เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > Main Category > ห้องรับแขก

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #1  
เก่า 04-12-2011
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default


'ไข้เลือดออก' ภัยร้ายน้ำท่วมขัง! เร่งทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ป้องกันได้



สถานการณ์อุทกภัยขณะนี้เริ่มอยู่ในสภาวะทรงตัว บางพื้นที่น้ำเริ่มลดแล้ว ซึ่งหลายคนอาจยังไม่ทราบว่า ภัยของน้ำที่นิ่งเฉย นี้มีอะไรบ้าง โดยน้ำท่วมขังมีลักษณะคล้ายกับสภาพที่เกิดขึ้นหลังฝนตก ถือเป็นที่อยู่อาศัยชั้นดีของเหล่าเชื้อโรคต่างๆที่เป็นภัยร้ายต่อเรา อีกทั้ง น้ำท่วมขังยังเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของยุง โดยเฉพาะยุงลายทำให้ใครที่อยู่ในพื้นที่น้ำท่วมขังเสี่ยงเป็นโรค “ไข้เลือดออก” โดยเฉพาะเด็กอาจมีอันตรายถึงชีวิตหากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องและทันท่วงที

รศ.นพ.ชิษณุ พันธุ์เจริญ ผู้ช่วยผู้อำนวยการด้านบริหารความเสี่ยง โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ให้ความรู้ว่า ยุงลายมักจะชอบวางไข่ในน้ำที่นิ่งสะอาดและชอบกัดคนในเวลากลางวัน ทำให้หลังจากเกิดน้ำท่วมขังสักระยะหนึ่งเราจะพบผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกเพิ่มขึ้นและอาจมีการแพร่ระบาดของโรคขยายเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะในชุมชนที่แออัด เช่น ศูนย์ผู้อพยพ ถ้ายิ่งขาดสุขอนามัยที่ดีและขาดการควบคุมประชากรยุงที่มีประสิทธิภาพจะยิ่งทำให้พบผู้ป่วยไข้เลือดออกเพิ่มขึ้นได้หลังเกิดอุทกภัยน้ำท่วม

โรคไข้เลือดออกมีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัสเดงกี ซึ่งมี 4 ชนิด คือ เดงกี-1 ถึงเดงกี-4 โดยมียุงลายเป็นพาหะนำโรค สามารถแพร่เชื้อไวรัสเดงกีไปยังผู้อื่นได้หลังจากยุงลายดูดเลือดของผู้ป่วยที่มีเชื้อไวรัสและไปกัดคนอื่นต่อ โดยอาการของผู้ป่วยไข้เลือดออกมี 3 ระยะ คือ

1.ระยะไข้สูง ผู้ป่วยจะมีอาการไข้สูงนานประมาณ 3-7 วัน และมักไม่ตอบสนองต่อยาลดไข้ พบอาการชักได้ในเด็กเล็ก ซึ่งอาการไข้สูงลอย ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน มักไม่มีอาการของหวัดชัดเจน มีอาการปวดท้องบริเวณลิ้นปี่หรือใต้ชายโครงขวา ตับโตและกดเจ็บ มีจุดเลือดออกบริเวณผิวหนัง เลือดออกบริเวณเยื่อบุต่างๆ เช่น เลือดกำเดาไหล เลือดออกตามไรฟัน และอาจพบเลือดออกในกระเพาะอาหารด้วย

2. ระยะวิกฤติ เป็นระยะที่ผู้ป่วยมีอาการไข้ลดลง ผู้ป่วยจำนวนหนึ่งจะมีการรั่วของน้ำเหลืองหรือพลาสมาออกจากเส้นเลือด ทำให้เกิดภาวะเลือดข้น และอาจมีความรุนแรงถึงขั้นทำให้ผู้ป่วยมีภาวะช็อกและเสียชีวิตได้ ซึ่งผู้ป่วยที่มีภาวะช็อกจะมีอาการที่สังเกตได้คือ อาการกระสับกระส่าย มือเท้าเย็น ชีพจรเต้นเร็ว และเบาลง มีความดันโลหิตต่ำ ถ้าหากมีอาการเช่นนี้ต้องรีบพาไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุด และ

3.ระยะพักฟื้น เป็นระยะที่ผู้ป่วยหายจากโรค อาการทั่วไปดีขึ้น เริ่มอยากรับประทานอาหาร ปัสสาวะเพิ่มขึ้น อัตราการเต้นของหัวใจลดลง อาจมีผื่นแดงขึ้น โดยเฉพาะที่ขาทั้งสองข้าง

การวินิจฉัยไข้เลือดออกแพทย์จะอาศัยอาการของผู้ป่วยร่วมกับการตรวจเลือด ซึ่งหลังจากการตรวจเลือดจะพบว่าจำนวนเม็ดเลือดขาวและจำนวนเกล็ดเลือดลดลง กรณีที่มีการรั่วของน้ำเหลืองหรือพลาสมาจะมีความเข้มข้นของเลือดเพิ่มขึ้นและตรวจพบน้ำในเยื่อหุ้มช่องปอด อย่างไรก็ตามการตรวจเลือดเพื่อยืนยันว่าเป็นไข้เลือดออกจริงนั้นมีประโยชน์สำหรับผู้ป่วยบางราย แต่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ส่วนการรักษาโดยทั่วไปมักไม่จำเป็นต้องรับผู้ป่วยไว้รักษาในโรงพยาบาลทุกราย โดยเฉพาะในระยะแรกของโรค



หากผู้ป่วยเป็นไข้เลือดออกในระยะแรก การรักษาที่สำคัญที่สุดคือการรักษาตามอาการ คือมีไข้ขึ้นสูงควรเช็ดตัวบ่อยๆ รวมทั้งรับประทานยาลดไข้พาราเซตามอล และหลีกเลี่ยงการใช้ยาลดไข้กลุ่มแอสไพริน นอกจากนี้ยังแนะนำให้ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย โดยสารน้ำที่แนะนำ ได้แก่ น้ำเกลือแร่ น้ำผลไม้ ไม่แนะนำให้ดื่มน้ำที่มีสีแดงหรือสีดำ เนื่องจากกรณีผู้ป่วยอาเจียนออกมาอาจทำให้เข้าใจผิดว่ามีเลือดออกจากในกระเพาะอาหารได้ สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการขาดน้ำอย่างมากรวมทั้งมีภาวะช็อกซึ่งจะมีอาการมือเท้าเย็น ชีพจรเต้นเบา ความดันโลหิตต่ำ หรือมีการเปลี่ยนแปลงของระดับความรู้สึกตัว ควรรับไว้รักษาในโรงพยาบาลโดยเร็ว

อย่างไรก็ตามในปัจจุบันอายุของผู้ป่วยไข้เลือดออกมีแนวโน้มสูงขึ้น ส่วนใหญ่จะเป็นในเด็กโตและผู้ใหญ่ที่อายุไม่มากนัก ดังนั้นการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสเดงกีทำได้โดยการปราบยุงและลูกน้ำยุงลาย หลีกเลี่ยงไม่ให้ยุงกัดด้วยการสวมใส่เสื้อผ้าให้มิดชิด และใช้ยากันยุงหรือนอนในมุง ทั้งนี้ควรมีการรณรงค์ให้ทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายและลูกน้ำสัปดาห์ละ 1 ครั้ง หรือหากพบลูกน้ำยุงลายในภาชนะใส่น้ำให้กำจัดโดยการใส่ทรายอะเบตลงไป และที่สำคัญคือการกำจัดหรือทิ้งทำลายภาชนะขังน้ำที่ไม่ได้ใช้แล้วไป เช่น ยางรถยนต์เก่า กระถางต้นไม้ที่แตกหัก และเปลี่ยนถ่ายน้ำในภาชนะที่ขังน้ำทุก 7 วัน เช่น แจกัน เลี้ยงปลากินลูกน้ำในอ่างบัวหรือแหล่งน้ำอื่นๆ ปิดฝาโอ่งหรือภาชนะอื่นๆให้มิดชิด ใส่เกลือหรือน้ำส้มสายชูลงในจานรองขาตู้กับข้าว

ส่วนวัคซีนป้องกันโรคไข้เลือดออกเป็นอีกทางออกหนึ่งในการควบคุมและป้องกันไข้เลือดออก แต่ปัจจุบันวัคซีนยังอยู่ในขั้นทดลองใช้ โดยพบว่ามีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูง คาดการณ์ว่าจะสามารถนำวัคซีนมาใช้อย่างแพร่หลายได้ในอนาคตอันใกล้นี้

โรคไข้เลือดออกเป็นภัยร้ายที่มากับน้ำท่วมขังอย่างคาดไม่ถึง เพราะหากเป็นในระยะรุนแรงอาจทำให้เสียชีวิตได้ ดังนั้น การป้องกันควรเริ่มต้นที่ต้นตอด้วยการทำลายภาชนะขังน้ำ จึงถือเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะสามารถยับยั้งเชื้อไวรัสเดงกีได้ เพียงแค่นี้ตัวเราและคนที่เรารักก็จะห่างไกลจากโรคร้ายอย่างไข้เลือดออกไปได้ท่ามกลางวิกฤติอุทกภัยครั้งนี้.




จาก .................... เดลินิวส์ หน้าวาไรตี้ วันที่ 4 ธันวาคม 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #2  
เก่า 04-12-2011
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default


ป.ปลา กันภูมิแพ้



เพราะเด็กเล็กกับเสียงหายใจดัง "วีซๆ" เป็นอาการปกติที่พบได้บ่อย จนพ่อแม่ส่วนใหญ่ละเลย คิดว่าไม่มีอันตรายในภายหลัง แต่รู้ไหมว่า นั่นคือสัญญาณเริ่มต้นของโรคภูมิแพ้เรื้อรังที่น่ากลัว

ดร.เอมม่า กอก ซอร์ ผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยโกเตนเบิร์ก สวีเดน ทดสอบทารก 4,171 คน ด้วยการเปรียบเทียบประวัติโภชนา การของเด็กๆ กับผลการตรวจสุข ภาพ ในวัย 6 เดือน 12 เดือน และ 4 ขวบครึ่ง ปรากฏว่า

ทารกที่เริ่มกินปลาเนื้อขาว จำพวกปลากะพง และปลาเก๋า หรือสุดยอดปลาทะเล อย่าง แซลมอน ก่อนอายุครบ 9 เดือน จะมีแนวโน้มปลอดภัยต่อภาวะ "วีซซิ่ง" หรือ อาการ "หายใจเสียงดัง" ได้มากถึงร้อยละ 50 เลยทีเดียว

แถมเมนูปลาจานเด็ดเหล่านี้ ยังมีสรรพคุณช่วยป้องกันโรคภูมิแพ้ และโรคหอบหืดได้อีกต่างหาก เพราะเนื้อปลาเป็นแหล่งโปรตีนชั้นเยี่ยม ซึ่งอุดมด้วยวิตามิน กรดไขมันโอเมก้า-3 ทั้งยังมีกรดอะมิโนจำนวนมาก ช่วยเสริมให้โปรตีนทำหน้าที่สร้างอวัยวะ และกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ได้สมบูรณ์ขึ้นนั่นเอง




จาก .................... ข่าวสด คอลัมน์ เจ๊าะแจ๊ะวิทยาศาสตร์ วันที่ 4 ธันวาคม 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #3  
เก่า 05-12-2011
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default


คัน 'หู' คู่โรค



อาการคันหูไม่เข้าใครออกใคร ความทรมานขึ้นอยู่กับคันมากคันน้อย ถ้าคันพอสังเขปเป็นรสชาติชีวิต แต่ถ้าคันยิกลิงเข้าก็เอาเรื่อง

“มุมสุขภาพ” วันนี้ “นพ.กฤษดา ศิรามพุช” ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ บอกเล่าถึง อาการ “คัน” ยิ่งถ้าเป็นอวัยวะที่มีซอกหลืบเยอะอย่าง “หู” ก็มักตีคู่มากับการเกา และขั้นกว่าคือมีเครื่องมือช่วย นั่นคือ “ไม้แคะหู” อุปกรณ์คู่มือยิ่งเกายิ่งมัน ยิ่งคันก็ยิ่งเกา และยิ่งเละ

เพราะการลากไม้แคะไปในท่อหูอ่อนๆ แต่ละครั้งจะทำให้เกิดรอยแผลเล็กๆ ขึ้นมากมายโดยเราไม่รู้ตัว

ปรากฏการณ์เจ็บๆคันๆยันหูอื้อจำต้องมีผู้ร้ายที่ต้องหาให้เจอ เพราะบางทีถ้าเผลอไปคันเอาสุ่มๆจะเป็นเรื่องเนื่องด้วยหูเป็นอวัยวะซับซ้อนไม่ได้ใช้กั้นสมองอย่างเดียว หากแต่ช่วยในการทรงตัวให้เรายืนอยู่ติดพื้นได้ ถ้าเกิด “หูพัง” หรือ “หูดับ” จากเส้นประสาทขึ้นมาแล้วจะมีผลต่อการเดินดินของเรามากเลย

ซึ่งนับไปมาแล้วก็มีผู้ร้ายใกล้หูอยู่มากพอดู เริ่มจาก “แคะหูถี่” มีตัวช่วยเร่งปฏิกิริยาคือ “ไม้แคะหู” ถ้าเป็นไม้ธรรมดาก็ยังพอว่า แต่ถ้าหาไม้ไม่ได้แล้วจำต้องใช้ของใกล้ตัวอย่าง “เส้นผม” หรือ “ไม้จิ้มฟัน” แล้วละก็มีสิทธิ์ “หูป่วย” ได้เร็วขึ้น โดยเป็นได้ตั้งแต่รูหูอักเสบไปจนถึงแก้วหูทะลุหนองทะลัก วิธีแก้คืออย่าแคะหูถี่ไป โดยเฉพาะหลังอาบน้ำหูแฉะใหม่ๆ ไม่ควรแคะทันทีและถ้ามีอาการเจ็บๆคันๆ ก็อาจต้องให้คุณหมอช่วยส่องดูสักนิด เพราะอาจมีเชื้อราแพร่พันธุ์อยู่



“มีอุบัติเหตุ” นอกจากการถูกกระทบกระแทกหูอย่างแรงจากการตกตึก, รถชน, ถูกสัมผัสบ้องหูด้วยหลังมือ แล้วอุบัติเหตุร้ายที่ทำลายหูที่สำคัญคือ “เสียง” ครับ เสียงที่ดังเกิน 70 เดซิเบล (บ้านอยู่ติดถนนก็ใช่แล้ว) ก็เริ่มทำลายการได้ยินของหู ถ้าดังมากเกิน 100 เดซิเบลจะทำลายประสาทหูชั้นในจนทำให้หูดับอย่างถาวรได้ การใช้หูฟังก็มีส่วนสำคัญ โดยเฉพาะหูฟังชนิดเสียบเข้าไปลึกล้ำแทบถึงก้านสมอง ต้องพักหูบ้าง

“ว่ายน้ำบ่อย” ฉลามน้อยฉลามใหญ่แต่ไม่ใช่ฉลามบกมักมีปัญหา “หูแฉะ” เพราะแคะหูหลังว่ายน้ำ และน้ำนั่นเองที่เป็นตัวทำให้ “หูเปื่อย” โดยเฉพาะท่อหูส่วนนอก นักว่ายน้ำเป็นกันมาก เรื่อง “หูส่วนนอกอักเสบ (External Otitis)” จนฝรั่งตั้งชื่อให้โรคนี้ว่าเป็นโรคหูนักว่ายน้ำ(Swimmer’s ear) อาการที่ว่าอาจเป็นในคนที่เพิ่งว่ายน้ำใหม่ๆก็ได้ เกิดจากหูเปียกแล้วมือไม่อยู่สุขไปแคะเข้า

และ “ร้อยภูมิแพ้” แก้ไม่ยากหาก “คุมแพ้” ให้อยู่หมัด อาการภูมิแพ้สามารถขึ้นไปจมูก, ลูกตา และหูได้ทำให้คันยุบยิบเชียว ท่านที่ขึ้นเครื่องบินจะสังเกตได้ว่าเวลาเครื่องขึ้นหรือลงจะมีเสียงเด็กร้องฟีเจอริ่งเข้ามาด้วยเสมอ เพราะอาการตันที่ท่อหูจากภูมิแพ้ทำให้เจ็บปวดมากเวลาเครื่องบินเปลี่ยนระดับจากความดันอากาศข้างใน ให้คุมโรคแพ้ด้วยการออกกำลังกับกินอาหารต้านแพ้จะช่วยได้มาก

ที่สำคัญการ “แก้ด้วยยา” ยาไม่ใช่ทางออกของร้อยโรคเสมอไป ยากินหลายอย่างที่ทำลายหูโดยเฉพาะยาปฏิชีวนะฆ่าเชื้อกลุ่มแบคทีเรียทางเดินปัสสาวะและทางเดินอาหาร หรืออย่างยาฆ่าเชื้อ “วัณโรค” อย่างสเตร็ปโตมัยซินฉีดแล้วก็ทำให้ประสาทหูเสียได้ บางรายมีเสียงวิ้งๆหึ่งๆ น่ารำคาญเหมือนมีสถานีวิทยุหรือวงมโหรีไม่ได้รับเชิญอยู่ในหัว ฟังมากๆ พาลจะเป็นโรคประสาทเอา บางครั้งแม้หยุดยาแล้วอาการก็ยังไม่หายเพราะประสาทหูเสียถาวรไปแล้ว อยากขอวอนให้ใช้ยาตามความจำเป็น.




จาก .................... เดลินิวส์ วันที่ 5 ธันวาคม 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #4  
เก่า 21-12-2011
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default


หายปวดฟันทันใจ 'เกลือสมุทร-สารส้ม'


สูตรสามัญประจำบ้านบรรเทาอาการปวดฟันทุเลาลงในเวลาไม่ช้า ทำอย่างไรให้เกลือสมุทรกับสารส้มให้สรรพคุณแก้ปวดฟัน?

เวลามีอาการปวดฟัน ทรมานอย่าบอกใคร ผู้ที่เคยมีประสบการณ์คงเข้าใจความรู้สึกนั้นดี 'มุมสุขภาพ' สรรหาสูตรยาภูมิปัญหาชาวบ้าน เสมือนเป็นยาแก้ปวดฟันแบบเฉพาะหน้ายามที่ยังไม่สามารถพบทันตแพทย์ได้

สูตรนี้ให้เตรียมเกลือสมุทรเอาไปตำให้ละเอียด 1/2 ช้อนชา และสารส้มที่นำไปตำละเอียดเช่นเดียวกันอีก 1/2 ช้อนชา ได้แล้วใส่ถ้วยเพื่อผสมให้เข้ากัน จากนั้นล้างมือให้สะอาด ก่อนใช้นิ้วป้ายส่วนผสมแล้วทาเข้าไปในช่องปากตรงบริเวณที่รู้สึกปวดฟัน ช่วยลดอาการปวดฟันได้ในไม่ช้า

หากเกรงว่าส่วนผสมจะกระจายตัวเร็วเกินไป ให้ห่อเกลือสมุทรและสารส้มละเอียดนั้นด้วยสำลีแผ่นบางหุ้มผ้าก๊อส เอาใส่ปากกัดเบาๆไว้ให้ตรงบริเวณที่ปวดฟันก็ได้เช่นกัน

แม้สารส้มจะไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย เพราะส่วนใหญ่ก็นิยมใช้สารส้มแกว่งน้ำเพื่อให้สิ่งสกปรกตกตะกอน แล้วนำนำมาไปดื่มไปใช้ แต่หากกินสารส้มในปริมาณมากเกินไป อาจทำให้บางคนเกิดแพ้พิษของสารส้ม ซึ่งจะเกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดหัว ซึม

อย่างไรก็ตาม หลังบรรเทาอาการปวดด้วยสูตรเกลือสมุทรกับสารส้มแล้ว ควรไปพบทันตแพทย์ตรวจหาสาเหตุของการปวดฟันและรับการรักษาให้ตรงจุด.




จาก .................... เดลินิวส์ วันที่ 21 ธันวาคม 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #5  
เก่า 24-12-2011
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default


จะทำอย่างไรเมื่อมีความเสี่ยงเป็นโรคโลหิตจางพันธุกรรมธาลัสซีเมีย (ตอน 1)


โรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย คือ โรคพันธุกรรมระบบเลือดที่พบบ่อยในประเทศไทย เกิดความผิดปกติในการสังเคราะห์โปรตีนโกลบิน ซึ่งเป็นโครงสร้างของเม็ดเลือดแดง ทำให้เม็ดเลือดแดงเปราะแตกง่าย โดยปกติเม็ดเลือดแดงจะทำหน้าที่นำออกซิเจนที่ได้รับจากการหายใจไปเลี้ยงอวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น หัวใจ สมอง ไต กล้ามเนื้อ ทำให้ร่างกายอยู่ในสมดุลปกติ

ดังนั้น เมื่อเม็ดเลือดแดงแตกจะส่งผลให้ร่างกายซีด เนื่องจากสารเหลืองจากการสลายตัวของเม็ดเลือดแดงจะออกมาในกระแสเลือด ทำให้ตัวเหลือง ตาเหลือง ร่างกายอ่อนเพลีย ถ้าเป็นมาก ตับ ม้าม จะทำงานหนักมากขึ้นในการช่วยสร้างเม็ดเลือดแดงทดแทนที่ขาดไป และอาจมีภาวะหัวใจล้มเหลวจนถึงแก่ชีวิตได้ โรคธาลัสซีเมียถือได้ว่าเป็น “โรคประจำถิ่น” เป็นได้ทั้งเพศหญิงและเพศชาย สามารถ่ายทอดต่อกันได้ภายในครอบครัวโดยทั่วไป ผู้ที่มีพันธุกรรมของโรคธาลัสซีเมียแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ

1.ผู้ที่มียีนแฝง (พาหะ)

ผู้ที่มีพันธุ์ (ยีน) ของโรคธาลัสซีเมียแฝงอยู่จะไม่แสดงอาการ ดังนั้นผู้ที่เป็นพาหะจะมียีนผิดปกติเพียงข้างเดียว และยังคงมียีนที่ปกติเหลือเพียงพอที่จะทำหน้าที่ทดแทนยีนที่ผิดปกติได้ สามารถถ่ายทอดไปยังลูกหลานได้ ซึ่งคนที่มียีนแฝงจะมีลักษณะหน้าตาปกติ และมีสุขภาพปกติเหมือนบุคคลทั่วๆ ไป ในประเทศไทยพบได้ประมาณร้อยละ 40 ของประชากรทั้งหมด หมายความว่าประชากรไทย 60 ล้านคน จะมีผู้ที่มียีนผิดปกติเหล่านี้ถึง 24 ล้านคน

2.ผู้ที่เป็นโรคธาลัสซีเมีย

โรคธาลัสซีเมียมีระดับความรุนแรงที่หลากหลาย ตั้งแต่ซีดเล็กน้อยหรือปานกลาง จนกระทั่งซีดมากและเรื้อรัง ตับและม้ามโต ต้องรับเลือดเป็นประจำ บางรายไม่เคยมีอาการเลย แต่เมื่อต้องประสบภาวะเจ็บป่วย มีไข้ติดเชื้อ บุคคลเหล่านี้จะมีอาการซีดลง ตัวเหลือง อ่อนเพลีย ในขณะที่บางชนิดทารกที่เป็นโรคนี้อาจเสียชีวิตตั้งแต่อยู่ในครรภ์ หรือตั้งแต่แรกเกิดไม่เกิน 1 วัน ในประเทศไทยพบผู้เป็นโรคนี้ประมาณร้อยละ 1 ของประชากร หรือประมาณ 6 แสนคน


โอกาสเสี่ยงและการถ่ายทอดของโรคธาลัสซีเมีย

โรคธาลัสซีเมียถ่ายทอดแบบพันธุ์ด้อย กล่าวคือ หากมีความผิดปกติเพียงยีนเดียวจะไม่ปรากฏอาการ แต่หากมีความผิดปกติของยีนทั้ง 2 ข้าง จึงจะแสดงอาการ ซึ่งมีโอกาสเกิดโรคได้ทั้งเพศหญิงและเพศชายเท่าๆ กัน แบ่งได้เป็น 4 กรณี ดังต่อไปนี้

กรณีที่ 1

ถ้าท่านและคู่ของท่านเป็นพาหะหรือมียีนแฝงทั้ง 2 คน ในการตั้งครรภ์แต่ละครั้ง ลูกของท่านมีโอกาสเป็นโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียร้อยละ 25, มียีนแฝงร้อยละ 50 และเป็นปกติร้อยละ 25

กรณีที่ 2

ถ้าท่านหรือคู่ของท่านมียีนแฝงคนใดคนหนึ่งและอีกคนปกติ ในการตั้งครรภ์แต่ละครั้ง ลูกของท่านมีโอกาสมียีนแฝงร้อยละ 50 และเป็นปกติร้อยละ 50

กรณีที่ 3

ถ้าท่านหรือคู่ของท่านเป็นโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียคนใดคนหนึ่งและอีกคนปกติ ในการตั้งครรภ์ทุกครั้ง ลูกของท่านทุกคนมีโอกาสมียีนแฝง หรือเท่ากับร้อยละ 100

กรณีที่ 4

ถ้าท่านหรือคู่ของท่านเป็นโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียคนใดคนหนึ่งและอีกคนมียีนแฝง ในการตั้งครรภ์แต่ละครั้ง ลูกของท่านมีโอกาสเป็นโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียร้อยละ 50 และมียีนแฝงร้อยละ 50

ข้อมูลจาก ดร.นพ.โอบจุฬ ตราชู อายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคพันธุกรรมและมะเร็งในครอบครัว โรงพยาบาลพญาไท 1 http://www.phyathai.com




จาก ...................... บ้านเมือง คอลัมน์ ชีวิตและสุขภาพ วันที่ 23 ธันวาคม 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #6  
เก่า 26-12-2011
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default


ตาบวมทำไงดี



มีหลายคนสงสัยว่าทำไมบางวันตื่นนอนขึ้นมาตาถึงบวม หรือบางทีร้องไห้มากๆ ก็ตาบวมเหมือนกัน จะเป็นสัญญาณอันตรายอะไรหรือไม่ แล้วจะมีวิธีแก้ไขอย่างไร เผื่อต้องออกจากบ้านไปทำธุระข้างนอกจะได้ไม่อายใคร

เกี่ยวกับเรื่องนี้ รศ.นพ.ศักดิ์ชัย วงศกิตติรักษ์ ประธานราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย และหัวหน้าภาควิชาจักษุวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อธิบายว่า อาการตาบวมเป็นปัญหาที่พบได้บ่อย เกิดจากน้ำที่เป็นส่วนประกอบของเลือดซึมออกมาคั่งที่บริเวณเนื้อเยื่อรอบเปลือกตา เป็นอาการที่ไม่รุนแรง และเป็นความผิดปกติของแต่ละบุคคลซึ่งไม่เหมือนกัน คนที่มีอาการดังกล่าวควรได้รับการวินิจฉัยหาสาเหตุที่แท้จริงว่า เกิดจากอะไร


สาเหตุของตาบวมที่พบบ่อย เช่น

1. ภูมิแพ้ แพ้ฝุ่น แพ้อาหารทะเล แพ้เกสรดอกไม้ อาจทำให้ตาบวมได้ โดยในคนที่เป็นภูมิแพ้นั้นมักจะมีอาการตาบวมในตอนเช้า

2. อาการตาบวมอาจมีสาเหตุมาจากไตทำงานบกพร่อง หรือหัวใจบีบตัวไม่เต็มที่ ทำให้เกิดการบวมบริเวณต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น ในตอนเช้าจะบวมที่หน้า ตอนเย็นบวมที่ขา หรือตอนนอนหน้าบวม ตาบวม กรณีเช่นนี้ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกายอย่างละเอียดหาสาเหตุที่แท้จริง

3. อาจเป็นธรรมชาติของคนๆนั้นที่ตาบวมง่าย

ส่วนปัจจัยอื่นๆที่ทำให้เกิดอาการตาบวม เช่น การนอนดึก การร้องไห้ เป็นต้น การดื่มน้ำมากๆ ไม่มีผลทำให้ตาบวมแต่อย่างใด


วิธีแก้ปัญหาอาการตาบวม

ถ้าอาการบวมเกิดจากภูมิแพ้ หรือการแพ้ ก็ควรหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นที่ทำให้เกิดการแพ้ กรณีนี้แพทย์อาจให้ยาแก้แพ้คนไข้ไปรับประทานด้วย ส่วนอาการบวมจากไตทำงานบกพร่อง หรือหัวใจทำงานไม่เต็มที่ก็ต้องไปรักษาที่ต้นเหตุ ปกติอาการตาบวมมักจะเป็น 2 ข้าง แต่ถ้าตาบวมข้างเดียวร่วมกับการอักเสบส่วนใหญ่จะเป็นตากุ้งยิง

ทั้งนี้แพทย์อาจแนะนำให้คนไข้ประคบด้วยความเย็นเพื่อลดอาการตาบวม ด้วยการใช้เจลแช่เย็นประคบรอบดวงตา ซึ่งความเย็นจะดึงน้ำกลับเข้าสู่เส้นเลือด ทำให้อาการบวมลดลง นอกจากนี้อาจแนะนำการนอน เช่น ไม่นอนหัวราบ เวลานอนควรหนุนหมอนให้ศีรษะสูงขึ้นกว่าปกติ

ส่วนกรณีที่มีการเผยแพร่ข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตว่า ให้ใช้แตงกวาแช่เย็นหั่นเป็นแว่นๆ วางที่เปลือกตา หรือนำถุงชาที่ชงรับประทานแล้วไปแช่เย็นแล้วนำถุงชานั้นมาวางทาบบนเปลือกตา หรือ นำผ้าสะอาดชุบน้ำเย็น มาวางทาบที่บริเวณดวงตานั้น รศ.นพ.ศักดิ์ชัย บอกว่า หลักสำคัญคือ เป็นการใช้ความเย็นลดอาการบวมจากเปลือกตานั่นเอง

สรุปว่าตาบวมนอกจากจะเป็นธรรมชาติของแต่ละคนแล้ว อาจเกิดจากภูมิแพ้ ไตหรือหัวใจทำงานผิดปกติก็ได้ ดังนั้นหากใครที่มีอาการตาบวมเป็นประจำไม่ควรนิ่งนอนใจควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุที่แท้จริง จะได้รักษาตรงจุด.




จาก .................... เดลินิวส์ คอลัมน์ x-ray สุขภาพ วันที่ 25 ธันวาคม 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #7  
เก่า 27-12-2011
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default


จะทำอย่างไรเมื่อมีความเสี่ยงเป็นโรคโลหิตจางพันธุกรรมธาลัสซีเมีย (ตอน 2)


ท่านจะทราบได้อย่างไรว่า "มียีนแฝง (เป็นพาหะ)" หรือเป็น “โรคธาลัสซีเมีย”

1. การซักประวัติครอบครัว

2. การวินิจฉัยโดยการเจาะเลือด ซึ่งเป็นการตรวจเลือดพิเศษที่เฉพาะเจาะจงในเรื่องโรคธาลัสซีเมีย

คำแนะนำสำหรับผู้ที่มียีนส์แฝง (เป็นพาหะ) ของโรคธาลัสซีเมีย

ผู้ที่เป็นพาหะของโรคธาลัสซีเมีย มีโอกาสจะถ่ายทอดโรคไปสู่ลูกหลานได้ จึงควรวางแผนก่อนมีบุตรเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการมีลูกเป็นโรคนี้ ดังนั้น จึงควรพาคู่สมรสไปรับการตรวจเลือดก่อนจะมีบุตร ถ้าคู่สามีภรรยามียีนส์แฝงทั้งคู่ ไม่ได้มีข้อห้ามในการแต่งงานกันหรือมีบุตร คู่สมรสสามารถที่จะมีครอบครัวได้ตามปกติ แต่ก่อนตั้งครรภ์ ต้องทำการปรึกษาแพทย์ให้เรียบร้อย เพื่อทำการวินิจฉัยและคัดเลือกบุตรที่ความเป็นปกติมากที่สุด

คำแนะนำสำหรับผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมีย

สำหรับผู้ที่เป็นธาลัสซีเมียแล้ว การดูแลรักษาตั้งแต่ระยะเริ่มแรกจะช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนของโรคได้ ภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อยได้แก่ ซีดมาก อ่อนเพลีย ติดเชื้อง่าย หัวใจทำงานหนัก เป็นนิ่วในถุงน้ำดี ม้ามโต และการดูแลรักษาสามารถทำได้โดยการรับเลือดเมื่อมีอาการซีดมาก และใช้ยาขับเหล็กในกรณีที่เหล็กในเม็ดเลือดแดงแตกออกมามีปริมาณมากและจับกับอวัยวะต่างๆ ซึ่งขึ้นอยู่กับชนิดของธาลัสซีเมียที่แตกต่างกันในแต่ละบุคคลด้วย การรักษาให้หายขาดทำได้วิธีเดียว คือ การเปลี่ยนถ่ายไขกระดูก ในกรณีนี้ควรทำในผู้ป่วยที่อายุยังน้อย

ข้อควรปฏิบัติสำหรับผู้ป่วยธาลัสซีเมีย

1.ควรรับประทานผักสด ไข นม หรือนมถั่วเหลืองเป็นประจำ

2.ดื่มน้ำชาหลังอาหารเพื่อลดการดูดซึมธาตุเหล็ก

3.ควรตรวจฟันทุก 6 เดือนเนื่องจากฟันจะผุง่าย

4.งดการสูบบุหรี่และการดื่มสุรา

5.หลีกเลี่ยงการทำงานหนักและการเล่นกีฬาที่รุนแรง

6.ถ้ามีอาการปวดท้องที่บริเวณชายโครงขวารุนแรง มีไข้และเหลืองมากขึ้น อาจเกิดจากถุงน้ำดีอักเสบ ควรรีบพบแพทย์

7.ในรายที่ตัดม้ามแล้วจะมีการติดเชื้อได้ง่าย เมื่อมีไข้สูงต้องทานยาลดไข้และยาปฏิชีวนะทันที แล้วรีบพบแพทย์

ดังนั้น กล่าวโดยสรุป คือ เมื่อมีความเข้าใจเรื่องโรคธาลัสซีเมียเป็นอย่างดี การเป็นพาหะหรือเป็นโรคไม่ใช่สิ่งน่ากลัวหรืออันตรายอีกต่อไป ถ้ายังมีข้อสงสัยกับเรื่องเหล่านี้ การขอรับคำปรึกษาทางพันธุกรรมจากแพทย์ที่เชี่ยวชาญเป็นหนทางที่ดีที่สุด ความตระหนักในเรื่องการวางแผนครอบครัวของคู่สมรสที่เป็นพาหะของโรคธาลัสซีเมีย สามารถช่วยป้องกันการเกิดโรคธาลัสซีเมียใหม่ในประชากรไทย และทำให้ประชาชนมีสุขภาพแข็งแรงเป็นพลเมืองที่มีคุณค่าต่อไป

ข้อมูลจาก ดร.นพ.โอบจุฬ ตราชู อายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคพันธุกรรมและมะเร็งในครอบครัว โรงพยาบาลพญาไท 1 http://www.phyathai.com




จาก ...................... บ้านเมือง คอลัมน์ ชีวิตและสุขภาพ วันที่ 26 ธันวาคม 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ตอบ

คำสั่งเพิ่มเติม
เรียบเรียงคำตอบ

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 19:01


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2025, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger