![]() |
|
|
|
#1
|
||||
|
||||
|
พรบ. การประมง พศ. 2490 แก้ไขเพิ่มเติม
พระราชบัญญัติการประมง (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2496 หมายเหตุ:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ ด้วยปรากฏว่าเวลานี้มีผู้ใช้วัตถุระเบิดทำการประมงทั้งในน่านน้ำจืดและน่านน้ำเค็มกันเป็นจำนวนมาก อันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ.2490 ผู้ฝ่าฝืนไม่ค่อยกลัวเกรง เพราะโทษแห่งความผิดได้กำหนดไว้ให้ในอัตราต่ำ และการจับกุมผู้กระทำผิด ก็จับได้ด้วยความยากลำบาก การใช้วัตถุระเบิดทำการประมงนั้น ปรากฏจากผลของการทดลองของกองทัพเรือ ร่วมกับกรมการประมงว่า เป็นการทำลายพันธุ์ปลาชนิดดี ๆ อย่างร้ายแรงมาก การใช้วัตถุระเบิดส่วนมาก ผู้ฝ่าฝืนใช้ตามหินกองในท้องทะเลซึ่งมีปลาพันธุ์ดีอาศัยอยู่ เช่น ปลาเหลือง ปลาสีกุน การระเบิดครั้งหนึ่ง ๆ ปรากฏว่าได้ทำลายพันธุ์ปลาที่อยู่ในรัศมีการระเบิดโดยสิ้นเชิง ทั้งปลาใหญ่และลูกปลาที่เป็นปลาที่มีราคาและปลาเหล่านี้เป็นปลาประจำท้องที่ ถ้าหากยังมีการฝ่าฝืนเช่นนี้ต่อไปอีก ไม่ช้าพันธุ์ปลาดี ๆ ในท้องทะเลก็จะถูกทำลายให้สูญพันธุ์ในกาลต่อไปได้ เป็นการทำลายอาชีพการประมงของบรรดาชาวประมง และบัดนี้ก็ปรากฏว่าเครื่องมือทำการประมงบางชนิดเช่น อวนยอ อวนมุโร เบ็ดสาย ลอบปะทุน ทำการประมงไม่ได้ผล เพราะบริเวณที่ใดถูกระเบิดปลาก็ถูกทำลายแทบหมดสิ้น ไม่มีพันธุ์พอที่จะเกิดและเพิ่มปริมาณให้มีการจับได้อีกเป็นเวลานาน ทำให้ชาวประมงที่ใช้เครื่องมือประจำที่ทำการจับไม่ได้ต่างพากันร้องว่าเดือดร้อน ฉะนั้น จึงควรกำหนดโทษผู้ฝ่าฝืนไว้ในอัตราสูง เพื่อปราบปรามให้เข็ดหลาบ และป้องกันการทำลายพันธุ์ปลาไว้มิให้ถูกทำลายหมดไป โดยการกระทำของผู้เห็นประโยชน์ส่วนตัวเฉพาะหน้า อนึ่ง ปรากฏว่ามีผู้ฝ่าฝืนทำการบุกรุกและวิดน้ำจับสัตว์น้ำ ในที่จับสัตว์น้ำอันเป็นที่สาธารณประโยชน์ โดยมิได้รับอนุญาต เป็นเหตุให้เกิดการเสียหายแก่ที่จับสัตว์น้ำและพันธุ์สัตว์น้ำ จึงเห็นควรแก้ไขให้การควบคุมและการรักษาสัตว์น้ำได้ประโยชน์รัดกุมยิ่งขึ้น *[รก.2496/61/1145/29 กันยายน 2496] พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. 2490 พ.ศ. 2513 หมายเหตุ:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกำหนดฉบับนี้ คือ เนื่องจากปรากฏว่าได้มีผู้มีปลาปิรันยา (PIRANHA) หรือปลาคาริบี (CARIBE) ซึ่งเป็นปลาน้ำจืดในสกุลเซราซาลมัส (SERASALMUS) และมีแหล่งกำเนิดเดิมอยู่ในแม่น้ำอะเมซอน ประเทศบราซิล ไว้ในครอบครอง ปลาชนิดนี้เป็นปลาขนาดเล็ก รูปร่างคล้ายปลาแปบ หรือปลาโคก แต่มีฟันคมและมีนิสัยดุร้ายมาก ชอบอาศัยอยู่เป็นฝูง ชอบรุมกัดกินเนื้อมนุษย์และสัตว์ทุกขนาดเป็นอาหาร เช่น โค กระบือ ม้า ฯลฯ ที่ลงไปในแม่น้ำลำคลองที่ปลานี้อาศัยอยู่ และบัดนี้มีผู้นำหรือสั่งปลาในสกุลนี้มาจากต่างประเทศเข้ามาขายในประเทศไทยหลายราย โดยจำหน่ายเป็นปลาประเภทสวยงาม และแปลกประหลาด ถ้าปล่อยให้มีปลาในสกุลนี้ไว้ในครอบครองอาจจะมีการผสมพันธุ์ปลาในสกุลนี้ขึ้นจำหน่าย หรืออาจจะมีผู้นำไปปล่อยในแหล่งน้ำสาธารณะ ปลาสกุลนี้จะขยายพันธุ์และแพร่หลายทั่วไปจะเป็นอันตรายต่อประชาชน สัตว์เลี้ยงและสัตว์น้ำอย่างยิ่ง จึงจำเป็นต้องแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 53 แห่งพระราชบัญญัติการประมง โดยห้ามมิให้มีสัตว์น้ำตามที่ระบุไว้ในพระราชกฤษฎีกาไว้ในครอบครอง ไม่ว่าจะมีไว้เพื่อการค้าหรือไม่ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ และโดยที่เป็นกรณีเหตุฉุกเฉินมีความจำเป็นรีบด่วนในอันจะรักษาความปลอดภัยสาธารณะหรือป้องกันภัยพิบัติสาธารณะ ก่อนที่จะได้มีการขยายพันธุ์จนสายเกินที่จะป้องกันกำจัดได้ สมควรออกพระราชกำหนดโดยด่วน *[รก.2513/27/1พ./30 มีนาคม 2513] พระราชบัญญัติอนุมัติพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. 2490 พ.ศ. 2513 หมายเหตุ:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากปรากฏว่าได้มีมีผู้นำปลาปิรันยา (Piranha) หรือปลาคาริบี (Caribe)ซึ่งเป็นปลาน้ำจืดในสกุลเซราซาลมัส (Serasalmus) จากต่างประเทศเข้ามาในราชอาณาจักรหลายราย เพื่อจำหน่ายและเลี้ยงเป็นปลาประเภทสวยงาม ปลาชนิดนี้มีเหล่งกำเนิดเดิมอยู่ในแม่น้ำอะเมซอน ประเทศบราซิล เป็นปลาขนาดเล็ก รุปร่างคล้ายปลาแปบหรือปลาโคก แต่เป็นปลาที่มีฟันคมและมีนิสัยดุร้ายมาก อาศัยอยู่เป็นฝูง ชอบรุมกัดกินเนื้อมนุษย์และสัตว์มีชีวิตทุกขนาดเป็นอาหาร เช่น โค กระบือ ม้า ฯลฯ ที่ลงไปในแม่น้ำลำคลองที่ปลาชนิดนี้อาศัยอยู่ ถ้าปล่อยให้บุคคลมีปลาชนิดนี้ไว้ในครอบครอง อาจจะมีการผสมขยายพันธุ์พืชเพื่อจำหน่ายหรืออาจจะมีผู้นำไปปล่อยในแหล่งน้ำสาธารณะ ปลาชนิดนี้สามารถขยายพันธุ์ได้โดยรวดเร็ว เพราะถิ่นกำเนิดเดิมมีอุณหภูมิอยู่ในระดับเดียวกับ ประเทศไทย ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อประชาชน สัตว์เลี้ยงและสัตว์น้ำอย่างร้ายแรง เพื่อป้องกันภัยพิบัติสาธารณะดังกล่าวแล้ว และเห็นว่าเป็นกรณีจำเป็นและรีบด่วน จึงจำเป็นต้องออกเป็นพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 53 แห่งพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. 2490 โดยบัญญัติห้ามมิให้บุคคลใดมีสัตว์น้ำตามระบุในพระราชกฤษฎีกาไว้ในครอบครองไม่ว่าจะมีไว้เพื่อการค้าหรือไม่ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ สำหรับผู้ที่มีปลาชนิดนี้ไว้ในครอบครองในวันพระราชกฤษฎีกาออกใช้บังคับ โดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ให้รัฐมนตรีมีอำนาจออกประกาศให้นำปลาชนิดนี้มาส่งมอบแก่เจ้าพนักงานกรมประมงภายใน 7 วัน โดยกรมประมงจะคิดค่าสัตว์น้ำให้ตามสมควรจึงได้ออกพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. 2490 พ.ศ. 2513 ประกาศในราชกิจจนุเบกษา เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2513 ฉะนั้น จึงเห็นสมควรออกพระราชบัญญัติอนุมัติพระราชกำหนดดังกล่าวตามความในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 146 ต่อไป พระราชบัญญัติการประมง (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2528 (มาตรา 15) มาตรา 15 บรรดาพระราชกฤษฎีกาและประกาศรัฐมนตรีที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 53 แห่งพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ.2490 ก่อนการแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ ให้ยังคงใช้บังคับต่อไปจนกว่าจะมีพระราชกฤษฎีกาหรือประกาศรัฐมนตรีให้ยกเลิกหรือเปลี่ยนแปลง แล้วแต่กรณี พระราชบัญญัติการประมง (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๒๘ หมายเหตุ:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากปรากฏว่าในปัจจุบันนี้มีประชาชนที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ได้ใช้วัตถุมีพิษเพื่อทำการประมงอันอาจเป็นอันตรายแก่ผู้บริโภคสัตว์น้ำได้ จึงสมควรจะได้กำหนดมาตรการควบคุมให้เหมาะสมยิ่งขึ้น พร้อมกับกำหนดความรับผิดของเจ้าของเรือ กรณีที่มีการละเมิดน่านน้ำของต่างประเทศ และทำให้คนประจำเรือหรือผู้โดยสารไปกับเรือต้องตกค้างอยู่ ณ ต่างประเทศ ประกอบกับมีสัตว์น้ำบางชนิดที่มีคุณค่าในทางเศรษฐกิจ เช่น เต่า และกระ ได้ถูกจับจนเกินปริมาณที่สมควร หากไม่มีมาตรการอนุรักษ์ที่เหมาะสมแล้ว สัตว์น้ำที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจประเภทดังกล่าวจะถูกทำลายจนไม่มีเหลือสำหรับแพร่พันธุ์ หรือนำมาใช้ประโยชน์ได้อีกต่อไป จึงสมควรที่จะออกมาตรการห้ามครอบครองสัตว์น้ำ และผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำบางชนิดที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจดังกล่าว และโดยที่พระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. 2490 ไม่มีบทบัญญัติครอบคลุมไปถึงมาตรการเหล่านี้ อีกทั้งโทษบางมาตราที่บัญญัติไว้มีอัตราต่ำไม่เหมาะสมกับสภาพการณ์ปัจจุบัน จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ *[รก.2528/120/38พ./5 กันยายน 2528][/B]
__________________
Saaychol |
|
#2
|
||||
|
||||
|
จะเห็นได้ว่า กฏหมายการประมงที่เราใช้อยู่ในปัจจุบัน ยึด พรบ. การประมง พศ. 2490 เป็นหลัก เมื่อสถานการณ์ด้านการประมงของไทยและของโลกเปลี่ยนไป มีแนวความคิดใหม่ๆ ที่ต้องการให้มีการทำประมงแบบยั่งยืน คิดถึงเรื่องคุณภาพมากกว่าปริมาณ มีการประท้วงเรื่องการทำประมงแบบล้างผลาญ กับทั้งมีกลุ่มประมงพื้นบ้านเข้ามามีส่วนในการประสานและต่อรองกับทางการมากขึ้น จึงมีความพยายามที่จะมีการแก้ไขกฎหมายการประมงให้ทันยุคทันสมัย ใช้ได้กับโลกในปัจจุบัน...
ลองอ่านข่าวคราวเกี่ยวกับการแก้ไขกฎหมายการประมงดูนะคะ
__________________
Saaychol แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายชล : 10-06-2014 เมื่อ 20:19 |
|
#3
|
||||
|
||||
|
พระราชบัญญัติกรมประมงฉบับใหม่ เป้าคลี่คลายปัญหาการประมง ผลผลิตของภาคการประมงสามารถ ทำรายได้ให้แก่ประเทศปีละกว่า 2 แสนล้านบาท แต่ปัจจุบันการประมงต้องเผชิญกับปัญหาและอุปสรรคมากมาย อาทิ ภัยธรรมชาติ ความเสื่อมโทรม ของทรัพยากรประมง มลพิษในแหล่งน้ำ รวม ถึงการแย่งชิงทรัพยากรประมง โดยสาเหตุส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากมาตรการทาง กฎหมายว่าด้วยการประมงที่ล้าสมัย ซึ่งบังคับใช้มาเป็นระยะเวลานานตั้งแต่ปี พ.ศ. 2490 ทำให้ไม่สอดคล้องกับสภาวการณ์ในปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไป หลายฝ่ายจึงเห็นพ้องต้องกันว่าควรแก่ การปรับปรุงแก้ไขใหม่เพื่อให้มีประสิทธิภาพทั้งในปัจจุบันและอนาคต ดร.สมหญิง เปี่ยมสมบูรณ์ อธิบดีกรมประมง เปิดเผยว่า กรมประมงได้เสนอร่างพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. ........ โดยยกเลิกกฎหมายเดิมทั้งฉบับ และเพิ่มหลักการใหม่ ๆ ที่สำคัญ ๆ อาทิ มีการกำหนดให้มีแบ่งเขตการประมงในน่านน้ำไทยออกเป็น 3 เขต อย่างชัดเจน ได้แก่ เขตประมงน้ำจืด เขตประมงทะเลชายฝั่ง และเขตประมงทะเลนอกชายฝั่ง ทั้งนี้ เนื่องจากกฎหมายเดิมไม่ได้กำหนดเขตพื้นที่ทำการประมง ทำให้เครื่องมือประมงที่ได้รับอนุญาตสามารถทำการประมงในทะเลได้อย่างเสรีในทุกเกือบพื้นที่ ก่อให้เกิดปัญหาการแย่งชิงพื้นที่ทำการประมง และมีความรุนแรงมากขึ้น กำหนดให้มีมาตรการส่งเสริมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำให้มีความปลอดภัยต่อผู้บริโภค และมีคุณภาพที่ได้มาตรฐาน โดยรัฐมีหน้าที่กำหนดมาตรฐานการปฏิบัติขั้นพื้นฐานสำหรับประชาชนผู้ประสงค์จะเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของตนให้ได้มาตรฐาน และออกหนังสือรับรองให้ ซึ่งจะทำให้สัตว์น้ำที่ได้จากการเพาะเลี้ยงของประเทศไทยมีศักยภาพในการแข่งขันทางการค้า กำหนดให้มีมาตรการส่งเสริมด้านสุขอนามัย นับตั้งแต่ขั้นตอนการจับ การดูแลสัตว์น้ำหลังการจับ และการขนส่ง โดยรัฐออกหนังสือรับรองให้ กำหนดให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการ และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรประมง โดยกำหนดให้มีส่วนร่วมใน 2 ลักษณะ คือ การให้ตัวแทนภาคประชาชนร่วมเป็นคณะกรรมการนโยบายประ มงแห่งชาติ และกำหนด ให้กรมประมงมีหน้าที่ในการส่งเสริมการมีส่วนร่วมและสนับสนุนชุมชนประมงท้องถิ่นในการจัดการ การบำรุงรักษา การอนุรักษ์ การฟื้นฟู และการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืนจากทรัพยากรสัตว์น้ำภายในเขตประมงน้ำจืดหรือเขตประมงทะเลชายฝั่ง และกำหนดให้มี คณะกรรมการประมงนอกน่านน้ำไทย เพื่อเสนอแนะนโยบายและแนวทางการพัฒนาการประมงนอกน่านน้ำไทยต่อคณะกรรมการนโยบายประมงแห่งชาติ และเสนอแนะต่อหน่วยงานในการออกกฎ ระเบียบต่าง ๆ ในการจัดระเบียบการใช้เรือไทยออกไปทำการประมงนอกน่านน้ำไทยเป็นการเฉพาะ สำหรับหลักการอื่น ๆ ยังคงยึดถือแนวทางตามกฎหมายฉบับเดิม เพียงแต่มีการปรับปรุงให้สอดคล้องกับสภาวการณ์ในปัจจุบันให้มากขึ้น เช่น การกำหนดอัตราโทษ อัตราค่าอากร ค่าธรรมเนียมให้มีความเหมาะสม กับสภาพเศรษฐกิจ เป็นต้น ทั้งนี้ กรมประมงได้เริ่มยกร่างกฎหมายนี้มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2543 โดยเปิดโอกาสให้ผู้เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนได้ร่วมแสดงความคิดเห็นจำนวนหลายครั้งมาอย่างต่อเนื่อง และได้ทำการแก้ไขปรับปรุงมาเป็นลำดับ ซึ่งคณะกรรมการ กฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาและนำเสนอคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลปัจจุบันให้ความเห็นชอบแล้วเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2553 และกำลังจะเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร ในเวลาไม่ช้านี้ “หวังเป็นอย่างยิ่งว่ากฎหมายประมงฉบับใหม่นี้ จะเป็นคำตอบหรือเป็นกลไกที่สำคัญประการหนึ่งที่จะช่วยแก้ไขปัญหาทางการประมงในปัจจุบัน และพัฒนาการประมงของประเทศให้เจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น ภายใต้วิสัยทัศน์ของกรมประมงที่ว่า มุ่งสู่การเป็นผู้นำทางการประมงอย่างยั่งยืนในภูมิภาค เพื่อความอยู่ดีมีสุขของประชาชน” ดร.สมหญิง เปี่ยมสมบูรณ์ อธิบดีกรมประมง กล่าว. ข้อมูลจาก....http://www.farmrachan.com/%E0%B8%81%...%E0%B9%88.html
__________________
Saaychol แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายชล : 10-06-2014 เมื่อ 20:21 |
|
#4
|
||||
|
||||
|
สาระสำคัญของกฎหมายการประมงฉบับใหม่ กฎหมายการประมงที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันคือ พ.ร.บ.การประมง พ.ศ. 2490 ซึ่งได้ใช้บังคับมาเป็นระยะเวลานาน จึงไม่เหมาะสมกับสภาพปัจจุบัน ปัญหาด้านการประมงนับว่าเป็นปัญหาที่สำคัญอย่างหนึ่ง ในแต่ละปีการประมงสามารถสร้างรายได้ให้กับประเทศไม่ต่ำกว่าปีละ 2 แสนล้านบาท แต่การประมงก็พบกับอุปสรรคมากมายนานับประการ ไม่ว่าจะเป็นความเสื่อมโทรมของธรรมชาติ มลพิษในน้ำที่เกิดจากโรงงานอุตสาหกรรม กากน้ำมันของเรือต่างๆ ระบบนิเวศน์ถูกทำลาย ร่างกฎหมาย พ.ร.บ. การประมง พ.ศ... จะมีหลักการใหม่ ๆ ที่สำคัญๆ เช่น การกำหนดแบ่งเขตการประมงในน่านน้ำไทยออกเป็น 3 เขต คือ (1) เขตประมงน้ำจืด หมายถึง เขตประมงที่อยู่ในแผ่นดิน (2) เขตประมงทะเลชายฝั่ง หมายถึง เขตตั้งแต่ชายฝั่งทะเลออกไป 3 ไมล์ทะเล และอาจขยายได้แต่ไม่เกิน 12 ไมล์ทะเล และ (3)เขตประมงทะเลนอกชายฝั่ง หมายถึง เขตทะเลนอกเหนือจากเขตทะเลชายฝั่งออกไปจนสุดเขตน่านน้ำไทย ในแต่ละเขตมีการบริหารจัดการการใช้ประโยชน์ทรัพยากรสัตว์น้ำแตกต่างกันตามความเหมาะสม ตามประเภทของเครื่องมือประมง และสภาพพื้นที่การใช้เครื่องมือประมงที่ไม่เหมาะสมกับทรัพยากรสัตว์น้ำ จะทำให้สัตว์น้ำขนาดเล็กถูกจับขึ้นมาใช้ประโยชน์ก่อนวัยอันควร การใช้เครื่องมือประมงที่ถูกต้องและเหมาะสมตามสภาพ ย่อมเป็นวิธีที่จะรักษาระบบนิเวศน์อีกด้วย ซึ่งกฎหมายเดิมไม่ได้กำหนดเขตพื้นที่ทำการประมง ทำให้เครื่องมือประมงที่ได้รับอนุญาตสามารถทำการประมงในทะเลได้อย่างเสรีในทุกเกือบพื้นที่ ก่อให้เกิดปัญหาการแย่งชิงพื้นที่ทำการประมง การกำหนดให้มีมาตรการส่งเสริมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำให้มีความปลอดภัยต่อผู้บริโภค และมีคุณภาพที่ได้มาตรฐาน โดยไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้รัฐสามารถออกมาตรการควบคุมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำให้ได้คุณภาพมีมาตรฐาน ซึ่งกฎหมายเดิมไม่มีการกำหนดไว้ชัดเจน จึงทำให้การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่ผ่านมามีการใช้สารเคมี จึงมีคุณภาพไม่ได้มาตรฐาน ไม่มีความปลอดภัยต่อผู้บริโภค ทำให้ขาดศักยภาพในการแข่งขันทางการค้า การกำหนดให้มีมาตรการส่งเสริมด้านสุขอนามัย โดยรัฐมีหน้าที่กำหนดมาตรฐานขั้นพื้นฐานด้านสุขอนามัยสำหรับประชาชน นับตั้งแต่ขั้นตอนการจับ การดูแลสัตว์น้ำหลังการจับ การแปรรูป และการขนส่งหรือการขนถ่ายสัตว์น้ำ อันจะส่งผลให้สามารถรักษาคุณภาพสัตว์น้ำให้มีคุณภาพ เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค ซึ่งกฎหมายเดิมไม่มีบทบัญญัติส่งเสริมควบคุมด้านสุขอนามัย ทำให้ไม่สามารถควบคุมสัตว์น้ำให้มีคุณภาพสุขอนามัย การกำหนดให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการ บำรุงรักษา อนุรักษ์ฟื้นฟู และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรสัตว์น้ำ ซึ่งจะส่งผลดีในระยะยาวต่อทรัพยากรสัตว์น้ำ อันจะทำให้รัฐสามารถกำหนดมาตรการด้านการบริหารจัดการได้สอดคล้องกับสภาพพื้นที่ และความต้องการของประชาชน ซึ่งกฎหมายเดิมไม่มีบัญญัติไว้ การกำหนดให้มีคณะกรรมการนโยบายประมงแห่งชาติ เพื่อกำหนดแนวทางและเป้าหมายในการพัฒนาการประมงของประเทศ แนวทางในการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำ แนวทางพัฒนาอุตสาหกรรมต่อเนื่องด้านการประมง การแก้ไขปัญหาการทำการประมงนอกน่านน้ำไทย ซึ่งกฎหมายเดิมไม่มีบัญญัติไว้ จึงทำให้ขาดการบริหารจัดการการประมงภาพรวม และทำให้เกิดปัญหาการทำการประมงโดยละเมิดน่านน้ำและฝ่าฝืนข้อตกลงระหว่างประเทศ การแก้ไขพ.ร.บ การประมง โดยแก้ไขหลักการที่สำคัญต่างๆเพื่อให้เหมาะสมกับสภาพปัจจุบัน ที่มีจำนวนประชากรเพิ่มขึ้น และมีการขยายตัวของอุตสาหกรรมการประมง แต่พื้นที่การประมงยังคงมีเท่าเดิม และการกำหนดให้มีคณะกรรมการนโนบายประมงแห่งชาติ จึงน่าจะทำให้ปัญหาและอุปสรรคต่างๆด้านการประมงลดน้อยลง ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาด้านการประมง เพื่อการจัดการทรัพยากรประมง การผลิตสัตว์น้ำและผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำเพื่อให้ได้คุณภาพต่อการบริโภคของประชากรในประเทศ และเพื่อการส่งออกอันจะเป็นการสร้างอาชีพและทำรายได้ให้กับประเทศ ร่างกฎหมายฉบับใหม่กำลังจะเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร อย่างไรก็ตามกฎหมายที่จะใช้บังคับจะสัมฤทธิ์ผลเพียงใด ก็ต้องขึ้นอยู่กับเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องและประชาชนที่ต้องร่วมมือกันปฏิบัติตามกฏเกณฑ์ที่ออกมาใช้บังคับอย่างจริงจัง รุจิระ บุนนาค rujira_bunnag@yahoo.com Twitter : @ RujiraBunnag ข้อมูลจาก....http://www.naewna.com/politic/columnist/7603
__________________
Saaychol |
|
#5
|
||||
|
||||
|
ระดมสมอง
ยกร่าง กม.ประมงฉบับใหม่
พิมพ์ครั้งแรกที่ หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ (15 ธันวาคม 2555) โดย ชลธิชา ภัทรสิริวรกุล ที่ผ่านมาจะเห็นข่าวการทะเลาะกันระหว่างชาวประมงพื้นบ้านกับหน่วยงานรัฐ หรือภาคเอกชนที่เข้าไปลงทุนในพื้นที่นั้นๆ อยู่บ่อยๆนั่นก็เพราะว่าโครงสร้างกฎหมายประมงเดิมได้รวมศูนย์อำนาจการตัดสินใจและการดำเนินการไว้ที่รัฐมนตรีและกรมประมงเป็นหลัก ไม่มีระบบถ่วงดุลอำนาจ เมื่อนโยบายส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับการจับสัตว์น้ำให้ได้มากเพื่อรองรับอุตสาหกรรมอาหารทะเล ดังนั้น เนื่องในโอกาสวันประมงโลกเมื่อวันที่ 21 พ.ย.ที่ผ่านมา กรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และสมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย จึงได้จัดการสัมมนาชาวประมงพื้นบ้านในประเทศไทยขึ้นภายใต้หัวข้อ การมีส่วนร่วมของชาวประมงพื้นบ้านกับกระบวนการแก้ไขปัญหาการประมงและทะเลไทยอย่างยั่งยืน เพื่อให้ชาวประมงและเจ้าหน้าที่ของกรมประมงได้แลก เปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างกัน เป็นการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนชาวประมงและชุมชนชายฝั่งตามรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะสิทธิชุมชนในร่าง พ.ร.บ.การประมงฉบับใหม่อีกทั้งยังย้ำเตือนให้เห็นถึงความสำคัญของการประมงขนาดเล็ก ศิริวัฒน์ ขจรประศาสน์รมช.เกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า การหารือร่วมกันครั้งนี้ จะเป็นการหารือถึงแนวทางแก้ไขปัญหาการประมงและชายฝั่งทะเลในสถานการณ์ ปัจจุบัน ทั้งด้านแนวทางการบริหารจัดการทรัพยากรประมงในเขตประมงชายฝั่งการบริหาร จัดการทรัพยากรชายฝั่งโดยชุมชนมีส่วนร่วม ปัญหาการตลาดและการ เก็บรักษาสัตว์น้ำ แนวทางการเฝ้าระวังและการใช้เครื่องมือประมงที่ไม่เหมาะสมโดยการหารือดัง กล่าวจะก่อให้เกิดความร่วมมืออย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้นระหว่างกรมประมงและ ชุมชนชาวประมงพื้นบ้าน ขณะที่ วิมล จันทรโรทัยอธิบดีกรมประมงกล่าวถึงการจัดการทรัพยากรประมงทะเลไทยยุคใหม่ว่า ปัจจุบันผลผลิตประมงไทยลดลงเหลือเพียงปีละ 1.6 ล้านตัน จากเดิมที่มีผลผลิตสูงถึง 3-4 ล้านตัน เนื่องจากสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนไป ทำให้กรมประมงต้องจัดทำแผนแม่บททะเลไทย เพื่อคงระดับผลผลิตประมงไทยไม่ให้ลดต่ำไปกว่านี้ เพราะผลผลิตประมงไทยมีมูลค่าประมาณ 2 แสนล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็น 1.2% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) โดยดึงชาวบ้านชุมชนประมงพื้นบ้านขนาดเล็กเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดทำด้วย เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืน ทั้งนี้ ความเสี่ยงที่ประมงพื้นบ้านและทะเลไทยต้องเจอ คือ ความเสี่ยงของการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ ความเสี่ยงในด้านอาชีพ ความเสี่ยงในด้านเศรษฐกิจ(ราคาสินค้าตกต่ำ) ความเสี่ยงในด้านสิ่งแวดล้อมที่เสื่อมโทรมลงและความขัดแย้งกันทั้งระหว่างชาวบ้านกันเอง ผู้ประกอบการเอกชนที่เข้ามาลงทุนในพื้นที่ และภาครัฐ ส่งผลให้ต้องมีการกำหนดกฎเกณฑ์ร่วมกันขึ้นมาเพื่อบรรจุไว้ในแผนแม่บททะเลไทยเช่น ด้านเศรษฐกิจ ต้องจับสัตว์น้ำที่มีขนาดเหมาะสม ขณะเดียวกันก็ต้องอนุรักษ์ให้ปริมาณสัตว์น้ำมีเพียงพอสำหรับอนาคตด้วยและด้านขนาดพื้นที่ เพื่อให้เกิดความสมดุลในระบบนิเวศ ที่ผ่านมากรมประมงได้มีการปรับปรุงกฎหมายในร่าง พ.ร.บ.การประมง (ฉบับที่ 4)พ.ศ. ให้มีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายมากขึ้น มีการกำหนดขอบเขตประมงชายฝั่งที่ชัดเจน โดยนับจากขอบน้ำชายฝั่งออกไป 5 ไมล์ทะเล เว้นแต่บริเวณใดที่มีความจำเป็นที่สามารถได้เป็น 12 ไมล์ทะเล เพื่อการบริหารจัดการทรัพยากรประมงอย่างยั่งยืน วิมลกล่าว นอกจากนี้ ยังมีการจัดตั้งคณะกรรมการประมงจังหวัด ซึ่งมีหน้าที่ติดตาม กำกับดูแลสนับสนุน รวมทั้งเสริมสร้างความเข้มแข็งในการดำเนินงานขององค์กรชุมชนประมง เพื่อใช้เป็นกลไกในการแก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างกัน สะมะแอ เจะมูดอนายกสมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย กล่าวว่าปัจจุบันประเทศไทยมีหมู่บ้านชาวประมงประมาณ 3,800 หมู่บ้าน หรือ 5.7 หมื่นครอบครัว และที่ผ่านมาชาวประมงพื้นบ้านและชุมชนชายฝั่งในประเทศไทยได้มีบทบาทอย่างมากในการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรทะเลและชายฝั่ง ทั้งยังเป็นผู้ผลิตสินค้าประมงเกรดเอปลอดสารเคมีและได้มาจากการทำประมงอย่างรับผิดชอบ ส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศอย่าง ญี่ปุ่น สหรัฐ และกลุ่มสหภาพยุโรป แต่ในแง่ของการบริหารจัดการทรัพยากรนั้น กลับยังไม่มีส่วนร่วมมากเท่าที่ควร ดังนั้นจึงได้รวมตัวกันขององค์กรชาวประมงพื้นบ้านใน 13 จังหวัดชายฝั่งทะเลภาคใต้ เพื่อส่งเสริมการรวมพลังของชาวประมงพื้นบ้านให้มีส่วนร่วมมากขึ้น อย่างไรก็ดี การที่สมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทยเข้ามาร่วมมือในการดำเนินการตามแผนแม่บทการจัดการประมงทะเลไทย เพราะตระหนักดีว่าชุมชนประมงพื้นบ้านขนาดเล็กจะเป็นกำลังสำคัญในการแก้ไขปัญหาการจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งได้อย่างยั่งยืน ข้อมูลจาก...http://thailawwatch.org/2012/12/brainstorming_fishery/
__________________
Saaychol |
|
#6
|
||||
|
||||
|
ประมงพื้นบ้านเข้ากรุง ดัน พรบ.ประมงฉบับประชาชน ประมงพื้นบ้าน เข้ากรุง พร้อม10,000 รายชื่อ ดัน พรบ.ประมงฉบับประชาชน เมื่อวันที่1-2 พฤศจิกายนที่ผ่านมา สมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย นำโดยนายสะมะแอ เจ๊ะมูดอ นายกสมาคม รวมทั้งคณะกรรมการสมาคมและสมาชิกเครือข่ายกว่า 30 คน จากทั้วประเทศ ได้มายื่นรายชื่อหนึ่งหมื่นชื่อในการร่างกฎหมายประมงฉบับชาวบ้าน ที่รัฐสภาโดยทั้งนี้ได้มีการเข้าพบหน่วยงานและองค์กรต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง อาทิ สมาคมประมงแห่งประเทศไทย กรมประมง ซึ่งวันที่1 พฤศจิกายน 2555 ในช่วงเช้าได้เข้าหารือกับสมาคมประมงแห่งประเทศไทย โดยมีนายนายภูเบศ จันทนิมิต นายกสมาคมประมงแห่งประเทศไทยให้การต้อนรับ ในการพื้นคุยในครั้งนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกที่มีการพูดคุยกันอย่างเป็นทางการระหว่างเรือประมงพื้นบ้านและเรือประมงพานิชย์ ซึ่งในอดีตถือเป็นคู่ขัดแย้งในการใช้ทรัพยากรทางทะเล แต่โดยสถานการณ์ปัจจุบันทำให้ต้องมีการพูดคุยหารือในวาระที่จะมีการผลักดัน พรบ.ประมงฉบับใหม่ ซึ่งมีผลกระทบทั้งเรือประมงพื้นบ้าน และเรือประมงพานิชย์ วาระในการพูดคุยครั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายเห็นด้วยกับการผลักดันให้ในเรื่องสิทธิชุมชน เข้ากลับมาอยู่ในพรบ.ประมงฉบับใหม่ แต่เนื่องจากกกฤษฎีกาได้ตัดเนื่อหาส่วนนี้ออกจาก พรบ.ประมงฉบับประชาชน โดยแนวคิดสิทธิชุมชนในพรบ.ประมงฉบับใหม่ที่กำลังจะเกิด ทั้งนี้ในการจัดการทรัพยากรทางทะเล โดยให้มีคณะกรรมการระดับจังหวัดทุกจังหวัด และหลังจากนี้จะมีการพบปะหารือกันมากขึ้นเพื่อร่วมมือกันแก้ไขปัญหาด้านทรัพยากรทางทะเลในแต่ละพื้นที่ด้ว ในช่วงบ่าย คณะสมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย ได้แยกเป็นสองกลุ่มเพื่อพบกับอธิบดีของกรมประมงและกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ซึ่งส่วนของการเข้าหารือกับอธิบดีกรมประมง และราชการในกรมประมง นายสะมะแอ เจ๊มูดอ ได้กล่าวว่า ทางกรมประมงเห็นด้วยกับการร่วมมือเพื่อให้เกิดความเข้าใจระหว่างชาวประมงพื้นบ้านและกรมประมง ทั้งนี้จะเร่งผลักดัน ให้เกิดเครือข่ายระดับดังหวัด ที่มีอำนาจในการจัดการด้านการประมง ที่มีครบทุกภาคส่วน อีกทั้งในเรื่องของการเสนอพรบ.ประมงฉบับประชาชน ในส่วนโควต้าของกรมประมง ที่ได้สัดสวน5 คน นั้น ทางกรมประมงจะให้เป็นโควต้าของสมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย 3 คน ต่อมาวันที่2 พฤศจิกายน 2555 คณะสมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทยได้เดินทางไปยังรัฐสภาเพื่อนยื่นรายชื่อ ประชาชน10,000 รายชื่อเพื่อเสนอกฎหมายประมงและกฎหมายทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง โดยมีเลขาประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นตัวแทนออกมาต้อนรับและร่วมแถลงข่าวการยื่นรายชื่อในครั้งนี้ หลังจากนั้นทางคณะได้เดินทางเข้าพบกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งในส่วนของฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน ซึงในส่วนของฝ่ายรัฐบาลให้เข้าพบกับตัวแทนของพรรคชาติไทยพัฒนาและพรรคเพื่อไทย โดยทั้งสองพรรคจะนำเรื่องนี้เข้าหารือกับกรรมการของพรรคในเวลาต่อไป แต่ทั้งนี้ในส่วนของฝ่ายรัฐบาลยืนยันว่าจะให้โควต้ากรรมาธิการแก่สมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทยหนึ่งคน และในส่วนของพรรประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นฝ่ายค้าน ก็ยินดีที่จะนำเรื่องนี้เข้าหารือกับกรรมการของพรรค เพื่อหาิศทางที่จะสนับสนุน พรบ.ฉบับประชาชนฉบับนี้ และยืนยัยว่าในส่วนของโควต้ากรรมาธิการที่พรรคฝ่ายค้านได้ จะให้กับสมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านหนึ่งคน โดยพรบ.ประมงฉบับใหม่นี้จะเข้าพิจจารณาในสมัยการประชุมที่จะถึงนี้ ข้อมูลจาก....http://www.oknation.net/blog/print.php?id=833886
__________________
Saaychol |
|
#7
|
||||
|
||||
|
มัวแต่ทะเลาะกันอยู่ และต่อด้วยการยุบสภาผู้แทนราษฏร....จนบัดนี้ พ.ร.บ. การประมง ฉบับใหม่ ที่ยกร่างไว้แล้ว ก็ยังค้างเติ่งไม่ได้คลอดออกมา... ![]()
__________________
Saaychol |
|
#8
|
||||
|
||||
|
สื่ออังกฤษเปิดโปง! ชะตากรรมแรงงานทาสต่างด้าวบนเรือประมงไทย
![]() ภาพที่ถูกตีพิมพ์ลงในรายงานข่าวของเดอะ การ์เดียน นสพ. เดอะ การ์เดียนในอังกฤษ เปิดโปงชะตากรรมของแรงงานต่างด้าวอาเซียน บนเรือประมงไทย ถูกกระทำเยี่ยงทาส โดนทารุณสารพัด และถึงขั้นถูกฆ่าทิ้ง เพื่อจับกุ้งส่งไปยังบรรดาซุปเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำทั่ วโลก ทั้งวอลมาร์ต และเทสโก้.. เว็บไซต์ของสำนักข่าว เดอะ การ์เดียนในอังกฤษ รายงานเปิดโปงชะตากรรมของแรงงานทาสจากอาเซียนที่ต้อง มาทำงานบนเรือประมงของไทย เพื่อจับกุ้งป้อนส่งตามซุปเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำในสหรั ฐฯ และอังกฤษ โดยระบุว่า เรือประมงเถื่อนของไทย ใช้แรงงานต่างด้าวเยี่ยงทาส, โหดร้ายทารุณ แม้กระทั่งโดนฆ่าทิ้ง ในกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการส่งกุ้งไปจำหน่ายทั่ว โลก เดอะ การ์เดียน เปิดเผยว่า จากการสืบหาข่าวเกี่ยวกับการใช้แรงงานทาสในช่วง 6 เดือน พบว่า มีผู้ชายเป็นจำนวนมากถูกซ้ือและขายเยี่ยงสัตว์ อีกทั้งยังถูกควบคุมไว้บนเรือประมงนอกชายฝั่งของไทย เพ่ือจับกุ้งส่งไปยังซุปเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำทั่วโลก โดยเฉพาะ ห้างค้าปลีกชื่อดังยักษ์ใหญ่ อย่างวอลมาร์ต,คาร์ฟูร์, คอสต์โก้ และเทสโก้ พร้อมกันนั้น เดอะ การ์เดียน ยังรายงานด้วยว่า แรงงานต่างด้าวบนเรือประมงของไทย ต้องทำงานหนักถึงวันละ 20 ชั่วโมง ซึ่งพวกเขาโดนทุบตีและทรมานเป็นประจำ จนถึงขั้นถูกฆ่าทิ้ง โดยมีแรงงานบางคนต้องอยู่บนเรือในทะเลนานหลายปี ,มีบางคนโดนล่อให้ทำงานต่อไป ด้วยการให้ยาบ้า อีกทั้งมีบางคนเห็นเพื่อนแรงงานด้วยกันถูกสังหารต่อห น้าต่อตา หนังสือพิมพ์ของอังกฤษ เปิดโปงต่อไปว่า มีคนงานต่างด้าว 15 คน จากพม่า และกัมพูชา เล่าว่า พวกเขาถูกใช้งานเยี่ยงทาสกันอย่างไร รวมถึงยังบอกว่าพวกเขาต้องจ่ายเงินค่านายหน้าเพ่ือช่ วยในการหางานตามโรงงานในประเทศไทย หรือไม่ก็ทำงานด้านก่อสร้าง แต่สุดท้ายพวกเขากลับถูกขายให้กับบรรดาเจ้าของเรือปร ะมง ซึ่งมีบางครั้ง ถูกขายด้วยค่าตัวเพียงแค่ 250 ปอนด์หรือประมาณ 14,000 บาทเท่านั้น ข้อมูลจาก....ไทยรัฐ ประจำวันที่ 11 มิถุนายน 2557
__________________
Saaychol แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายชล : 11-06-2014 เมื่อ 22:02 |
|
#9
|
||||
|
||||
|
Trafficked into slavery on Thai trawlers to catch food for prawns The Thai fishing industry is built on slavery, with men often beaten, tortured and sometimes killed - all to catch 'trash fish' to feed the cheap farmed prawns sold in the west ![]() There is nothing but a jagged line of splinters where Myint Theins teeth once stood a painful reminder, he says, of the day he was beaten and sold on to a Thai fishing boat. The tattooed Burmese fisherman, 29, bears a number of other reminders of his life at sea: two deep cuts on each arm, calloused fingers contorted like claws and facial muscles that twitch involuntarily from fear. For the past two years, Myint Thein has been forced to work 20-hour days as a slave on the high seas, enduring regular beatings from his Thai captain and eating little more than a plate of rice each day. But now that hes been granted a rare chance to come back to port, hes planning something special to mark the occasion: his escape. Using a pair of rusty scissors, Myint Thein chops off his long, scraggly locks. He rinses himself down with a hose, slips on his only pair of trousers and, peering out at his surroundings, remembers not to open his mouth too wide. A man with no teeth is easy to remember. Under the tinny roof of Songkhlas commercial port, on Thailands south-east coast, the imperial-blue cargo boat that brought Myint Thein back to shore is unloading its catch, barrel by barrel. The days international fish trading has just begun, and buyers are milling about in bright yellow rubber boots, running slimy scales between their fingers, as hobbling cats nibble at the fishbones and guts strewn across the pavement. Myint Thein doesnt have much time to talk, so he tells us the basics. He paid a middleman two years ago to smuggle him across the border into Thailand and find him a job in a factory. After an arduous journey travelling through dense jungle, over bumpy roads and across rough waves, Myint Thein finally arrived in Kantang, a Thai port on its western, Andaman coast, where he discovered hed been sold to a boat captain. When I realised what had happened, I told them I wanted to go back, he says hurriedly. But they wouldnt let me go. When I tried to escape, they beat me and smashed all my teeth. For the next 20 months, Myint Thein and three other Burmese men who were also sold to the boat trawled international waters, catching anything from squid and tuna to trash fish, also known as bycatch inedible or infant species of fish later ground into fishmeal for Thailands multibillion-dollar farmed prawn industry. The supply chain runs from the slaves through the fishmeal to the prawns to UK and US retailers. The product of Myint Theins penniless labour might well have ended up on your dinner plate. ![]() Despite public promises to clean up the industry, many Thai officials not only turn a blind eye to abuse, the Guardian found, they are often complicit in it, from local police through to high-ranking politicians and members of the judiciary meaning that slaves often have nowhere to turn when they have the opportunity to run. One day I was stopped by the police and asked if I had a work permit, says Ei Ei Lwin, 29, a Burmese migrant who was detained on the docks at Songkhla port. They wanted a 10,000 baht (£180) bribe to release me. I didnt have it, and I didnt know anyone else who would, so they took me to a secluded area, handed me over to a broker, and sent me to work on a trawler. Brokers Advertisement Thailand produces roughly 4.2m tonnes of seafood every year, 90% of which is destined for export, official figures show. The US, UK and EU are prime buyers of this seafood with Americans buying half of all Thailands seafood exports and the UK alone consuming nearly 7% of all Thailands prawn exports. The use of trafficked labour is systematic in the Thai fishing industry, says Phil Robertson, deputy director of Human Rights Watchs Asia division, who describes a predatory relationship between these migrant workers and the captains who buy them. The industry would have a hard time operating in its current form without it. Speaking on condition of anonymity, a high-ranking broker explained to the Guardian how Thai boat owners phone him directly with their order: the quantity of men they need and the amount theyre willing to pay for them. Each guy costs about 25,000-35,000 baht [£450-£640] we go find them, explains the goateed broker, who operates out of the industrial fishing and prawn-processing hub of Samut Sakhon, just south of the capital, Bangkok. The boat owner finds the way to pay and then that debt goes to the labourers. At various points along the way, checkpoints are passed and officials bribed with Thai border police often playing an integral role. Police and brokers the way I see it were business partners, explains the broker, who claims to have trafficked thousands of migrants into Thailand over the past five years. We have officers working on both sides of the Thai-Burmese border. If I can afford the bribe, I let the cop sit in the car and we take the main road. This is a big chain, he adds. You have to understand: everyones profiting from it. These are powerful people with powerful positions politicians. The price captains pay for these men is a extremely low even by historical standards. According to the anti-trafficking activist Kevin Bales, slaves cost 95% less than they did at the height of the 19th-century slave trade meaning that they are not regarded as investments for important cash crops such as cotton or sugar, as they were historically, but as disposable commodities. For the migrants who believed Thailand would bring them opportunity, the reality of being sent out to sea is devastating. They told me I was going to work in a pineapple factory, recalls Kyaw, a broad-shouldered 21-year-old from rural Burma. But when I saw the boats, I realised Id been sold I was so depressed, I wanted to die. Chained Life on a 15-metre trawler is brutal, violent and unpredictable. Many of the slaves interviewed by the Guardian recalled being fed just a plate of rice a day. Men would take fitful naps in sleeping quarters so cramped they would crawl to enter them, before being summoned back out to trawl fish at any hour. Those who were too ill to work were thrown overboard, some interviewees reported, while others said they were beaten if they so much as took a lavatory break. Many of these slave ships stay out at sea for years at a time, trading slaves from one boat to another and being serviced by cargo boats, which travel out from Thai ports towards international borders to pick up the slave boats catch and drop off supplies. The vessels catch fish and shellfish for domestic and international markets, including roughly 350,000 tonnes of trash fish, every year, according to the UNs Food and Agriculture Organisation (FAO). This trash fish is separated at sea and ferried back on cargo boats to shore, where it is ground down and turned into fishmeal for multinational companies such as CP Foods, which use it in animal feed for prawn, pig and chicken farming. CP in turn supplies food retailers and giant international supermarkets including Walmart, Tesco, Carrefour, Costco, Morrisons, the Co-operative and Iceland, with frozen and fresh prawns, and ready-made meals. ข้อมูลจาก....http://www.theguardian.com/global-de...d-thai-fishing
__________________
Saaychol |
![]() |
| คำสั่งเพิ่มเติม | |
| เรียบเรียงคำตอบ | |
|
|