เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #1  
เก่า 08-10-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default

ขอบคุณข่าวจาก สำนักข่าวไทย


ผลวิจัยพบไมโครพลาสติก 14 ล้านตันใต้ท้องทะเล

ซิดนีย์ 7 ต.ค. ? สำนักงานวิทยาศาสตร์แห่งชาติของออสเตรเลียเผยว่า พื้นมหาสมุทรของโลกเต็มไปด้วยไมโครพลาสติกราว 14 ล้านตัน ที่แตกเป็นชิ้นเล็กๆ จากขยะพลาสติกขนาดใหญ่ที่ถูกทิ้งลงสู่ทะเล



สำนักงานวิทยาศาสตร์แห่งชาติออสเตรเลียระบุว่า ไมโครพลาสติกที่พบในครั้งนี้มีปริมาณเพิ่มขึ้นกว่า 25 เท่า จากการศึกษาในครั้งก่อน และถือเป็นการเปิดเผยข้อมูลปริมาณไมโครพลาสติกที่พื้นมหาสมุทรครั้งแรกของโลก โดยคณะนักวิจัยจากองค์การวิจัยวิทยาศาสตร์และอุตสาหกรรมเครือจักรภพของออสเตรเลีย (CSIRO) ได้ใช้เรือดำน้ำหุ่นยนต์เก็บตัวอย่างขยะจากพื้นมหาสมุทรที่ลึกกว่า 3,000 เมตร ตามแนวชายฝั่งรัฐเซาท์ออสเตรเลีย

นักวิจัยทางวิทยาศาสตร์ขององค์การดังกล่าวเผยว่า ใต้ท้องทะเลลึกเต็มไปด้วยไมโครพลาสติก และไม่น่าเชื่อว่าจะพบปริมาณไมโครพลาสติกจำนวนมหาศาลในพื้นมหาสมุทรที่ห่างไกล ทั้งยังเรียกร้องให้ทั่วโลกเร่งหาแนวทางแก้ปัญหาขยะพลาสติกที่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ สัตว์ป่า และสุขภาพมนุษย์.


https://tna.mcot.net/world-556531


*********************************************************************************************************************************************************


เร่งแก้ปัญหากัดเซาะชายฝั่งพระราชนิเวศน์มฤคทายวันฯ

กรุงเทพฯ 7 ต.ค. ? รมว.ทส.สั่งด่วน ทช.แก้ปัญหาชายหาดพระราชนิเวศน์มฤคทายวันฯ ถูกกัดเซาะ ย้ำรักษาระบบนิเวศและโบราณสถานอันทรงคุณค่า มอบหมายให้ศึกษาแนวทางแก้ไขตามหลักวิชาการ คาดเสร็จ มี.ค.64



นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เดินทางไปตรวจปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งบริเวณพระราชนิเวศน์มฤคทายวันฯ อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี โดยกล่าวว่า กังวลอย่างมากเนื่องจากเป็นโบราณสถานมีสถาปัตยกรรมทรงคุณค่า ขณะนี้มีโครงสร้างป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง 5 ประเภท ทั้งเขื่อนกันทรายและคลื่น 2 ตัว เขื่อนป้องกันนอกชายฝั่งแบบใต้น้ำ รอดักทราย และกำแพงป้องกันคลื่นริมชายหาดความยาวกว่า 2,500 เมตร แม้เจตนารมณ์ของหน่วยงานที่ก่อสร้างมุ่งจะแก้ปัญหา แต่โครงสร้างดังกล่าวส่งผลกระทบต่อพื้นที่โดยรอบ จึงสั่งการให้กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแก้ไขอย่างถูกหลักวิชาการ

ทั้งนี้ ในอนาคตโครงการต่าง ๆ ต้องนำมาพิจารณาให้ความเห็นชอบตามหลักวิชาการจากคณะอนุกรรมการบูรณาการด้านการจัดการการกัดเซาะชายฝั่งทะเลแต่งตั้งโดยคณะกรรมการนโยบายและแผนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแห่งชาติก่อนขอรับการจัดสรรงบประมาณ ทาง ทส. แก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง แต่บางพื้นที่ยังมีผลกระทบรวม 89 กิโลเมตร ซึ่งต้องบูรณาการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน



นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัด ทส. กล่าวว่า โครงสร้างต่าง ๆ ตามแนวชายฝั่งและนอกชายฝั่งพระราชนิเวศน์มฤคทายวันฯ ก่อสร้างโดยส่วนราชการอื่นปี 2549 เสร็จปี 2551 ภายหลังจากการก่อสร้างส่งผลกระทบต่อชายฝั่งบริเวณหน้าวัดไทรย้อยและหน้าโรงแรมรีเจ้นท์ ชะอำ บีช รีสอร์ท ส่งผลกระทบต่อการกัดเซาะทำให้บริเวณโดยรอบบดบังทัศนียภาพและกีดขวางการเดินเรือ จึงให้กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งเร่งรัดดำเนินการแก้ไขโดยเร่งด่วน

