เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #1  
เก่า 16-02-2012
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default


โลกร้อนเป็นเหตุ “น้ำท่วมใหญ่” ในรอบศตวรรษเกิดถี่ทุก 3-20 ปี


ภาพพายุเฮอร์ริเคนกำลังเข้าถล่มฝั่งตะวันออกของอเมริกาเมื่อเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา (NOAA/PhyOrg)

เมื่อเดือน ส.ค.ปีที่ผ่านมาเฮอร์ริเคน “ไอรีน” ได้พัดถล่มในแถบแคริบเบียนจนถึงฝั่งตะวันออกของอเมริกา ความรุนแรงจัดอยู่ในอันดับ 3 ที่พัดตีระดับน้ำจนสูงขึ้นและก่อให้เกิดพายุซัดเข้าสู่ฝั่งและท่วมข้ามกำแพงกั้นฝั่งลึกเข้าสู่พื้นที่ด้านในห่างจากชายฝั่ง ผู้เชี่ยวชาญด้านพายุหลายคนระบุว่า ผลกระทบที่ทำให้เกิดน้ำท่วมเป็นวงกว้างนี้ทำให้เฮอร์ริเคนดังกล่าวเป็นภัยพิบัติในรอบ 100 ปี ที่ภายในหนึ่งศตวรษจะเกิดขึ้นเพียง 1 ครั้ง

หากแต่นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน (Princeton University) สหรัฐฯ และสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเสตต์หรือเอ็มไอที (MIT)พบว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate change) จะทำให้เกิดพายุที่รุนแรงดังกล่าวจนเป็นเหตุดินถล่มถี่ขึ้น และยังเป็นสาเหตุให้เกิดพายุซัดเข้าสู่ฝั่งหรือสตอร์มเซิร์จ (storm surge) ที่รุนแรงทุกๆ 3-20 ปี

ทาง PhysOrg.com ระบุว่า ทางกลุ่มวิจัยได้จำลองพายุนับหมื่อลูกภายใต้สภาพภูมิอากาศที่แตกต่างกัน และพบว่าน้ำท่วมใหญ่ที่เกิดขึ้นทุก 500 ปี นั้นจะเกิดถี่ขึ้นทุก 25-240 ปี เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และพวกเขาได้ตีพิมพ์ผลงานวิจัยนี้ลงวารสารเนเจอร์ไคลเมตแชงจ์ (Nature Climate Change)

ทางด้าน ดร.นิง ลิน (Ning Lin) นักวิจัยหลังปริญญาเอกของเอ็มไอทีซึ่งเป็นหัวหน้าทีมในการศึกษาครั้งนี้กล่าวว่า การทราบถึงความถี่ของสตอร์มเซิร์จอาจช่วยนักวางแผนเมืองและชายฝั่งในการออกแบบโครงสร้างพื้นฐานเพื่อป้องกันภัยธรรมชาตดังกล่าวที่จะเกิดขึ้น ซึ่งในการออกแบบเขื่อนหรือกำแพงป้องกันนั้นจำเป็นต้องทราบว่าเราควรจะสร้างให้มีความสูงเท่าไรเพื่อป้องกันน้ำท่วมที่จะเกิดขึ้นทุกๆ 20 ปี

ทั้งนี้ ดร.ลินและทีมวิจัยได้ใช้เหตุน้ำท่วมที่เกิดขึ้นในนิวยอร์กเป็นกรณีศึกษา โดยพวกเขาได้ศึกษาแบบจำลองภูมิอากาศ 2 แบบ คือ การศึกษาภายใต้เงื่อนไขของภูมิอากาศปัจจุบันระหว่างปี 1981-2000 และเงื่อนไขของภูมิอากศในอนาคตระหว่างปี 2081-2100 ซึ่งเป็นการทำนายภายใต้การคาดการณ์ของคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Intergovernmental Panel on Climate Change) หรือไอพีซีซี (IPCC) ซึ่งพวกได้พบว่ามีความถี่ที่จะเกิดพายุรุนแรงเพิ่มขึ้นตามการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ

สำหรับน้ำท่วมรุนแรงในรอบ 100 ปี คือ น้ำท่วมจากพายุที่สูงเฉลี่ย 2 เมตร ส่วนพายุรุนแรงในรอบ 500 ปีคือน้ำท่วมจากพายุซัดสูง 3 เมตร แต่เมื่อทีมวิจัยเพิ่มปัจจัยเรื่องการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในแบบจำลองแล้วพบว่า น้ำท่วมจากการซัดของพายุสูง 2 เมตรจะเกิดถี่ขึ้นทุกๆ 3-20 ปี ส่วนน้ำท่วมสูง 3 เมตรจะเกิดถี่ขึ้นทุก 25-240 ปี ซึ่ง ดร.ลินกล่าวว่า ในปี 1821 เกิดน้ำท่วมสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของเมืองนิวยอร์ก สหรัฐฯ โดยท่วมสูงถึง 3.2 เมตร และปัจจุบันยังเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในรอบ 500 ปี




จาก ........................ ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2555
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #2  
เก่า 21-02-2012
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default


"อาเซียน"เดือดขึ้น 4 องศา ไทย-เพื่อนบ้านสาหัส!




ด้วยอากาศร้อนๆหนาวๆ แบบภาวะโลกไร้สมดุลที่บังเอิญเกิดขึ้นพอดิบพอดีในปี 2012 เล่นเอาคนทั่วโลกหวั่นวิตก

กลัวว่าคำทำนายของชนเผ่ามายันโบราณจะกลายเป็นจริงขึ้นมา

ต่อให้นักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยชั้นนำออกมาระบุว่าโลกไม่ได้แตกง่ายๆ อย่างที่คิด

แต่มันก็น่าสงสัยอยู่ไม่ใช่น้อยว่าอะไรจะเกิดขึ้น หากโลกกลมๆใบนี้ ต้องถึงกาลอวสานจริงๆ?

จากข้อกังขากระหึ่มโลกดังกล่าว ทำให้กระทรวงการต่างประเทศสหราชอาณาจักร กรมอุตุนิยมวิทยาสหราชอาณาจักร และ "ฮาร์ดลีย์ เซ็นเตอร์" ได้ไอเดียตอบโจทย์ของคำถามคาใจให้ชัดๆกันไปเลย

วิธีการก็คือ จัดทำแผนที่ "4 ดีกรี แม็ป" (แผนที่ 4 องศาเซลเซียส) แบบอินเตอร์แอ๊กทีฟ เพื่อแสดงผลกระทบซึ่งจะเกิดขึ้นบนโลก หากอุณหภูมิเดือดไต่ระดับขึ้นอีก 4 องศาเซลเซียส เกินค่าเฉลี่ยของอุณหภูมิช่วงก่อนยุคอุตสาหกรรม

โดยเน้นเจาะลึกถึงความเปลี่ยนแปลงบนทวีป "เอเชียตะวันออกเฉียงใต้" ของเรา

ในฐานะที่เป็นแหล่งผลิตอาหารระดับครัวโลก

นายจอห์น เพียร์สัน หัวหน้าเครือข่ายงานด้านการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศของรัฐบาลอังกฤษ ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อธิบายระหว่างงานเปิดตัว "4 ดีกรี แม็ป" ณ สถานเอกอัครราช ทูตอังกฤษประจำประเทศไทย ว่า

"จากแผนที่นี้ จะเห็นได้ว่ามีวงแหวนหลากสีหลายขนาดล้อมอยู่รอบๆ พื้นที่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อแบ่งแยกปัญหาที่อาจตามมาจากการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิในแต่ละพื้นที่ ซึ่งประเทศไทยทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมถึงพม่า กัมพูชา ลาวและเวียดนาม มีแนวโน้มว่าจะร้อนขึ้นสูงสุด ที่ 5 องศาเซลเซียส

"ขณะที่ภาคกลางตอนล่างของไทยเรื่อยไปจนถึงภาคตะวันตกบริเวณอ่าวไทย จะเพิ่มขึ้น 4 องศาเซลเซียส ประเทศมาเลเซียโดยรวมจะอยู่ที่ 3 องศาเซลเซียส อินโดนี เซียและบรูไน จะเพิ่มขึ้นระหว่าง 5-6 องศาเซลเซียส ส่วนฟิลิปปินส์จะเฉลี่ย ราว 3 องศาเซลเซียส" เพียร์สันกล่าว

เรียกได้ว่าถ้าเกิดอุณหภูมิสูงขึ้นขนาดนั้นจริง จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อการเพาะปลูก การประมง แหล่งน้ำและการใช้ชีวิตของคนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้!

เพียร์สันระบุว่า เมื่อคลิกดูตาม "ไอคอน" ในแผนที่ สิ่งแรกซึ่งเราจะต้องเจอเลย คือ

การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศและปริมาณน้ำฝน

รวมถึงพายุฤดูร้อน พายุไซโคลนและไต้ฝุ่น ที่จะมีความรุนแรงเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว

โดยฟิลิปปินส์มีความเสี่ยงสูงสุดที่จะถูกพายุพัดกระหน่ำแบบทั่วถึงทั้งเกาะตลอดปี

แถมด้วยปรากฏการณ์ "เอลนิโญ่" และ "ลานิญ่า" ที่จะเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดทิศทางของพายุหลงฤดู ซึ่งจะเกิดขึ้นบ่อยครั้งและทวีความรุนแรงไปตามสภาพอากาศที่ปรวนแปร ส่งผลให้บางประเทศมีฝนตกชุกและพายุเข้า

ขณะที่อีกประเทศแทบจะไม่มีฝนและร้อนแห้งแล้ง กลายเป็นภาวะน้ำท่วมน้ำขาดแบบไม่รู้จบ

ผลลัพธ์ที่ตามมาติดๆ เมื่ออุณหภูมิโซนอาเซียนพุ่งสูงขึ้น ก็คือข้อจำกัดในการประกอบอาชีพ

โดยเฉพาะพืชผลทางการเกษตรที่ไม่สามารถทนต่ออุณหภูมิของ "น้ำ" ซึ่งร้อนขึ้น

ประกอบกับความเป็นไปได้ของอุณหภูมิโดยรวมที่จะสูงเกินกว่า 35 องศาเซลเซียส ในช่วงฤดูร้อนและปลายฝน ทำให้ผลผลิตแห้งตายและไม่เพียงพอต่อการบริโภค กระทบต่อความสามารถในการส่งออกข้าวของประเทศไทย ที่ไม่เพียงบั่นทอนเศรษฐกิจภายใน แต่อาจนำไปสู่ปัญหาเรื่องความมั่นคงด้านอาหารของคนทั่วโลกได้

นั่นยังไม่รวมถึงปัญหาขาดแคลน "ที่ทำกิน" เนื่องจากพื้นที่ราบลุ่มบางส่วนมีโอกาสถูกน้ำท่วมจนมิด

ตัวอย่างเช่น กรุงเทพฯ ถ้าดูจาก "แผนที่ 4 องศา" จะพบว่า ในปี 2654 จะกลายสภาพเป็นเมืองบาดาล เพราะถูกน้ำทะเลซึ่งสูงขึ้นราว 65 เซนติเมตร ไหลเข้าท่วมทั่วทั้งกรุงที่ความสูงเหนือระดับน้ำทะเลถึง 2 เมตร

เช่นเดียวกับชะตากรรมของกรุงมะนิลา จาการ์ตา โฮจิมินห์ซิตี้และชายฝั่งติดทะเลของสิงคโปร์

ขณะที่ผลกระทบด้าน "การประมง" ก็มีปัญหาไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เพราะน้ำทะเล น้ำจืดและน้ำกร่อย ต่างก็มีจุดเดือดและความเป็นกรดเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ

จนทำให้สัตว์น้ำและพืช ซึ่งไวต่อการเปลี่ยนแปลง ส่อเค้าล้มตายและเสี่ยงสูญพันธุ์เป็นวงกว้าง

กลายเป็นวิกฤตล้มละลายของการประมง ซึ่งยากจะแก้ให้กลับมาเหมือนเดิม!

นอกจากนี้ สุขภาพของมนุษย์ก็จะย่ำแย่ลง เพราะอุณหภูมิที่ร้อนขึ้นมีผลต่อคุณภาพของอากาศ

โดยเฉพาะเมืองใหญ่ๆ อย่างกรุงเทพฯ จาการ์ตาและมะนิลา ที่มีมลพิษมากอยู่แล้ว จะยิ่งเข้าขั้นอันตรายจนมนุษย์ไม่สามารถใช้ชีวิตในเมืองได้อีก

สภาพอากาศร้อนผิดธรรมชาติ ยังสามารถเป็นต้นเหตุก่อโรคภัยไข้เจ็บ ทั้งลมแดด ความเครียด ระบบไหลเวียนเลือดบกพร่องและโรคที่มีแมลงเป็นพาหะ

เนื่องจากความร้อนเอื้อประโยชน์ต่อการขยายพันธุ์ของแมลง ทำให้โรคมาลาเรียและไข้เลือดออกมีโอกาสแพร่กระจายไปทั่วภูมิภาค

"ดังนั้นหากจะพูดว่าภาวะโลกร้อนขึ้น คือ จุดจบของโลก ส่วนตัวขอบอกเลยว่าเห็นด้วย เพราะผลกระทบของมันสร้างความเดือดร้อนต่อเนื่องเป็นห่วงโซ่ไม่มีที่สิ้นสุด เรียกได้ว่าถึงโลกจะไม่แตก แต่ความเป็นจริงมันก็เลวร้ายพอๆ กับความรู้สึกของการตกอยู่ในสภาวะจำยอมและไร้ทางออก

"แต่ผมไม่ได้บอกว่าโลกจะต้องร้อนขึ้น 4 องศาเซลเซียสและทุกประเทศจะลงเอยที่ความแร้นแค้นเหมือนกัน หรือโลกต้องแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ในวันนี้ พรุ่งนี้ เพราะแผนที่ "4 ดีกรี แม็ป" คือการรวบรวมข้อมูลทางสภาพอากาศและการเปลี่ยนแปลง จากการจำลองความน่าจะเป็นทั้ง 34 รูปแบบ แล้วจึงนำทฤษฎีเหล่านี้ไปทดสอบหาผลลัพธ์ถึง 24 ครั้ง จนเราสามารถระบุปัญหาที่คาดว่าจะตามมากับความร้อนเฉลี่ย ที่ 4 องศาเซลเซียส เพื่อกระตุ้นให้ผู้คนได้เห็นผลจากการกระทำของพวกเราทุกๆคน และตระหนักว่ามันถึงเวลาที่เราต้องเปลี่ยนพฤติกรรมเสียที

"หลายคนถามผมว่าทำไมโลกถึงร้อนขึ้นแต่กลับไม่เย็นลง ทั้งที่เราเคยผ่านช่วงเวลาใน "ยุคน้ำแข็ง" มาแล้ว อย่างที่ผมกล่าวคือข้อมูลของโลกในยุคหลัง แสดงให้เห็นวิถีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่อากาศจะร้อนขึ้นมากกว่า แต่ไม่ใช่ว่ายุคน้ำแข็งจะไม่มีโอกาสกลับมาอีกครั้ง ตราบใดที่โลกของเราหมุนรอบตัวเอง รอบดวงอาทิตย์และวัฏจักรของจักรวาลยังวนเวียนอยู่ในลักษณะนี้ ปัจจัยแวดล้อมต่างๆ ทั้งดิน น้ำ ฟ้าและอากาศ ก็ย่อมไม่สามารถทำนายทายถูกได้แบบ 100 เปอร์เซ็นต์เป๊ะๆ

"ผมว่าเราน่าจะกังวลกับปัจจุบันและอนาคตอันใกล้มากกว่าคิดถึงสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น หรือเชื่อทฤษฎีสร้างความแตกตื่นที่เน้นทำให้คนกลัวโดยไม่มีเหตุผล จนกลายเป็นกระแสโลกแตกไร้สาระอย่างที่เห็นในปัจจุบัน ซึ่งยังเป็นต้นตอสร้างความแตกแยกของกลุ่มคนที่เห็นด้วยและอีกพวกที่เมินเฉย

"ทั้งที่เราทุกคนรู้อยู่แล้วว่าโลกนี้มันร้อนขึ้นได้อย่างไร เราแค่ต้องเปิดใจและแก้ไข ไม่ใช่รู้แต่ไม่ทำ"

เพียร์สัน เตือนอย่างดุดันว่า ถึงเวลาแล้วที่ทั้งตัวเราเองไล่ขึ้นไปถึงระดับรัฐบาลและประชาคมโลก ต้องลงมือแก้ปัญหาโลกร้อนอย่างจริงจัง!

หัวหน้าเครือข่ายงานด้านการเปลี่ยน แปลงภูมิอากาศของรัฐบาลอังกฤษ ประจำภูมิภาคอาเซียน กล่าวด้วยว่า

ทุกวันนี้เรามีความร่วมมือว่าด้วยการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์

แต่ประเทศที่ยังห่วงอุตสาหกรรมกลัวว่าเศรษฐกิจจะมีผลกระทบก็ยังมีให้เห็นอยู่มาก

จริงๆ แล้วการแก้ไขเรื่องนี้นั้นง่ายที่สุด เพราะเครื่องมือที่เราทุกๆ คน มีอยู่แล้ว คือ "คอมมอนเซนส์" (สามัญสำนึก) ในการพิจารณาเอาเองว่าอะไรคือการเสียพลังงานโดยเปล่าประโยชน์ อะไรคือการกระทำที่จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงของภาวะโลกร้อน สิ่งไหนดี ไม่ดี เราตอบได้หมด

เหลือแค่ว่าเมื่อไหร่จะลงมือทำอย่างจริงจังเสียที

อยากให้ทุกคนได้ใช้แผนที่ "4 ดีกรี แม็ป" เพื่อหาคำตอบให้ตัวคุณเองว่าพร้อมหรือยังที่จะรับมือกับผลกระทบของอุณหภูมิซึ่งจะร้อนขึ้น อีก 4 องศา

ลองไปอ่านดูว่าโลกของเราจะเป็นอย่างไร

จุดไหนที่มี "ไอคอน" บอกความเสี่ยง ก็ลองคลิกเพื่อศึกษาข้อมูลลิงก์จากเว็บไซต์ของ "ฮาร์ดลีย์ เซ็นเตอร์ ซึ่งจะมีคลิปวิดีโอประกอบข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขา มีข้อมูลของโครงการป้องกันและรู้ทันปัญหาโลกร้อน มีผลวิจัยและรายละเอียด แบบเจาะลึก

"ถ้าศึกษาแล้วคิดว่ารับไม่ได้ ก็เปลี่ยนการใช้ชีวิต เริ่มจากสิ่งเล็กๆที่ทำได้ ก่อนจะเดินหน้าช่วยกันเปลี่ยนแปลงระดับโลก แน่นอนว่ามันเป็นโครงการระยะยาว ต้องใช้เวลานานกว่าจะโน้มน้าวคนทั้งโลกได้ อาจจะเป็นสิบๆ ปี หรือเป็นศตวรรษ เราอาจทำสำเร็จ หรือทำไม่ได้เลย แต่การได้ลองเสี่ยงดูสักตั้ง ก็ยังดีกว่าตื่นมาเจอกับวิกฤต แล้วนั่งโทษตัวเองว่าทำไมถึงไม่ทำ" เพียร์สัน อธิบายทิ้งท้าย

สำหรับแผนที่ "4 ดีกรี แม็ป" รับข้อมูลได้ผ่านเว็บไซต์ของสถานทูตอังกฤษ http:// ukinthailand.fco.gov.uk/en/news/?view= PressR&id=723765782




จาก ........................ ข่าวสด วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2555
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #3  
เก่า 21-02-2012
สายชล's Avatar
สายชล สายชล is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
สถานที่: Bangkok
ข้อความ: 9,123
Default



ลดโลกร้อน...เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชาวโลกแล้ว ก่อนที่จะสายเกินไป โดยให้เริ่มที่ตัวเราก่อน อย่าง "สิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่า 'รักษ์' ที่พวกเราชาว sos ได้เริ่มกันไว้แล้ว

__________________
Saaychol
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #4  
เก่า 29-02-2012
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default


"แรงลม" ผลพวงโลกร้อน เรียนรู้เข้าใจ...ลดภัยพิบัติ



หลังน้ำท่วมใหญ่ปลายปีที่ผ่านมา ดูเหมือนคนไทยเริ่มตื่นตัวกับปัญหาภัยธรรมชาติ บทเรียนครั้งนั้นสร้างความเสียหายมากมายต่อสภาพจิตใจและชีวิตความเป็นอยู่ของคนหลายคน น่าจะถึงเวลาแล้วที่เราต้อง เรียนรู้เพื่ออยู่กับธรรมชาติอันแปรเปลี่ยนอย่างเข้าใจ ซึ่ง ’ลม” ถือเป็นหนึ่งในทรัพยากร ธรรมชาติที่ถูกมองข้าม ทั้งๆที่ความจริงแล้วมีผลต่อการกินอยู่หลับนอน จนถึงการทำเกษตรกรรม

สมชาย ใบม่วง รองอธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา ให้ความเห็นว่า ลมเป็นสิ่งที่คนไทยควรทำความเข้าใจ หลายครั้งเมื่อมีการพยากรณ์อากาศเกี่ยวกับลมหลายคนยังไม่เข้าใจ และตื่นกลัวกับข่าวลือต่างๆ ก่อนอื่นต้องเข้าใจถึงการเกิดลมซึ่งลม เกิดจากการเคลื่อนตัวของอากาศโดยนำมวลอากาศจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง ในลักษณะของความกดอากาศสูงเข้าหาพื้นที่ความกดอากาศต่ำ โดยทางอุตุนิยมวิทยาพิจารณาว่า ลมที่พัดมาจากทางไหน นำอะไรมากับลม และจะทำให้พื้นที่เกิดอะไรขึ้น!

โดยธรรมชาติลักษณะลมทั่วโลกจะหมุนตามเข็มนาฬิกาคือ เมื่อเกิดลมเหนือต่อมาก็จะเกิดลมตะวันตกและตะวันตกเฉียงเหนือหมุนไปอย่างนี้ทำให้เกิดสภาพอากาศและฤดูต่าง ๆ สิ่งที่คนไทยควรทำความเข้าใจคือ ลมประจำฤดูเป็นปัจจัยหลักทำให้เกิดสภาพอากาศต่างๆ โดย

1. ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ กำเนิดจากเขาสูงในประเทศจีนซึ่งหนาวตลอดปี เมื่อมาถึงไทยทำให้เกิดฤดูหนาวช่วงกลางเดือนตุลาคม–กลางเดือนกุมภาพันธ์ ของทุกปี

2. ลมตะวันออกเฉียงใต้ แหล่งกำเนิดจากทะเลจีนใต้ตอนล่าง เกิดจากลมสามกระแสทำให้แปรปรวนไม่ชัดเจนในบางครั้ง ขณะเดียวกันช่วงเวลาดังกล่าวประเทศไทยจะหันเข้าหาพระอาทิตย์ ทำให้เกิดอากาศร้อนในกลางเดือนกุมภาพันธ์–กลางเดือนพฤษภาคม

3. ลมตะวันตกเฉียงใต้ แหล่งกำเนิดมาจากซีกโลกใต้ทางออสเตรเลีย และมหาสมุทรอินเดียทำให้เกิดฝน

จะเห็นได้ว่าลมที่เกิดและผ่านพื้นที่ต่างๆ ย่อมนำพาสภาพอากาศแตกต่างกัน โดยลมที่มาจากทะเลจะทำให้มีอากาศอุ่นชื้น ส่วนลมที่มาจากพื้นดินจะเย็นและแห้ง ขณะเดียวกันการเกิดลมจะแรงหรือเบาเกิดจากความกดอากาศที่ถ้าแตกต่างกันมากลมจะพัดรุนแรง แต่ถ้าความกดอากาศไม่ต่างกันมากลมจะพัดเบาๆ

ภาวะโลกร้อน เป็นสาเหตุส่วนหนึ่งที่ส่งผลต่อลมประจำถิ่น อย่างปีที่ผ่านมามีลมตะวันออกเฉียงใต้มากกว่าปกติซึ่งนำพาความชื้นเข้ามา เหตุจากแหล่งกำเนิดได้รับผลกระทบอย่างธารน้ำแข็งในขั้วโลกเหนือและทะเลต่างๆ ปกติพลังงานแสงอาทิตย์ที่ส่งมายังโลก 100 เปอร์เซ็นต์ จะสะท้อนกลับไปยังชั้นบรรยากาศ 53 เปอร์เซ็นต์ ส่วนอีก 47 เปอร์เซ็นต์ ส่องมาถึงพื้นที่โลกและพอกลางคืนเปลี่ยนเป็นคลื่นยาวเพื่อคลายตัวออกสู่ชั้นบรรยากาศนอกโลก แต่ด้วยสภาวะปัจจุบันที่ชั้นบรรยากาศมีคาร์บอนมากจากการใช้ประโยชน์ของมนุษย์ทำให้คลื่นยาวเหล่านั้นออกไปยังนอกโลกไม่ได้ ทำให้โลกเกิดสะสมพลังงานความร้อนขึ้นเรื่อยๆ สิ่งเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อพื้นดินและน้ำอันเป็นแหล่งกำเนิดของลม ตอนนี้มีผลกระทบแค่ลมประจำถิ่นซึ่งเป็นส่วนเล็กๆ ยังไม่กระทบร้ายแรงถึงขั้นที่มนุษย์ต้องปรับเปลี่ยนตัวเอง

“ปีนี้คาดว่าลมปกติดีในภาพรวม อาจมีเปลี่ยนแปลงบ้างบางช่วงเวลา เช่น ปีก่อนลมตะวันออกเฉียงเหนือที่นำอากาศหนาวมาเร็วกว่าปกติและอยู่นานอย่างที่หลายคนไม่คาดคิด ปกติลมประจำถิ่นพวกลมบก, ลมทะเลหรือลมภูเขา ชาวบ้านที่อยู่ในละแวกนั้นมีการสังเกตและรู้ถึงทิศทางลมที่เปลี่ยนไปจึงไม่น่าห่วง สำหรับลมประจำฤดูเป็นลมภาพรวมใหญ่อนาคตอาจมีเปลี่ยนแปลงไปบ้างตามภาวะผลกระทบที่เกิดขึ้น”



คนทั่วไปจะดูทิศทางลมเพื่อทำนายการเกิดอากาศสามารถทำได้ แต่ต้องเข้าใจภูมิศาสตร์ที่ตรงนั้นว่าทิศที่ลมพัดมาผ่านภูเขาหรือทะเลอย่างไร โดยดูจากยอดไม้ขนาดสูงในที่โล่งซึ่งไม่มีตึกสูงบัง การคาดเดาลมส่วนใหญ่ถ้าอยู่ในเมืองตึกสูงหนาแน่นไม่สามารถคาดเดาได้อย่างชัดเจน ถ้าอยู่บนเขาหรือในทะเลสามารถคาดเดาได้ดีกว่า ขณะเดียวกันลมที่พัดแรงไม่สามารถบอกได้ว่าฝนกำลังจะตกแรงหรือเบาเพราะขึ้นอยู่กับความกดอากาศ เวลาฟังกรมอุตุฯ บอกเรื่องลมส่วนใหญ่จะเน้นบอกสำหรับคนที่เดินเรือ โดยลมที่เริ่มมีความรุนแรงอยู่ที่ 20–40 กิโลเมตรต่อชั่วโมงขึ้นไป

อยากฝากถึงประชาชนว่าถ้า หากมีความเข้าใจถึงการเกิดลมและจะนำสิ่งใดมาย่อมทำให้ท่านสามารถเตรียมตัวพร้อมรับมือได้อย่างไม่วิตกกังวล การศึกษาสามารถเรียนได้ด้วยตนเองผ่านเว็บไซต์กรมอุตุฯ หรือจากการฟังพยากรณ์อากาศและสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้น

ลมค่อนข้างไกลตัวในการดูแลรักษา และจะมองในส่วนของการนำลมมาเป็นพลังงานเพื่อใช้ไฟฟ้ามากกว่า เพราะต่อไปพลังงานที่นำมาผลิตไฟฟ้าจะลดลง ซึ่งลมเป็นพลังงานสะอาดที่ต้องเร่งศึกษานำมาทดแทนสิ่งที่กำลังหมดไป นอกจากนี้ครอบครัวสามารถให้เด็กเรียนรู้ผ่านสภาพอากาศได้ โดยพ่อแม่เองต้องมีความเข้าใจก่อน แล้วให้ลูกสังเกตสภาพต้นไม้ในฤดูต่างๆ หรือพฤติกรรมสัตว์ พอเด็กจดจำไปเรื่อยๆ จะเกิดการเรียนรู้และคาดเดาได้ถึงสภาพอากาศที่กำลังจะเกิดขึ้นโดยไม่ต้องไปนั่งเรียนในห้องเลยก็ได้

ลมเป็นอีกธรรมชาติที่มนุษย์ต้องเร่งทำความเข้าใจ เพื่อไม่ปล่อยให้ข่าวลือทำลายความเชื่อมั่นในจิตใจของคนในสังคม.


.................................................................................





รอบรู้เรื่องลมประจำถิ่นที่เปลี่ยนแปลง

1. ลมภูเขา บริเวณภูเขาในขณะที่มีระบบลมอ่อน ลมมักพัดลงตามลาดของภูเขาในเวลากลางคืน และพัดขึ้นลาดภูเขาในเวลากลางวัน เพราะเวลากลางคืนตามบริเวณภูเขาที่ระดับสูง มีอากาศเย็นกว่าตามที่ต่ำ ความแน่นของอากาศในที่สูงจึงมีมากกว่าในระดับต่ำลมจึงพัดลงตามเขาเราเรียกลมนี้ว่า ลมภูเขา

ลมหุบเขา เวลากลางวันดวงอาทิตย์แผ่รังสีให้แก่ภูเขา และหุบเขาทำให้อุณหภูมิมีระดับสูง โดยเฉพาะยอดเขาจะสูงกว่า อุณหภูมิตามที่ต่ำ หรือหุบเขา ความแน่นของอากาศในระดับสูงจึงน้อยกว่า และลอยตัวสูงขึ้น ฉะนั้นอากาศจากที่ต่ำหรือหุบเขา จึงพัดขึ้นไปแทนที่เราเรียกว่า ลมหุบเขา

ลมหุบเขา จะเกิดขึ้นในเวลากลางวัน โดยอากาศตามภูเขาและลาดเขาจะร้อน เพราะได้รับความร้อนจากดวงอาทิตย์เต็มที่อากาศบริเวณใกล้ภูเขาระดับความสูงเดียวกัน ซึ่งมีความเย็นกว่าจึงเคลื่อนไปเข้าแทนที่ทำให้มีลมพัดไปตามลาดเขาขึ้นสู่เบื้องบน ส่วนลมภูเขา เกิดขึ้นในเวลากลางคืน โดยอากาศตามภูเขาและลาดเขาจะเย็นลงอย่างรวดเร็ว ด้วยการถ่ายโอนความร้อนออก อากาศตามลาดเขาที่เย็นและหนักกว่าอากาศบริเวณใกล้เคียงจึงเคลื่อนไปตามลาดเขาสู่หุบเขาเบื้องล่าง


2. ลมทะเล ในเวลากลางวันพื้นดินรับความร้อนได้เร็วกว่าพื้นน้ำ ทำให้อากาศเหนือพื้นดิน มีอุณหภูมิสูงกว่า อากาศเหนือพื้นน้ำ เป็นผลให้อากาศเหนือพื้นน้ำมีความกดอากาศสูงกว่าเคลื่อนที่เข้าหาบริเวณพื้นดิน ที่มีความกดอากาศต่ำกว่าหรือเกิดลมพัดจากทะเลเข้าหาฝั่งในเวลากลางวัน

ลมบก ในเวลากลางคืนพื้นดินคลายได้เร็วกว่าพื้นน้ำ ทำให้อากาศเหนือพื้นดินมีอุณหภูมิต่ำกว่าอากาศเหนือพื้นน้ำ หรืออากาศเหนือพื้นดินมีความกดอากาศสูงกว่าอากาศเหนือพื้นน้ำ เป็นผลให้อากาศเหนือพื้นดินที่มีความกดอากาศสูงกว่าเคลื่อนที่เข้าหาพื้นน้ำที่มีความกดอากาศต่ำกว่า หรือเกิดลมพัดจากบนบกออกสู่ฝั่งทะเลในเวลากลางคืนนั่นเอง.




จาก ........................ เดลินิวส์ วันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2555
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #5  
เก่า 26-07-2012
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default


“น้ำแข็งกรีนแลนด์” ละลายฉับพลันรุนแรงที่สุดในรอบ 30 ปี


ภาพภูเขาน้ำแข็งแตกตัวจากธารน้ำแข็งปีเตอร์มันน์ของกรีนแลนด์เมื่อ 16 ก.ค.ที่ผ่านมา (นาซา/บีบีซีนิวส์)

นาซาระบุแผ่นน้ำแข็งยักษ์ของกรีนแลนด์ที่ละลายฉับพลันในเดือนนี้กินพื้นที่ใหญ่กว่าปกติ ด้านนักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า การละลายน้ำอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนซึ่งกินพื้นที่กว้างที่สุดเท่าที่มีการบันทึกโดยการสำรวจผ่านดาวเทียมในช่วง 3 ทศวรรรษที่ผ่านมา

เหตุแผ่นน้ำแข็งยักษ์ละลายนี้เกิดขึ้นที่ “ฐานซัมมิท” (Summit station) ซึ่งเป็นจุดสูงสุดและหนาวเย็นที่สุดของกรีนแลนด์ โดยการละลายของแผ่นน้ำแข็งพุ่งจาก 40% เป็น 97% ในเวลาเพียง 4 วันนับจากวันที่ 8 ก.ค.2012 ที่ผ่านมา ซึ่งแม้ว่าทุกฤดูร้อนแผ่นน้ำแข็งของกรีนแลนด์กว่าครึ่งจะละลายเป็นปกติอยู่แล้ว

หากแต่บีบีซีนิวส์รายงานว่าทั้งความเร็วและขนาดของการละลายที่พุ่งพรวดในปีนี้ก็สร้างความประหลาดใจให้แก่นักวิทยาศาสตร์ผู้นิยามปรากฏการณ์นี้ว่า “ไม่ปกติ” อย่างมาก โดยองค์การบริหารการบินอวกาศสหรัฐ (นาซา) กล่าวว่าน้ำแข็งเกือบทั้งหมดที่ปกคลุมกรีนแลนด์ครอบคลุมตั้งแต่บริเวณที่มีน้ำแข็งบางที่สุดบริเวณชายฝั่งไปถึงศูนย์กลางของเกาะซึ่งหนา 3 กิโลเมตรเกิดการละลายที่ชั้นผิว

วาลีด อับดาลาติ ( Waleed Abdalati) นักวิทยาศาสตร์อาวุโสของนาซา กล่าวว่าเมื่อเราได้เห็นการละลายในจุดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน หรืออย่างน้อยก็นานแล้วที่ไม่ได้เห็นเช่นนี้ ทำให้เราต้องลุกข้นมาถามว่า “เกิดอะไรขึ้น?” ซึ่งเหตุการณ์นี้เป็นสัญญาณสำคัญ เพราะน้ำแข็งกรีนแลนด์ละลายเป็นวงกว้างเช่นนี้ เกิดขึ้นโดยที่เรายังไม่สามารถประเมินได้ว่าเป็นเหตุการณ์ธรรมชาติแต่นานเกิดขึ้นที หรือเป็นผลพวงจากภาวะโลกร้อนที่มนุษย์สร้างขึ้น


ภาพถ่ายดาวเทียมของนาซาเผยน้ำแข็งของกรีนแลนด์ละลายอย่างรวดเร็ว โดยในภาพซ้ายยังมีน้ำแข็งให้เห็นอยู่ในวันที่ 8 ก.ค. แต่หลังจากนั้นเพียง 4 วัน น้ำแข้งก็ละลายหมด (รอยเตอร์/บีบีซีนิวส์)

นักวิทยาศาสตร์เชื่อน้ำแข็งของกรีนแลนด์จำนวนมากจะกลับมาแข็งตัวอีกครั้ง และหากไม่นับเหตุการณ์นี้ข้อมูลที่ดาวเทียมสำรวจไว้ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมานั้น พบว่ามีน้ำแข็งละลายมากที่สุด 55% ของพื้นที่น้ำแข็งทั้งหมด ส่วนข้อมูลจากแกนน้ำแข็งยังเผยด้วยว่าครั้งล่าสุดที่น้ำแข็งละลายที่ฐานซัมมิทคือเมื่อปี 1889

ข่าวนี้ตามหลังการเผยภาพถ่ายดาวเทียมของนาซาที่แสดงให้เห็นภูเขาน้ำแข็งที่มีขนาดใหญ่กว่าเมืองแมนฮัตตันถึง 2 เท่า แตกออกจากธารน้ำในกรีนแลนด์ไม่กี่วัน ซึ่ง ทอม แวกเนอร์ (Tom Wagner) จากนาซากล่าวว่า เหตุการณ์น้ำแข็งละลายฉับพลันนี้ยังรวมเข้ากับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่ไม่ปกติอื่นๆ อีก อย่างเช่นเหตุการแตกของธารน้ำแข็งปีเตอร์มันน์ (Petermann Glacier) เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งล้วนเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องที่ซับซ้อน



จาก ..................... ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 26 กรกฎาคม 2555
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ตอบ

คำสั่งเพิ่มเติม
เรียบเรียงคำตอบ

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 01:07


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2025, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger