![]() |
|
|
|
#1
|
||||
|
||||
|
โลกร้อนเป็นเหตุ “น้ำท่วมใหญ่” ในรอบศตวรรษเกิดถี่ทุก 3-20 ปี ภาพพายุเฮอร์ริเคนกำลังเข้าถล่มฝั่งตะวันออกของอเมริกาเมื่อเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา (NOAA/PhyOrg) เมื่อเดือน ส.ค.ปีที่ผ่านมาเฮอร์ริเคน “ไอรีน” ได้พัดถล่มในแถบแคริบเบียนจนถึงฝั่งตะวันออกของอเมริกา ความรุนแรงจัดอยู่ในอันดับ 3 ที่พัดตีระดับน้ำจนสูงขึ้นและก่อให้เกิดพายุซัดเข้าสู่ฝั่งและท่วมข้ามกำแพงกั้นฝั่งลึกเข้าสู่พื้นที่ด้านในห่างจากชายฝั่ง ผู้เชี่ยวชาญด้านพายุหลายคนระบุว่า ผลกระทบที่ทำให้เกิดน้ำท่วมเป็นวงกว้างนี้ทำให้เฮอร์ริเคนดังกล่าวเป็นภัยพิบัติในรอบ 100 ปี ที่ภายในหนึ่งศตวรษจะเกิดขึ้นเพียง 1 ครั้ง หากแต่นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน (Princeton University) สหรัฐฯ และสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเสตต์หรือเอ็มไอที (MIT)พบว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate change) จะทำให้เกิดพายุที่รุนแรงดังกล่าวจนเป็นเหตุดินถล่มถี่ขึ้น และยังเป็นสาเหตุให้เกิดพายุซัดเข้าสู่ฝั่งหรือสตอร์มเซิร์จ (storm surge) ที่รุนแรงทุกๆ 3-20 ปี ทาง PhysOrg.com ระบุว่า ทางกลุ่มวิจัยได้จำลองพายุนับหมื่อลูกภายใต้สภาพภูมิอากาศที่แตกต่างกัน และพบว่าน้ำท่วมใหญ่ที่เกิดขึ้นทุก 500 ปี นั้นจะเกิดถี่ขึ้นทุก 25-240 ปี เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และพวกเขาได้ตีพิมพ์ผลงานวิจัยนี้ลงวารสารเนเจอร์ไคลเมตแชงจ์ (Nature Climate Change) ทางด้าน ดร.นิง ลิน (Ning Lin) นักวิจัยหลังปริญญาเอกของเอ็มไอทีซึ่งเป็นหัวหน้าทีมในการศึกษาครั้งนี้กล่าวว่า การทราบถึงความถี่ของสตอร์มเซิร์จอาจช่วยนักวางแผนเมืองและชายฝั่งในการออกแบบโครงสร้างพื้นฐานเพื่อป้องกันภัยธรรมชาตดังกล่าวที่จะเกิดขึ้น ซึ่งในการออกแบบเขื่อนหรือกำแพงป้องกันนั้นจำเป็นต้องทราบว่าเราควรจะสร้างให้มีความสูงเท่าไรเพื่อป้องกันน้ำท่วมที่จะเกิดขึ้นทุกๆ 20 ปี ทั้งนี้ ดร.ลินและทีมวิจัยได้ใช้เหตุน้ำท่วมที่เกิดขึ้นในนิวยอร์กเป็นกรณีศึกษา โดยพวกเขาได้ศึกษาแบบจำลองภูมิอากาศ 2 แบบ คือ การศึกษาภายใต้เงื่อนไขของภูมิอากาศปัจจุบันระหว่างปี 1981-2000 และเงื่อนไขของภูมิอากศในอนาคตระหว่างปี 2081-2100 ซึ่งเป็นการทำนายภายใต้การคาดการณ์ของคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Intergovernmental Panel on Climate Change) หรือไอพีซีซี (IPCC) ซึ่งพวกได้พบว่ามีความถี่ที่จะเกิดพายุรุนแรงเพิ่มขึ้นตามการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ สำหรับน้ำท่วมรุนแรงในรอบ 100 ปี คือ น้ำท่วมจากพายุที่สูงเฉลี่ย 2 เมตร ส่วนพายุรุนแรงในรอบ 500 ปีคือน้ำท่วมจากพายุซัดสูง 3 เมตร แต่เมื่อทีมวิจัยเพิ่มปัจจัยเรื่องการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในแบบจำลองแล้วพบว่า น้ำท่วมจากการซัดของพายุสูง 2 เมตรจะเกิดถี่ขึ้นทุกๆ 3-20 ปี ส่วนน้ำท่วมสูง 3 เมตรจะเกิดถี่ขึ้นทุก 25-240 ปี ซึ่ง ดร.ลินกล่าวว่า ในปี 1821 เกิดน้ำท่วมสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของเมืองนิวยอร์ก สหรัฐฯ โดยท่วมสูงถึง 3.2 เมตร และปัจจุบันยังเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในรอบ 500 ปี จาก ........................ ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2555