นายโสภณ ทองดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) กล่าวว่า ทช.ว่าจ้างมหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์จัดทำแนวทางการฟื้นฟูระบบนิเวศชายหาดในพื้นที่พระราชนิเวศน์มฤคทายวันฯ ให้สอดคล้องกับสภาพตามธรรมชาติใช้งบประมาณกว่า 2 ล้านบาท เริ่มลงนามในสัญญาตั้งแต่วันที่ 29 กันยายนที่ผ่านมา และมีกำหนดศึกษาเสร็จภายในวันที่ 27 มีนาคม 2564 พร้อมทั้งแต่งตั้งคณะผู้เชี่ยวชาญให้กำกับโครงการจ้างที่ปรึกษาศึกษา เพื่อจัดทำแนวทางการฟื้นฟูระบบนิเวศชายหาดให้สอดคล้องกับสภาพตามธรรมชาติ โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งจากส่วนกลางและในพื้นที่ รวมทั้งผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาโครงสร้างที่ส่งผลกระทบต่อการกัดเซาะชายฝั่งได้อย่างละเอียด รอบคอบ ถูกต้องตามหลักวิชาการ และก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อทุกฝ่าย โดยมุ่งเน้นความกลมกลืนกับธรรมชาติและความยั่งยืนของการแก้ไขปัญหา.


https://tna.mcot.net/environment-556589

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #2  
เก่า 08-10-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default

ขอบคุณข่าวจาก สำนักข่าวไทย


พิสูจน์ "อ้วกวาฬ" พบกลางทะเลตรัง

ตรัง 7 ต.ค. ? หนุ่มชาวประมงพื้นบ้าน จ.ตรัง ออกเรือหาปลาพบ "อำพันทะเล" หรือ "อ้วกวาฬ" กลางทะเล หนักเกือบ 4 กก. เตรียมนำส่งตรวจพิสูจน์ที่ ม.อ. ก่อนประกาศขาย



เมื่อวานนี้ (6 ต.ค.) นายพงษ์พันธ์ ทองสลับ ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 7 ต.เขาไม้แก้ว อ.สิเกา จ.ตรัง พาผู้สื่อข่าวลงพื้นที่พิสูจน์ "อำพันทะเล" หรือ "อ้วกวาฬ" ที่ชาวประมงพื้นบ้านพบลอยอยู่กลางทะเล ระหว่างบ้านแหลมไทรกับเกาะไหง ผู้ที่พบ คือ นายโชคอนันต์ จงรักษ์ หนุ่มชาวประมงพื้นบ้าน ได้นำก้อนอำพันทะเล หรือ อ้วกวาฬ ออกมาให้ดู โดยห่อผ้าขนหนูและใส่กระเป๋าเป้ไว้ เมื่อแกะออกดูพบว่า ลักษณะของก้อนอ้วกวาฬ เป็นก้อนไร้รูปทรง ด้านหนึ่งเป็นรูโพรงอากาศ มีเม็ดคล้ายๆ ทราย ส่วนอีกด้านเป็นผิวมันเรียบ ความยาวประมาณ 40 เซนติเมตร กว้าง 30 เซนติเมตร สูง 20 เซนติเมตร ชั่งน้ำหนักได้ 3.7 กิโลกรัม

นายโชคอนันต์ เล่าว่า หลังพบอ้วกวาฬ ได้นำไปส่งให้มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย จ.ตรัง ตรวจพิสูจน์ว่าเป็นอ้วกวาฬจริงหรือไม่ แต่มหาวิทยาลัยยังไม่มีความพร้อมเรื่องเครื่องมือ จึงพิสูจน์ชี้ขาดไม่ได้ นายพงษ์พันธ์ ทองสลับ ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 7 จึงประสานไปยังนายลือพงษ์ อ๋องเจริญ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ประชารัฐรักสามัคคีตรัง เพื่อให้ประสานไปยังสถาบันวิจัยและนวัตกรรมอาหาร มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) สงขลา พิสูจน์ว่า ก้อนที่พบกลางทะเลตรังเป็นอ้วกวาฬของจริงหรือไม่ ซึ่งทาง ผอ.สถาบันวิจัยและนวัตกรรมอาหาร ม.อ. จะนัดแนะให้นำมาพิสูจน์ต่อไป

นายโชคอนันต์ บอกว่า ตนและน้องชายออกเรือไปกลางทะเล ห่างจากบ้านแหลมไทร ประมาณ 10 กิโลเมตร มุ่งหน้าไปยังเกาะไหง จ.กระบี่ ช่วงจะค่ำแล้ว เวลาประมาณ 17.00-18.00 น. น้องชายเห็นว่ามีก้อนอะไรลอยกลางทะเลลึก จึงหันหัวเรือกลับไป พบว่าเป็นอ้วกวาฬที่เป็นข่าวอยู่บ่อยครั้ง จึงนำขึ้นมาไว้บนเรือ เมื่อหาปลาเสร็จก็นำกลับบ้าน และบอกกับเพื่อนบ้านญาติพี่น้อง ที่ผ่านมาชาวบ้านที่นี่ยังไม่เคยมีใครพบเห็นหรือได้สัมผัสอ้วกวาฬของจริง ครั้งนี้เป็นครั้งแรก จึงทำให้ทุกคนรู้สึกตื่นเต้นดีใจ ซึ่งหากผลพิสูจน์จาก ม.อ. ออกมาว่าเป็นอ้วกวาฬจริง ก็จะประกาศขายให้กับผู้ที่สนใจ



อ้วกวาฬ เป็นผลผลิตจากการสำรอก หรือการขับถ่ายของวาฬสเปิร์ม (วาฬหัวทุย) เท่านั้น กระบวนการที่ก่อให้เกิด คือ การกินหมึกที่เป็นอาหารหลักเข้าไป จนเกิดการสะสมของคอเลสเตอรอลในลำไส้ปลาวาฬ ก้อนไขมันชนิดนี้ประกอบด้วยคอเลสเตอรอลและไขมัน ร้อยละ 80 รวมถึงสารเบนโซอิก และแอลกอฮอล์ เมื่ออ้วกวาฬถูกขับออกมาจากท้องของวาฬในตอนแรกนั้นจะมีกลิ่นคาวและกลิ่นมูลสัตว์ ซึ่งเหม็นสุดๆ แต่เมื่อผ่านไประยะหนึ่งก็จะมีกลิ่นหอมมาก และด้วยความที่อ้วกวาฬเป็นของหายาก ราคาแพง ที่ใช้เป็นวัตถุดิบหัวน้ำหอม ทำให้มีราคาแสนแพง จนถูกขนานนามว่าเป็นทองลอยได้แห่งท้องทะเล จึงทำให้เกิดการเสาะหาของนักแสวงโชคและกลุ่มชาวประมง สามารถพบได้ตามชายหาด หรือกลางทะเล ซึ่งในอดีตมีการออกล่าวาฬสเปิร์ม เพื่อผ่าเอาไขมันชนิดนี้มาแล้ว ก่อนจะยุติจากกฎหมายคุ้มครองวาฬ



มีรายงานว่า ก่อนหน้านี้เคยมีผู้พบเห็นอ้วกวาฬหลายราย และขายได้ในราคาสูง เช่น ประเทศโอมาน พบอ้วกวาฬ น้ำหนัก 60 กิโลกรัม ขายได้ราคา 100 ล้านบาท

30 กันยายน 2552 ชาวประมงบ้านหินลาด ต.คุระ อ.คุระบุรี จ.พังงา พร้อมเพื่อน พบอำพันทะเลคล้ายแท่งน้ำมันสีขาวปนสีเงิน บางส่วนมีสีเหลืองอร่าม บริเวณชายหาดเกาะพระ จึงเก็บกลับบ้าน จากนั้นทราบว่ามีราคาสูงมาก จึงกลับไปที่บริเวณดังกล่าว พบอำพันอีกหลายสิบกิโลกรัม ขณะนั้นมีคนมาขอซื้อราคากิโลกรัมละ 25,000 บาท แต่ยังไม่ขาย เนื่องจากมีผู้รู้บอกว่า อำพันทะเลมีราคาเป็นแสน ต่อมามีพ่อค้าจากประเทศมาเลเซีย ติดต่อขอซื้อในราคากิโลกรัมละ 70,000 บาท แต่ชาวบ้านยังยืนกรานไม่ขาย จนข่าวเงียบไป กระทั่งปัจจุบันไม่มีใครล่วงรู้ว่ามีการซื้อขายหรือไม่ ในราคาเท่าใด?



2 ตุลาคม 2552 มีชาวบ้านชายหาดไม้ขาว ต.ไม้ขาว อ.ถลาง จ.ภูเก็ต พบวัตถุลักษณะคล้ายอำพันทะเล น้ำหนัก 10 กิโลกรัม ลักษณะสีขาวขุ่นอมเหลือง ส่งกลิ่นคาวเล็กน้อย ชาวบ้านเชื่อกันว่ามีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 40,000-50,000 บาท/กิโลกรัม และเมื่อข่าวดังกล่าวออกไป ทำให้ประชาชนทั่วไปเกิดการตื่นตัวและสนใจเป็นอย่างมาก หวังจะเจอลาภลอยจากทะเลเกยมาบนหาด ได้รวยกับเขาบ้าง และหลายคนอยากรู้เช่นกันว่า สรุปมีพ่อค้ามาติดต่อซื้อหรือไม่.


https://tna.mcot.net/region-556201

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #3  
เก่า 08-10-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default

ขอบคุณข่าวจาก PPTV


สธ.เตือน "แมงดาถ้วย" มีพิษ ไม่ควรกิน

กรมอนามัย แนะประชาชนที่นิยมกินแมงดา หรือ ไข่แมงดา ให้ระมัดระวังในการเลือกซื้อเพราะอาจเจอแมงดาพิษที่ส่งผลต่อร่างกาย อันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้



วันนี้ 7 ต.ค. 2563 นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย รักษาราชการแทนอธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า จากกรณี การนำเสนอข่าวในพื้นที่จ.ภูเก็ตพบผู้เสียชีวิตหลังจากกินแมงดาทะเลเผา ซึ่งคาดว่าจะเป็นแมงดาพิษนั้น

กรมอนามัยขอเตือนผู้ที่นิยมบริโภคแมงดาและแมงกะพรุน ต้องระวังในการเลือกซื้อ เนื่องจากแมงดาทะเลมี 2 ชนิด คือ แมงดาจานที่ไม่มีพิษ ส่วนแมงดาถ้วย หรือ แมงดาไฟหรือเหรา เป็นแมงดาที่มีพิษ ผู้บริโภคต้องสังเกตให้ดีว่าเป็นแมงดาที่กินได้หรือไม่ได้ หากแยกไม่ออก ไม่ควรกิน อาจเสี่ยงได้รับพิษ และอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้ ซึ่งแมงดาจานที่กินได้จะมีลำตัวขนาดใหญ่กว่าแมงดาถ้วย พื้นผิวด้านบนเรียบ มีสีน้ำตาลอมเขียว มีหางเหลี่ยม มีสันและหนามเรียงกัน เป็นแถวคล้ายฟันเลื่อย ส่วนแมงดาถ้วยที่ไม่ควรกินนั้น จะมีลำตัวโค้งกลม มีหางกลม และผิวด้านนอกมีขนสั้นสีน้ำตาลอมแดงต่อจากส่วนท้อง มีหางค่อนข้างกลม ไม่มีสันและไม่มีหนาม

"อาการเบื้องต้นหลังได้รับพิษ ผู้ป่วยจะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนและกล้ามเนื้ออ่อนแรง ซึ่งการ ปฐมพยาบาลคือทำให้ผู้ป่วยหายใจคล่องที่สุด และรีบนำส่งโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด หากผู้ป่วยหยุดหายใจให้ทำการผายปอดจนกว่าจะถึงโรงพยาบาล ระหว่างการนำส่งห้ามให้ผู้ป่วยดื่มน้ำหรือยาเพราะอาจทำให้สำลักได้ ดังนั้น เพื่อความปลอดภัย?หากไม่แน่ใจว่าเป็นอาหารที่มีพิษหรือไม่? ห้ามกิน?เด็ดขาด เช่น ปลาปักเป้า แมงกะพรุน หรือเห็ด เป็นต้น" นพ.สุวรรณชัย กล่าว


https://www.pptvhd36.com/news/%E0%B8...0%B8%99/134515

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #4  
เก่า 08-10-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default

ขอบคุณข่าวจาก BBCThai


พฤติกรรมกินพี่น้องร่วมท้องของตัวอ่อน อาจทำให้ฉลามยักษ์ "เม็กกาโลดอน" มีขนาดมหึมา


เม็กกาโลดอนซึ่งเรียกได้ว่าเป็นไดโนเสาร์แห่งเผ่าพันธุ์ฉลาม เคยมีชีวิตอยู่บนโลกเมื่อราว 3-23 ล้านปีก่อน ที่มาของภาพ,GETTY IMAGES

ทีมนักวิทยาศาสตร์ในสหรัฐฯ สันนิษฐานว่า การที่ฉลามยักษ์ยุคดึกดำบรรพ์ "เม็กกาโลดอน" มีขนาดมหึมาจนกลายเป็นปลานักล่าขนาดใหญ่ที่สุดในท้องทะเลนั้น อาจเป็นผลมาจากการที่ตัวอ่อนซึ่งกำลังเติบโตอยู่ในมดลูกของแม่ปลามีพฤติกรรมกินไข่ใบอื่น ๆ ที่ยังไม่ฟักในท้องแม่

งานวิจัยชิ้นนี้ตีพิมพ์ในวารสาร Historical Biology โดยทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเดอโปล ในนครชิคาโก ของสหรัฐฯ ค้นพบเรื่องนี้ระหว่างการศึกษาเรื่องขนาดที่แท้จริงของฉลามเม็กกาโลดอน โดยใช้การวิเคราะห์เปรียบเทียบขนาดและรูปทรงฟันของฉลามเม็กกาโลดอน ซึ่งสูญพันธุ์ไปแล้ว กับฉลามที่มีชีวิตอยู่ในปัจจุบันในกลุ่มเดียวกันที่เรียกว่า "อันดับปลาฉลามขาว" (lamniform sharks) อาทิ ฉลามขาว (Carcharodon carcharias), ฉลามบาสกิน (Cetorhinus maximus), ฉลามเมกาเมาท์ (Megachasma pelagios) และฉลามมาโก (Isurus spp.) เป็นต้น

ศาสตราจารย์เคนชู ชิมาดะ นักบรรพชีวินวิทยาจากมหาวิทยาลัยเดอโปล หัวหน้าทีมวิจัย ระบุว่า ผลการศึกษาครั้งนี้เผยให้เห็นชัดเจนว่าฉลามเม็กกาโลดอนมีขนาดใหญ่โตเพียงใด

ที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์คาดคะเนขนาดและรูปร่างของฉลามเม็กกาโลดอนโดยประเมินจากฟอสซิลฟันที่พบ ว่าน่าจะมีลำตัวยาวประมาณ 16-18 เมตร เท่ากับรถเมล์สองชั้นจำนวนสองคันต่อกัน และอาจมีน้ำหนักได้ถึง 100 ตัน



การที่โครงกระดูกของฉลามส่วนใหญ่เป็นกระดูกอ่อน ทำให้แทบไม่หลงเหลืออวัยวะที่แข็งพอจนสามารถกลายเป็นฟอสซิลหลงเหลือมาให้เราศึกษาได้ ด้วยเหตุนี้การคาดคะเนว่าเม็กกาโลดอนมีรูปร่างอย่างไรแน่จึงทำได้ยาก

นอกจากนี้ ศาสตราจารย์ชิมาดะ และคณะยังตั้งข้อสันนิษฐานถึงความเชื่อมโยงด้านปัจจัยทางชีวภาพของเม็กกาโลดอน ที่จัดอยู่ในกลุ่มของ "อันดับปลาฉลามขาว" กับพฤติกรรมที่มีลักษณะเฉพาะของตัวอ่อนฉลามชนิดนี้ที่เติบโตในมดลูกแม่ปลา

ทีมนักวิจัยชี้ว่า ปลาขนาดใหญ่ในอันดับปลาฉลามขาวมักมีระบบเผาผลาญพลังงานที่ทำให้ร่างกายอบอุ่นกว่าปลาทั่วไป ทำให้พวกมันว่ายน้ำได้ว่องไวกว่า และสามารถล่าเหยื่อที่ตัวใหญ่และให้พลังงานได้มากกว่า



ฟันขนาดใหญ่ที่สุด 3 ซี่เป็นของเม็กกาโลดอน ส่วนที่เหลือเป็นของฉลามในยุคปัจจุบัน ที่มาของภาพ,SCIENCE PHOTO LIBRARY

นอกจากนี้ การที่ฉลามกลุ่มนี้มีระบบสืบพันธุ์แบบออกลูกเป็นตัวที่เรียกว่า ovoviviparity ซึ่งตัวอ่อนจะพัฒนาขึ้นภายในไข่ที่ยังคงอยู่ในร่างกายของแม่จนกว่าจะพร้อมฟักออกจากไข่แล้วจึงคลอดออกมาเป็นตัว แต่ในกรณีของปลาฉลามกลุ่มนี้มักพบว่าลูกปลาที่ฟักออกมาเป็นตัวแรกมักมีพฤติกรรมกินพวกเดียวกันเองภายในมดลูก (intrauterine cannibalism) โดยจะกินไข่ใบอื่นที่ยังไม่ฟัก หรือแม้แต่ตัวอ่อนที่ฟักออกมาในภายหลัง

ทีมนักวิจัยระบุว่า พฤติกรรมกินพวกเดียวกันทำให้ลูกปลาดังกล่าวมีขนาดใหญ่ตั้งแต่ยังไม่คลอดออกจากท้องแม่ และผลักดันให้แม่ปลาต้องกินอาหารเพิ่มขึ้นสำหรับลูกในท้องที่หิวโหย ส่งผลให้แม่มีขนาดใหญ่ขึ้น และเมื่อถึงเวลาที่ลูกปลาคลอดออกมาก็จะมีขนาดใหญ่จนสามารถปกป้องตัวเองจากสัตว์นักล่าชนิดอื่นได้

นักวิจัยบอกว่า พฤติกรรมดังกล่าวบวกกับสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม เช่น การอาศัยอยู่ในน้ำที่มีอุณหภูมิเหมาะสม และความอุดมสมบูรณ์ของอาหาร ก็เป็นปัจจัยที่ทำให้ปลาในอันดับปลาฉลามขาว เช่น เม็กกาโลดอน มีขนาดมหึมาได้


https://www.bbc.com/thai/features-54426447
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #5  
เก่า 08-10-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default

ขอบคุณข่าวจาก BBCThai


ขยะพลาสติก: เกิดอะไรขึ้นเมื่อไทยยกเลิกการนำเข้าขยะจากต่างประเทศ
........... โดย สมิตานัน หยงสตาร์ ผู้สื่อข่าวพิเศษบีบีซีไทย


ที่มาของภาพ,REUTERS

เมื่อสองปีก่อน รัฐบาลจีนได้ออกประกาศด่วนเรื่องห้ามนำเข้าขยะจากต่างประเทศหลังจากพบว่าขยะกำลังล้นประเทศ เมื่อจีนห้ามนำเข้า บรรดาขยะพลาสติกและขยะอิเล็กทรอนิกส์จำนวนมหาศาลก็ย้ายเส้นทางมาสู่ประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งไทย

สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ การนำเข้าขยะพลาสติกของไทยในปี 2561 มีปริมาณเพิ่มขึ้นถึง 8 เท่าจาก 69,500 ตันในปีก่อนที่จีนจะห้ามนำเข้าขยะ เป็นกว่า 552,912 ตัน และยังพบการลักลอบนำเข้าขยะอย่างผิดกฎหมายอีกจำนวนมาก

การทะลักเข้ามาของขยะพลาสติกและขยะอิเล็กทรอนิกส์จากต่างประเทศ ประกอบกับปัญหาขยะที่มีอยู่เดิมในประเทศ ทำให้รัฐบาลประกาศให้ปัญหาขยะเป็นวาระแห่งชาติเมื่อปี 2561 พร้อมกับกำหนดให้ประเทศไทยยกเลิกการนำเข้าขยะหรือเศษพลาสติกและซากอิเล็กทรอนิกส์ 100% ตั้งแต่วันที่ 30 ก.ย. 2563 เป็นต้นไป

ก่อนวันที่ 30 ก.ย. ซึ่งเป็นเส้นตายการห้ามนำเข้าขยะจะมาถึง เริ่มมีเสียงเรียกร้องจากผู้ประกอบการรีไซเคิลที่นำเข้าขยะว่าให้ขยายเวลาออกไป โดยให้เหตุผลว่าขยะภายในประเทศนั้นมีไม่เพียงพอและไม่ตรงตามความต้องการในการรีไซเคิล

ความเคลื่อนไหวจากฝั่งผู้ประกอบการทำให้ประชาชนและนักสิ่งแวดล้อมรณรงค์ในโลกออนไลน์โดยใช้แฮชแท็ก #แบนขยะพลาสติก กดดันให้รัฐบาลเดินหน้านโยบายห้ามนำเข้าขยะพลาสติกตามกำหนดเดิม ซึ่งก็เป็นผลสำเร็จ

กรมโรงงานอุตสาหกรรมยืนยันกับบีบีซีไทยว่า ขณะนี้ใบอนุญาตนำเข้าขยะได้สิ้นสุดลงแล้วทั้งหมด ดังนั้นผู้ประกอบการที่เคยมีใบอนุญาตนำเข้าขยะจะไม่สามารถกระทำได้ เว้นแต่เป็นการนำเข้าภายใต้มาตรา 152 ของ พ.ร.บ.ศุลกากร ที่อนุญาตการนำเข้าในกรณีเฉพาะ

บีบีซีไทยสำรวจปฏิกิริยาจากหลายฝ่าย ทั้งกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ผู้ประกอบการคัดแยกขยะ และผู้ประกอบการรีไซเคิลว่าปรับตัวและรับมือกับการนำห้ามนำเข้าขยะนี้อย่างไร


วงษ์พาณิชย์: ขยะในประเทศเพียงพอแน่นอน

ดร.สมไทย วงษ์เจริญ ประธานกรรมการ บริษัท คัดแยกขยะเพื่อรีไซเคิล วงษ์พาณิชย์ จำกัด ซึ่งคร่ำหวอดในวงการนี้จนได้รับฉายาว่า "ราชาขยะ" ให้ข้อมูลว่าการยกเลิกนำเข้าขยะส่งผลให้ราคาขยะในประเทศสูงขึ้นทันที ซึ่งเป็นแรงจูงใจให้ผู้คนหันมาคัดแยกขยะขายมากขึ้น นับว่าเป็นผลดีต่อการจัดการขยะโดยรวม

เขาบอกว่าที่ผ่านมาประเทศไทยเป็นเหมือน "ถังขยะโลก" เนื่องจากนำเข้าขยะจากนานาประเทศ ยิ่งไปกว่านั้น "ขยะนำเข้า" ยังทำให้ราคาขยะที่รีไซเคิลได้อย่างเช่นพลาสติกและกระดาษในประเทศต่ำลงอย่างมาก

"ก่อนหน้านี้เรากำลังเดินไปในทางที่ดี มีการออกนโยบายให้มีการคัดแยกขยะต้นทาง ส่งเสริมให้มีธนาคารขยะที่โรงเรียน วัด เด็กนักเรียนก็สนใจแยกขยะ กินเสร็จแยกเลย นี่สมบัติของหนูของมีค่า แต่พอขยะมันล้น ราคาตก ใครจะอยากแยกอยากขาย" ดร.สมไทยกล่าวกับบีบีซีไทย

เขาย้ำว่าการแยกขยะ-เก็บขยะขายเป็นงานที่สร้างรายได้ให้คนจำนวนมาก เช่น ซาเล้งหรือชาวบ้านทั่วไปซึ่งเป็นอาชีพพิเศษที่ไม่ค่อยมีในประเทศอื่นที่ใช้ระบบคัดแยกขยะต้นทางโดยครัวเรือนต้องจ่ายค่าบริการเก็บขยะในอัตราที่สูง


ที่มาของภาพ,GETTY IMAGES

ผู้บริหาร บ.วงษ์พาณิชย์มองว่าการนำเข้าขยะจากต่างประเทศทำให้ธุรกิจคัดแยกและขายขยะที่สร้างรายได้ให้คนหาชาวกินค่ำและเป็นส่วนหนึ่งของการจัดการขยะชะงักลง อีกทั้งยังทำให้ขยะในประเทศมีคุณค่าและมูลค่าลดลง แต่เมื่อยกเลิกการนำเข้าขยะ ขยะในประเทศจึงมีราคาสูงขึ้น

"ขยะพลาสติกจาก 10 บาท ราคาลงเหลือกิโลละ 2-3 บาท ตอนนี้ขยับขึ้นมาเป็นกิโลละ 9 บาทในพริบตาเดียว ส่วนกระดาษที่ลงไปเหลือกิโลละ 50 สตางค์ จนซาเล้งไปชูป้ายจะอดตายแล้วหน้ากระทรวงพาณิชย์ วันนี้ราคาขึ้นมาเป็นกิโลละ 5 บาทกว่าแล้ว"

"สิ่งสำคัญที่สุดคือเกิดแรงบันดาลใจในการคัดแยกขยะที่ต้นทาง ขยะแพงคือเส้นทางของการสร้างแรงจูงใจ" เขาให้ความเห็น

"จริง ๆ แล้วโลกใบนี้ไม่มีขยะเลย ขยะเป็นเพียงทรัพยากรที่ไว้ผิดที่เท่านั้นเอง ถ้าภาครัฐสร้างกลไกที่ถูก มันก็เป็นทรัพยากรสำหรับอุตสาหกรรม สร้างงาน สร้างรายได้ สร้างอาชีพ เป็นอุตสาหกรรมต่อเนื่อง" เขากล่าวเสริม

ส่วนความกังวลของผู้ประกอบการรีไซเคิลบางรายที่ห่วงว่าเมื่อห้ามนำเข้าแล้วขยะในประเทศจะไม่เพียงพอ นั้น ดร.สมไทยยืนยันว่าปริมาณขยะในประเทศ "เพียงพอต่อกระบวนการรีไซเคิลอย่างแน่นอน" โดยให้ข้อมูลสนับสนุนว่าขณะนี้ไทยผลิตขวดน้ำพลาสติกประมาณ 386,000 ตันต่อปี โรงงานรีไซเคิลรับซื้อไปได้เพียง 260,000 ตันต่อปี ส่วนที่เหลือยังไม่ได้รับซื้อทั้งหมด

"ถามว่าวัตถุดิบจากการแยกขยะในไทยพอที่จะส่งป้อนโรงงานได้ไหม ผมบอกว่าเกินพอครับ บางทีเราไปส่งของ โรงงาน (รีไซเคิล) บอกให้เราจอดรอ แล้วเอาขยะที่นำเข้าจากต่างประเทศเข้าไปก่อนเป็นร้อยตู้ บางครั้งให้เรารออยู่ 4-5 วัน เดินออกมาบอกว่าตอนนี้ราคา (ขยะ) ลงแล้วจะขายหรือไม่ขาย ไม่ขายก็เอากลับไปก่อน" ดร.สมไทยเล่าประสบการณ์ตรงในการขายขยะให้โรงงานรีไซเคิล

แม้ว่าการห้ามนำเข้าขยะจะเป็นข่าวดี แต่ ดร.สมไทยยังคงกังวลเรื่องการลักลอบนำเข้าขยะ เพราะที่ผ่านมามีการสำแดงเท็จในหลายกรณี อีกทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังใช้ระบบการสุ่มตรวจ ซึ่งเขามองว่าเป็นช่องว่างที่ต้องแก้ไขต่อไป


มูลนิธิบูรณะนิเวศ: "มันคืออาชญากรรม"

มูลนิธิบูรณะนิเวศเป็นองค์กรพัฒนาเอกชนด้านสิ่งแวดล้อมที่เกาะติดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจากอุตสาหกรรมและการลักลอบนำเข้าขยะมาอย่างต่อเนื่อง แสดงความกังวลเรื่องปัญหาลักลอบนำเข้าขยะและการจัดการ "อาชญากรรมด้านสิ่งแวดล้อม" ของรัฐไทยที่ยังมีช่องโหว่เช่นกัน

นายอัครพล ตีบไธสง เจ้าหน้าที่เทคนิคและวิจัย มูลนิธิบูรณะนิเวศ กล่าวว่า หลังจากนี้จะต้องติดตามเฝ้าระวังการลักลอบนำเข้าขยะ และผลักดันให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับปรุงมาตรการตรวจสอบและดำเนินการกับผู้กระทำความผิดอย่างจริงจัง

เขาเสนอว่า เมื่อพบว่ามีการลักลอบนำเข้าขยะหรือการสำแดงเท็จ นอกจากจะเอาผิดผู้ที่เกี่ยวข้องแล้ว ยังต้องมีการผลักดันขยะนั้นออกนอกประเทศ และควรยกเลิกการนำขยะที่สำแดงเท็จมาประมูล


ที่มาของภาพ,บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน)

นายอัครพลอธิบายว่าในการนำเข้าสินค้าจะมีหมายเลขพิกัดอ้างอิงและรายละเอียดแนบท้ายในการสำแดง แต่ที่ผ่านมามีการสำแดงเท็จเกิดขึ้นมากมาย ซึ่งหากตรวจพบเจ้าหน้าที่จะดำเนินการอายัดขยะเหล่านั้นไว้และยังเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการที่มีใบอนุญาตนำเข้าขยะมาประมูลออกไปใช้ได้หากไม่มีผู้มาแสดงตนเป็นเจ้าของภายใน 60 วัน

"ของมันถูกอายัดมาด้วยคุณภาพไม่ดี ปนเปื้อน ถูกจับ แต่ทำไมของที่ไม่ดีเพราะไม่มีคุณภาพ ถึงสามารถเข้าสู่กระบวนการนำออกไปได้อีก" เขาตั้งคำถาม

"มันคืออาชญากรรม" นายอัครพลกล่าวพร้อมกับบอกว่าไทยกำลังเป็น "สวรรค์ของการทิ้งขยะ" จากการเติบโตของอุตสาหกรรมรีไซเคิลที่ประเทศต่าง ๆ ใช้เป็นช่องทางในการผลักดันขยะออกนอกประเทศตัวเอง

นักวิจัยรายนี้ตั้งข้อสังเกตว่า หลายประเทศในภูมิภาครวมทั้งไทยและกัมพูชาพบปัญหาเรื่องการลักลอบนำเข้าขยะพลาสติกที่ไม่ได้มาตรฐาน ประกอบกับระบบการติดตามเรือสินค้าที่ยังมีช่องโหว่ ทำให้ไม่สามารถรับประกันได้ว่าสินค้าเหล่านั้นจะไม่หวนกลับเข้ามาเพื่อทำการสำแดงใหม่อีก

นายอัครพลสนับสนุนให้ทุกภาคส่วนร่วมมือกันเรื่องการลดและคัดแยกขยะต่อไป ควบคู่ไปกับการตรวจสอบหน่วยงานภาครัฐ หากพบว่าละเลยการปฏิบัติหน้าที่ ส่งผลให้มีการลักลอบนำเข้าขยะเข้ามาในประเทศ ก็อาจต้องดำเนินการฟ้องร้อง


ผู้ประกอบการยอมรับและปรับตัว

นายริชาร์ด โจนส์ รองประธานอาวุโสและหัวหน้าฝ่ายสื่อสารองค์กร บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) หรือ ไอวีแอล คือผู้รีไซเคิลขวดพลาสติก PET ซึ่งเป็นขวดพลาสติกใสรายใหญ่ของไทยกล่าวว่า เมื่อรัฐบาลมีมาตรการห้ามนำเข้าขยะออกมาเช่นนี้ ภาคธุรกิจก็ต้องปรับตัวตาม

นายโจนส์กล่าวว่าไอวีแอล ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำเข้าขยะพลาสติกจากต่างประเทศ ได้วางแผนเพิ่มการใช้ขยะพลาสติกในประเทศมาอย่างต่อเนื่อง


ที่มาของภาพ,บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน)

นายโจนส์อธิบายว่าไอวีแอลเน้นการรีไซเคิลพลาสติก PET เพื่อแปรรูปเป็นบรรจุภัณฑ์และเส้นใย โดยใช้ขวดพลาสติกนำเข้าไม่เกิน 10% ของการผลิตทั้งหมด ส่วนใหญ่เป็นขวดพลาสติกที่นำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น เพราะผ่านการทำความสะอาดจากต้นทางที่ดี และมีการปนเปื้อนต่ำ

เขากล่าวว่า การห้ามนำเข้าขยะจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมรีไซเคิลขยะต่างกันออกไป แต่สำหรับไอวีแอลนั้นได้รับผลกระทบไม่มากนักเพราะคนไทยมีการคัดแยกขวดพลาสติกกว่า 85% ของทั้งหมด ซึ่งค่อนข้างสูงเทียบเท่ากับนานาชาติ นี่จึงเป็นเหตุให้กำลังการผลิตของไอวีแอลยังคงเดินหน้าต่อได้ แต่ยอมรับว่าอาจกระทบต่อการขยายกิจการ

"มันมีผลกระทบเพียงแค่การลงทุนใหม่ เพราะถ้านำเข้า (ขยะพลาสติก) ไม่ได้ ก็ยากที่จะขยายการลงทุน"

นายโจนส์กล่าวว่า ปริมาณขยะพลาสติกที่ทางบริษัทต้องการขณะนี้ยังคงเพียงพอที่จะป้อนสายพานการผลิต แต่ปัญหาอย่างหนึ่งของขวดพลาสติกไทยคือยังคงพบการปนเปื้อนจากการใช้งาน เช่น การนำไปเขี่ยก้นบุหรี่ เป็นต้น ซึ่งคนทั่วไปอาจจะต้องตระหนักถึงการใช้งานลักษณะนี้หากต้องการนำกลับมารีไซเคิล

เขายังเสนอให้กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ทบทวนประกาศเรื่องการห้ามใช้ภาชนะที่ทำจากพลาสติกที่ใช้แล้วมาบรรจุอาหาร เนื่องจากขณะนี้กระบวนการผลิตได้รับรองมาตรฐานความปลอดภัยต่อสุขภาพ และหลายประเทศในยุโรปก็อนุญาตให้ใช้ได้แล้ว ดังนั้นบรรจุภัณฑ์ที่ทำจากพลาสติกรีไซเคิลจึงไม่สามารถขายในประเทศได้และต้องส่งออกทั้งหมด

ไอวีแอลมองว่าหาก สธ. อนุญาตให้ใช้พลาสติกรีไซเคิลในการผลิตบรรจุภัณฑ์ได้ ราคาขยะพลาสติกในประเทศก็อาจปรับสูงขึ้นอีก


https://www.bbc.com/thai/thailand-54445023
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายน้ำ : 08-10-2020 เมื่อ 09:11
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ตอบ

คำสั่งเพิ่มเติม
เรียบเรียงคำตอบ

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 13:05


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2025, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger