![]() |
|
|
|
#1
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก สำนักข่าวไทย
"คอคอดกระ" อภิมหาโครงการยักษ์ ที่ทั่วโลกจับตามอง ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา มีข่าวว่ารัฐบาลไทยเตรียมจะปัดฝุ่นโครงการขุดคลอง และก่อสร้างถนน-ทางรถไฟ เชื่อมทะเลอันดามันกับอ่าวไทย หรือที่รู้จักกันในชื่อโครงการ ?คอคอดกระ? อีกครั้ง ทำให้สื่อต่างชาติโดยเฉพาะจีนและอินเดีย ที่กำลังเป็นคู่ขัดแย้งเรื่องพรมแดน ต่างหันมาจับตามองเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด ![]() ข่าวจาก บางกอกโพสต์ อ้างคำให้สัมภาษณ์ของ นายทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ว่า ได้งบประมาณ 10 ล้านบาท ในปีงบประมาณ 2564 เพื่อทำประชาพิจารณ์โครงการดังกล่าว โดยโครงการขุดคลองเชื่อมฝั่งอันดามันกับอ่าวไทย หรือ "Thai Canal" หรือ "9A Canal" นี้จะมีระยะทาง 135 กิโลเมตร เริ่มจากจังหวัดกระบี่ ผ่านจังหวัดตรัง นครศรีธรรมราช และไปถึงฝั่งอ่าวไทยที่จังหวัดสงขลา ส่วนโครงการก่อสร้างถนนและทางรถไฟ จะมีระยะทางประมาณ 100 กิโลเมตร ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งของแผนพัฒนาเศรษฐกิจภาคใต้ อย่างไรก็ตาม นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ให้สัมภาษณ์สำนักข่าว Bloomberg ยืนยันว่า โครงการเชื่อมฝั่งอันดามันกับอ่าวไทย จะมีเพียงถนนมอเตอร์เวย์ และทางรถไฟ รวมทั้งท่าเรือน้ำลึกทั้งสองฝั่งเท่านั้น แต่จะไม่มีการขุดคลอง เพราะต้องใช้งบประมาณสูง และอาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าที่คาด ก่อนหน้านี้ในปี 2561 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เคยสั่งการให้ สศช. และสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการขุดคอคอดกระ ซึ่งมีรายงานว่าจีนก็เคยเสนอตัวจะเข้ามาลงทุนในโครงการนี้ตั้งแต่ราว 15 ปีก่อน และพยายามที่จะเจรจากับรัฐบาล คสช. เพื่อรื้อฟื้นโครงการขึ้นมาอีกครั้ง โดยถือเป็นส่วนหนึ่งของนโยบาย One Belt One Road หรือ เส้นทางสายไหมแห่งศตวรรษที่ 21 หรือ String of Pearls ของจีน ซึ่งจะช่วยร่นระยะทางการเดินเรือที่ไม่ต้องอ้อมผ่านช่องแคบมะละกาได้ถึงราว 1,200 กิโลเมตร หนังสือพิมพ์ South China Morning Post ของจีน รายงานข่าวที่นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ พูดถึงโครงการแลนด์บริดจ์เชื่อมทะเลอันดามันกับอ่าวไทย พร้อมทั้งระบุว่า เมื่อปีที่แล้วมีรายงานพบการปล้นสะดมจากกลุ่มโจรสลัดเพิ่มมากขึ้น ในช่องแคบมะละกา จากที่เกิดขึ้น 8 ครั้งในปี 2561 เป็น 30 ครั้งในปีที่แล้ว นอกจากนี้ บริเวณดังกล่าวยังถือเป็นหนึ่งในเส้นทางเดินเรือที่คับคั่งที่สุดในโลก โดยราว 40% ของการค้าโลกต้องขนส่งผ่านช่องแคบมะละกา ด้าน The Economic Times และสำนักข่าว Asian News International (ANI) ของอินเดีย รายงานตรงกันว่า หลังทางการไทยเจรจาขอเลื่อนการสั่งซื้อเรือดำน้ำจากจีน และแสดงความชัดเจนที่จะลงทุนโครงการแลนด์บริดจ์เชื่อมฝั่งอันดามันกับอ่าวไทยด้วยตัวเอง แทนที่จะให้จีนเข้ามาลงทุนขุดคอคอดกระ รัฐบาลกรุงเดลีก็ตอบรับข่าวดังกล่าวด้วยความยินดี อินเดียยอมรับว่า จับตามองอย่างใกล้ชิดเกี่ยวกับข้อตกลงที่ไทยสั่งซื้อเรือดำน้ำจากจีน เพราะอาจกระทบต่อความมั่นคงในอ่าวเบงกอล แต่ก็ไม่เคยมีนโยบายที่จะก้าวก่ายเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม สำหรับโครงการขุดคอคอดกระนั้น อินเดียเคยแสดงความกังวลอย่างชัดเจนต่อทางการไทย เพราะหากมีการขุดคลองสำเร็จจะทำให้กองทัพเรือของจีนสามารถส่งเรือรบข้ามจากทะเลจีนใต้เข้าสู่มหาสมุทรอินเดียได้อย่างรวดเร็ว จากปัจจุบันที่จีนกังวลว่า กองเรือพาณิชย์และทัพเรือของจีนอาจถูกปิดกั้นไม่ให้ผ่านช่องแคบมะละกาโดยกองทัพของสหรัฐและชาติต่างๆ ในภูมิภาคอาเซียน อีกด้านหนึ่ง เว็บไซต์ข่าว The Irrawaddy ของเมียนมา ระบุว่า จีนยังคงมีความหวังว่าโครงการขุดคอคอดกระจะเกิดขึ้นได้ในระยะยาว คอคอดกระเป็นพื้นที่ส่วนที่แคบที่สุดของประเทศไทย จากฝั่งทะเลอันดามันด้านจังหวัดระนอง ถึงอ่าวไทยจังหวัดชุมพร หากวัดเป็นเส้นตรงจะมีระยะทางเพียง 50 กิโลเมตร มีข้อมูลว่าแนวคิดเรื่องการขุดคลองเริ่มพูดถึงครั้งแรกตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช และมีการหยิบยกขึ้นมาอีกครั้งในสมัยรัชกาลที่ 4 และล่าสุดรัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร เคยจะทำโครงการแลนด์บริดจ์ที่มีทั้งถนน ทางรถไฟ ท่าเรือน้ำลึก และนิคมอุตสาหกรรมในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ด้วยมูลค่าลงทุน 1.5 ล้านล้านบาท แต่โครงการหยุดชะงักไปหลังถูกปฏิวัติเมื่อปี 2549 จนมาถึงรัฐบาล คสช. ซึ่งทางการจีนเข้ามาเสนอตัวจะทำโครงการอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม การทำอภิมหาโครงการที่หากเกิดขึ้นจริง จะถือว่าใหญ่ที่สุดในประเทศไทยนี้ มีประเด็นที่ละเอียดอ่อนและสลับซับซ้อนหลายแง่มุมให้ต้องพิจารณา อาทิ ปัญหาความมั่นคงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ สถานการณ์ความมั่นคงรวมถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อประเทศในภูมิภาค หรือแม้แต่ความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ เพราะแม้จะมีข้อมูลว่า การที่ไม่ต้องเดินเรืออ้อมผ่านช่องแคบมะละกา จะช่วยลดต้นทุนค่าขนส่งลงได้มหาศาล แต่ระยะทางไป-กลับที่สั้นลง 1,200 กิโลเมตร ใช้เวลาเร็วขึ้น 2-3 วันนั้น ยังถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับคลองสุเอซ ที่ร่นระยะทางได้ถึง 7,000 กิโลเมตร และคลองปานามาที่ร่นระยะทางได้ถึง 13,000 กิโลเมตร นอกจากนี้ มูลค่าก่อสร้างโครงการประมาณ 28,000 ล้านดอลาร์สหรัฐ บวกกับโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ อีกราว 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ก็อาจทำให้ความคุ้มทุนเกิดขึ้นได้ยาก เพราะหากเก็บค่าธรรมเนียมเดินเรือผ่านคลองแพงเกินไป และการเดินเรืออาจล่าช้าจากความแออัด ก็อาจทำให้เรือจำนวนหนึ่งกลับไปใช้เส้นทางผ่านช่องแคบมะละกาตามเดิม. Source : Bangkok Post South China Morning Post The Economic Times Asian News International The Irrawaddy https://tna.mcot.net/latest-news-538983
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#2
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก PPTV
ทรัมป์ไม่เชื่อโลกร้อนเป็นสาเหตุของไฟป่า ไฟป่าในสหรัฐเกิดขึ้นทุกปี ปีนี้มาเร็วและรุนแรงมากกว่าปีก่อนๆ นักวิทยาศาสตร์พบว่ามีความเชื่อมโยงกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่เกิดมาจากสภาวะโลกร้อน แต่ทรัมป์ไม่เชื่อ ![]() ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เดินทางไปยังรัฐแคลิฟอร์เนีย เพื่อสำรวจความเสียหายจากเหตุการณ์ไฟป่า เหตุการณ์ไฟป่าที่เกิดขึ้นในรัฐทางตะวันตกของสหรัฐฯ ครั้งนี้ ถือว่ารุนแรงกว่าทุกครั้ง และบรรดานักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ Climate Change เป็นอีกปัจจัยเร่งที่ทำให้ไฟป่าลุกลามเป็นวงกว้าง การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่มีต้นเหตุมาจากอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้นหรือสภาวะโลกร้อนเป็นสิ่งที่ทรัมป์ไม่เชื่อ เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว เขาพาสหรัฐถอนตัวออกจากข้อตกลงปารีส ข้อตกลงปารีสมีเป้าหมายคือ ป้องกันไม่ให้อุณหภูมิของโลกสูงเกิน 2 องศาเซลเซียส ตั้งแต่ปฏิวัติอุตสาหกรรม อุณหภูมิโลกเพิ่มมาแล้ว 1 องศาเพราะการเผาผลาญพลังงานฟอสซิลอย่างหนักหน่วง ปัญหาก็คือถ้าไม่ควบคุม มันจะร้อนเพิ่มเป็น 2 องศาเซลเซียส และเมื่อนั้นโลกจะหายนะ ก็เลยเป็นที่มาของข้อตกลงปารีส ทำกับไว้เมื่อปี 2014 สมัยโอบามาเป็นผู้นำ กว่าจะโน้มน้าวให้ผู้ผลิตก๊าซเรือนกระจกรายใหญาของโลกอย่างสหรัฐ จีน ออสเตรเลียให้ลงนามได้ก็เหนื่อยหนักหนาสาหัส ข้อตกลงปารีสจึงมักถูกยกว่าเป็นข้อตกลงครั้งประวัติศาสตร์ที่ทั้งโลกในที่สุดก็เห็นตรงกัน แต่ทรัมป์ตัดสินใจถอนสหรัฐออกจากข้อตกลง ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะไม่เชื่อว่าโลกร้อนจริง อย่างตอนลงพื้นที่ดูปัญหาไฟป่า ผู้ว่ารัฐแคลิฟอร์เนียพยายามบอกทรัมป์ว่า ต้องเอาจริงกับปัญหาโลกร้อน เพราะมีวิทยาศาตร์ยืนยันว่า มันทำให้เกิดไฟป่า แต่ทรัมป์กลับบอกว่า บางทีวิทยาศาสตร์ก็ไม่ได้รู้ทุกเรื่อง ส่วนจุดยืนของผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากเดโมเครตอยู่ตรงข้ามทรัมป์ โจ ไบเดน บอกว่า ปัญหาโลกร้อนเป็นปัญหาจริงและปัญหาใหญ่ และชาวอเมริกันต้องการผู้นำที่เข้าใจเรื่องนี้ ส่วนความเสียหายของไฟป่าที่เกิดขึ้นในสหรัฐก็หนักหนาสาหัส ภาพมุมสูงของพื้นที่บางส่วนในรัฐออริกอนที่ถูกไฟป่าเผาราบเป็นหน้ากลอง อาคารบ้านเรือนกลายเป็นซากปรักหักพัง ทั้งเมืองอยู่ในสภาพร้าง เพราะคนต้องอพยพออกจากพื้นที่ อากาศที่เย็นลงทำให้ตอนนี้สถานการณ์เริ่มดีขึ้น ส่วนนี่คือสภาพในป่าเอลโดราโดในรัฐแคลิฟอร์เนีย ควันและเถ้าถ่านยังปกคลุมเต็มท้องฟ้า ที่นี่มีบ้านเรือนกว่า 4,000 หลัง ถูกไฟป่าเผาทำลาย ไฟป่าในรัฐแคลิฟอร์เนีย ออริกอน และวอชิงตันครั้งนี้เผาพื้นที่ไปกว่า 5 ล้านเอเคอร์ หรือ 12.6 ล้านไร่ สูงที่สุดในรอบ 2 ปี และยังคงไม่มอดดับสนิท มีคนอย่างน้อย 36 คนเสียชีวิต หากจะให้เห็นภาพชัดว่าไฟป่าครั้งนี้รุนแรงและกินพื้นที่ใหญ่แค่ไหน เราสามารถวัดได้กับขนาดของพื้นที่เมืองใหญ่ต่างๆ พื้นที่ที่ถูกไฟเผาผลาญรวมกันแล้วใหญ่กว่ากรุงลอนดอน ใหญ่กว่านิวยอร์ก ถ้ายังนึกไม่ออกคือ ใหญ่พอๆกับกรุงเทพ บวกรวมกับนครปฐม และชลบุรี ในทุกๆ ปีไฟป่าเผาทำลายพื้นที่ในสหรัฐฯ หลายล้านไร่ แต่อุณหภูมิที่สูงขึ้นผิดปกติทำให้ไฟป่ารุนแรงกว่าทุกครั้ง ทุกประเทศมีส่วนทำให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้น แต่อเมริกาเป็นประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศมากที่สุดเป็นอันดับที่ 2 อันดับที่ 1 คือจีน รองลงมาคืออินเดีย รัสเซีย? ญี่ปุ่น เยอรมนี อิหร่าน เกาหลีใต้ ซาอุดิอาระเบีย และอินโดนีเซีย ดังนั้นการถอนตัวออกจาก Paris Agreement ของทรัมป์ ย่อมส่งผลต่อปัญหาสิ่งแวดล้อมทั่วโลก และทำให้อำนาจของสหรัฐฯ ในเวทีโลกเกี่ยวกับเรื่องนี้ลดลง ในขณะที่จีนพยายามจะช่วงชิงพื้นที่ตรงนี้เพื่อแสดงตัวว่าจีนพยายามแก้ปัญหา เช่นเดียวกับเรื่องโควิด-19 https://www.pptvhd36.com/news/%E0%B8...0%B8%99/133265
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
![]() |
| คำสั่งเพิ่มเติม | |
| เรียบเรียงคำตอบ | |
|
|