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#2
|
||||
|
||||
|
"อาเซียน"เดือดขึ้น 4 องศา ไทย-เพื่อนบ้านสาหัส! ![]() ด้วยอากาศร้อนๆหนาวๆ แบบภาวะโลกไร้สมดุลที่บังเอิญเกิดขึ้นพอดิบพอดีในปี 2012 เล่นเอาคนทั่วโลกหวั่นวิตก กลัวว่าคำทำนายของชนเผ่ามายันโบราณจะกลายเป็นจริงขึ้นมา ต่อให้นักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยชั้นนำออกมาระบุว่าโลกไม่ได้แตกง่ายๆ อย่างที่คิด แต่มันก็น่าสงสัยอยู่ไม่ใช่น้อยว่าอะไรจะเกิดขึ้น หากโลกกลมๆใบนี้ ต้องถึงกาลอวสานจริงๆ? จากข้อกังขากระหึ่มโลกดังกล่าว ทำให้กระทรวงการต่างประเทศสหราชอาณาจักร กรมอุตุนิยมวิทยาสหราชอาณาจักร และ "ฮาร์ดลีย์ เซ็นเตอร์" ได้ไอเดียตอบโจทย์ของคำถามคาใจให้ชัดๆกันไปเลย วิธีการก็คือ จัดทำแผนที่ "4 ดีกรี แม็ป" (แผนที่ 4 องศาเซลเซียส) แบบอินเตอร์แอ๊กทีฟ เพื่อแสดงผลกระทบซึ่งจะเกิดขึ้นบนโลก หากอุณหภูมิเดือดไต่ระดับขึ้นอีก 4 องศาเซลเซียส เกินค่าเฉลี่ยของอุณหภูมิช่วงก่อนยุคอุตสาหกรรม โดยเน้นเจาะลึกถึงความเปลี่ยนแปลงบนทวีป "เอเชียตะวันออกเฉียงใต้" ของเรา ในฐานะที่เป็นแหล่งผลิตอาหารระดับครัวโลก นายจอห์น เพียร์สัน หัวหน้าเครือข่ายงานด้านการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศของรัฐบาลอังกฤษ ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อธิบายระหว่างงานเปิดตัว "4 ดีกรี แม็ป" ณ สถานเอกอัครราช ทูตอังกฤษประจำประเทศไทย ว่า "จากแผนที่นี้ จะเห็นได้ว่ามีวงแหวนหลากสีหลายขนาดล้อมอยู่รอบๆ พื้นที่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อแบ่งแยกปัญหาที่อาจตามมาจากการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิในแต่ละพื้นที่ ซึ่งประเทศไทยทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมถึงพม่า กัมพูชา ลาวและเวียดนาม มีแนวโน้มว่าจะร้อนขึ้นสูงสุด ที่ 5 องศาเซลเซียส "ขณะที่ภาคกลางตอนล่างของไทยเรื่อยไปจนถึงภาคตะวันตกบริเวณอ่าวไทย จะเพิ่มขึ้น 4 องศาเซลเซียส ประเทศมาเลเซียโดยรวมจะอยู่ที่ 3 องศาเซลเซียส อินโดนี เซียและบรูไน จะเพิ่มขึ้นระหว่าง 5-6 องศาเซลเซียส ส่วนฟิลิปปินส์จะเฉลี่ย ราว 3 องศาเซลเซียส" เพียร์สันกล่าว เรียกได้ว่าถ้าเกิดอุณหภูมิสูงขึ้นขนาดนั้นจริง จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อการเพาะปลูก การประมง แหล่งน้ำและการใช้ชีวิตของคนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้! เพียร์สันระบุว่า เมื่อคลิกดูตาม "ไอคอน" ในแผนที่ สิ่งแรกซึ่งเราจะต้องเจอเลย คือ การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศและปริมาณน้ำฝน รวมถึงพายุฤดูร้อน พายุไซโคลนและไต้ฝุ่น ที่จะมีความรุนแรงเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว โดยฟิลิปปินส์มีความเสี่ยงสูงสุดที่จะถูกพายุพัดกระหน่ำแบบทั่วถึงทั้งเกาะตลอดปี แถมด้วยปรากฏการณ์ "เอลนิโญ่" และ "ลานิญ่า" ที่จะเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดทิศทางของพายุหลงฤดู ซึ่งจะเกิดขึ้นบ่อยครั้งและทวีความรุนแรงไปตามสภาพอากาศที่ปรวนแปร ส่งผลให้บางประเทศมีฝนตกชุกและพายุเข้า ขณะที่อีกประเทศแทบจะไม่มีฝนและร้อนแห้งแล้ง กลายเป็นภาวะน้ำท่วมน้ำขาดแบบไม่รู้จบ ผลลัพธ์ที่ตามมาติดๆ เมื่ออุณหภูมิโซนอาเซียนพุ่งสูงขึ้น ก็คือข้อจำกัดในการประกอบอาชีพ โดยเฉพาะพืชผลทางการเกษตรที่ไม่สามารถทนต่ออุณหภูมิของ "น้ำ" ซึ่งร้อนขึ้น ประกอบกับความเป็นไปได้ของอุณหภูมิโดยรวมที่จะสูงเกินกว่า 35 องศาเซลเซียส ในช่วงฤดูร้อนและปลายฝน ทำให้ผลผลิตแห้งตายและไม่เพียงพอต่อการบริโภค กระทบต่อความสามารถในการส่งออกข้าวของประเทศไทย ที่ไม่เพียงบั่นทอนเศรษฐกิจภายใน แต่อาจนำไปสู่ปัญหาเรื่องความมั่นคงด้านอาหารของคนทั่วโลกได้ นั่นยังไม่รวมถึงปัญหาขาดแคลน "ที่ทำกิน" เนื่องจากพื้นที่ราบลุ่มบางส่วนมีโอกาสถูกน้ำท่วมจนมิด ตัวอย่างเช่น กรุงเทพฯ ถ้าดูจาก "แผนที่ 4 องศา" จะพบว่า ในปี 2654 จะกลายสภาพเป็นเมืองบาดาล เพราะถูกน้ำทะเลซึ่งสูงขึ้นราว 65 เซนติเมตร ไหลเข้าท่วมทั่วทั้งกรุงที่ความสูงเหนือระดับน้ำทะเลถึง 2 เมตร เช่นเดียวกับชะตากรรมของกรุงมะนิลา จาการ์ตา โฮจิมินห์ซิตี้และชายฝั่งติดทะเลของสิงคโปร์ ขณะที่ผลกระทบด้าน "การประมง" ก็มีปัญหาไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เพราะน้ำทะเล น้ำจืดและน้ำกร่อย ต่างก็มีจุดเดือดและความเป็นกรดเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้สัตว์น้ำและพืช ซึ่งไวต่อการเปลี่ยนแปลง ส่อเค้าล้มตายและเสี่ยงสูญพันธุ์เป็นวงกว้าง กลายเป็นวิกฤตล้มละลายของการประมง ซึ่งยากจะแก้ให้กลับมาเหมือนเดิม! นอกจากนี้ สุขภาพของมนุษย์ก็จะย่ำแย่ลง เพราะอุณหภูมิที่ร้อนขึ้นมีผลต่อคุณภาพของอากาศ โดยเฉพาะเมืองใหญ่ๆ อย่างกรุงเทพฯ จาการ์ตาและมะนิลา ที่มีมลพิษมากอยู่แล้ว จะยิ่งเข้าขั้นอันตรายจนมนุษย์ไม่สามารถใช้ชีวิตในเมืองได้อีก สภาพอากาศร้อนผิดธรรมชาติ ยังสามารถเป็นต้นเหตุก่อโรคภัยไข้เจ็บ ทั้งลมแดด ความเครียด ระบบไหลเวียนเลือดบกพร่องและโรคที่มีแมลงเป็นพาหะ เนื่องจากความร้อนเอื้อประโยชน์ต่อการขยายพันธุ์ของแมลง ทำให้โรคมาลาเรียและไข้เลือดออกมีโอกาสแพร่กระจายไปทั่วภูมิภาค "ดังนั้นหากจะพูดว่าภาวะโลกร้อนขึ้น คือ จุดจบของโลก ส่วนตัวขอบอกเลยว่าเห็นด้วย เพราะผลกระทบของมันสร้างความเดือดร้อนต่อเนื่องเป็นห่วงโซ่ไม่มีที่สิ้นสุด เรียกได้ว่าถึงโลกจะไม่แตก แต่ความเป็นจริงมันก็เลวร้ายพอๆ กับความรู้สึกของการตกอยู่ในสภาวะจำยอมและไร้ทางออก "แต่ผมไม่ได้บอกว่าโลกจะต้องร้อนขึ้น 4 องศาเซลเซียสและทุกประเทศจะลงเอยที่ความแร้นแค้นเหมือนกัน หรือโลกต้องแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ในวันนี้ พรุ่งนี้ เพราะแผนที่ "4 ดีกรี แม็ป" คือการรวบรวมข้อมูลทางสภาพอากาศและการเปลี่ยนแปลง จากการจำลองความน่าจะเป็นทั้ง 34 รูปแบบ แล้วจึงนำทฤษฎีเหล่านี้ไปทดสอบหาผลลัพธ์ถึง 24 ครั้ง จนเราสามารถระบุปัญหาที่คาดว่าจะตามมากับความร้อนเฉลี่ย ที่ 4 องศาเซลเซียส เพื่อกระตุ้นให้ผู้คนได้เห็นผลจากการกระทำของพวกเราทุกๆคน และตระหนักว่ามันถึงเวลาที่เราต้องเปลี่ยนพฤติกรรมเสียที "หลายคนถามผมว่าทำไมโลกถึงร้อนขึ้นแต่กลับไม่เย็นลง ทั้งที่เราเคยผ่านช่วงเวลาใน "ยุคน้ำแข็ง" มาแล้ว อย่างที่ผมกล่าวคือข้อมูลของโลกในยุคหลัง แสดงให้เห็นวิถีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่อากาศจะร้อนขึ้นมากกว่า แต่ไม่ใช่ว่ายุคน้ำแข็งจะไม่มีโอกาสกลับมาอีกครั้ง ตราบใดที่โลกของเราหมุนรอบตัวเอง รอบดวงอาทิตย์และวัฏจักรของจักรวาลยังวนเวียนอยู่ในลักษณะนี้ ปัจจัยแวดล้อมต่างๆ ทั้งดิน น้ำ ฟ้าและอากาศ ก็ย่อมไม่สามารถทำนายทายถูกได้แบบ 100 เปอร์เซ็นต์เป๊ะๆ "ผมว่าเราน่าจะกังวลกับปัจจุบันและอนาคตอันใกล้มากกว่าคิดถึงสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น หรือเชื่อทฤษฎีสร้างความแตกตื่นที่เน้นทำให้คนกลัวโดยไม่มีเหตุผล จนกลายเป็นกระแสโลกแตกไร้สาระอย่างที่เห็นในปัจจุบัน ซึ่งยังเป็นต้นตอสร้างความแตกแยกของกลุ่มคนที่เห็นด้วยและอีกพวกที่เมินเฉย "ทั้งที่เราทุกคนรู้อยู่แล้วว่าโลกนี้มันร้อนขึ้นได้อย่างไร เราแค่ต้องเปิดใจและแก้ไข ไม่ใช่รู้แต่ไม่ทำ" เพียร์สัน เตือนอย่างดุดันว่า ถึงเวลาแล้วที่ทั้งตัวเราเองไล่ขึ้นไปถึงระดับรัฐบาลและประชาคมโลก ต้องลงมือแก้ปัญหาโลกร้อนอย่างจริงจัง! หัวหน้าเครือข่ายงานด้านการเปลี่ยน แปลงภูมิอากาศของรัฐบาลอังกฤษ ประจำภูมิภาคอาเซียน กล่าวด้วยว่า ทุกวันนี้เรามีความร่วมมือว่าด้วยการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ แต่ประเทศที่ยังห่วงอุตสาหกรรมกลัวว่าเศรษฐกิจจะมีผลกระทบก็ยังมีให้เห็นอยู่มาก จริงๆ แล้วการแก้ไขเรื่องนี้นั้นง่ายที่สุด เพราะเครื่องมือที่เราทุกๆ คน มีอยู่แล้ว คือ "คอมมอนเซนส์" (สามัญสำนึก) ในการพิจารณาเอาเองว่าอะไรคือการเสียพลังงานโดยเปล่าประโยชน์ อะไรคือการกระทำที่จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงของภาวะโลกร้อน สิ่งไหนดี ไม่ดี เราตอบได้หมด เหลือแค่ว่าเมื่อไหร่จะลงมือทำอย่างจริงจังเสียที อยากให้ทุกคนได้ใช้แผนที่ "4 ดีกรี แม็ป" เพื่อหาคำตอบให้ตัวคุณเองว่าพร้อมหรือยังที่จะรับมือกับผลกระทบของอุณหภูมิซึ่งจะร้อนขึ้น อีก 4 องศา ลองไปอ่านดูว่าโลกของเราจะเป็นอย่างไร จุดไหนที่มี "ไอคอน" บอกความเสี่ยง ก็ลองคลิกเพื่อศึกษาข้อมูลลิงก์จากเว็บไซต์ของ "ฮาร์ดลีย์ เซ็นเตอร์ ซึ่งจะมีคลิปวิดีโอประกอบข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขา มีข้อมูลของโครงการป้องกันและรู้ทันปัญหาโลกร้อน มีผลวิจัยและรายละเอียด แบบเจาะลึก "ถ้าศึกษาแล้วคิดว่ารับไม่ได้ ก็เปลี่ยนการใช้ชีวิต เริ่มจากสิ่งเล็กๆที่ทำได้ ก่อนจะเดินหน้าช่วยกันเปลี่ยนแปลงระดับโลก แน่นอนว่ามันเป็นโครงการระยะยาว ต้องใช้เวลานานกว่าจะโน้มน้าวคนทั้งโลกได้ อาจจะเป็นสิบๆ ปี หรือเป็นศตวรรษ เราอาจทำสำเร็จ หรือทำไม่ได้เลย แต่การได้ลองเสี่ยงดูสักตั้ง ก็ยังดีกว่าตื่นมาเจอกับวิกฤต แล้วนั่งโทษตัวเองว่าทำไมถึงไม่ทำ" เพียร์สัน อธิบายทิ้งท้าย สำหรับแผนที่ "4 ดีกรี แม็ป" รับข้อมูลได้ผ่านเว็บไซต์ของสถานทูตอังกฤษ http:// ukinthailand.fco.gov.uk/en/news/?view= PressR&id=723765782 จาก ........................ ข่าวสด วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2555
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#3
|
||||
|
||||
|
ลดโลกร้อน...เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชาวโลกแล้ว ก่อนที่จะสายเกินไป โดยให้เริ่มที่ตัวเราก่อน อย่าง "สิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่า 'รักษ์' ที่พวกเราชาว sos ได้เริ่มกันไว้แล้ว
__________________
Saaychol |
|
#4
|
||||
|
||||
|
"แรงลม" ผลพวงโลกร้อน เรียนรู้เข้าใจ...ลดภัยพิบัติ ![]() หลังน้ำท่วมใหญ่ปลายปีที่ผ่านมา ดูเหมือนคนไทยเริ่มตื่นตัวกับปัญหาภัยธรรมชาติ บทเรียนครั้งนั้นสร้างความเสียหายมากมายต่อสภาพจิตใจและชีวิตความเป็นอยู่ของคนหลายคน น่าจะถึงเวลาแล้วที่เราต้อง เรียนรู้เพื่ออยู่กับธรรมชาติอันแปรเปลี่ยนอย่างเข้าใจ ซึ่ง ’ลม” ถือเป็นหนึ่งในทรัพยากร ธรรมชาติที่ถูกมองข้าม ทั้งๆที่ความจริงแล้วมีผลต่อการกินอยู่หลับนอน จนถึงการทำเกษตรกรรม สมชาย ใบม่วง รองอธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา ให้ความเห็นว่า ลมเป็นสิ่งที่คนไทยควรทำความเข้าใจ หลายครั้งเมื่อมีการพยากรณ์อากาศเกี่ยวกับลมหลายคนยังไม่เข้าใจ และตื่นกลัวกับข่าวลือต่างๆ ก่อนอื่นต้องเข้าใจถึงการเกิดลมซึ่งลม เกิดจากการเคลื่อนตัวของอากาศโดยนำมวลอากาศจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง ในลักษณะของความกดอากาศสูงเข้าหาพื้นที่ความกดอากาศต่ำ โดยทางอุตุนิยมวิทยาพิจารณาว่า ลมที่พัดมาจากทางไหน นำอะไรมากับลม และจะทำให้พื้นที่เกิดอะไรขึ้น! โดยธรรมชาติลักษณะลมทั่วโลกจะหมุนตามเข็มนาฬิกาคือ เมื่อเกิดลมเหนือต่อมาก็จะเกิดลมตะวันตกและตะวันตกเฉียงเหนือหมุนไปอย่างนี้ทำให้เกิดสภาพอากาศและฤดูต่าง ๆ สิ่งที่คนไทยควรทำความเข้าใจคือ ลมประจำฤดูเป็นปัจจัยหลักทำให้เกิดสภาพอากาศต่างๆ โดย 1. ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ กำเนิดจากเขาสูงในประเทศจีนซึ่งหนาวตลอดปี เมื่อมาถึงไทยทำให้เกิดฤดูหนาวช่วงกลางเดือนตุลาคม–กลางเดือนกุมภาพันธ์ ของทุกปี 2. ลมตะวันออกเฉียงใต้ แหล่งกำเนิดจากทะเลจีนใต้ตอนล่าง เกิดจากลมสามกระแสทำให้แปรปรวนไม่ชัดเจนในบางครั้ง ขณะเดียวกันช่วงเวลาดังกล่าวประเทศไทยจะหันเข้าหาพระอาทิตย์ ทำให้เกิดอากาศร้อนในกลางเดือนกุมภาพันธ์–กลางเดือนพฤษภาคม 3. ลมตะวันตกเฉียงใต้ แหล่งกำเนิดมาจากซีกโลกใต้ทางออสเตรเลีย และมหาสมุทรอินเดียทำให้เกิดฝน จะเห็นได้ว่าลมที่เกิดและผ่านพื้นที่ต่างๆ ย่อมนำพาสภาพอากาศแตกต่างกัน โดยลมที่มาจากทะเลจะทำให้มีอากาศอุ่นชื้น ส่วนลมที่มาจากพื้นดินจะเย็นและแห้ง ขณะเดียวกันการเกิดลมจะแรงหรือเบาเกิดจากความกดอากาศที่ถ้าแตกต่างกันมากลมจะพัดรุนแรง แต่ถ้าความกดอากาศไม่ต่างกันมากลมจะพัดเบาๆ ภาวะโลกร้อน เป็นสาเหตุส่วนหนึ่งที่ส่งผลต่อลมประจำถิ่น อย่างปีที่ผ่านมามีลมตะวันออกเฉียงใต้มากกว่าปกติซึ่งนำพาความชื้นเข้ามา เหตุจากแหล่งกำเนิดได้รับผลกระทบอย่างธารน้ำแข็งในขั้วโลกเหนือและทะเลต่างๆ ปกติพลังงานแสงอาทิตย์ที่ส่งมายังโลก 100 เปอร์เซ็นต์ จะสะท้อนกลับไปยังชั้นบรรยากาศ 53 เปอร์เซ็นต์ ส่วนอีก 47 เปอร์เซ็นต์ ส่องมาถึงพื้นที่โลกและพอกลางคืนเปลี่ยนเป็นคลื่นยาวเพื่อคลายตัวออกสู่ชั้นบรรยากาศนอกโลก แต่ด้วยสภาวะปัจจุบันที่ชั้นบรรยากาศมีคาร์บอนมากจากการใช้ประโยชน์ของมนุษย์ทำให้คลื่นยาวเหล่านั้นออกไปยังนอกโลกไม่ได้ ทำให้โลกเกิดสะสมพลังงานความร้อนขึ้นเรื่อยๆ สิ่งเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อพื้นดินและน้ำอันเป็นแหล่งกำเนิดของลม ตอนนี้มีผลกระทบแค่ลมประจำถิ่นซึ่งเป็นส่วนเล็กๆ ยังไม่กระทบร้ายแรงถึงขั้นที่มนุษย์ต้องปรับเปลี่ยนตัวเอง “ปีนี้คาดว่าลมปกติดีในภาพรวม อาจมีเปลี่ยนแปลงบ้างบางช่วงเวลา เช่น ปีก่อนลมตะวันออกเฉียงเหนือที่นำอากาศหนาวมาเร็วกว่าปกติและอยู่นานอย่างที่หลายคนไม่คาดคิด ปกติลมประจำถิ่นพวกลมบก, ลมทะเลหรือลมภูเขา ชาวบ้านที่อยู่ในละแวกนั้นมีการสังเกตและรู้ถึงทิศทางลมที่เปลี่ยนไปจึงไม่น่าห่วง สำหรับลมประจำฤดูเป็นลมภาพรวมใหญ่อนาคตอาจมีเปลี่ยนแปลงไปบ้างตามภาวะผลกระทบที่เกิดขึ้น” ![]() คนทั่วไปจะดูทิศทางลมเพื่อทำนายการเกิดอากาศสามารถทำได้ แต่ต้องเข้าใจภูมิศาสตร์ที่ตรงนั้นว่าทิศที่ลมพัดมาผ่านภูเขาหรือทะเลอย่างไร โดยดูจากยอดไม้ขนาดสูงในที่โล่งซึ่งไม่มีตึกสูงบัง การคาดเดาลมส่วนใหญ่ถ้าอยู่ในเมืองตึกสูงหนาแน่นไม่สามารถคาดเดาได้อย่างชัดเจน ถ้าอยู่บนเขาหรือในทะเลสามารถคาดเดาได้ดีกว่า ขณะเดียวกันลมที่พัดแรงไม่สามารถบอกได้ว่าฝนกำลังจะตกแรงหรือเบาเพราะขึ้นอยู่กับความกดอากาศ เวลาฟังกรมอุตุฯ บอกเรื่องลมส่วนใหญ่จะเน้นบอกสำหรับคนที่เดินเรือ โดยลมที่เริ่มมีความรุนแรงอยู่ที่ 20–40 กิโลเมตรต่อชั่วโมงขึ้นไป อยากฝากถึงประชาชนว่าถ้า หากมีความเข้าใจถึงการเกิดลมและจะนำสิ่งใดมาย่อมทำให้ท่านสามารถเตรียมตัวพร้อมรับมือได้อย่างไม่วิตกกังวล การศึกษาสามารถเรียนได้ด้วยตนเองผ่านเว็บไซต์กรมอุตุฯ หรือจากการฟังพยากรณ์อากาศและสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้น ลมค่อนข้างไกลตัวในการดูแลรักษา และจะมองในส่วนของการนำลมมาเป็นพลังงานเพื่อใช้ไฟฟ้ามากกว่า เพราะต่อไปพลังงานที่นำมาผลิตไฟฟ้าจะลดลง ซึ่งลมเป็นพลังงานสะอาดที่ต้องเร่งศึกษานำมาทดแทนสิ่งที่กำลังหมดไป