![]() |
|
|
|
#1
|
||||
|
||||
|
แผ่นดินไหว "พม่า" เขย่าขวัญผวาถึงกรุงเทพฯ ![]() แผ่นดินไหว เป็นภัยธรรมชาติและหนึ่งในปรากฏการณ์ที่มนุษยชาติยังไม่เข้าใจถ่องแท้ และพยากรณ์ไม่ได้ ประเทศไทย ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นชาติที่ภัยธรรมชาติไม่ค่อยจะเข้ามา กล้ำกราย แต่ปัจจุบันเริ่มมีแนวโน้มสูงขึ้นจากพิบัติภัยต่างๆ แม้แต่แผ่นดินไหว ที่คนไทยคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัว ก็ยังมีโอกาสให้ได้สัมผัสกันอยู่บ่อยขึ้น ล่าสุดคนไทยจำนวนหนึ่งที่อยู่บนที่สูงในภาคเหนือและตึกสูงใน กทม. ต้องเผชิญกับ "แรงสั่นสะเทือน" ชวนหวาดผวาหัวใจกันตั้งแต่เช้าวันที่ 11 พ.ย.2555 ที่ผ่านมา อันเป็นผลกระทบมาจากแผ่นดินไหวขนาด 6.8 ริกเตอร์ ในเมืองสะแกงของประเทศพม่า เหตุธรณีพิโรธข้ามชาติครั้งนี้ สร้างความตื่นตระหนกและวิตกกังวลไปทั่ว ศาสตราจารย์ ดร.ธนวัฒน์ จารุพงษ์สกุล หัวหน้าหน่วยศึกษา พิบัติภัยและข้อสนเทศเชิงพื้นที่ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นักธรณีวิทยาชั้นนำของประเทศ ได้ให้ข้อมูลผ่าน "ข่าวสด หลาก&หลาย" ถึงภัยทางธรรมชาติในครั้งนี้เอาไว้ ดังนี้ แผ่นดินไหว 6.8 ริกเตอร์ดังกล่าว เกิดจากการเคลื่อนที่ของรอยเลื่อนสะแกง พาดผ่านเมืองสะแกงของพม่า จัดเป็นรอยเลื่อนในแนวนอน เรียกว่า "ทรานส์ฟอร์ม ฟอลต์" ทำให้สามารถส่งแรงสั่นสะเทือนไปได้ไกล โดยเฉพาะเมื่อแรงสั่นสะเทือนผ่านชั้นหินมาเจอดินอ่อน อันเป็นลักษณะชั้นดินของกรุงเทพมหานคร มีความลึกสูงสุดราว 20 เมตร จะทำให้ความเร็วในการเคลื่อนที่ของแรงสั่นสะเทือนเพิ่มขึ้น อีกทั้งตึกสูงจะต้องมีฐานรากลึกลงไปในชั้นดิน จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมผู้ที่อยู่ชั้นบนๆ ของตึกจึงสามารถรับรู้แรงสั่นสะเทือนได้ชัดเจน ขณะที่ผู้ที่อยู่บนตึกเตี้ยๆนั้น จะไม่รู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนดังกล่าว แผ่นดินไหว 6.8 ริกเตอร์ ถือว่ารุนแรง เพราะ 6.5 ริกเตอร์ขึ้นไปนั้นจัดเป็นแผ่นดินไหวที่สามารถสร้างความเสียหายให้กับสิ่งก่อสร้างต่างๆได้ ซึ่งแผ่นดินไหวระดับนี้เกิดขึ้นทั่วโลก เฉลี่ย 12 ครั้งต่อปี และส่วนใหญ่แล้วรอยเลื่อนประเภทนี้จะไม่ส่งผลให้มีแผ่นดินไหวตามหลัง หรือ "อาฟเตอร์ช็อก" ที่มีขนาดใหญ่กว่าเดิมตามมา ซึ่งเท่าที่ติดตามพบอาฟเตอร์ช็อกตามมา 4-5 ครั้ง ครั้งที่แรงที่สุด คือราว 5.8 ริกเตอร์ คาดว่าจะไม่มีแผ่นดินไหวขนาดรุนแรงเท่านี้เกิดขึ้นตามมาอีกแล้วในจุดเดิม ส่วนการเกิดแผ่นดินไหวจากรอยเลื่อนอื่นที่อาจได้รับผลกระทบนั้นเป็นไปได้ แต่โดยส่วนตัว ไม่ให้น้ำหนักกับรอยเลื่อน "แม่ฮ่องสอน" ตามที่บางฝ่ายได้คาดการณ์ไว้ เนื่องจากเป็นรอยเลื่อนแนวยืน คือเคลื่อนที่ขึ้นลง ดังนั้นการที่จะถูกกระตุ้นจากรอยเลื่อนสะแกง ซึ่งเป็นรอยเลื่อนแนวนอน จึงเป็นไปได้น้อย นอกจากนี้ ในอดีตที่ผ่านมานั้น รอยเลื่อนแม่ฮ่องสอนเคยก่อให้เกิดแผ่นดินไหวขนาด 2-4 ริกเตอร์เท่านั้น ถือเป็นแผ่นดินไหวขนาดเล็ก อย่างไรก็ตาม รอยเลื่อนสะแกงเป็นรอยเลื่อนที่ต่อเนื่องขึ้นมาจากทะเลอันดามัน จึงอาจส่งผลกระทบต่อรอยเลื่อน "ระนอง" ของไทยได้ โดยรอยเลื่อนดังกล่าวไม่ได้เคลื่อนที่มานานแล้ว และในอดีตที่ผ่านมาก็ก่อให้เกิดแผ่นดินไหวขนาดเพียง 2-4 ริกเตอร์เช่นกัน ![]() ทว่า รอยเลื่อนที่น่าจะมีโอกาสได้รับผลกระทบมากกว่าน่าจะเป็นรอยเลื่อนที่เคยทำให้เกิดแผ่นดินไหวในรัฐฉานของพม่า เมื่อเดือนมี.ค.54 รวมทั้งรอยเลื่อนบริเวณมณฑลยูนนานและเสฉวนของจีน โดยทั้งหมดเป็นรอยเลื่อนที่มีลักษณะเกยกัน เรียกว่า "ทรัสต์ ฟอลต์" และในอดีตเคยทำให้เกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่กว่า 6 ริกเตอร์มาแล้ว ถือเป็นรอยเลื่อนที่อยู่เหนือประเทศไทยขึ้นไป แต่การที่จะไปเจาะจงว่ารอยเลื่อนใดจะ ได้รับผลกระทบนั้น ไม่มีใครรู้ และไม่มี นักวิทยาศาสตร์คนใดจะฟันธงได้ สําหรับในส่วนของ "ความเสี่ยง" ของประเทศไทยต่อการเกิดแผ่นดินไหว ที่ผ่านมาไทยไม่เคยเกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ มีแต่ระดับเล็กถึงปานกลาง เมื่อเทียบกับประเทศทั่วโลกที่เกิดแผ่นดินไหวบ่อยครั้ง ถือว่าไทยเสี่ยงน้อยมากๆ อาทิ จุดที่เสี่ยงที่สุดของไทย เช่น รอยเลื่อนมีพลังทางภาคเหนือ ภาคตะวันตก จ.กาญจนบุรี ยาวลงไปจนถึงรอยเลื่อนแขนง หรือรอยเลื่อนสาขา ในภาคใต้อย่างรอยเลื่อนระนอง และสุราษฎร์ธานี ก็ยังมีความเสี่ยงน้อยกว่าจุดที่เสี่ยงน้อยที่สุดของญี่ปุ่น ซึ่งเป็นประเทศที่เกิดแผ่นดินไหวบ่อยครั้งมาก ส่วนกรุงเทพมหานคร คงไม่มีจุดศูนย์กลางของแผ่นดินไหว เพราะมีรอยเลื่อนที่ตายแล้ว แม้จะฟื้นได้แต่ถือว่ายากมากเนื่องจากสภาพทางธรณีวิทยา กล่าวคือ การพัฒนาการของเปลือกโลกบริเวณนี้ ย้อนกลับไปราว 20-30 ล้านปี เป็นจุดที่แผ่นดินเคยมุดตัวกัน แต่ปัจจุบันตำแหน่งการมุดตัวเปลี่ยนไปอยู่ในทะเลอันดามันแล้ว ไทยมีกฎหมายควบคุมสิ่งปลูกสร้าง และหน่วยงานที่ดูแลด้านนี้อยู่ อาทิ คณะกรรมการแผ่นดินไหวแห่งชาติ คิดว่าตึกสูงก็น่าจะมีการออกแบบป้องกันแผ่นดินไหวอยู่แล้ว จึงไม่น่าเป็นห่วง สามารถรับมือได้ทั้งการสั่นไหวภายในประเทศ (แผ่นดินไหวขนาดเล็ก) และการสั่นไหวจากจุดศูนย์กลางในประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งกรณีอย่างหลังเป็นสิ่งที่ไทยพบเจอมากกว่า มีข้อมูลทางวิชาการใหม่จากนักวิจัยญี่ปุ่น ในกรณีศึกษาความเสียหายจากการเกิดแผ่นดินไหวขนาด 8.9 ริกเตอร์ ที่จ.เซ็นได ของญี่ปุ่น โดยแรงสั่นสะเทือนในครั้งนั้นส่งผลให้ตึกที่มีความสูงบางแห่งที่ จ.โอซาก้า ห่างจากจุดศูนย์กลางแผ่นดินไหวไปกว่า 1,000 กิโลเมตร เกิดรอยร้าวขึ้นที่ชั้น 7-24 สาเหตุของการสั่นสะเทือนของตึกสูงนั้น เป็นเพราะมีฐานรากลึก เหมือนการดีดไม้บรรทัดยาวๆที่ปลายด้านหนึ่งและส่งผลให้ปลายอีกด้านหนึ่งสั่นสะเทือน ซึ่งสาเหตุของตึกร้าวที่ญี่ปุ่นมาจากแรงสั่นสะเทือนแบบ "คลื่นยาว" ขณะที่ในกรณีของไทยนั้นน่าจะเป็น "คลื่นพื้นผิว" ไม่ใช่คลื่นยาว แต่จะต้องมีการศึกษาวิจัยเชิงลึกต่อไป รวมทั้งควรมีการทำแบบจำลองแผ่นดินไหว ตลอดจนอาจต้องมีการทบทวนแผนที่ความเสี่ยงแผ่นดินไหวของไทยใหม่ด้วย นอกจากนี้ ศ.ดร.ธนวัฒน์ยังวิพากษ์วิจารณ์การที่กลุ่มนักวิชาการ บางกลุ่มนำลักษณะความเสียหายของกรุงเม็กซิโก ซิตี จากแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวขนาด 8.0 ริกเตอร์ นอกชายฝั่งประเทศเม็กซิโก เมื่อปี 2528 มาผูกโยงกับลักษณะการได้รับรู้แรงสั่นสะเทือนของไทยจากแผ่นดินไหวในประเทศพม่าครั้งล่าสุดด้วยว่า ไม่สามารถ ผูกโยงกันได้ เพราะมีความแตกต่างกัน โดยในครั้งนั้น ตึกสูงในกรุงเม็กซิโก ซิตี ตั้งแต่ชั้น 7 ขึ้นไปได้รับความเสียหายทั้งที่อยู่ห่างจากจุดศูนย์กลางกว่า 350 กิโลเมตร ซึ่งในสมัยนั้นถือว่าเป็นไปไม่ได้ จึงเกิดการศึกษา พบว่ากรุงเม็กซิโก ซิตี ตั้งอยู่บนพื้นที่ที่เป็นทะเลสาบเก่า ทำให้มีชั้นดินอ่อนลึกลงไปกว่า 300 เมตร รวมทั้งลักษณะภูมิประเทศเป็นแอ่งกระทะ แตกต่างจากกรุงเทพฯ ที่มีชั้นดินอ่อนหนาเพียง 20 เมตรเท่านั้น รวมทั้งลักษณะภูมิประเทศเป็นแบบเปิดลงไปสู่อ่าวไทยด้วย ศ.