต่หากมีอาการถ่ายเหลวตั้งแต่ 3 ครั้งขึ้นไป หรือมีถ่ายเป็นน้ำ 1 ครั้งขึ้นไปใน 1 วัน ให้ดื่มสารละลายเกลือแร่ โออาร์เอส จะช่วยป้องกันและรักษาภาวะขาดน้ำ แต่เมื่อถ่ายอุจจาระเป็นมูกเลือดจะต้องรีบไปพบแพทย์ทันที โรคอาหารเป็นพิษเป็นโรคที่ประชาชนสามารถป้องกันได้ด้วยการดูแลสุขอนามัยในการรับประทานอาหาร การเก็บอาหาร และการปรุงอาหาร รวมทั้งล้างมือหลังเข้าห้องน้ำทุกครั้ง จึงขอแนะนำง่ายๆ เพื่อเป็นแนวปฏิบัติในการป้องกันตนเองให้ปลอดภัยจากโรคอุจจาระร่วงและอาหารเป็นพิษ คือ เลือกอาหารที่ผ่านกระบวนการผลิตอย่างปลอดภัย เช่น นมที่ผ่านกระบวนการพาสเจอไรซ์ ผักผลไม้ควรล้างด้วยน้ำปริมาณมากๆให้สะอาดทั่วถึง ปรุงอาหารให้สุกทั่วถึงก่อนรับประทาน และรับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ๆ รวมทั้งล้างมือให้สะอาด ไม่ว่าจะเป็นก่อนการปรุงอาหาร ก่อนรับประทาน และโดยเฉพาะหลังการเข้าห้องน้ำ ดูแลความสะอาดของพื้นที่สำหรับเตรียมอาหาร ล้างทำความสะอาดหลังการใช้ทุกครั้ง เก็บอาหารให้ปลอดภัยจากแมลง หนู หรือสัตว์อื่นๆ ใช้น้ำสะอาดในการปรุงอาหาร นอกจากนี้ยังมีความเป็นห่วงสำหรับกรณีเด็กว่าจะขาดอาหารช่วงน้ำท่วมที่กินระยะเวลานานหรือไม่ โดยอาจารย์สง่า ดามาพงษ์ ผู้จัดการแผนงานโภชนาการเชิงรุก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และที่ปรึกษากรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ยังออกมาเตือนพ่อแม่ในภาวะน้ำท่วมให้ดูแลเด็กด้านอาหารและโภชนาการอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในเด็กเล็ก หากประสบภัยน้ำท่วมในระยะยาวนานจะมีผลกระทบต่อการเจริญเติบโตและการพัฒนาการทั้งทางด้านร่างกาย สติปัญญาและอารมณ์ในระยะยาว และยากที่จะฟื้นกลับคืนปกติได้ นายสง่ากล่าวว่า ในภาวะน้ำท่วมติดต่อกันยาวนาน กลุ่มเด็กอายุแรกเกิด-5 ขวบ เป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบด้านสุขภาพและภาวะโภชนาการมากที่สุด เพราะเป็นกลุ่มที่ร่างกายและสมองมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งจำเป็นต้องได้รับสารอาหารจากอาหารที่มีคุณค่าครบถ้วน เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายทุกมื้อ และการเจริญเติบโตของเซลล์ทุกเซลล์ เม็ดเลือด กระดูกและกล้ามเนื้อของเด็กไม่สามารถจะหยุดยั้งได้ ไม่ว่าจะเป็นภาวะน้ำท่วมหรือภาวะวิกฤติใดๆ การที่เด็กเล็กได้รับอาหารไม่เพียงพอทั้งปริมาณและคุณภาพติดต่อกันเพียง 2-4 สัปดาห์ ก็จะมีผลทำให้ร่างกายเด็กพร่องสารอาหารที่สำคัญหลายตัว ไม่ว่าจะเป็นโปรตีน วิตามินและแร่ธาตุ จะนำไปสู่การขาดสารอาหาร อาการที่แสดงออกมาให้เห็นในระยะสั้นคือ การเจริญเติบโตของร่างกายไม่เต็มตามศักยภาพ น้ำหนัก ส่วนสูง ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน รูปร่างผอมใน ที่สุดภูมิต้านทานก็จะต่ำ เจ็บป่วยง่าย โดยเฉพาะโรคติดเชื้อทั้งหลาย หากไม่ได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดและปล่อยไว้โดยไม่ได้รับการฟื้นฟูแก้ไข จะเพิ่มความรุนแรงและเกิดผลเสียต่อการเจริญเติบโตทั้งทางด้านร่างกายและสติปัญญาเด็กในอนาคต กล่าวคือเด็กจะตัวเตี้ย ผอม และไอคิวต่ำ นายสง่าแนะต่อไปอีกว่า แม่ที่มีลูกอายุต่ำกว่า 6 เดือน และกำลังให้ลูกกินนมแม่อยู่ นับว่าลูกโชคดีมากในภาวะวิกฤติเช่นนี้ จงให้ลูกกินนมแม่ต่อไปเป็นปกติ แต่แม่ต้องพยายามหลีกเลี่ยงความกังวล ความเครียด เพราะหากแม่เครียดอย่างต่อเนื่องจะทำให้ฮอร์โมนที่สร้างน้ำนมหลั่งออกมาน้อย จะมีผลทำให้น้ำนมไหลน้อยหรือหยุดไหลได้ ส่วนแม่ที่ไม่ได้เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมตนเองต้องพึ่งนมผสมนั้น ต้องรีบเคลื่อนย้ายทั้งแม่และลูกให้มาอยู่ในสถานที่ที่สามารถเข้าถึงนมผสมสำหรับทารกให้ได้ ไม่แนะนำให้นั่งรอขอความช่วยเหลือจากภายนอก ถ้าชุมชนใดมีแม่ที่เลี้ยงลูกด้วยนมตนเองหลายๆ คนอาจรวมกลุ่มกัน แบ่งปันนมตนเองให้ลูกเพื่อนบ้านในลักษณะเป็นแม่นม แต่ต้องมั่นใจว่าแม่นมเหล่านั้นต้องไม่ติดเชื้อเอชไอวี สำหรับเด็กเล็กถึง 1 ขวบ เป็นวัยที่ต้องได้รับอาหารอื่นนอกจากนมแม่เสริมอีกทางหนึ่ง เพราะลำพังนมแม่แม้ว่าคุณค่าทางโภชนาการจะยังพร้อมมูลอยู่ แต่ปริมาณไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายเด็กที่กำลังเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว จึงต้องเริ่มให้ข้าวบดผสมน้ำแกงจืด ไข่แดงต้มสุกสลับกับเนื้อปลา หมู ไก่และตับสัตว์ และผสมผักใบเขียว ฟักทอง แครอต มะเขือเทศต้มสุกผสมลงไป โดยเด็กอายุ 6-8 เดือน กินอาหารเหล่านี้ทดแทนนมแม่ได้ 1 มื้อ ส่วนเด็ก 8-10 เดือน กินทดแทนนมแม่ได้ 2 มื้อ พอครบ 11-12 เดือน กินทดแทนนมแม่ได้ 3 มื้อ หากแม่มีความจำเป็นต้องใช้อาหารทารกกึ่งสำเร็จรูปต้องมั่นใจว่าเด็กได้โปรตีน วิตามิน แร่ธาตุ จากผักและเนื้อสัตว์พอ ควรบดผสมลงไปด้วย แต่อย่าลืมให้ลูกกินนมแม่ควบคู่กันไปจนถึง 2 ปี หรือนานกว่านั้น ส่วนเด็กอายุ 1-5 ขวบ นับเป็นกลุ่มที่น่าห่วงเช่นกัน เพราะอย่าลืมว่าเด็กวัยนี้ร่างกายและสติปัญญายังต้องการสารอาหารที่มีคุณค่าไปหล่อเลี้ยงให้เติบโตสมวัย แต่เด็กเหล่านี้มักจะถูกละเลย เพราะพ่อแม่คิดว่าเขาโตแล้ว และช่วยเหลือตนเองได้ ประกอบกับพ่อแม่ไม่มีเวลา มัวแต่ไปแก้ปัญหาน้ำท่วมและสาระวนอยู่กับลูกคนเล็ก จึงปล่อยให้ลูกกินตามมีตามเกิด ดังนั้นพ่อแม่ต้องใส่ใจดูแลอาหารลูกเป็นพิเศษ ต้องแบ่งปันอาหารที่มีอยู่อย่างจำกัดให้เด็กเล็กกินก่อน อาหารที่มีคุณค่าในภาวะน้ำท่วมคงหนีไม่พ้นไข่ต้ม ไข่ตุ๋น ไข่เจียว ไข่น้ำ หมูทอด ไก่ทอด ปลาทูนึ่งและปลากระป๋อง สามารถดัดแปลงปรุงได้สารพัดเมนู เมนูเหล่านี้ควรปรุงด้วยเกลือและน้ำปลาเสริมไอโอดีน แต่อย่าลืมต้องให้เด็กดื่มนมรสจืดวันละ 2-3 กล่อง เป็นอาหารเสริม ต้องดูแลอาหารว่างของเด็ก ไม่ควรปล่อยให้ลูกกินแต่น้ำอัดลมและขนมกรุบกรอบทั้งวัน ในภาวะน้ำท่วม พ่อแม่เครียดจัด ไม่มีเวลาเล่นกับลูก จึงพลอยทำให้ลูกเครียดไปด้วย จงตั้งสติและหาเวลาโอบกอดลูก นั่งเล่านิทานให้ลูกฟัง พูดคุยเรื่องที่เกี่ยวกับน้ำท่วม การเล่นกับลูก เสียงหัวเราะของลูก เป็นการผ่อนคลายความเครียดในบ้านได้ในระดับหนึ่ง และช่วยพัฒนาการของลูกได้ด้วย "น้ำท่วมบ้าน แต่อย่าให้น้ำท่วมสติ ถ้ามีสติจะเกิดปัญญาที่จะดูแลบุตรหลานด้านอาหารและโภชนาการ อย่าให้น้ำท่วมไปสร้างตราบาปโดยปล่อยให้ลูกหลานขาดสารอาหารซึ่งยากที่จะฟื้นกลับคืนสู่ภาวะปกติได้" นายสง่ากล่าวทิ้งท้าย. จาก ....................... ไทยโพสต์ วันที่ 19 พฤศจิกายน 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#7
|
||||
|
||||
|
คู่มือคำนวณ "ค่าใช้จ่าย" วัสดุ-ค่าแรงฟื้นฟูบ้าน เป็นความเสียหายครั้งใหญ่จากมหาอุทกภัยที่ว่ากันว่าหนักที่สุดในรอบ 50 ปี เชื่อว่าภาพที่อยู่อาศัยและโรงงานอุตสาหกรรมจำนวนมากต้องอยู่ในสภาพ จมบาดาล จะยังคงเป็นภาพติดตาคนไทยไปอีกพักใหญ่ แต่วิกฤตก็ย่อมมีวันจบ หลังจากสถานการณ์น้ำท่วมเริ่มคลี่คลาย กรุงเทพฯ ปริมณฑล และอีกหลายจังหวัด จะต้องเข้าสู่โหมด "ซ่อมแซม" ขนานใหญ่ โดยก่อนหน้านี้ "อิสระ บุญยัง" นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรรประเมินว่า น่าจะมีบ้านจัดสรรถูก น้ำท่วมกว่า 100,000 หลัง และถ้านับรวมถึงบ้านปลูกสร้างเอง (นอกหมู่บ้านจัดสรร) และตึกแถว น่าจะมีบ้านทั่วประเทศถูกน้ำท่วมสูงถึง 500,000 หลัง "ประชาชาติธุรกิจ" สำรวจราคาวัสดุหลัก-ค่าแรงที่จะต้องใช้ซ่อมแซมบ้าน หลังน้ำลด และนำมาประมาณการค่าใช้จ่ายซ่อมบ้าน โดยพบว่าในกรุงเทพฯ ปริมณฑลส่วนใหญ่ถูกน้ำท่วมสูงตั้งแต่ "หน้าแข้ง" จนถึง "หน้าอก" หรือตั้งแต่ระดับกว่า 0.30-2.00 เมตร ซึ่งกรณีที่ท่วมขังตั้งแต่ 2-4 สัปดาห์ขึ้นไปก็มักจะสร้างความเสียหายให้กับส่วนต่าง ๆ อาทิ พื้น ผนัง ประตู หน้าต่าง สวิตช์ไฟ ฯลฯ หรือแม้กระทั่งสนามหญ้าจึงควรสำรวจและเร่งซ่อมแซมทันที "พื้นไม้-สี-วอลเปเปอร์" ไม่สู้น้ำ "พื้น" ถือเป็นพื้นที่ส่วนแรกที่จะได้รับความเสียหายจากน้ำท่วม ไม่ว่าน้ำจะท่วมแค่ไม่กี่เซนติเมตรก็ตาม วัสดุมักหนีไม่พ้น 1) กระเบื้อง 2) ไม้ลามิเนตหรือไม้ปาร์เกต์ และ 3) หินอ่อนหรือหินแกรนิต ในจำนวนวัสดุ 3 ตัวนี้ "กระเบื้อง" สามารถทนการแช่น้ำได้นาน แต่อาจเกิดความเสียหายได้กรณีที่มีน้ำท่วมขังใต้พื้นดินเป็นจำนวนมาก และเกิดแรงดันตามร่องจนทำให้แผ่นกระเบื้องล่อนเสียหายก็จำเป็นต้องเปลี่ยนใหม่ "ไม้ลามิเนต-ไม้ปาร์เกต์" ไม่สามารถ ทนน้ำได้ หากถูกน้ำท่วมไม่กี่ชั่วโมงมีโอกาสหลุดล่อนหรือเกิดเชื้อราภายใน เนื้อไม้ได้ จึงควรรื้อออกและปูใหม่ ส่วน "หินอ่อน-หินแกรนิต" สามารถทนน้ำได้ แต่หากแช่น้ำเป็นเวลานาน จะเกิดรอยด่าง สามารถแก้ไขโดยใช้เครื่องขัดซึ่งมีค่าแรงค่อนข้างสูง เฉลี่ยตารางเมตรละ 400-500 บาท ถัดมาคือ "ผนัง" วัสดุที่ใช้ส่วนใหญ่มี 2 แบบ 1) ทาสี และ 2) ติดวอลเปเปอร์ กรณีทาสีปัญหาที่ตามมาหลังน้ำท่วมประมาณ 2 สัปดาห์คือ คราบตะไคร่-เชื้อรา และสีหลุดล่อน การซ่อมแซมต้องใช้แปรงขัดตะไคร่และเชื้อราออก ปล่อยทิ้งไว้ให้แห้ง 3-4 สัปดาห์จึงทาสีใหม่ และควรจะต้องทาสีผนังภายในและเพดานทุกด้านเพื่อไม่ให้เกิดความแตกต่างระหว่างสีเก่าและใหม่ ส่วนผนังภายนอกหากน้ำไม่ได้ท่วมสูงอาจขัดตะไคร่และเชื้อราออกก็เพียงพอ ซึ่งกรณีที่จะซื้อสีมาทาเองในตลาดมีตั้งแต่ราคาถังละ 900-3,500 บาท (ขนาดถัง 5 แกลลอน) มีหลักการคำนวณคือ สีถังใหญ่ขนาด 5 แกลลอน จะทาได้พื้นที่ 30 ตารางเมตร และจะต้องทาทั้งหมด 2 ครั้ง ส่วนบ้านหลังไหนที่ติด "วอลเปเปอร์" ก็ต้องบอกว่า...งานเข้า เพราะนอกจากจะเป็นรอยด่างยังมีความเสี่ยงเกิดเชื้อราสูง จึงควรรื้อทิ้งทำความสะอาดทิ้งไว้ 3-4 สัปดาห์จึงค่อยทาน้ำยาฆ่าเชื้อราและปิดวอลเปเปอร์ใหม่ "ประตู-หน้าต่างไม้" เสี่ยงบวม นอกจากพื้นแล้ว รายการต่อมาคือ "ประตูไม้" เป็นวัสดุอีกตัวที่มีโอกาส เสียหายจากการบวมทำให้เปิด-ปิดลำบาก ถึงแม้มีน้ำท่วมขังภายในบ้านเพียงเล็กน้อย นอกจากการเปลี่ยนบานประตูใหม่ซึ่งมีราคาหลากหลาย ตั้งแต่ประตูไม้อัดเริ่มต้นบานละ 1,000 บาท ประตูไม้เต็งราคาประมาณบานละ 4,000 บาท ไปจนถึงประตูไม้สักราคาบานละ 10,000-15,000 บาท หากไม่เน้นเรื่องความสวยงามมากนักอาจใช้วิธีไสหรือเลื่อยไม้ส่วนที่บวมออกก็ได้ ส่วนถ้าระดับท่วมสูงเกินกว่า 0.80 เมตร "หน้าต่างไม้" ก็มีโอกาสถูกน้ำและบวมได้ การซ่อมแซมคือเปลี่ยนหรือไส-เลื่อยส่วนที่บวมออกเช่นเดียวกัน "สวิตช์ไฟ-สนามหญ้า" อย่าละเลย จากพื้นและผนัง หากบ้านถูกน้ำท่วมตั้งแต่ 0.80-1.00 เมตร สวิตช์ไฟมักเป็นจุดที่เสียหายถูกน้ำเข้า การแก้ไขเบื้องต้นให้สับคัตเอาต์ เปิดฝาครอบสวิตช์ออก และทำความสะอาดแผงสวิตช์ให้แห้งและทิ้งไว้ 3-5 วัน หากที่บ้านมีคัตเอาต์หรือเซฟ-ที-คัทให้ทดลองเปิด-ปิดสวิตช์ดู หากไม่สามารถใช้งานได้ก็ต้องเปลี่ยนแผงสวิตช์ใหม่ ซึ่งมีราคาตั้งแต่ชุดละ 100-500 บาทแล้วแต่ยี่ห้อ และค่าแรงอีกจุดละประมาณ 100 บาท ส่วนถ้าเป็นบ้านเดี่ยวที่มีพื้นที่สนามหญ้าในรั้วบ้าน หญ้าที่ถูกแช่น้ำนาน 2-4 สัปดาห์มีโอกาสจะตายได้ หากไม่สามารถระบายน้ำออกได้ทันก็จำเป็นต้องปูหญ้ากันใหม่ โดยเฉลี่ยการปูหญ้าจะเป็นการเหมาพร้อมค่าแรงเริ่มต้นตารางเมตรละ 100 บาทขึ้นไป นอกจากนี้ ยังมีงาน "รั้วไม้" ที่อาจจะเกิดสีลอกล่อนหรือเป็นตะไคร่สามารถ ขัดออกและซื้อสีทาไม้มาทาเองได้ มีราคาเริ่มต้นกระป๋องละ 300-1,000 บาท เบ็ดเสร็จหากน้ำท่วมบ้านในระดับ 0.30-0.50 เมตร ก็จะมีค่าใช้จ่ายซ่อมแซมเริ่มต้น 30,000-110,000 บาท (ขึ้นกับวัสดุที่เปลี่ยนใหม่) ส่วนถ้าท่วมระดับ 1.00-2.00 เมตร ก็จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเป็น 65,000-145,000 บาท จาก ....................... ประชาชาติธุรกิจ ฉบับวันที่ 21 พฤศจิกายน 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
![]() |
| คำสั่งเพิ่มเติม | |
| เรียบเรียงคำตอบ | |
|
|