นอกจากนี้ครอบครัวสามารถให้เด็กเรียนรู้ผ่านสภาพอากาศได้ โดยพ่อแม่เองต้องมีความเข้าใจก่อน แล้วให้ลูกสังเกตสภาพต้นไม้ในฤดูต่างๆ หรือพฤติกรรมสัตว์ พอเด็กจดจำไปเรื่อยๆ จะเกิดการเรียนรู้และคาดเดาได้ถึงสภาพอากาศที่กำลังจะเกิดขึ้นโดยไม่ต้องไปนั่งเรียนในห้องเลยก็ได้ ลมเป็นอีกธรรมชาติที่มนุษย์ต้องเร่งทำความเข้าใจ เพื่อไม่ปล่อยให้ข่าวลือทำลายความเชื่อมั่นในจิตใจของคนในสังคม. ................................................................................. ![]() รอบรู้เรื่องลมประจำถิ่นที่เปลี่ยนแปลง 1. ลมภูเขา บริเวณภูเขาในขณะที่มีระบบลมอ่อน ลมมักพัดลงตามลาดของภูเขาในเวลากลางคืน และพัดขึ้นลาดภูเขาในเวลากลางวัน เพราะเวลากลางคืนตามบริเวณภูเขาที่ระดับสูง มีอากาศเย็นกว่าตามที่ต่ำ ความแน่นของอากาศในที่สูงจึงมีมากกว่าในระดับต่ำลมจึงพัดลงตามเขาเราเรียกลมนี้ว่า ลมภูเขา ลมหุบเขา เวลากลางวันดวงอาทิตย์แผ่รังสีให้แก่ภูเขา และหุบเขาทำให้อุณหภูมิมีระดับสูง โดยเฉพาะยอดเขาจะสูงกว่า อุณหภูมิตามที่ต่ำ หรือหุบเขา ความแน่นของอากาศในระดับสูงจึงน้อยกว่า และลอยตัวสูงขึ้น ฉะนั้นอากาศจากที่ต่ำหรือหุบเขา จึงพัดขึ้นไปแทนที่เราเรียกว่า ลมหุบเขา ลมหุบเขา จะเกิดขึ้นในเวลากลางวัน โดยอากาศตามภูเขาและลาดเขาจะร้อน เพราะได้รับความร้อนจากดวงอาทิตย์เต็มที่อากาศบริเวณใกล้ภูเขาระดับความสูงเดียวกัน ซึ่งมีความเย็นกว่าจึงเคลื่อนไปเข้าแทนที่ทำให้มีลมพัดไปตามลาดเขาขึ้นสู่เบื้องบน ส่วนลมภูเขา เกิดขึ้นในเวลากลางคืน โดยอากาศตามภูเขาและลาดเขาจะเย็นลงอย่างรวดเร็ว ด้วยการถ่ายโอนความร้อนออก อากาศตามลาดเขาที่เย็นและหนักกว่าอากาศบริเวณใกล้เคียงจึงเคลื่อนไปตามลาดเขาสู่หุบเขาเบื้องล่าง 2. ลมทะเล ในเวลากลางวันพื้นดินรับความร้อนได้เร็วกว่าพื้นน้ำ ทำให้อากาศเหนือพื้นดิน มีอุณหภูมิสูงกว่า อากาศเหนือพื้นน้ำ เป็นผลให้อากาศเหนือพื้นน้ำมีความกดอากาศสูงกว่าเคลื่อนที่เข้าหาบริเวณพื้นดิน ที่มีความกดอากาศต่ำกว่าหรือเกิดลมพัดจากทะเลเข้าหาฝั่งในเวลากลางวัน ลมบก ในเวลากลางคืนพื้นดินคลายได้เร็วกว่าพื้นน้ำ ทำให้อากาศเหนือพื้นดินมีอุณหภูมิต่ำกว่าอากาศเหนือพื้นน้ำ หรืออากาศเหนือพื้นดินมีความกดอากาศสูงกว่าอากาศเหนือพื้นน้ำ เป็นผลให้อากาศเหนือพื้นดินที่มีความกดอากาศสูงกว่าเคลื่อนที่เข้าหาพื้นน้ำที่มีความกดอากาศต่ำกว่า หรือเกิดลมพัดจากบนบกออกสู่ฝั่งทะเลในเวลากลางคืนนั่นเอง. จาก ........................ เดลินิวส์ วันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2555
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#5
|
||||
|
||||
|
“น้ำแข็งกรีนแลนด์” ละลายฉับพลันรุนแรงที่สุดในรอบ 30 ปี ภาพภูเขาน้ำแข็งแตกตัวจากธารน้ำแข็งปีเตอร์มันน์ของกรีนแลนด์เมื่อ 16 ก.ค.ที่ผ่านมา (นาซา/บีบีซีนิวส์) นาซาระบุแผ่นน้ำแข็งยักษ์ของกรีนแลนด์ที่ละลายฉับพลันในเดือนนี้กินพื้นที่ใหญ่กว่าปกติ ด้านนักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า การละลายน้ำอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนซึ่งกินพื้นที่กว้างที่สุดเท่าที่มีการบันทึกโดยการสำรวจผ่านดาวเทียมในช่วง 3 ทศวรรรษที่ผ่านมา เหตุแผ่นน้ำแข็งยักษ์ละลายนี้เกิดขึ้นที่ “ฐานซัมมิท” (Summit station) ซึ่งเป็นจุดสูงสุดและหนาวเย็นที่สุดของกรีนแลนด์ โดยการละลายของแผ่นน้ำแข็งพุ่งจาก 40% เป็น 97% ในเวลาเพียง 4 วันนับจากวันที่ 8 ก.ค.2012 ที่ผ่านมา ซึ่งแม้ว่าทุกฤดูร้อนแผ่นน้ำแข็งของกรีนแลนด์กว่าครึ่งจะละลายเป็นปกติอยู่แล้ว หากแต่บีบีซีนิวส์รายงานว่าทั้งความเร็วและขนาดของการละลายที่พุ่งพรวดในปีนี้ก็สร้างความประหลาดใจให้แก่นักวิทยาศาสตร์ผู้นิยามปรากฏการณ์นี้ว่า “ไม่ปกติ” อย่างมาก โดยองค์การบริหารการบินอวกาศสหรัฐ (นาซา) กล่าวว่าน้ำแข็งเกือบทั้งหมดที่ปกคลุมกรีนแลนด์ครอบคลุมตั้งแต่บริเวณที่มีน้ำแข็งบางที่สุดบริเวณชายฝั่งไปถึงศูนย์กลางของเกาะซึ่งหนา 3 กิโลเมตรเกิดการละลายที่ชั้นผิว วาลีด อับดาลาติ ( Waleed Abdalati) นักวิทยาศาสตร์อาวุโสของนาซา กล่าวว่าเมื่อเราได้เห็นการละลายในจุดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน หรืออย่างน้อยก็นานแล้วที่ไม่ได้เห็นเช่นนี้ ทำให้เราต้องลุกข้นมาถามว่า “เกิดอะไรขึ้น?” ซึ่งเหตุการณ์นี้เป็นสัญญาณสำคัญ เพราะน้ำแข็งกรีนแลนด์ละลายเป็นวงกว้างเช่นนี้ เกิดขึ้นโดยที่เรายังไม่สามารถประเมินได้ว่าเป็นเหตุการณ์ธรรมชาติแต่นานเกิดขึ้นที หรือเป็นผลพวงจากภาวะโลกร้อนที่มนุษย์สร้างขึ้น ภาพถ่ายดาวเทียมของนาซาเผยน้ำแข็งของกรีนแลนด์ละลายอย่างรวดเร็ว โดยในภาพซ้ายยังมีน้ำแข็งให้เห็นอยู่ในวันที่ 8 ก.ค. แต่หลังจากนั้นเพียง 4 วัน น้ำแข้งก็ละลายหมด (รอยเตอร์/บีบีซีนิวส์) นักวิทยาศาสตร์เชื่อน้ำแข็งของกรีนแลนด์จำนวนมากจะกลับมาแข็งตัวอีกครั้ง และหากไม่นับเหตุการณ์นี้ข้อมูลที่ดาวเทียมสำรวจไว้ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมานั้น พบว่ามีน้ำแข็งละลายมากที่สุด 55% ของพื้นที่น้ำแข็งทั้งหมด ส่วนข้อมูลจากแกนน้ำแข็งยังเผยด้วยว่าครั้งล่าสุดที่น้ำแข็งละลายที่ฐานซัมมิทคือเมื่อปี 1889 ข่าวนี้ตามหลังการเผยภาพถ่ายดาวเทียมของนาซาที่แสดงให้เห็นภูเขาน้ำแข็งที่มีขนาดใหญ่กว่าเมืองแมนฮัตตันถึง 2 เท่า แตกออกจากธารน้ำในกรีนแลนด์ไม่กี่วัน ซึ่ง ทอม แวกเนอร์ (Tom Wagner) จากนาซากล่าวว่า เหตุการณ์น้ำแข็งละลายฉับพลันนี้ยังรวมเข้ากับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่ไม่ปกติอื่นๆ อีก อย่างเช่นเหตุการแตกของธารน้ำแข็งปีเตอร์มันน์ (Petermann Glacier) เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งล้วนเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องที่ซับซ้อน จาก ..................... ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 26 กรกฎาคม 2555
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
![]() |
| คำสั่งเพิ่มเติม | |
| เรียบเรียงคำตอบ | |
|
|