ดร.ธนวัฒน์มองว่า เรื่องแผ่นดินไหวในประเทศไทยจำเป็นต้องมีข้อสรุปในทางวิชาการ ดังนั้นการศึกษาวิจัยจึงเป็นสิ่งจำเป็น โดยส่วนตัวคิดว่าคนไทยกลัวเรื่องแผ่นดินไหวมากกว่าน้ำท่วม แต่จริงๆ แล้วน้ำท่วมนั้นสร้างความเสียหายมากกว่า แม้กระทั่งการกัดเซาะชายฝั่งที่สร้างความเสียหายมากกว่าหลายร้อยเท่า แต่คนกลับไม่ค่อยกลัว สาเหตุอาจเป็นเพราะแผ่นดินไหวเป็นพิบัติภัยที่มนุษย์ไม่สามารถเตือนภัยล่วงหน้าได้ แม้แต่ในประเทศที่มีนักวิชาการแผ่นดินไหวหลายร้อยคน อย่างสหรัฐหรือญี่ปุ่นก็ไม่เคยพยากรณ์การเกิดแผ่นดินไหว มีแค่ไทยประเทศเดียวที่ในอดีตมีการทำนายออกมาเป็นซีรีส์ ซึ่งไม่ใช่ข้อมูลทางวิชาการ และสร้างความเสียหายจนกลายเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความต่อเนื่องของความกลัวมานาน ทำให้คนไทยกลัวแผ่นดินไหวมาก คนไทยจำเป็นต้องปรับทัศนคติใหม่ ด้วยการรับฟังข้อมูลที่ถูกต้อง มิฉะนั้นอาจต้องพบกับความเสียหายระยะยาว จากความกลัวเกินเหตุของคนไทยเอง "ในบรรดาพิบัติภัยทั้งปวงที่สามารถสร้างความเสียหายให้ประเทศไทย ผมคิดว่าแผ่นดินไหวถือเป็นพิบัติภัยที่ประเทศไทยมีความเสี่ยงน้อยที่สุด" ศ.ดร.ธนวัฒน์กล่าว นายปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(ทส.) ...แม้ทุกโครงสร้างของอาคารในกทม.จะมีรากฐานที่มั่นคง แต่ก็ต้องตรวจสอบให้แน่ใจ... เนื่องจากภัยธรรมชาติเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ แม้กรณีแผ่นดินไหวในพม่าจะไม่ได้เกิดในไทยโดยตรง แต่ก็สามารถรับรู้ได้ถึงแรงสั่นสะเทือน โดยเฉพาะในอาคารสูง หรืออาคารที่มีอายุการใช้งานมานาน ดังนั้นจึงต้องให้ความสำคัญในการเตรียมความพร้อม ติดตามเฝ้าระวัง พร้อมรับฟังปัญหาร่วมกัน และซักซ้อมความเข้าใจให้ขับเคลื่อนไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งเป็นมาตรการเชิงรุกโดยกรมทรัพยากรธรณี ร่วมกับ 5 หน่วยงานหลัก ได้แก่ กรมอุตุนิยมวิทยา ศูนย์เตือน ภัยพิบัติแห่งชาติ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) กรมโยธาธิการและผังเมือง การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย กรมอุตุนิยมวิทยา มีภารกิจหลักด้านพัฒนาระบบตรวจวัดแผ่นดินไหว ติดตั้งเครื่องมือวัดอัตราเร่งของพื้นดิน จัดทำฐานข้อมูลแผ่นดินไหว แจ้งเหตุแผ่นดินไหว พร้อมประชาสัมพันธ์ความรู้ด้านแผ่นดินไหวให้ประชาชนรับทราบ ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ มีหน้าที่แจ้งเตือนสึนามิที่เกิดจากแผ่นดินไหว ด้านปภ.จะฝึกซ้อมแผนจัดระบบสื่อสาร ฝึกอบรมอาสาสมัคร อพยพประชาชน ช่วยผู้ประสบภัย จัดสถานที่พักชั่วคราว และตั้งศูนย์รับและแจกของบริจาค กรมโยธาธิการและผังเมืองจะดำเนินการออกกฎกระทรวงกำหนดการรับน้ำหนักความต้านทานคงทนของอาคารและพื้นดินที่รองรับอาคารในการต้านทานแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว แม้ทุกโครงสร้างของอาคารในกทม. จะมีรากฐานที่มั่นคง แต่ก็ต้องมีการตรวจสอบให้แน่ใจถึงความปลอดภัยด้วย ส่วนการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย กรมชลประทาน กรมอุทกศาสตร์ จะพัฒนาระบบตรวจวัดแผ่นดินไหวเฉพาะพื้นที่ของหน่วยงาน และกรมทรัพยากรธรณีจะมีหน้าที่ด้านการสำรวจรอยเลื่อนมีพลัง ประเมินความเสี่ยงภัยของพื้นที่ ทั้งนี้เมื่อแต่ละหน่วยงานได้เสนอมาตรการเตรียมความพร้อมรับมือแผ่นดินไหว ก็จะนำเสนอต่อรัฐบาลเพื่อหาแนวทางในการเตรียมความพร้อมไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งจะเน้นความปลอดภัยของประชาชนเป็นหลัก เพื่อเป็นตัวอย่างแก่หน่วยงานอื่นๆ ได้สั่งการให้ทส.ทำแผนซ้อมรับมือแผ่นดินไหว ก่อนหน่วยงานอื่นๆ เพราะตึกทส.เองก็เป็นตึกสูง 20 ชั้น โดยจะซักซ้อมทำความเข้าใจเจ้าหน้าที่ที่อยู่ในตึกว่า หากเกิดเหตุแผ่นดินไหว ขึ้นมานั้นจะต้องปฏิบัติตัวอย่างไรบ้าง จาก .................. ข่าวสด วันที่ 20 พฤศจิกายน 2555
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#2
|
||||
|
||||
|
แผ่นดินไหว ![]() กรณีแผ่นดินไหวที่ประเทศพม่า และได้รับแรงสั่นสะเทือนจนมาถึงกรุงเทพฯ เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมานี้ ทำให้คนไทยหันมาสนใจเรื่องแผ่นดินไหวกันอีกยกใหญ่ ความสนใจนี้เป็นเรื่องที่ดี เพราะทำให้หลายหน่วยงานต้องดูว่า หากเกิดแรงสั่นสะเทือนที่รุนแรงตาม "รอยเลื่อน" ต่างๆ ทั้งในไทยและประเทศใกล้เคียง สิ่งก่อสร้างต่างๆในจุดเสี่ยงจะได้รับอันตรายบ้างหรือไม่ แต่ถ้าความสนใจกลายเป็นความตื่นตระหนกที่ไม่อยู่กับความเป็นจริง ก็คงเป็นผลเสียมากกว่าผลดี ข้อควรจำเกี่ยวกับแผ่นดินไหวมีดังนี้ 1. แผ่นดินไหวไม่สามารถทำนายได้ล่วงหน้า ในปัจจุบันวงการวิทยาศาสตร์สากลมีข้อมูลเกี่ยวกับจุดที่มักเกิดแผ่นดินไหวต่างๆ ของโลกอย่างละเอียด แต่เรายังไม่มีเทคโนโลยีที่สามารถระบุอย่างแม่นยำได้ว่า แผ่นดินไหวขนาดใหญ่ครั้งต่อไปจะเกิดขึ้นที่ใด ความลึกเท่าใด และเวลาใด ทั้งนี้ ถ้าหากเราบอกได้จริงว่าจะเกิดแผ่นดินไหวที่ใดบ้าง คงมีการเตือนภัยล่วงหน้าเหตุการณ์อย่างสึนามิเมื่อปี 2004 แผ่นดินไหวเสฉวนเมื่อปี 2008 หรือแผ่นดินไหวเกาะเฮติ ปี 2010 ไปแล้ว อย่างไรก็ตาม วิทยาศาสตร์เดินหน้าอยู่เสมอ ในอนาคตอันใกล้เราอาจจะมีเทคโนโลยีคาดการณ์แผ่นดินไหวที่แม่นยำก็เป็นไปได้ 2. แผ่นดินไหว เป็นเรื่องของ "ดิน" ไม่เกี่ยวกับ "ฟ้า" เคยมีข้อสมมติฐานว่า แผ่นดินไหวอาจเกิดจากการเรียงตัวของดาวเคราะห์ หรือจากปรากฏการณ์ "ซูเปอร์มูน" ซึ่งเป็นช่วงที่เรามองเห็นพระจันทร์ใหญ่กว่าปกติ แต่แท้จริงแล้ว แผ่นดินไหวเกิดจากการกดทับของเปลือกโลกอันทรงพลัง ความเชื่อมโยงระหว่างแผ่นดินไหวกับปรากฏการณ์ต่างๆบนท้องฟ้าจึงเป็นความบังเอิญนั่นเอง ความบังเอิญยังทำให้มีข่าวลือว่าสัตว์บางประเภทแสดงอาการผิดปกติก่อนแผ่นดินไหวอีกด้วย ทั้งที่ความจริงคือ สัตว์มักแสดงอาการผิดปกติด้วยหลายเหตุผล เช่น หิว ไม่สบายเนื้อตัว ปกติเจ้าของก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรและลืมเสีย แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ใหญ่ๆ อย่างแผ่นดินไหว เรามักมองย้อนกลับไปว่าในวันก่อนหน้า สัตว์ตัวนี้เคยแสดงอาการเช่นนี้ จึงตีความไปเอง 3. แผ่นดินไหวมักถูกนำไปเชื่อมโยงกับไสยศาสตร์ หมอดูหลายสำนักชอบทำนายว่าจะเกิดแผ่นดินไหว ซึ่งเนื่องจากแผ่นดินไหวเกิดขึ้นบ่อยครั้งในแต่ละสัปดาห์ทั่วโลก การทำนายทายทักก็ต้องถูกเข้าบ้างเป็นธรรมดา แต่เมื่อไม่เกิดขึ้นจริง คนเราก็มักลืมๆ กันเสีย (ยกเว้นแต่จะกลายเป็นเรื่องถึงคดีความอย่าง "หมอปลาบู่" เมื่อต้นปีนี้ ก็ลืมกันยากหน่อย) การทำนายแผ่นดินไหวจึงมีแต่ "ได้กับได้" บางคนก็ไสยศาสตร์สุดโต่ง อย่างเช่น นักเทศน์มุสลิมคนหนึ่งในประเทศอิหร่าน ที่ระบุว่าแผ่นดินไหวเกิดขึ้นเพราะผู้หญิงประพฤติตัวไม่เหมาะสม! จาก .................. ข่าวสด คอลัมน์หักมุมพิศวง วันที่ 20 พฤศจิกายน 2555
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
![]() |
| คำสั่งเพิ่มเติม | |
| เรียบเรียงคำตอบ | |
|
|