เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

 
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
Prev คำตอบที่แล้วมา   คำตอบถัดไป Next
  #2  
เก่า 04-09-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default

ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ


ชะตากรรมสัตว์ทะเลในมอริเชียส หลังคราบน้ำมันพิษรั่วไหล



- เกาะมอริเชียส ประกาศภาวะฉุกเฉินทางสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม 2563 ที่ผ่านมา หลังจากเรือบรรทุกสินค้า "เอ็มวี วากาชิโอะ" เกยตื้นนอกชายฝั่ง และมีน้ำมันรั่วไหลออกมา

- ปริมาณน้ำมันที่รั่วไหลถือว่าไม่มากนัก เมื่อเทียบกับปริมาณน้ำมันรั่วไหลที่เคยรั่วไหลในอดีต แต่กลับสร้างความเสียหายใหญ่หลวง เนื่องจากจุดเกิดเหตุเป็นพื้นที่คุ้มครองระบบนิเวศทางทะเล และใกล้กับอุทยานทางทะเลบลู เบย์ ซึ่งเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญของโลก

- สิ่งมีชีวิตหายากในมอริเชียส รวมทั้ง หญ้าทะเล และป่าชายเลน ซึ่งเป็นแหล่งอนุบาลปลาอีกหลากหลายสายพันธุ์ อาจจะได้รับผลกระทบจากเหตุนี้อีกนานนับสิบปี


ต้นเหตุวิกฤติฉุกเฉินกลางทะเลมอริเชียส

นายกรัฐมนตรี ปราวองด์ ฌูนโยธ แห่งมอริเชียส ได้ประกาศภาวะฉุกเฉินทางสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่คืนวันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม 2563 ที่ผ่านมา หลังจากเรือบรรทุกสินค้า "เอ็มวี วากาชิโอะ" ของบริษัท นากาชิกิ ชิปปิ้ง ประเทศญี่ปุ่น เกยตื้นนอกชายฝั่งตั้งแต่เมื่อปลายเดือนกรกฎาคม ทำให้น้ำมันจำนวนมากรั่วไหลลงมหาสมุทรอินเดีย จนทำให้เกิดคราบน้ำมันสีดำปกคลุมผิวทะเลและพื้นดินโดยรอบ โดยจุดเกิดเหตุอยู่ใกล้กับอุทยานแห่งชาติทางทะเล "บลู เบย์" และชายหาดซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของเมืองมาเอบวร์ก

หลังจากผ่านไปเพียงไม่กี่วัน เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด เพราะรอยแตกบริเวณด้านท้ายเรือเริ่มมีขนาดใหญ่ขึ้น จนกระทั่งเรือหักออกเป็น 2 ส่วน ทำให้เจ้าหน้าที่และอาสาสมัครท้องถิ่นยังไม่สามารถนำน้ำมันออกจากแทงก์ที่เหลือได้ทั้งหมด ส่งผลให้ทางการต้องประกาศให้พื้นที่แห่งนี้เป็นเขตหวงห้าม และระงับปฏิบัติการของเหล่าอาสาสมัครไปก่อน

ขณะที่บริษัท "มิตสึอิ โอ.เอส.เค.ไลน์ส" ผู้ให้บริการเรือลำนี้เปิดเผยว่า เรือ เอ็มวี วากาชิโอะ บรรทุกน้ำมันเชื้อเพลิงกำมะถันต่ำมาทั้งหมดประมาณ 3,800 ตัน และมีน้ำมันดีเซลอีก 200 ตัน โดยพบว่าน้ำมันประมาณ 1,180 ตัน รั่วไหลออกจากแทงก์เก็บเชื้อเพลิงบนเรือ แต่เจ้าหน้าที่สามารถเก็บกู้คืนมาจากทะเลและชายฝั่งได้ราว 460 ตัน




แนวทางที่มอริเชียสใช้รับมือกับวิกฤติ

น้ำมันที่รั่วไหลออกมา ส่งผลให้มอริเชียสต้องร้องขอความช่วยเหลือจากประเทศฝรั่งเศส เนื่องจากมอริเชียสไม่มีทักษะและความชำนาญที่จะรับมือกับเรื่องนี้ ซึ่งประธานาธิบดี เอ็มมานูเอล มาครง แห่งฝรั่งเศส ก็ขานรับ พร้อมส่งทีมและอุปกรณ์ควบคุมมลภาวะจากเกาะเรอูนิยง ดินแดนโพ้นทะเลของฝรั่งเศส ซึ่งอยู่ใกล้กับเกาะมอริเชียสมาช่วยเหลือ

นอกจากนี้ องค์การสหประชาชาติยังช่วยส่งทีมผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับน้ำมันรั่วไหล และการจัดการวิกฤติลงพื้นที่ทำงานร่วมกับชุมชน ภาคเอกชน และรัฐบาลมอริเชียส ในการช่วยเก็บกวาดคราบน้ำมันในทะเล ขณะที่นักชีววิทยาทางทะเลจากญี่ปุ่นและสหราชอาณาจักรก็เข้าร่วมในปฏิบัติการครั้งนี้ด้วย

หลังเกิดเหตุ 1 สัปดาห์ มอริเชียสได้ใช้ทุ่นลอยน้ำที่ทำมาจากชานอ้อยหุ้มขวดพลาสติก มาใช้ดักจับคราบน้ำมันได้เป็นระยะทางถึงเกือบ 80 กิโลเมตร จนกระทั่งครบ 10 วัน เจ้าหน้าที่และอาสาสมัครที่ทำงานกันข้ามวันข้ามคืน ก็สามารถควบคุมการปนเปื้อนของน้ำมันไม่ให้เข้ามาถึงชายฝั่งได้สำเร็จ

อย่างไรก็ตาม แม้จะพบว่ามีน้ำมันจำนวนเล็กน้อยเท่านั้นที่หลุดรอดมาติดตามชายฝั่ง แต่สิ่งที่น่ากังวลไปกว่านั้น ก็คือสารเคมีที่มองไม่เห็นที่ปนเปื้อนเป็นเนื้อเดียวกับน้ำทะเล ซึ่งจะกลายเป็นเหมือนยาพิษที่แฝงตัวอยู่ในน้ำ รอเวลาที่จะโจมตีทุกชีวิตที่อาศัยอยู่ภายใต้ท้องทะเลแห่งนี้ในอนาคตอันใกล้




อุทยานแห่งชาติบลูเบย์ สำคัญอย่างไร

ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า ปริมาณน้ำมันที่รั่วไหลออกมาจนถึงขณะนี้ ถือว่าไม่มากนักเมื่อเทียบกับปริมาณน้ำมันรั่วไหลที่เคยเกิดขึ้นในอดีต แต่น้ำมันรั่วครั้งนี้กลับสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวง เนื่องจากจุดเกิดเหตุเป็นพื้นที่คุ้มครองระบบนิเวศทางทะเล 2 แห่ง และใกล้กับอุทยานทางทะเลบลูเบย์ ซึ่งเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญของโลก นอกจากนี้มอริเชียสยังเป็นพื้นที่สำคัญด้านความหลากหลายทางชีวภาพ มีพืชและสัตว์ที่มีลักษณะเฉพาะที่ไม่พบในพื้นที่อื่นอยู่จำนวนมาก

อนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพของสหประชาชาติระบุว่า สิ่งแวดล้อมทางทะเลของมอริเชียสมีสิ่งมีชีวิตอยู่ราว 1,700 สายพันธุ์ รวมถึงปลา 800 ชนิด สัตว์ทะเลเลี้ยงลูกด้วยนม 17 ชนิด และเต่า 2 ชนิด นอกจากนี้ยังมีแนวปะการัง หญ้าทะเล และป่าชายเลน ทำให้น่านน้ำของมอริเชียสมีความหลากหลายทางชีวภาพสูงเป็นพิเศษ

ขณะที่องค์การบริหารสมุทรศาสตร์และบรรยากาศแห่งชาติสหรัฐอเมริกา ระบุว่าแนวปะการังในบริเวณนี้นอกจากจะช่วยคุ้มครองแนวชายฝั่งจากพายุและการกัดเซาะแล้ว ยังเป็นที่พึ่งพาของปลาราว 25% ในมหาสมุทร และยังเป็นหัวใจของการท่องเที่ยวซึ่งเป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจมอริเชียสด้วย




ผลกระทบที่ตามมา

หลังจากที่มีน้ำมันรั่วไหลจากเรือ เอ็มวี วากาชิโอะ ของญี่ปุ่น สภาพแวดล้อมในทะเลในพื้นที่นี้ก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง น้ำทะเลที่เคยเป็นสีฟ้า กลับกลายเป็นสีหม่นคล้ำด้วยคราบน้ำมัน ขณะที่สัตว์ทะเลจำนวนมากต่างล้มตาย โดยเฉพาะโลมา ที่ลอยขึ้นมาเกยตื้นเพิ่มขึ้นทุกวัน โดยล่าสุดมีโลมาต้องสังเวยชีวิตไปถึง 42 ตัวแล้ว คาดว่าผลชันสูตรสาเหตุการตายของโลมาที่เกยตื้นตายก่อนหน้านี้ น่าจะทราบผลอย่างละเอียดเร็วๆ นี้ ซึ่งจากการตรวจสอบโลมา 2 ตัวของสัตวแพทย์ในเบื้องต้น พบว่าพวกมันมีแผลบาดเจ็บตามลำตัว แต่ไม่พบร่องรอยของ ไฮโดรคาร์บอน ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของน้ำมันปิโตรเลียม ภายในตัวของพวกมันแต่อย่างใด

ด้านกรีนพีซ ได้เรียกร้องให้รัฐบาลมอริเชียส เร่งสอบสวนสาเหตุการตายของสัตว์ทะเลว่ามีความเกี่ยวข้องกับเหตุน้ำมันรั่วไหลครั้งนี้หรือไม่ โดยผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการน้ำมันรั่วไหลและนักชีววิทยาทางทะเลระบุว่า สารประกอบไฮโดรคาร์บอนที่เป็นส่วนประกอบของน้ำมันที่รั่วไหลออกมาจะฟอกขาวแนวปะการัง และท้ายที่สุดปะการังพวกนี้จะตาย นอกจากนี้สัตว์ที่น่าจะได้รับผลกระทบไปด้วยก็คือ พิราบสีชมพูซึ่งเป็นสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ หญ้าทะเล ปลาการ์ตูน รวมทั้ง ป่าชายเลนซึ่งเป็นแหล่งอนุบาลปลาอีกหลากหลายสายพันธุ์ ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศในมอริเชียสยาวนานนับสิบปี.


https://www.thairath.co.th/news/foreign/1921740

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
 

คำสั่งเพิ่มเติม
เรียบเรียงคำตอบ

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 14:05


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2025, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger